ติดต่อพูดคุยกันได้ในเฟซบุ๊คเพจนะคะ
https://www.facebook.com/srisurangwriter
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2549
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
12 กรกฏาคม 2549
 
All Blogs
 
วินธัย ๘ สุราดอกส้ม







๘. สุราดอกส้ม

ห้องขนาดกลาง สะอาดเป็นระเบียบน่าสบาย ลาดพื้นด้วยหินกาบสีดำปนเทา ผนังก่ออิฐถือปูนฉาบสีขาวนวลตา มีช่องหน้าต่างและประตูเปิดไปยังระเบียงเล็กติดกับสวนภายในของข้าราชสำนัก เถาเล็บมือนางพาดพันระแนงไม้เหนือระเบียงด้านตะวันออกให้เงาร่มรื่น

ภายในห้องส่วนตัวมีเตียงไม้ขนาดใหญ่รูปแบบโบราณ โต๊ะเขียนหนังสือ โคมแก้วประทีป นาฬิกาลูกตุ้ม ที่ผนังด้านหนึ่งเว้าลึกเข้าไปเป็นช่องชั้นสำหรับเก็บของใช้และเสื้อผ้า แขวนผ้าเนื้อหนาสีนวลบังไว้ แล้วยังมีเก้าอี้เอนพร้อมม้ารองเท้าบุผ้าขนสัตว์ไส้นุ่นน่านั่งอีกตัวหนึ่งด้วย

ห้าราตรีมาแล้ว วินธัยคิดว่าเขาได้รับพระมหากรุณาธิคุณมากล้นอยู่ ไม่เพียงแต่เขารู้สึกไปเอง แม้พระพี่เลี้ยงผู้นำเขามายังที่พัก และหรือข้าราชบริพารอื่นๆ ก็ให้เกียรติยกย่องด้วยกิริยาอยู่มิใช่น้อย หาไม่แล้ว น้องใหม่ในสังกัดที่ไหนจะไม่ถูกทดสอบและต้อนรับอย่างอบอุ่นไปจนถึงร้อนแรง อย่างที่เขาเคยพบมาจนเริ่มชิน ด้วยเป็นข้าราชการที่ย้ายสังกัดบ่อยมากจนน่าแปลกใจผู้หนึ่ง

แต่ย้ายคราวใดก็ไม่เหมือนคราวนี้ ที่ดูเหมือนจะถูกย้ายมาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนี้เฉยๆ มิได้มีการมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบใดๆ เลยสักเรื่องเดียว !?

ไม่มีอะไรทำสามสี่วันมานี้ก็ดีอยู่บ้าง ตรงที่ได้ทำความรู้จักคุ้นเคยกับข้าฯในพระธิดาทั้งหลายจนแทบทั่วถึงแม้กระทั่งในโรงครัวหรือห้องเครื่องต้น แต่หากจากนี้ไปยังไม่มีอะไรจะทำ คงต้องเป็นการทรมานอันเป็นทุกข์ที่สุดเท่าที่ต้องประสบมาเลยทีเดียว

เสียงเคาะประตูดังเบาๆ รัวๆ ชายหนุ่มขานรับก่อนลุกจากโต๊ะ คั่นหน้าหนังสือที่เปิดค้างไว้ ไปเปิดประตู นายมหาดเล็กเวรเฝ้าคนหนึ่งยืนหอบอยู่ข้างหน้า

“มีอะไรหรือยามา”

“ทูลกระหม่อมรับสั่งให้หาเดี๋ยวนี้ขอรับ”

ท่านมหาราชครูคะเนไว้ไม่ผิดถึงความสำคัญของชายหนุ่มในความอุปการะที่จักได้มารองเบื้องพระยุคลบาทด้วยความพิเศษที่ต้องการการรับรองของเสนาบดี และอดีตมหาเสนาบดีผู้ใหญ่ถึงสองคน

แต่ยังประเมินการณ์ในพระทัยพระธิดามิได้ลึกซึ้งถูกต้องนัก ถึงงานพิเศษที่จะทรงมอบให้คนสำคัญของท่านทำ ประเดิมเป็นงานแรก

และวินธัยมิได้รู้ว่าประโยค ‘ทูลกระหม่อมรับสั่งให้หาเดี๋ยวนี้’ นั้นจะเป็นประโยคประจำสำหรับเขาไปอีกนานนักหนา





“ห้องที่อยู่เป็นยังไง”

ไขว้พระหัตถ์ไว้เบื้องพระปฤษฎางค์ ประทับยืนอยู่ใกล้พระบัญชรโค้ง แสงสว่างยามสายผ่านกรอบบัญชรและพระวิสูตรสีขาวมาทอระยิบอยู่บนเส้นไหมเงินสลับชมพูในลวดลายพรมรองพระบาทหนานุ่ม

“ดีกว่าที่เคยอยู่มาทุกแห่งพระเจ้าค่ะ”

พระราชธิดาทรงชุดยาวปล่อยปลายแขนสีฟ้าอ่อน รัดบั้นพระองค์ด้วยเกลียวผ้าสีคราม รวบพระโมลีสูงประดับช่อดอกมหาหงส์รวยกลิ่นระรื่น

“เข้ามาตั้งนานแล้ว ลืมไป ยังไม่ได้ให้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งเลย”

ขณะนี้มหาดเล็กใหม่หรือตำแหน่งใดก็สุดจะเดา ได้เปลี่ยนมาเป็นเครื่องแบบข้าราชบริพารในพระธิดาสีน้ำเงินเรียบร้อยแล้ว ทรงปรบพระหัตถ์ขึ้นเบาๆ มหาดเล็กเวรคนหนึ่งก็เข็นรถไม้แกะสลักคันเล็กจากห้องเตรียมเครื่องข้างหลังเข้ามาถวายแล้วออกไป สังเกตได้ว่า ข้าหลวงสองนางเคียงพระบาท ทำกิริยาแปลกๆ คล้ายจะกระอักกระอ่วน

ชายหนุ่มมิได้ทูลสิ่งใด แม้จะรู้ได้ว่าพระราชพิธีสาบานตนนี้ มีเพียงปีละครั้งสำหรับข้าราชการใหม่ทั่วพระราชอาณาจักรได้เข้าพิธีพร้อมกัน หาได้เคยมีพิธีส่วนตัวเช่นนี้ไม่

“วันนี้เราจะใช้เจ้าทำกิจสิ่งหนึ่ง ซึ่งต้องอาศัยความจงรักภักดีมากหน่อย จะรอให้ถึงพิธีหลวงเกรงจะไม่ทัน บอกตรงๆ ในวันนี้เราก็ยังไม่มั่นใจในความเต็มใจในน้ำใจเจ้าสักเท่าไหร่”

เอียงพระศอจ้องดู คล้ายจะมีความพอพระทัยในสิ่งที่ทรงดำริจะทำลึกๆ

“จะสาบานให้เราได้ไหม วินธัย” สุรเสียงใสนั้นชัดกังวาน
“ว่าจะรับราชการในพระธิดาด้วยความภักดีในใจของเจ้า”

“กล่าวเต็มตามพิธีการหรือพระเจ้าค่ะ”

วินธัยเข้าพิธีนี้มาแล้วเมื่อรับราชการครั้งแรกเมื่อเจ็ดปีก่อน ไม่มีข้าราชบริพารคนใดเข้าพิธีสองครั้ง

“อะไรก็ได้ตามใจเจ้า”

ทรงยกขวดเจียระไนปากแคบในรถข้างพระกรขึ้นเทน้ำหยาดใสลงถ้วยใบน้อยจนปริ่ม ยกขึ้นยื่นประทาน
“แล้วดื่มน้ำนี่สาบานให้เรา”

กลิ่นหอมฉุนฟุ้งมาแตะจมูกของผู้ที่นั่งเบื้องพระพักตร์

“เกล้ากระหม่อมนับถือเป็นข้าพระพุทธเจ้า มิใช่ผี”

พระกรเรียวชะงักนิ่ง พระเนตรเปล่งประกาย

“เรานิยมน้ำชนิดนี้นี่นะ ดื่มสุราสาบานเบื้องหน้าให้เราหน่อยเป็นไร”

“คำสัตย์กล่าวออกจากปาก อาศัยน้ำใจ มิต้องใช้น้ำอื่นใดดอกพระเจ้าค่ะ”

ตวัดพระกรผ่านหน้า สุราใสทั้งถ้วยก็เทราดลงบนพื้นเบื้องหน้าข้าราชบริพารใหม่ เฉียดศีรษะเขาไปเพียงนิด

“งั้นก็พูดซิ เราจะฟัง”

“เกล้ากระหม่อมวินธัย จักรับใช้ราชการสนองเบื้องบาทพระราชธิดา ด้วยความซื่อสัตย์และจงรักภักดี ในทุกกรณียกิจอันเป็นธรรมในพระประสงค์ ตราบชั่วที่มีลมหายใจพระเจ้าค่ะ”

พระธิดาทรงนิ่ง พระเนตรอ่อนแสงลง ทรงวางถ้วยกระเบื้องใบบางลงบนรถคล้ายจะเปลี่ยนพระทัย แต่แล้วก็เม้มพระโอษฐ์ คว้าขวดแก้ว รินสุราลงถ้วยใหม่

“ทำความพอใจให้เรา ถือว่าเป็นธรรมไหม”

“โดยทั่วไปแล้ว ดื่มสุรา ขัดกับคำว่าเป็นธรรมอยู่นะพระเจ้าค่ะ”

“ที่นี่ นอกจากมียามมีข้าหลวงแล้วยังมีเรา ที่จะคอยเฝ้าควบคุมไม่ให้เจ้าทำสิ่งชั่วช้าอันใดขึ้นได้ ทั้งไม่ให้เจ้ามัวเมาหลงสติจนทำลายตนเองเป็นอันตรายอีกด้วย แต่มีคนที่เจ้าสาบานไว้ พอใจจะขัดใจเจ้าอยู่… ดูซิจะดื่มได้กี่แก้ว”

ทรงยื่นถ้วยปริ่มประทานอีกครั้ง

วินธัยรับมาดื่มจนหมด รู้สึกรสขมปร่าร้อนวาบผ่านลำคอแล้วจึงกลิ่นหอมระรวยของดอกส้มและยอดข้าว

เขาถวายถ้วยเปล่ากลับ แต่ในพระกรกลับทรงขวดแก้วรินจนเต็มใหม่ คราวนี้พระเนตรดุจดาว โค้งพระโอษฐ์ขึ้นอย่างเด็กเกเรที่ชอบท้าทาย

กลิ่นสุราหมักที่กรองจนใส ถ้วยแล้วถ้วยเล่า กลายเป็นลมหายใจของเขา แล้วก็ได้ยินเสียงพระสรวลเบาๆ

“ถือถ้วยตรงๆ ซิ คนเก่งของท่านครู… ถ้าเธอยืนด้วยเข่าไม่ไหวแล้วเราอนุญาตให้ใช้อีกสองมือช่วยด้วยได้นะ” ทรงพระสรวลใสราวระฆังเงิน

“ใครๆ เขาว่า คนเมา จะแสดงธาตุแท้ออกมาให้ปรากฏมิใช่หรือ ฮึ ฮึ ธาตุแท้ของเจ้าเป็นคนโลเลไม่ใช่เบานะ ถึงถือจอกเหล้านิ่งๆ ไม่ค่อยจะไหว”

เสียงนางพระพี่เลี้ยงขัดขึ้นอ่อนๆ

“มากเกินไปแล้วเพคะ”

“ยุ่งน่ะ ยังตัวตรงอยู่ได้นี่เห็นไหม”

“พอแล้วเพคะ เดี๋ยวล้มเลยนะเพคะ”

เหล้าดอกส้มของชาวดอยเขาเคยดื่มมาบ้าง แต่ตั้งแต่ห่างชนบทมาแล้วไม่ค่อยได้ดื่มมากๆ อีกเลย ชายหนุ่มกำลังคิดว่าเขาควรจะใช้อีกสองมือช่วยสองขาดีไหม เอกนารีแห่งมัชฌิมะก็วางพระหัตถ์จากขวดแก้วเสด็จเข้ามาใกล้

กลิ่นหอมของดอกมหาหงส์ระรวยอ่อนหวาน

ทรงยื่นของสองสิ่งประทาน ประกายสีทองสะท้อนแดดเรืองรองระยับ เป็นปั้นทองรูปเรือสำเภาไร้ใบประทับตราราชยุพเรศสองก้อน !!

“ราชภาระกิจแรก หายเมาให้ได้เดี๋ยวนี้ แล้วไปแทงม้าตัวเดิมให้เรา แข่งบ่ายนี้เราได้ชัยชนะแน่ !!”

ปากของเขาเริ่มตอบอะไรออกไปเร็วกว่าการคิดใคร่ครวญยามปกติ

“การพนันไม่สมควร อย่าทรงทำอีกเลยพระเจ้าค่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอก เราไม่ได้อยากได้เงินพนันนั่นสักเท่าไหร่ เรียกว่าแทงทั้งที่ใจไม่โลภไงล่ะ” ทรงสรวลกับพระดำริพระองค์เอง

“ผิดกฎมณเฑียรวัง…”

“พอแล้วไม่ต้องสอน เอ้ารับไป อย่าทำหายล่ะ”

“รับไม่ได้พระเจ้าค่ะ”

“เอ๊ะ จะไปหรือไม่ไป”

ก่อนที่เขาจะปฏิเสธ ตรัสว่า

“เราก็ไม่สนุกนักหรอกนะ แต่คราวนี้” ทอดพระเนตรมหาดเล็กใหม่ ส่ายพระเศียร

“ไม่ให้ไปไม่ได้แล้ว วินธัย เจ้าเพิ่งสาบานเมื่อกี้ให้เรา จงไปทำตามที่เราสั่ง ครั้งนี้จะเป็นครั้งที่เป็นธรรมที่สุด เพราะมันจะเป็นครั้งสุดท้าย !”

จากดวงตาที่หรี่ปรือ วินธัยเพ่งมองพระเนตรที่ทอดตรงมา

“ที่ตรัสนี้จริงแท้หรือพระเจ้าค่ะ”

“แน่ซิ” ทรงย้ำให้ “ลูกกษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำนะ”

อย่างไรก็ตาม แม้สติไม่เต็มร้อย ข้าฯในพระราชธิดาคนใหม่ก็ยึดถือความนี้ได้ เก็บปั้นทองลงไว้ในผ้ารัดเอว ประคองตนเองออกมา…..

เพียงพ้นพระทวารไม่นาน เสียงเคาะเกราะก็ดังขึ้นเบาๆ

ผู้มารอเฝ้าฯรายต่อไปคือ นายตำรวจวรการ อภิบาลนคร !


นายตำรวจใหญ่ผู้มีดวงตาดุ และจมูกงุ้มเหมือนเหยี่ยว เข้ามาเพื่อจะรับฟังพระปรารภว่า ทรงทราบข่าวไม่ดีเนื่องด้วยความประพฤติในทางพนันของข้าราชบริพารใกล้ชิด !

“ที่เรียกเข้ามานี้มีเรื่องอยากจะให้ช่วย”

“ใต้ร่มพระบารมีปกเกล้า จะมีพระประสงค์สิ่งใดที่ข้าพระบาทจะทำถวายได้ โปรดรับสั่งเถิดพะย่ะค่ะ”

“ได้ยินว่า มีคนริอ่านเล่นพนันอาชาในบ่อน ไม่เกรงอาญาหลวง”

ตรัสช้าๆ ถึงสิ่งที่มีพระประสงค์

“วรการ เป็นหน้าที่ของเจ้า สืบเสาะติดตามตามที่เราได้ยินมา แล้วจับตัวเป็นๆ มาให้เราให้ได้ !! บ่ายวันนี้ ไม่ก็วันพรุ่งนี้ จะต้องมีคนออกไปบ่อน”

นายตำรวจมิกล้าซักถามว่าได้ทรงทราบมาทางใดว่าอย่างไรบ้าง เพราะทรงสำทับ

“เรื่องนี้แน่หรือไม่แน่ ก็อย่าให้แพร่ออกไปว่ามาจากเรา ทำหน้าที่ของเจ้าก็พอ เท่านี้ทำได้ไหม”

“พะย่ะค่ะ ข้าพระบาทจะให้วางกำลังตรวจกวดขันให้จงหนัก”

“ดี เท่านั้นละ ไปได้”


ดอกดาวประดับฟ้าสั่นไหวเพราะต้องลมพัดที่นอกหน้าต่าง ราชธิดาเสด็จมาประทับริมพระบัญชร

“คนดี คุณพระก็ต้องคุ้มครองรักษา จริงไหม?”

แววพระเนตรสลดนัก

นางข้าหลวงมิได้ทูลสนองพระดำรัส เพราะมิได้ลุกขึ้นจากการหมอบสั่นอยู่ที่เดิมด้วยความกลัว พระพี่เลี้ยงลุกตามมากอดข้อพระบาท

“ทำไมเพคะ ทำไม ?”






“โกเมท เจ้ากะเลียวคอกลุงดำ”

พยายามรักษากายและวาจาให้ปกติที่สุด ต่อสู้กับความรู้สึกปั่นป่วนอยากอาเจียน และตึงในศีรษะอย่างสุดที่จะสามารถ

“เท่าไหร่”

มิใช่แต่ผู้ฟังที่ทำสีหน้าประหลาดใจ แม้ลูกน้องที่นั่งเยื้องหลังไปก็เบิ่งตากลมโตจนเห็นตาขาววาวรอบจ้องเขาอย่างไม่เชื่อสายตา

“ยี่สิบหมื่น” ผู้พูดวางปั้นทองสองอันลงบนโต๊ะไม้สีดำตรงหน้าที่กำลังโยกไหว

สุราดอกส้มเป็นสุราที่หมักยังไม่บริบูรณ์ เมื่อดื่มแล้วแม้สักเล็กน้อย ก็จะก่อให้เกิดผลเมาในท้องต่อไปได้อีกนาน เป็นสุราขับความหนาว ไล่สติสัมปชัญญะที่แรงที่สุดและดีที่สุดในปาลีรัฐเหนือ เขานับไม่ได้ว่าดื่มไปแล้วกี่ถ้วย

ตวง นายบ่อนขยับแว่นส่องมองดูปั้นทองสลับกับผู้วางอย่างไม่เชื่อใจและเริ่มหงุดหงิด

“เมาๆ มาอย่างนี้เจ้าแน่ใจนะ”

“แน่ใจขอรับ” ใช่เขาคงแน่ใจ มิเช่นนั้นคงไม่สามารถล้มลุกคลุกคลานมาเปลี่ยนเสื้อที่ทิม ลากสังขารมาไกลถึงหลังโรงภาษีแห่งนี้หรอก

“ปั้นทองนี่ได้มาจากไหน” นายตวงได้ที ‘สอบสวน’ สิ่งที่อยากรู้

“ของรางวัลพระราชทาน”

“ให้ใคร…?”

“ให้ข้า” ไม่ใช่สิ ความจริงเขาไม่ควรตอบเช่นนี้ แต่จะตอบเช่นอื่นใดยังนึกไม่ออก

“นาย…ข้าว่า” เจ้าลูกน้องตัวเล็กท้วงเสียงอ่อย “อย่ารับเลย…มัน…คงไม่ค่อยดี”

“ฮื้อ” นายบ่อนขยับตัวทำเสียงรำคาญ แต่ก็เชื่อตาม

“ไว้หายเมามาใหม่นะพ่อหนุ่ม ตอนนี้ข้ารับไม่ได้”

“ต้องรับ… ที่นี่ไม่มีกฎห้ามคนเมาแทงนี่ ใช่ไหม” ไม่เหมือนเสียงตนเองที่พูดออกไป

“จดใบรับให้ข้าเถิดขอรับ”

คนมาคอยวางเงินรายต่อๆ ไปที่นอกห้องเริ่มชะเง้อชะแง้เข้ามามองดู

“เอายังงี้” นายตวงบ่ายเบี่ยง “ข้าจะรับฝากไว้ให้ก่อนก็แล้วกัน…”

ก่อนที่จะพูดจบ ลูกน้องตัวผอมสูงอีกคนถลันจากห้องในมากระซิบกระซาบข้างหู ว่าอย่างไรไม่มีใครรู้ แต่เจ้าลูกน้องตัวดำผมหยิกกระโจนรวบปั้นทองยัดลงเอวของวินธัยพูดกรอกหูเสียงสั่นๆ

“พี่ๆ เป็นใครข้าไม่รู้ แต่มีตำรวจมาวนเวียนแถวนี้ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่นะ”

ว่าพลางรุนหลังชายหนุ่มไปทางประตูหลัง แม้แต่นายบ่อนที่ตกตะลึงก็เออออห่อหมกไปด้วย เพราะว่า
“มันมีปั้นทองหลวง เดี๋ยวจะฉิบหายเรานะนาย”

ชายหนุ่มรู้สึกถูกลากมาตามทางมืดๆ แคบๆ คงจะเป็นใต้อัฒจันทร์ มาพบแสงสว่างอีกครั้งที่ป่ากล้วยริมคู คนละด้านกับป่าพุทราที่เคยมา

“ไปทางนี้ เอ้านี่” พูดพลางยัดก้านไผ่เรียวเล็กแค่ปลายก้อยยาวขนาดศอกใส่มือ

“จนทางก็ลงน้ำเอานี่หายใจ ข้าทะลุปล้องไว้แล้ว …ไปเร็วๆ สิว๊อย !”

ดูเหมือนเจ้ากรจะถีบเขาถลันเข้าดงกล้วยมา เขาพอรู้ทิศว่าควรบ่ายหน้าไปทางไหน แต่ร่างกายไม่มีกำลังเหมือนเคย ค่อยๆ ลุยไปเรื่อยๆ บนทางบ้าง ตัดทางบ้าง ความรู้สึกปั่นป่วนเพิ่มมากขึ้นทุกทีจนต้องลงนั่งพักบนคันดินตอนหนึ่งพิงต้นไม้ใหญ่ ครุ่นคิดว่า ถ้าหากจะกราบทูลผลัดเป็นพรุ่งนี้จะทรงอนุญาตหรือไม่ เมื่อได้ยินเสียงบุกสวบสาบเข้ามาไกลๆ

วินธัยผุดลุกขึ้นไปต่อ อีกไม่ไกลจะถึงฝั่งแม่น้ำใกล้ตลาดแพ จะลงน้ำหรือปะปนหลบซ่อนได้แนบเนียน คูในป่านี้ตื้นนัก ค้นกันจริงๆ ก็พบ

“เจ้าคนนั้นน่ะ หยุดก่อน !” เขาควรจะหยุด เสียงจากภายในลึกๆ ดังเตือน มีคนเห็นเขาหลายคนที่บ่อน เขาวางปั้นทองออกไปแล้ว ไม่ใช่วินธัยที่จะถูกจับ แต่เป็น…

ภาพใบตอง ช่อพุทธรักษาสะบัดผ่านสายตาวูบวาบครั้งแล้วครั้งเล่า หวาย ระกำ มะกอกน้ำ กก เตยชนิดต่างๆ เตลิดไปจนเห็นลำน้ำสีน้ำตาลลิบๆ พ้นแนวไม้ไผ่และกออ้อ

ถ้าไม่ประทานสุราดอกส้มมากถึงขนาดนี้ อย่าว่าแต่มัธยวารีที่แสนใกล้ ต่อให้อีกทั้งกองร้อยก็จะค้นเขาไม่พบ วินธัยหอบหายใจรู้สึกปั่นป่วนในท้องจนตาพร่า เมื่อเสียงเอ็ดอึงเข้ารายล้อม บางที เสียงจากข้างในอีกแล้วที่บอกว่า เขาควรจะยอมให้ถูกจับเสียดีๆ เพราะทูลกระหม่อมคงต้องการเช่นนี้

แต่เขาก็ได้สู้จนสุดแรงที่ไม่ค่อยจะเหลือ จนกระทั่งจำนนต่อคนจำนวนมากในที่สุด

…………………………………



“พิษสุราหนักข้อจนเกือบจะได้ไข้ ให้อาเจียนเสียหนักแล้วจำตรวนไว้ที่ท่านอัยการเตชสีในราตรีนี้ก่อนพะย่ะค่ะ”

นายตำรวจวรการเข้ากราบบังคมทูลความสำเร็จในหน้าที่ ที่มีกระแสรับสั่งให้รายงานทันที

“ต่อสู้หรือ…ได้ข่าวว่า..เจ็บ”

ยังมิได้ผลัดเปลี่ยนฉลองพระองค์ที่ทรงตั้งแต่เช้า เมื่อยามค่ำแสงดาวสาดส่องลงอาบไล้ภายนอกพระราชฐานแลดูริบหรี่จากช่องบัญชร ภายในเรื่อเรืองด้วยแสงโคมประทีป

“ไม่มากนักพะย่ะค่ะ พวกเราเข้ารุม ครู่เดียวก็จับได้ หนามระกำหนามไผ่เกี่ยวตอนเข้าป่าอีกบ้าง”

“ดี เข้ามาเป็นข้าไม่เท่าไร ริทำความงามหน้าให้กับเรา” เชิดพระพักตร์ “พิจารณาคดีเมื่อไหร่”

นายตำรวจกราบทูลด้วยความเหน็ดเหนื่อย

“ล่วงเที่ยงอีกสองราตรีพะย่ะค่ะ พบปั้นทองพระราชทาน คงจะต้องทูลเกล้าฯ เป็นการพิเศษ”

อาจบางทีเป็นความทดท้อในใจที่จะต้องมีเรื่องให้ระคายถึงพระบาทองค์ปาลีรัฐบรมนาถ

“นัดราชเลขาฯ แล้วรึ”

“ได้หมายแล้วพะย่ะค่ะ หลังทรงพิจารณาเรื่องไขน้ำหน้าแล้ง”

เห็นจะพอพระทัยเพียงแค่นี้

“เราจะไปฟังด้วย ขอบใจ”

ดวงตาดุเงยจากการถวายบังคม ฉายแสงวอบแวบเมื่อเหลือบขึ้นดูพระพักตร์พระธิดาก่อนออกจากห้องเฝ้าฯ มิได้เห็นอะไรนอกจากพระอาการประทับนิ่ง

เมื่อผู้มาเฝ้าฯทั้งหมดพ้นออกไปแล้ว มีเสียงคล้ายทอดถอนใจติดๆ กัน

“ร้องไห้ทำไมนะ ยังไม่ตายเสียหน่อย”

“ทำไมพระทัยแข็งนักเพคะ” เสียงอ่อนๆ จากเบื้องขวากราบทูล

“เราไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนี้… เมาเสียเท่าไหร่ ยังจะมีแรงหนีอีก”

พระสุรเสียงแม้เจืออารมณ์หงุดหงิดไม่สมพระทัย แต่ก็มิได้แข็งกร้าว

นางข้าหลวงยังสะอึกสะอื้น ขณะที่พระพี่เลี้ยงหน้าเสีย

“ก็เป็นไปแล้ว จะให้เราร้องไห้รึยังไงล่ะ”

พระพี่เลี้ยงธันยาทูลเสียงเครือ

“ที่น่าห่วงน่ะ ทูลกระหม่อมนะเพคะ”

ทอดพระเนตรพระพี่เลี้ยง

“ขอให้ให้การให้ถูกต้องเถอะ”

คราวนี้ข้าหลวงอิสรีปล่อยโฮสะอึกสะอื้น ทรงลุกเสด็จขึ้นเสีย ไม่ต้องการทรงฟัง





************************************************

๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๓





Create Date : 12 กรกฎาคม 2549
Last Update : 30 เมษายน 2553 20:57:08 น. 0 comments
Counter : 1163 Pageviews.

ศรีสุรางค์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]












visit me at:
Srisurang's book recommendations, liked quotes, book clubs, book trivia, book lists (read shelf)




ประวัติผลงาน





สงวนลิขสิทธิ์

การนำส่วนหนึ่งส่วนใด หรือทั้งหมดของงานเขียนในเว็บนี้ ไปเผยแพร่ ดัดแปลง เสนอขาย โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร ถือเป็นความผิดตามกฎหมาย
Srisurang's bookshelf: read

หัวใจที่ถูกจอง รักนี้ (ไม่) มีสตรอว์เบอร์รี รวมมิตรแต้พานิช มายานาง เจ้าดวงใจ คนในผ้าเหลือง A Man in Saffron Robes

More of Srisurang's books »
Book recommendations, book reviews, quotes, book clubs, book trivia, book lists

My Goodreads bookshelf

Dream Lake
Rose
เหยื่ออธรรม
ประมูลหัวใจ
Something About You
ปทมาศวรรย์
อานาปานสติ วิถีแห่งความสุข
Celebrity in Death
The Madness of Lord Ian Mackenzie
รักหลงฤดู
สามชาติสามภพ ป่าท้อสิบหลี่ เล่ม 1
จิตสดใสแม้กายพิการ
Love me, please...เพียงรักฝากใจ
พระสูตร ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ภาค๑ และอรรถกถา Tipitaka The Pali Canon (Thai Translation) Book 15
Born in Sin
Dark Desire
ตุ๊กตา
นาคราช
ทวิภพ
Red River, Vol. 8


Srisurang's favorite books »
Friends' blogs
[Add ศรีสุรางค์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.