|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
วินธัย ๗ คนสำคัญ
๗. คนสำคัญ
“จะยากอะไรนักหนา เราไม่ได้ให้พวกเจ้าเผากระเบื้องฝังโลหะเงินใหม่เสียหน่อย แค่ใช้ผ้าไหมปักเส้นเงินสลับมุกตามลายที่สั่งมาบุผนัง มันควรจะเสร็จตั้งหลายเพลามาแล้ว”
สุรเสียงใสทรงบ่นอย่างหงุดหงิดปนอ่อนใจ ผู้เฝ้าอันเป็นช่างแต่งพระตำหนักหกคนหมอบเงียบกริบ แลดูตากันไปมา จนในที่สุดนายหัวหน้ารวบรวมความกล้าขึ้นกราบทูล
“งานปักผ้าพวกเกล้าฯ ไม่ถนัด ต้องไปว่าช่างพระภูษา เขาก็..เอ้อ…ติดงานพระองค์สุภัค..พะยะค่ะ”
ขมวดพระขนงฉับทันควันประทับยืน แต่ในที่สุด คำตรัสบริภาษซึ่งทุกผู้คาดว่าจะได้ยินก็ไม่หลุดล่วงพระโอษฐ์อ่อนบางมาแม้แต่น้อย
“เสร็จงานพี่สุภัคแล้วเร่งให้เราเร็วที่สุดก็แล้วกัน ไปได้”
เมื่อหมดเรื่องช่างทั้งหลายพรูกันออกจากห้องเฝ้าฯ ชั่วคราวไปแล้วอย่างรวดเร็วรู้พระทัย หนึ่งนางพระพี่เลี้ยงที่หมอบเคียงพระบาทก็ลุกขึ้นนั่งทูล
“ทรงห่วงแต่ห้องทรงฟ้าหรือเพคะ ฉลองพระองค์ใหม่ยังไม่ได้ประทานแบบเลย”
เสด็จดำเนินหนักๆ วนเวียน
“ขี้เกียจคิด ! ชุดอะไรๆ ก็ได้ทั้งนั้นแหละ ตอนนี้ยังกับจะมีคนทำให้เรา เขาตัดเสื้อผ้าใหม่กันไว้ให้ใช้ได้ไปทั้งปีหน้าหรือยังไงกันนะ”
คราวนี้นางข้าหลวงสาวรุ่นผู้มีผมดำยาวรวบขมวดมวยไว้ที่ท้ายทอยกราบทูลบ้าง
“พระองค์สุภัคฯ ทรงเข้าพิธีหมั้นทั้งทีนะเพคะ”
ใบหน้าของเธอแม้จะเรียบๆ แต่ดวงตารูปเมล็ดแตงทั้งคู่เปล่งแววสดใส
“แล้วยังไง เราไม่ใช่เจ้าสาว จะแต่งแง่แต่งงามไปอวดใคร”
นางข้าหลวงอิสรีกลอกตาไปที่ประตู
“อุ๊ย อย่าตรัสเช่นนี้สิเพคะ ถ้าพระนมอัสสิริมาถึงห้องข้างหน้าแล้วละก็”
จะได้รีบกลับเร็วๆ !” ตรัสแล้วหมุนพระองค์กลับมาประทับพระเก้าอี้ที่เดิม มีพระดำรัสกับนางพระพี่เลี้ยงอีกผู้หนึ่งซึ่งมีวัยสูงกว่า ไว้ผมยาวงอนปลายแค่คอ ประดับดอกมะลิที่เหนือจอนหูข้างหนึ่งว่า
“ธันยา จัดการให้เราเหมือนเคยนะ”
พระเนตรทั้งสองซึ่งเคยเปล่งแสงเจิดจรัสดุจดาวหม่นแสงลง ทอดพระเนตรเหม่อมองดอกชวนชมที่ริมพระบัญชรรำพึง
“พี่สุภัคจะแต่งไปกับสามัญชนแล้ว เวลาผ่านไปเร็วจริง”
“ยังไม่ทรงกำหนดการอภิเษกนี่เพคะ” พระพี่เลี้ยงทูล
“ใช่ พี่หญิงคงจะรอฟังความเห็นใครๆ ถึงเขยคนใหม่ก่อน” ทรงหมายถึงประชาชนทั่วไปที่จะได้ทราบ
“แล้วยังมีระยะเวลาในการค่อยปรับตัวกันทั้งสองฝ่ายใน ‘ฐานะใหม่’”
“คุณปารเมศ กิริยาดีไม่มีที่ติ ท่านสุเทพผู้บิดาก็สนองพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าฯ ในการต่างเมืองได้ถูกพระทัยยิ่งอยู่นะเพคะ ท่านมารดาก็นับว่ามีเชื้อสาย”
พระพี่เลี้ยงที่ยังไม่มีอาวุโสนักนามธันยานี้ เป็นบุตรีอดีตมหาอำมาตย์ใหญ่ผู้หนึ่งซึ่งหาชีวิตไม่แล้ว ได้รับการถ่ายทอดวิชาทางการปกครองและศิลปะมามากอยู่ ทั้งยังตามพระทัยเป็นที่ยิ่ง จึงเป็นที่รักถูกพระอัธยาศัยพระราชธิดานัก
“ถึงอย่างไรก็เป็นคนธรรมดา…”
“งานมงคลใหญ่เห็นจะอีกไม่เกินปี…”
“เห็นว่าจะทรงให้ปลูกตำหนักใหม่ทางเหนือเมืองนะเพคะ”
“จะคิดเรื่องนี้กันทำไม” ทรงตัดบท “อีกตั้งนาน คิดถึงการเฉพาะหน้านี้ดีกว่า”
นางข้าหลวงอิสรีลุกไปไล่มหาดเล็กเวรประตูไปแล้วหับพระทวาร ลุกลนเข้ามาทูล
“จะทรง…อีกหรือเพคะ”
“ใช่ซิ” ทรงรับสุรเสียงสูง
“คนที่..ทรงหมายไว้” พระพี่เลี้ยงทูลค่อยๆ “จะใช้ได้ดังพระประสงค์หรือเพคะ เกล้าหม่อมฉันเกรงว่าจะ”
“คนนี้แหละเหมาะ” ทรงหมายมั่น รอยสรวลปรากฏที่ริมพระโอษฐ์
“ปากกล้านัก แม้แต่เราก็ไม่รู้จักกลัว การนี้ดีแน่!”
เสียงเกราะไม้เล็กนอกพระทวารดังเบาๆ
“คุณนมมาถึงแล้วเพคะ”
เจ้าฟ้ายุพเรศเกษราต้องทรงต้อนรับอดีตพระนม ผู้ซึ่งทูลลาจากราชการเมื่อทูลกระหม่อมเจริญพระชนม์จนเหลือที่จะทนรับสนองพระบัญชาไหว เข้าไปรับใช้ข้างใน สอนนางข้าหลวงสาวๆ ที่เรียบร้อยกว่าได้เกือบสี่ปีแล้ว เข้ามากราบบังคมทูลพระกรุณารับพระราชทานพระพรในวันครบอายุสี่รอบของตน
พระราชกุมารียามที่ตั้งพระทัยปฏิบัติภารกิจในราชพิธีก็ทรงสงบเสงี่ยมงดงาม ถูกต้องตามขัตติยะประเพณีทุกประการได้โดยมิมีบกพร่อง ทั้งที่เมื่อพระนมคล้อยหลังไปแล้วได้ทรงกระซิบขึ้นกับพระพี่เลี้ยงว่า
“ต่อนี้สิบสองปีจะเข้ามาที สงสาร… ไม่อยากให้เป็นลมเป็นแล้ง เปลืองคนหามกลับ !”
พระพี่เลี้ยงและนางข้าหลวงได้แต่กัดริมฝีปากซ่อนยิ้ม”
จริยวัตรตามพระอัธยาศัยพระเจ้าลูกเธอฯ นั้น ยามเช้าตรู่ หากไม่เสด็จไหนก็ไปรดทรงหนังสือ จนสายแสงสุริยาจัดจึงโปรดรายการเข้าเฝ้าฯ ด้วยเรื่องทั้งมวล
ห้องทิพย์ดุริยางค์ซึ่งจัดให้เป็น ‘ห้องรับแขก’ ชั่วคราวนี้อยู่ชั้นล่างของดาริกานันทสถาน เยื้องมาทางหลังพระตำหนัก ติดกับห้องจัดเลี้ยงใหญ่เดิมซึ่งกำลังให้ช่างดัดแปลงเป็นท้องพระโรงใหม่ ใช้ออกว่าราชการให้ผู้ที่มีกิจทั้งหลายเข้าเฝ้าทูลละอองฯ อันจักได้นามใหม่ว่าห้องทรงฟ้าซึ่งอยู่ด้านหน้าพระตำหนัก
ภายในห้องขนาดย่อมนี้มีประตูใหญ่เปิดถึงห้องทรงฟ้าด้านหนึ่ง อีกด้านเปิดสู่ระเบียงทางเดิน ด้านหลังติดกับห้องเตรียมเครื่อง และด้านสุดท้ายมีระเบียงภายในรูปจันทร์ครึ่งเสี้ยวโค้งออกไปยังสวนรุกขชาติข้างพระตำหนัก หน้าต่างกระจกบานยาวสูงประกอบโดยรอบอาณาบริเวณเล็กๆ นี้เปิดโล่งรับสายลมอ่อนซึ่งโชยกลิ่นหมู่ดอกไม้มาจางๆ
ราชกุมารีประทับคอยผู้มาเฝ้าทีละคณะอย่างพระทัยเย็น ปรกติ เมื่อมีผู้มาเฝ้าจากภายนอกวังหลวงหรือเสนาบดีผู้มียศ จะฉลองพระองค์ด้วยพัสตราภรณ์และอัญมณีมีค่าสมพระยศ เว้นเมื่อมีแต่ผู้เคยคุ้นพระอัธยาศัยจึงจะฉลองพระองค์อย่างง่ายๆ ด้วยชุดยาวผ้าเนื้อหนาสีเรียบ ไม่ประดับรัตนะ หรือฉลองพระองค์พิสดารอย่างอื่น หากมีพระประสงค์ผิดไปจากปรกติ
สายนี้ทรงพระภูษาสีน้ำเงินเข้ม ประดับด้วยพลอยไพลินสมพระเกียรติ สีตัดกันกับห้องเฝ้าฯ อันโปรดให้จัดสีชมพูของยามเย็นเป็นลวดลายผนังและพรม พระวิสูตรไหมสีขาวแขวนขอเกี่ยวด้วยเกลียวเงิน
เสียงเคาะเกราะไม้นอกพระทวารดังขึ้นอีกครั้ง สองนางข้าหลวงหมอบลงใกล้พระบาท
ท่านอนิรุทธ์แม่ทัพหน้า เป็นที่เสนาบดีหนุ่มอันเป็นกำลังสำคัญของแผ่นดิน รองจากแม่ทัพหลวงโกวิท เพราะที่มหาเสนาบดีชุมพล หรืออัครมหาฯ อัสนีอดีตแม่ทัพหลวงนั้นล้วนอาวุโสเกินควรแก่การออกรบแล้วทั้งสิ้น ได้ทำหน้าที่ด้านให้คำปรึกษาเรื่องต่างๆ แก่องค์มหาราช ซึ่งเสนาบดีอันลดบทบาทลงด้วยวัยวุฒิ เหลือเพียงให้คำปรึกษาราชการด้วยวิจารณปัญญา ไม่ต้องออกแรงในสมรภูมิอีกแล้ว มักเรียกกันว่า มหาอำมาตย์ แม้จะยังมีตำแหน่งเสนาบดีอยู่
และเช่นเดียวกัน แม้มหาอำมาตย์บางผู้ ซึ่งเกษียณแล้ว ไม่ได้อยู่ราชการแม้ให้คำปรึกษาแก่องค์กษัตริย์ แต่มหาชนก็ยังอาจเรียกกันด้วยตำแหน่งในอดีตของท่าน ว่าท่านเสนาบดีได้เช่นกัน
ว่ากันว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตได้ถวายตัวถวายวิญญาณต่อพระราชวงศ์แล้ว ถ้าจะได้หยุดพักบ้างเพราะความชรา แต่ก็มิได้ขาดจากราชสำนักเลยตลอดไป
รูปร่างล่ำสัน ออกจะคล้ำนิดๆ ผมหยักศกสีดำสนิท วัย ๔๓ ปี มีดวงตาแจ่มใสเจือแววอารี ติดตามด้วยชายสูงอายุผมขาว ไว้หนวดไว้เคราสวมเสื้อผ้าเก่าสีมอๆ ถวายบังคมเบื้องบาท
“เกล้ากระหม่อมอนิรุทธ์ ขอพระราชทานพระกรุณา เชิญท่านครูวามิศมาเฝ้าทูลละอองพระบาทพระเจ้าค่ะ” ทรงดุษณียภาพรับการกราบทูล
“ทราบเรื่องที่เราจะขอแล้ว ?”
“ทราบด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ”
“การโอนย้ายคงไม่มีปัญหากระมัง ?”
ทรงลูบหนังสือเล่มบางปกหนังอ่อนสีน้ำตาลบนโต๊ะข้างพระที่นั่งเล่นระหว่างที่มีพระดำรัส
“หากต้องพระประสงค์ เกล้าฯ จักจัดการได้ในครึ่งวันพระเจ้าค่ะ”
“แต่ ?”
“ท่านครูผู้ปกครองเลี้ยงดู ใคร่ถวายความเห็นประกอบพระวินิจฉัยว่า ยังไม่เหมาะควรพระเจ้าค่ะ”
“ว่ามา”
รัฐบุรุษอาวุโส มองหนังสือเล่มเล็กในพระหัตถ์ แล้วกราบทูลว่า
“ยังฝึกฝนไม่ครบถ้วนกระบวนความ จะด่วนให้เข้ามารับใช้ใกล้ชิดเห็นไม่เหมาะพระเจ้าค่ะ”
ขมวดพระขนงนิดๆ ผู้ใกล้ชิดก็รู้แล้วว่ากริ้ว แต่ ณ บางขณะ กริ้วสักเท่าใดก็ไม่ปึงปัง แย้มพระสรวล ตรัสช้าๆ
“พูดสวยๆ พูดเท่าไรก็ได้ ข้ารับใช้นายทหารในสังกัดของเรา จะหาสักคนที่ได้รับฝึกมาสักครึ่งของคนของท่าน ยังเกรงจะหาไม่ได้ ท่านครู ท่านตั้งใจมาปรามาสเราถึงตำหนักเชียวหรือ”
“หามิได้พระเจ้าค่ะ” ก่อนที่ผู้ชราจะทูลจบ มีพระเสาวนีย์ต่อว่า
“อีกประการหนึ่ง ให้ฝึกจนแก่แล้ว บางคนก็ยังหาความจงรักภักดีที่เป็นข้อสำคัญไม่ได้ ท่านครูเห็นอย่างไร เรื่อง ‘การในวัง’ ที่เหลือ ให้เราฝึกต่อให้เห็นจะดี ?”
ทั้งที่พระสุรเสียงใสราบเรียบ พักตร์งามประดับด้วยรอยสรวลอ่อนๆ ราวทรงพระเมตตาเป็นล้นพ้น หากอุณหภูมิในห้องราวกับสลับเอาฤดูหนาวและร้อนเข้ามาคั่นไว้ระหว่างวินาที
ท่านครูกราบบังคมทูลบ้าง
“ธรรมดาไม่ต้องฝึกสิ่งไรเท่ามรรยาทและเขียนอ่าน ก็เข้ามารับรองเบื้องพระยุคลบาทได้อยู่พะย่ะค่ะ แต่บางคนฝึกมามากแล้วกลับร้างไว้ในที่สำคัญ คิดกันแล้วเป็นคุณก็คุณมาก หากเกิดเป็นโทษก็เป็นโทษหนักอยู่นะพระเจ้าค่ะ”
“ดูจากประวัติที่ผ่านมา” ทรงเคาะหนังสือนั้นด้วยพระดรรชนี
“จะขาดก็แต่ ประสบการณ์จริงในการศึก กับเรื่องราชสำนักเท่านั้นมิใช่รึ ถ้ายังจะขาดเรื่องศิลปะการร้องรำเล่นดนตรี ร้อยมาลา หรือว่างานช่างหลวง เรารับสอนให้ได้ !”
ฉับพลันรอยพระสำรวลก็เลือนหาย
“ท่านครู… หากท่านมิได้รับราชการสนองพระบิดาและราชวงศ์อย่างสุจริตมาเกือบตลอดอายุขัยเช่นนี้แล้วเราคงต้องคิดสงสัย ว่าท่านจะฝึกคนมารับใช้แทนตัวหรือจะฝึกคนมาชิงราชสมบัติเรากันแน่ ?!? …ดังนั้น เพื่อความวางใจ เราจำต้อง ‘เก็บ’ นายคนนี้ไว้ใกล้หูใกล้ตาสักหน่อย ที่จะปล่อยไปตระเวนทั่วแผ่นดินอย่างในประวัตินายคนนี้เมื่อหลายปีก่อนเห็นจะไม่ได้แล้ว”
ผู้อาวุโสกราบทูลขึ้นว่า
“จะฝึกคนเป็นครู ก็ย่อมต้องให้รู้ทุกเรื่อง และวามิศมิได้ฝึกคนแทนตัวมาให้มั่วสุ่มสอนพระราชวงศ์ วัยวุฒิ คุณวุฒิและสติปัญญา ย่อมต้องพร้อมบริบูรณ์สมควรเป็นที่เคารพแม้แต่กับพระบรมวงศ์ขององค์สมมติเทพ !”
พระพักตร์ขาวนวลจนตลอดพระศอ ซับพระโลหิตจนปรากฏสีชมพูก่ำ พระดำรัสแผ่วต่ำนั้นสั่นน้อยๆ
“เราเข้าใจแล้ว ว่าท่านครูเป็นผู้ที่เก่งฉกาจ สอนศิษย์มาได้ปากกล้าเช่นกันไม่มีผิด… ถึงอย่างไรเราก็ยังยืนยันเจตนาเดิม” ผินพระพักตร์มายังเสนาบดีแม่ทัพ
“ท่านอนิรุทธ์ เมื่อท่านเป็นผู้สามารถและรับผิดชอบโดยตรง จงจัดการให้เราให้สำเร็จเรียบร้อยในบ่ายวันนี้”
ท่านมหาราชครูยังทูลว่า
“ธรรมดาของสิ่งไรต้องพระประสงค์ ข้าทูลละอองฯ ย่อมยินดีถวาย แต่ของสิ่งไรจำต้องทูลทัดทานแล้ว ควรทรงพินิจให้ยิ่งกว่าเสียงหมู่สกุณาที่ควรรำคาญพระทัยนะพระเจ้าค่ะ”
“ขอขอบใจในความห่วงใยนะท่านครู เมื่อใดที่เราเห็นโทษในคนของท่านแล้ว จะส่งตัวกลับไปให้ฝึกใหม่จนครบถ้วนก็แล้วกัน !!”
ประทับยืนแสดงสิ้นสุดการเข้าเฝ้าฯ
ทุกผู้ถวายคำนับพร้อมเพรียงส่งเสด็จ ซึ่งทรงดำเนินลิ่วลับพระทวารออกไปจนนางข้าหลวงต้องวิ่งตาม
“สำคัญนัก.. คิดว่าสำคัญแค่ไหน”
ตรัสพลางดำเนินพลางผ่านระเบียงทางเดิน ทรงพระพิโรธมากจริง
“ตาแก่นี่ คิดว่าตัวเองเป็นใคร”
ลุพระทวารห้องพระสำราญชั้นบนก็ทรงขว้างหนังสือเล่มเล็กในพระหัตถ์ลงบนโต๊ะอักษร
“หมูเขาจะหาม ดันเอาคานเข้ามาสอด !”
พระพี่เลี้ยงข้าหลวงลนลานตามเข้ามาก็ทรงขับ
“ไปให้พ้น..!!” แล้วเปลี่ยนพระทัย
“ธันยา ! … ลงไปดูแลให้ดี ที่อยู่ที่กินในทิมริมสวน ให้สมพระเกียรติท่านเสนาบดี ให้เป็นคุณชายว่างงานไว้สักเจ็ดวันก่อนเถอะ ! …… ไปจัดการซิ !!”
พระพี่เลี้ยงรีบรุดออกไปแล้ว กระแทกพระองค์ลงกับพระที่นั่ง ยังมิคลายกริ้ว
“คอยดูนะ !! พ่อคนสำคัญ !”
มิได้ทรงทราบว่า ท่านมหาราชครูวามิศเข้ามาด้วยวัตถุประสงค์สองประการ…
หากทัดทานเป็นผลสำเร็จ ก็นับว่าบรรลุวัตถุประสงค์ประการที่ ๑
หากทัดทานไม่เป็นผล ก็บรรลุวัตถุประสงค์ประการที่ ๒ ….
ท่านครูคะเนแล้วว่า คราวนี้คงสมตามความคิดที่สองเป็นแม่นมั่น
การคะเนของผู้อาวุโสมักไม่ค่อยพลาดเลย….
**********************************************
อำมาตย์ – ที่ปรึกษาของพระราชา เสนาบดี – แม่ทัพ ตำแหน่งเจ้ากระทรวงสมัยก่อน ปรามาส – ดูหมิ่น ดูถูก
Create Date : 12 กรกฎาคม 2549 |
Last Update : 30 เมษายน 2553 20:56:53 น. |
|
0 comments
|
Counter : 720 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|