|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
:::Excite:::แกร่ง:::๔ พรรษพิรุณ:::
๔ พรรษพิรุณ
โอรสอสูรแต่งกายอย่างพิถีพิถัน กระชับภูษาให้รัดกุม แล้วรับเสื้อจากมือยักษ์รับใช้มาถือไว้ ก่อนไล่ให้มันล่าถอยออกไปจากห้องส่วนตน
ร่างใหญ่โตสีครามยืนอยู่หน้ากระจกบานยาว แลเห็นเงาร่างตนอันมีผิวเนียนแน่นบนกายงามสมชายชาตรี ไม่มีร่องรอยใดเหลืออยู่แล้ว
หลายสิบปีก่อน เมื่อเขาพยายามจะครอบครองนางอัปสรของพรรษนั้น ได้รับบทเรียนแสบสันที่สุด ทุกครั้งที่ฝ่าฝืนแตะต้องกายนาง ขณะแรกจะรู้สึกร้อนเหมือนถูกไฟลวก แม้จะไม่มีรอยอะไร แต่หลังจากนั้นไม่นานทุกส่วนที่ได้แตะเนื้อนวลจะไหม้พองเป็นรอยแดง ก่อนที่จะกลายเป็นแผลดำน่าเกลียดติดตนไปอีกนานเป็นปี
เสขรรู้ว่ามันเป็นอาคมของพรรษที่ป้องกันนางที่รัก ครั้งแรกที่ได้ตัวนางมา หลังจากพญาครุฑเพิ่งตกหน้าผาไปนั้น เขาเข้าใกล้ประตูห้องที่นางอยู่แทบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เหมือนกับมีกองไฟลุกโชนสุมอยู่รอบๆ ไม่มีผู้ใดรู้สึกถึงความร้อนนั้นเลยนอกจากเขาเพียงผู้เดียว เขาจึงได้แต่ชวนพูดคุยอยู่ห่างๆ
ต่อมาฤทธิ์ของมันคล้ายจะค่อยเสื่อมลง หลังจากที่พรรษตายไปนานพอสมควรแล้ว เขาทดลองใช้มนต์คุ้มกันตน หรือแก้ไขต่างๆ จนกระทั่งเริ่มเข้าใกล้ชิดนางได้ หากเมื่อแตะนางครั้งไร ก็แสบร้อนผิวไหม้พองกลับมา น่าโมโหนัก เจ้าของมนต์ตายไปตั้งนานแล้ว ไยจึงยังมีผลตกค้างมานานปานนี้
ครั้งสุดท้ายเขาฝืนทนร้อนปล้ำกอดได้นิดเดียว แต่รู้สึกร้อนมากที่สุดราวกับถูกย่างสด เขาทนได้ไม่นานก็ผละมา เจ็บใจเหมือนกับถูกพรรษท้าทายซึ่งหน้า
อ้ายครุฑที่ตายไปแล้วยังสามารถชนะเขาอีก ในใจนั้นปวดแปลบด้วยความอิจฉา แผลไหม้ที่ติดกายมาอีกนานหลายปีกว่าจะจางนั้นยิ่งเหมือนกับถูกมันตบหน้าทุกคราที่เห็นเงาตนเอง อับอายขายหน้าสมุนยักษ์รับใช้ที่ได้รู้อีกด้วย
เหตุที่เขาอยากได้นางส่วนหนึ่งนั้น เพราะความงาม แล้วมาประทับใจจิตใจมั่นคง หากอีกส่วนหนึ่งเพราะอยากจะแข่งฤทธิ์เอาชนะสหายต่างเผ่าพันธุ์ที่ผยองเหนือใคร จนเขาทนไม่ได้ ฆ่ามันแล้วก็ยังไม่สาแก่ใจ เมื่อไรที่ว่างก็เฝ้าคิดว่าทำอย่างไรจะทำลายเงาของอ้ายพรรษจากลิลฎาได้
ค่ำนี้เขาจะลองฤทธิ์ดูอีกหน ป่านนี้มนต์ใดๆ ของเจ้าชายครุฑตนนั้นคงจะหมดสิ้นไปแล้ว พอได้นางเป็นเมีย ใจห่วงคะนึงหาผัวเก่าของนางก็คงจะจางลงไปในที่สุด ลิลฎาคงจะกลับใจเลิกใฝ่รักมันสักที หันมาจงรักภักดีกับเขาแทน การได้สตรีใจแข็งรักมั่นอย่างนางมาสยบแทบเท้า นับเป็นรางวัลแห่งความพยายามอันล้ำเลิศ เป็นการล่าที่คุ้มค่าที่สุด
ลิลฎาเอาผ้าห่อโถแก้วใบน้อยแล้วซ่อนไว้ในหีบเสื้อผ้าอย่างมิดชิด ในนั้นมีสิ่งมีค่าทุกชิ้นของหล่อนอยู่ มิว่าจะเป็นเครื่องประดับกายที่พรรษให้ไว้ แหวนต่างหูที่ติดตนมา และรวมถึงสิ่งสำคัญล้ำค่าดั่งหัวใจทั้งดวงของตนด้วย หญิงสาวซ่อนเอาไว้อย่างดีเสมอเมื่อรู้ว่าอสูรตนนั้นจะมาหา ไม่ต้องการให้มันได้เห็นแล้วเกิดคิดร้าย ทำลายหรือยื้อแย่งไป
หญิงสาวปิดหีบ หัวใจระส่ำระสายสั่นรัว มือไม้เย็นเฉียบ รู้สึกไม่สบายจนหายใจหายคอแทบไม่ออก หันมาจัดผ้าพันกายให้รัดกุม แล้วสวมเสื้อแขนยาวทับอีกสองชั้น นุ่งผ้าแบบผู้ชายหลายๆ ทบ หยิบผ้าผืนยาวออกจากตู้ นึกดูว่าถ้ามีโอกาสจะเอาผ้ารัดคอมันเสียให้ตาย
หล่อนผวาเมื่อเห็นเงาร่างสูงใหญ่เดินผ่านอุทยานมาจนถึงหน้าเรือน
เสขรตกตะลึง ตั้งแต่เห็นเรือนไม้หลังน้อยในระยะไกล ยิ่งเดินเข้ามาใกล้ก็ต้องขบกรามกำหมัดแน่นด้วยความแค้น
เรือนทั้งหลังราวกับถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเปลวเพลิงขนาดใหญ่ ใจกลางสว่างเรืองสีเหลืองทอง รอบออกมาเป็นรัศมีสีแดง เหมือนกับรังสีรอบกายอ้ายพญาครุฑนั้น เวลาที่มันออกล่าเหยื่อ
เป็นไปได้อย่างไรกัน! ในเมื่อไฟนี่ดับหายไปไม่เหลือแล้วเมื่อหลายสิบปีก่อน แล้วจู่ๆ ทำไมถึงกลับมาได้ โอรสยักษ์หยุดยืนห่างจากหน้าเรือนมาสองวา ไอร้อนผ่าวยังแผ่มาถึง แทบลวกผิว
เหตุไรพลังเวทที่คุ้มกายนางกลับกล้าแข็งเพิ่มขึ้น
เกือบเหมือนคราวนั้น ก่อนที่เขาจะคิดฆ่าพรรษ เคยลอบไปหานางที่วิมานสัตตบุษย์กลางปทุมวารี คิดจะลักตัวนางมาซ่อนไว้โดยรัชทายาทเวนไตยไม่รู้ แต่เขาเข้าใกล้วิมานบัวของหล่อนไม่ได้เลย มีกองไฟเช่นนี้ล้อมอยู่โดยรอบ จึงได้แต่ลอยตัวดูอยู่ด้านนอก พยายามใช้มนต์ฤทธิ์เพื่อเข้าชิด แต่ทำไม่ได้
เมื่อเห็นกองเพลิงเช่นนี้คุ้มครองนางอีกครั้ง เสขรจึงสงสัยในสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
หรือว่าพรรษจะยังไม่ตาย
ใต้ทะเลสีตะมรณะ ดวงตาคู่หนึ่งลืมขึ้น ดุจดวงไฟสีส้มสองดวงแพรวประกายท่ามกลางความมืดมิด การขยับเคลื่อนไหวเล็กน้อยของร่างกายทำให้ตะกอนเลนฟุ้งขึ้น รูปรอยรางของร่างบุรุษกำยำยังคงไม่แปรเปลี่ยนไปจากเดิม รอบกายเงียบสนิทและมืดมนจนไม่อาจรู้ทิวาหรือราตรี มิรู้แน่ว่าคืนวันล่วงผ่านมานานปานใดแล้ว
พรรษคล้ายตกอยู่ในห้วงฝันอันยาวนานชั่วกัลป์ ฝันถึงการต่อสู้ การทำร้ายหักหลัง บาดแผลเจ็บปวด ความทรมานอันไม่สิ้นสุด ท่ามกลางความมืดดำดุจติดอยู่ระหว่างโลกแห่งวิญญาณ โอรสสุบรรณไม่รู้ว่าตนตายแล้วหรือยังไม่ตาย ดวงจิตเร่ร่อนไปในความมืดมิดนั้น
มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งซึ่งเขาคิดว่าตนได้ตายไปแล้ว ได้เห็นไฟโลกันตร์แผดเผาบรรดาสัตว์นรก เห็นพระบิดรมารดาร่ำไห้ ฝูงเวนไตยบินเหนือทะเลมรณะหาทางจะนำศพเขาขึ้นมาแต่หมดหวัง
คล้ายกับวิญญาณของเขาล่องลอยหลุดจากร่างไปแล้วหลายราตรีเนิ่นนาน แต่แล้ววิญญาณก็กลับมาสู่ความมืดมิดในร่างจมเลนใต้ทะเลอีกครั้ง ให้เขาได้สัมผัสความร้อนปานตกอยู่ในกระทะทองแดงจากเกาทัณฑ์ ล้อมรอบด้วยความหนาวเย็นยะเยือกของน้ำทะเล
กลางความทรมานนั่นเขาก็ยังฝัน...ฝันถึงลิลฎา
นางฟ้าที่ได้พบกลางบึงบัว ผุดผาดผ่องใส นัยน์ตาเป็นประกายระยับหวานปานหยาดน้ำค้าง เส้นผมดุจคลื่นไหมแห่งรัตติกาล ริมฝีปากดุจกลีบผกาสีชาดเฉิดฉัน
เขามองดวงตาคู่นั้นแล้ว ราวกับตกลงไปในห้วงน้ำลึก จมดิ่งอย่างรวดเร็ว และหาทางกลับสู่ผิวน้ำไม่ได้
พรรษไม่เคยเชื่อว่าตนจะมีธรรมชาติคล้ายครุฑหรือสกุลปักษาทั่วไป หากไม่รักก็แล้วไป หากรักแล้วก็ปักใจ ไม่อาจถ่ายถอนตนจนตายจากกัน
ความรักโง่งมไร้เหตุผล หัวใจไม่มีตา ทั้งยังไร้สมอง
มันก็แค่เกิดขึ้น ถูกผูกมัดร้อยรัดโดยเยื่อใยที่มองไม่เห็น แน่นเข้าทุกที ทั้งที่ลึกๆ ในใจพยายามต่อต้านสักเท่าใด
ทำไมจึงต้องเป็นอัปสรานารีนางนี้ เขาก็ไม่รู้
เขาเพียงแค่ ไม่อาจจากไป ไม่อาจไม่คิดถึง ไม่อาจไม่โหยหา และไม่อาจคิดอะไรสมเหตุผลได้เลยเวลาอยู่ใกล้ชิดหล่อน
รู้ว่าฐานะไม่เหมาะสม รู้ว่าไม่ควรเผลอใจ แต่ทำไม่ได้ แม้กระทั่งสหายเสขรก็รู้ว่ากำเนิดและฐานะของนางไม่คู่ควรกับสุบรรณอันเป็นรัชทายาทราชบัลลังก์เช่นเขา อสูรนั้นจึงเคยเปรยทีเล่นทีจริง เลียบเคียงว่า
สตรีเช่นนี้ดุจเครื่องบันเทิงเริงรมย์ชั่วคราว ท่านหน่ายชมแล้วก็ยกให้เพื่อนผู้อื่นภิรมย์ต่อไป หาใหม่ได้ไม่ยากใช่หรือไม่
หากเป็นการพูดถึงสตรีอื่นพรรษย่อมไม่แยแสสนใจ แต่ในครั้งนั้น พลันที่ได้ยินความโกรธก็ปะทุขึ้นอย่างรุนแรง จนเห็นแสงสีแดงในดวงตา
อย่ากล้าเอ่ยเช่นนี้อีก ถ้าเจ้ายังอยากเป็นสหายกันสืบไป!
น้อยครั้งที่เขาจะพูดจาไม่ไว้หน้าด้วยถือฐานะตนเหนือกว่ากับเสขรหรือสหายอื่น แม้ตามศักดิ์แล้ว เขาผู้เป็นลูกกษัตริย์ย่อมเหนือกว่าเสขรผู้เป็นลูกพระอนุชา แม้ว่าเสขรจะอายุมากกว่าเขาเกือบพันปี เสขรรีบกล่าวแก้และขอลุแก่โทษ ขออภัย ข้ามิคิดว่านางผู้นั้นสำคัญกับท่านถึงปานนี้ นัยน์ตาของอสูรนั้นก็ลุกวาววูบหนึ่งด้วยความไม่พอใจ แต่แล้วแววโกรธก็หายไปอย่างรวดเร็ว
เขาควรจะเอะใจตั้งแต่ตอนนั้น ยามเมื่อเห็นความไม่พอใจเช่นนี้
หลายครั้งที่เขาชนะมันในการล่าเหยื่อ เสขรก็โมโหโกรธาไม่พอใจ หากมักดับอารมณ์โกรธนั้นได้ในเวลาไม่นาน ยอมรับเป็นผู้พ่ายแพ้อย่างใจกว้าง ยิ้มแย้มแสดงความยินดีแก่เขา
บัดนี้มาย้อนนึกดู เหตุการณ์ที่พรรษเอาชนะเหนือฝีมืออสูรตนนั้นหลายหน ต่อหน้าไพร่พลทหารยักษ์ของมัน ที่บางครั้งก็พลอยหงุดหงิดขัดเคืองแทนเจ้านาย แต่ต้องยอมรับว่าพ่ายแล้วฝืนยินดีด้วย หากบางครั้งเหล่าพลยักษ์ก็โห่ฮาอย่างตื่นเต้นดีใจ แถมขบขันเจ้านายที่พลาดพลั้ง คงจะทำให้เสขรเจ็บใจไม่น้อย อสูรนั้นปิดบังความกรุ่นโกรธไว้ สะสมเป็นความแค้นใจ อิจฉาและอาฆาตมาดร้าย พยายามเอาชนะทุกทางแต่ไม่สมใจจึงใช้วิธีต่ำทราม
เพราะต่างเป็นวงศ์กษัตริย์ด้วยกัน พรรษจึงเชื่อมั่นนับถือในเกียรติและน้ำใจที่ลูกผู้ชายพึงมี มิได้ระมัดระวังระแวงมิตร จนได้บทเรียนเจ็บแสบ
เขาระลึกถึงอดีตที่ถูกรุมทำร้ายบนหน้าผา ลิลฎาถูกชิงตัวไป เจ็บใจแค้นใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ จนกระทั่งตาย
เพียงแค่นี้หรือ ชีวิตราชบุตรอันควรเรืองโรจน์ เขาไม่ปรารถนาให้มันจบลงง่ายดายเพียงนี้
คิดถึงคืนวันเก่าก่อน เนิ่นนานหลายร้อยปีมา เวลาที่ตนยังเยาว์วัยอยู่ในเวนไตยนครแล้วยิ่งอาลัยนัก
ดอกสิมพลีสีแดงดุจพรมพฤกษา สะพรั่งชั่วนาตาปี ขุนเขาล้อมด้วยมหาสมุทรกว้างใหญ่ อันเป็นเขตไล่ล่า ลมและฝนฟ้าอยู่ใต้อำนาจบัญชาทุกประการ ไม่มีผู้ใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่า เว้นเพียงท่านบิดาพระองค์เดียวผู้เป็นเจ้านคร พระมารดาก็รักใคร่ให้เกียรติ ข้าราชบริพารมากมายนอบน้อมภักดี
ชื่อของเขานั้นท่านปู่เป็นผู้ตั้งให้ อาศัยเหตุอัศจรรย์ในวันที่เขาเกิด
โบกขรพรรษนั้นมีสีแดง เป็นฝนพิเศษแห่งแดนสวรรค์ อันสามารถตกถึงโลกมนุษย์ได้ในกาลสำคัญ หยาดพิรุณสีแดงดังทับทิม กระทบกายดุจน้ำตกลงบนใบบัว ผู้ใดไม่ต้องการให้เปียกเปื้อนกายก็จะไม่เปียก เมื่อตกถึงดินก็จะซึมหายไปในทันทีไม่ปรากฏนองเป็นแอ่งน้ำเฉอะแฉะ ฟังว่าฝนนี้เคยตกในแดนมนุษย์หลายครั้ง เช่นครั้งเมื่อพระพุทธองค์ประทับกลางประชุมพระญาติศากยวงศ์ในนิโครธาราม
ปู่ตั้งชื่อเจ้าว่าพรรษ เพราะวันที่เจ้าเกิดนั้น ฝนสีแดงได้ตกลงในนครของเรา
นครสุบรรณอันงามตระการ วิมานปราสาท ญาติมิตรที่รักใคร่ ทุกสิ่งเขาทิ้งไว้เบื้องหลังเมื่อหัวใจแสวงหาสิ่งที่จะมาเติมเต็ม การผจญภัยในดินแดนใหม่ อีกทั้งผู้อื่นใดที่จะไม่ยอมศิโรราบเอาอกเอาใจไปทุกๆ ทางจนกระทั่งรู้สึกว่าชีวิตนั้นจืดชืด
พรรษได้พบและผจญกับภัยอย่างแท้จริง ได้ลิ้มครบทุกรสอันสุขและทุกข์ที่สัตว์โลกพึงประสบแล้วโดยแท้ เมื่อมิตรแท้แปรเป็นศัตรูตัวฉกาจ บทเรียนนี้ย่อมจำฝังใจไปถึงชาติหน้า
ราชโอรสครุฑได้ลอยล่องอยู่ในฝัน สลับกันระหว่างนรกที่ทรมานและโลกในความทรงจำ นานจนกระทั่งรับรู้ได้ในที่สุดว่า เขาเดินทางไปยังปากเหวแห่งมัจจุราชแล้ว ย้อนคืนกลับมาสู่ร่างใต้ก้นเหวทะเล
เพราะพิษไฟร้อนจากศรเพลิงเทพแผ่ไปตามสายโลหิต ทำให้ภายในร้อนดุจไฟ แล้วตกลงในทะเลกรดเย็น ความหนาวยะเยือกพยายามซึมเข้าร่าง ถูกต้านทานด้วยความร้อน สองสิ่งส่งผลสู้กันในกาย ทำให้ร่างเขามิมอดไหม้เป็นเถ้าและไม่เย็นจนสิ้นชีพสูญสลายไปกับน้ำกรด
สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างประจวบเหมาะน่าพิศวง คงจะเป็นชะตากรรม ที่ทำให้ร่างกายเขาทนมันได้ในที่สุด และกำลังค่อยๆ หายอย่างช้าๆ น้ำทะเลสีตะมรณะทำให้ไฟจากเกาทัณฑ์ดับ กรดเย็นกร่อนอาวุธเทพจนค่อยละลายไปเรื่อยๆ ใช้เวลาหลายสิบปีกว่าความเยียบเย็นจะซึมซาบเข้ามาในกาย ไล่ความร้อนออกไปทีละนิด
เมื่อถึงจุดที่ใกล้เคียงอุณหภูมิกายตามปกติของครุฑ พรรษจึงเริ่มรู้สึกตัว แม้จะคล้ายกึ่งมีสติกึ่งไม่มี กระนั้นก็ประมวลสภาพของตนทั้งหมดนี้ได้ ตราบใดที่เกาทัณฑ์ยังไม่กร่อนผุหลุดไป ความร้อนแห่งเทพศาสตราก็ยังอยู่ และช่วยร่างเขาต้านความเย็นของกรดมรณะเอาไว้
ป่านนี้ลิลฎาจะเป็นอย่างไรบ้าง นางตั้งครรภ์สองปีก็ควรจะคลอดบุตรน้อย หากเวลาผ่านมาเนิ่นนานเท่าที่เขาเข้าใจ ลูกน้อยคงจะกำลังอยู่ในวัยน่ารักช่างอ้อน หากพรรษมีสังหรณ์ไม่ดีนักเกี่ยวกับเรื่องนี้
บางครั้งในความมืดเขาจะได้ยินเสียงนางร้องไห้เรียกหา แต่ว่าไม่เคยมีภาพของทารกหรือความรู้สึกสุขใจ ถึงอย่างไรขอเพียงลิลฎายังปลอดภัยก็พอแล้ว
โอรสครุฑเริ่มมีสติแจ่มใสดีขึ้นมากมาหลายวัน แต่ยังไม่อาจรีบรุดไปในทันที แม้ว่าจะตื่นเต็มตาและพอขยับกายไหว เพราะต้องรอจนกระทั่งน้ำทะเลเย็นขับไล่พิษร้อนออกจากโลหิตจนหมดเสียก่อน และศรเพลิงสลายจวนสิ้น เมื่อนั้นจึงจะรีบดึงมันออกแล้วแหวกว่ายขึ้นไปให้พ้นทะเลแห่งความตายนี้ ในจุดพอดีที่พิษร้อนหมดไปและพิษเย็นยังไม่อาจทำอันตรายตน มิฉะนั้นก็คงตายทันที
เขาไม่มีอาหารประทังชีวิตมานานเท่าใดแล้ว เรี่ยวแรงถดถอย บาดเจ็บเจียนตาย แต่ว่า พลังแห่งใจยังคงมั่น ย่อมจะแกร่งพอพาเขาจากยมโลก ว่ายสู่ผิวน้ำแล้วโบยบินไปหานางได้
เพียงแต่เขายังต้องรอ
เป็นความทรมานแท้ๆ ที่ต้องนอนรออยู่ในก้นบึ้งของความตาย กลางความแค้นสุมใจ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนโน้นบ้าง แต่ราชบุตรสุบรรณก็รอคอยอย่างอดทน รอมานานหลายวัน จนกระทั่งวันนี้ รู้สึกว่าความร้อนแผดเผากลางอกลดลงถึงระดับที่ไม่เจ็บปวด และผิวกายเริ่มเจ็บจากความเย็น
พรรษค่อยขยับมือไปดึงปลายธนูใหญ่ออกจากปีกตนทีละข้าง มันหลุดออกอย่างง่ายดาย ด้ามดอกเกาทัณฑ์สลายเป็นผงไปในมือเขา จากนั้นใช้สองมือถอนดอกสุดท้ายจากกลางอก ครั้งนี้ความเจ็บปวดแปลบปลาบแล่นไปทั่ว ประหนึ่งถูกแล่เนื้อเถือหนังทั้งเป็น
ความเจ็บปวดมากมายที่ทนมาตลอดเวลายาวนานทำให้เขาไม่สะทกสะท้าน แม้ว่าหลายครั้ง ยามสติเลือนราง ก็อดคิดถึงเหยื่อที่ตนล่าประหารในอดีตมิได้ กี่ครั้งหนอที่เขาเคยฉีกอกฉีกท้องนาคกินเป็นๆ คำว่าบาปกรรมเคยได้ยินผ่านหู แต่ไม่ระคายใจจนกระทั่งได้สัมผัสความเจ็บปวดทุรนทุราย
ตายก็ไม่อาจตาย เป็นก็ไม่อาจเป็น
มิน่าเล่าเหล่าผู้ล่าอาวุโสเช่นท่านปู่ ยามแก่เฒ่าก็พากันละสมบัติออกบวชหรือถือศีลกินพืช เลิกพรากลูกเมียเขามากิน เลิกฆ่าสัตว์ตัดชีวิต คงมีบ้างที่เขาได้เคยทำกรรมเช่นนี้ไว้ จึงต้องมากระเสือกกระสนแทบเป็นแทบตายอยู่ระหว่างสองโลก
พรรษทนความเจ็บและขว้างศรดอกสุดท้ายทิ้งไป มันลอยหายไปในความมืดของม่านน้ำหมึก นอนรอให้ความรวดร้าวทั่วร่างบรรเทาลง ก่อนที่จะรวบรวมแรงว่ายน้ำ
เขาต้องว่ายน้ำ ทั้งที่อยากใช้มนต์เลือนกายหายตัว ย้ายสถานที่ไปจากทะเลลึกแห่งนี้มากที่สุด แต่เพราะในทะเลสีตะมรณะนี้มีอาถรรพ์ ประหนึ่งถูกสาปแต่ปางบรรพ์ ผู้ใดไม่อาจใช้เวทหรือฤทธิ์ได้ มิฉะนั้นก็คงไม่มีใครมาตายใต้กรดเย็นนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
ขณะที่เขาเริ่มขยับกายจะแหวกว่ายขึ้นไปนั้นเอง ก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อความรู้สึกหวาดกลัวของใครคนหนึ่งพุ่งวาบเข้ามาในใจ
เกลียดกลัวขยะแขยงจนใจเต้นไม่เป็นส่ำ มวนท้องอยากอาเจียน มิใช่ความรู้สึกของเขา นอกจากความเจ็บที่อกแปลบปลาบไปทั่วร่างแล้วเขาไม่เคยรู้สึกกลัว มีแต่แค้น...หรือว่าเป็นลิลฎา
ตลอดหลายสิบปีมา พรรษคิดว่านานประมาณนั้น เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้ อาจมีความเหงาเศร้า หากก็สงบใจ บางคราวนางยังรื่นรมย์ใจพอจะได้ยินเสียงเพลง หรือว่าเวลานี้กำลังจะเกิดเหตุร้าย
รัชทายาทครุฑหวังว่าอาคมของตนที่ฝังฝากไว้ในกายหล่อนจะยังส่งผล พลางตะเกียกตะกายแหวกว่ายวารีลึกขึ้นไปสู่ผิวน้ำ สู่แสงสว่าง มันผู้ใดก็ตามที่กำลังคิดร้ายต่อหล่อน แม้ว่าตนจะเพิ่งพ้นจากความตายก็จะไม่ปรานีมันแน่!
เขาโผล่พ้นน้ำขึ้นมาพอดีกับที่ความร้อนสูญสลาย กรดเย็นเริ่มกัดผิวจนแสบ พรรษรวมจิตเรียกลมพายุมา ทันใดนั้น สายลมกระโชกแรง ดุจอากาศทั้งมวลเคลื่อนไหวฉับพลัน หอบร่างที่บอบช้ำกับปีกที่ยับเยินทั้งคู่ขึ้นจากน้ำ มวลเมฆก่อตัวมืดฟ้า สายพิรุณเทลงมาอย่างหนัก น้ำฝนชำระล้างกรดออกจากกาย ระหว่างที่พรรษโผบินขึ้นสู่ยอดภูผา แล้วหยุดพัก
วายุพัดกระหน่ำ ต้นไม้ไหวระเนนเอนยวบยาบรอบด้าน ซัดหยาดน้ำที่เทลงมาราวกับฟ้ารั่ว เมฆปั่นป่วน นภาบ้าคลั่งไม่ต่างจากอารมณ์ในอก
สุบรรณหนุ่มหอบหายใจ กายสั่นเทา อ่อนล้าจากความอดอยากและบาดแผล
เขากอบมือดื่มน้ำฝนจากฟ้า พลางส่งจิตตามหาว่าเธออยู่ไหน
*****************
ปล.เรื่องนี้ลงตัวอย่างแค่สี่ตอนนะคะ พบกันแบบเป็นรูปเล่ม 2 พค.ค่ะ
แกร่ง โดย ศรีสุรางค์ นิยายหนึ่งในสี่เรื่อง ในรวมเล่ม Excite (อีกสามเรื่องโดย นันท์นภัส Tonpalm และ Mirininthemoon) เปิดให้จองแล้วที่ Hongsamut.com กำหนดออก 2พค.57 ค่า
Create Date : 23 เมษายน 2557 |
|
0 comments |
Last Update : 30 เมษายน 2557 10:58:52 น. |
Counter : 2256 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|