Springdays's Firstpage J.Kim's webboard ETC's webboard

ช้างน้อย ชวนคุย ตอน สองเสี่ยว เที่ยวเชียงใหม่

lozocat


เชียงใหม่...เมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว ตอนช้างยังโนเน๊ะ ช้างเคยมาอยู่ที่เชียงใหม่แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่หลังจากนั้นมันก็มีครั้งที่สอง สาม และสี่ตามมาจนแทบไม่ต้องนับกันอีกต่อไป “ ไปเชียงใหม่กันมั๊ย ” ช้างตอบตกลงทันที แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ถ้าเป็นที่อื่นอาจจะอิดออดบ้าง คราวนี้เหตุก็มาจากที่หมีแพนด้าอย่างหลินฮุ่ยตกลูก เป็นหมวยน้อยไร้นาม พี่เก้มันก็ร่ำร้องว่าอยากไปดู ลำพังช้างเองไม่ค่อยจะตื่นเต้นเท่าไหร่ แต่เพราะไปครั้งนี้มีทั้ง เชียงใหม่มีทั้งพี่คิ้ม สองคำง่ายๆ ไม่เห็นจะต้องเรื่องมากเลยนิ พร้อมแล้วเก็บกระเป๋าไปกันเลย



มาถึงสุวรรณภูมิประตูสู่เอเชียอันเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ คราวนี้เราจะบินไปกับเจ้าหางแดง กับสโลว์แกน “ ใครๆก็บินได้ ” โชคดีที่จองตั๋วช่วงโปรโมชั่นเลยได้ราคาถูกแสนถูก (แอบมีขลุกขลักนิดหน่อย แต่ไม่เล่าให้ฟังหรอก อับอายเกินจะเล่า )

“ ฮั่นแน่..ไปดูคิ้มล่ะซิ ” คุณนายแม่ของอิฉันเอง ช้างโทรไปหาแม่ก่อนจะขึ้นเครื่องเหมือนคุณนายจะรู้ทัน เพราะแม่นั่งดูข่าวช่อง3 ที่ถ่ายทอดสดบรรยากาศที่สวนสัตว์เชียงใหม่ ไหวตัวตอนนี้ไม่ทันแล้วด้วย คุณนายแม่เอาโทรศัพท์ไปจ่อโทรทัศน์ กลัวลูกสาวจะไม่รู้ว่าที่เชียงใหม่มีงาน
“ ฝนตก ดูแลตัวเองด้วยนะ ” รักคุณนายแม่ก็ตรงนี้หล่ะ ตลอดเวลาไม่ว่าช้างจะไปชอบใคร (หมายถึงนักร้องอ่ะนะ) แม่จะสนับสนุนตลอด สมัยตอนชอบแหบเสน่ห์ฝั่งอโศก คุณนายแม่เจอรูปที่ไหนเป็นตัดกลับมาให้ช้างทุกครั้ง

เช่นกันกับพี่คิ้ม แม่ในวัยจะ 50 ปี มักจะเอิ๊กอ๊ากไปกับช้างทุกครั้งเวลาบอกว่าจะไปดูพี่คิ้ม แม้กระทั่งพ่อที่หลังจากโตเป็นสาว (รึเปล่าไม่แน่ใจ) ก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันเหมือนก่อน ก็ยินดีเสมอที่จะขับรถพาไปส่งขึ้นรถเวลาจะไปดูพี่คิ้ม หรือจะกลับเที่ยงคืนตีหนึ่ง พ่อกับแม่ก็ยอมแหกขี้ตามารับทุกครั้ง

ช้างจึงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับครอบครัวที่พร้อมจะเข้าใจเป็นอย่างดี ความรักและความเข้าใจตรงนี้ของพ่อแม่ ทำให้ช้างดูแลทุกๆ เรื่องไม่เคยขาด ส่วนจะดีเท่าไหร่นั้น คงต้องถามพ่อแม่แล้วล่ะ ช้างคงไม่เห็นใครคนอื่นดีกว่าพ่อแม่ตัวเองอยู่แล้ว

เสี่ยวสองคน พี่ช้างกับพี่เก้ สภาพร่างกายไม่ค่อยจะสมบูรณ์เท่าไหร่ พี่เก้แขนเขียวเพราะโดนเจาะเลือด ส่วนช้างพึ่งไปตัดเหงือกเลือดยังซิบๆ อยู่ แต่งานนี้สู้ไม่ถอย ไปนั่งรอใน Gate B พอถึงเวลาขึ้นไปก็หลับตั้งแต่เครื่องยังไม่เทคออฟ แอร์จะร้องขายอะไรเราไม่สน หลับหัวโขกกระจกดัง กึก กึก ไปตลอดทาง



มาถึงสนามบินเชียงใหม่ตะวันตรงหัวพอดีเป๊ะ ก่อนหน้าหางแดงจะลงไม่กี่นาที เอื้องหลวงพึ่งลงจอดก่อนหน้าเรา บนเอื้องหลวงมีพี่คิ้มโดยสารมาด้วย ช้างลงไปเจอตอนพี่คิ้มรอโหลดกระเป๋า ได้แค่ยกมือสวัสดี ไม่ได้พูดคุยกัน เพราะคนรถที่ที่พักส่งมารับกำลังรอเราอยู่ข้างนอก



พี่เกษียร คนขับอัธยาศัยดี ดูแลเราดีมาก พอขึ้นรถได้ช้างก็ร้องหิวทันที ลำบากพี่คนขับต้องพาไปแวะครัวเพชรดอยงาม จริงๆ เราอยากกินอาหารเหนืออย่างข้าวซอยน้ำเงี้ยวมากกว่า แต่ดูเมนูแล้วไม่เห็นมี ก็เลยต้องกินตามมีตามเกิด หลังจากอิ่มเราก็ต้องรอพี่เกษียรมารับพาเข้าที่พัก

ต้องบอกก่อนว่าในทริปนี้เราไม่ได้วางแผนอะไรเป็นทางการมากนัก เอาตามใจตัวเป็นหลัก ซึ่งทั้งที่พักและมอเตอร์ไซค์เช่าก็ได้ข้อมูลมาจากเวบไซด์พันทิพ ตกบ่ายเราก็เดินทางมาถึง A9place สถานที่ที่เราจะใช้ค้างคืนกันในคืนนี้ หากใครไปเชียงใหม่อยากหาที่พักถูกๆ ราคาอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 500 ต่อคืนที่นี่ก็น่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีได้ เราตกลงพักกันบนชั้น 3 เป็นห้องพัดลมติดผนังเตียงเดี่ยว ห้องน้ำในตัว สิ่งอำนวยความสะดวกก็มีแบบสมราคา 380 บาท ประกอบไปด้วย ตู้เย็นขนาดเล็ก ข้างในบรรจุน้ำดื่ม 2 ขวด ฟรี ตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ และผ้าขนหนู 2 ผืน และสุดท้ายมีเคเบิ้ลทีวีให้ดู ห้องจะได้ไม่เงียบเกินไป



ไม่ทันได้หายเหนื่อย เราก็ลงไปรับรถมอเตอร์ไซค์เช่าในราคา 250/1 วัน ตอนรับรถเป็นเวลาประมาณบ่ายสอง รับเสร็จเราก็ออกเดินทางไปตามเส้นทางที่คุณReceptionผู้น่ารักอธิบาย เส้นทางของเราขับออกจากซอยสุขเกษมข้างโรงพยาบาลลานนาไปบนทางหลวงหมายเลข 11 เลี้ยวขวาเข้าถนนห้วยแก้ว ผ่านหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วิ่งตรงไปจนสุดทางก็จะเจอกับสวนสัตว์เชียงใหม่ จากจุดเริ่มต้นเราใช้เวลาในการเดินทางทั้งหมดประมาณ 20 นาทีในการมาถึงที่หมาย

ระหว่างทางไปช้างก็เจอใบสั่งจากนครพนมให้ขับไม่เกิน 60 ก.ม / ชั่วโมง อันเหตุมาจาก ท่านแม่ของคนซ้อนท้ายเป็นห่วงเลยออกคำสั่งมานักหนา ทำให้ช้างประคองตัวไปเรื่อยๆ รีบก็ไม่ได้ เดี๋ยวลูกสาวเขาจะเป็นอันตราย ถ้าอยู่ซอยบ้านหน่อยไม่ได้ ช้างจะกลายร่างเป็นเด็กแว๊นทันที หึ หึ



เอารถเข้าจอดไว้เสียเงิน 10 บาท ซื้อบัตรผ่านประตูผู้ใหญ่สองคนๆ ละ 50 บาท วันนี้คนค่อนข้างคึกคักเพราะเป็นวันหยุด หลายคนพาแม่มาเที่ยว อีกหลายกลุ่มมากันเป็นกรุ๊ปทัวร์ อากาศก็ร้อนอบอ้าวเล่นเอาเหงื่อตกไปหลายปี๊บเหมือนกัน

เดินเข้าไปก็เจอกับเวทีกลางสวน ก็เห็นพี่คิ้มอยู่หลังเวทีแล้ว เข้าไปสวัสดีและถ่ายรูปเสียหน่อย ก่อนจะถอยฉากออกมายืนดูอยู่ไกลๆ ด้านเวทีอีกฝั่งเห็นพี่โก้กับแซ็กโซโฟนคู่ใจ เข้าไปทักอีกตามเคย เผลอแป๊บเดียวพี่โก้ก็เปิดเวทีดนตรีในสวนด้วยการบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ ต่อด้วยเพลง Memory of you หลังจากนั้นพี่คิ้มก็ขึ้นมาบนเวที



ประเดิมเวทีด้วยการทักทายผู้ชมแบบกันเองกับเพลง คิดถึงเธอทุกทีที่อยู่คนเดียว สลับกับหยอกล้อกับพี่โก้ เรื่องเพลงอัลบั้มใหม่ที่พี่โก้ช่างขยันทำจากที่เคยกินปลาแซลม่อนจนเดี๋ยวนี้ต้องกินปลาทูแทน ในอัลบั้มนี้เองที่พี่คิ้มได้ช่วยร้องอยู่หนึ่งเพลง ในเพลงที่มีชื่อว่า ว้าเหว่ คอยติดตามกันได้เร็วๆ นี้แน่นอน



และเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศวันแม่ แทนที่จะมาร้องเพลงค่าน้ำนม ซึ่งมันเหมาะกับร้องในโรงเรียนมากกว่าอ่ะนะ พี่คิ้มเลยเอาเพลง อิ่มอุ่น ของพี่จุ้ย ศุ บุญเลี้ยง ต้นฉบับขับร้องโดยคุณกาเหว่า แต่ไม่ทันไรพี่คิ้มออกตัวแรงไว้ก่อนว่าฝึกร้องเพลงนี้ตอนอยู่บนเครื่องเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วนี้เอง อาจเกิดการผิดพลาดได้ ซึ่งมันก็เป็นดั่งคำพี่คิ้มว่า พอเพลงขึ้นมาพี่คิ้มก็ต้องอาศัยจังหวะจากพี่โก้ในการขึ้นท่อนแรก แต่ไปได้ไม่ถึงไหนก็เป็นอันล่ม

“ อันนี้เป็นรอบซ้อมนะคะ รอบจริงต้องขอดูเนื้อด้วย ” คราวนี้พอได้เนื้อมาวางก็อุ่นใจ ไหลลื่นไปจนจบเพลง ตอนฟังคุณกาเหว่าร้องในรายการคืนนี้วันนั้น ก็หวานตามแบบในซีดี ของพี่คิ้มก็เพราะดีเหมือนกัน ขณะที่พี่คิ้มพี่โก้อยู่บนเวที พี่โซ่ ETC กับแม่น้อยก็มายืนให้กำลังใจอยู่ในเต็นท์คอนโซลด้วย



ระหว่างที่พี่คิ้มมีร้องเพลงมีหนุ่มน้อยคนนึงร้องตามจนไปสะดุดตาพี่คิ้มพี่โก้จนต้องเรียกขึ้นมาพูดคุยกันบนเวที หนุ่มน้อยมีนามว่า น้องเกล้า ยังไม่ทันขึ้นเวทีน้องเกล้าก็รายงานตัว

“ ผมชื่อ น้องเกล้า อายุ 5ขวบครับ ” เสียงดังฟังชัด พอขึ้นบนเวทีพี่คิ้มถามต่อ
“ ร้องเพลงอิ่มอุ่นให้ป้าฟังได้มั๊ยลูก ” น้องเกล้าบอกว่าร้องได้ พี่คิ้มเลยถามว่าทำไมถึงร้องได้ น้องเกล้าตอบแบบ งงๆ ว่า “ คุณครูให้น้องเกล้าคิดเอาเอง แล้วออกไปร้อง ครับ ! ”
“ เอ่อ ดิฉันจะไปบอกพี่จุ้ย นะคะ ว่าเพลงนี้น้องเกล้าเขาเป็นคนคิด ” ฟังคำตอบแล้ว งง กันทั้งพี่คิ้มทั้งคนดู




“ น้องเกล้าเป็นคนที่ไหน ป้าได้กลิ่นข้าวนึ่งจากปากหนูนะลูก ” พี่คิ้มแซว น้องเกล้าก็ต่อปากต่อคำแบบเด็กช่างพูด ในที่สุดพี่คิ้มก็ได้เรียนภาษาเหนือจากน้องเกล้า กับคำว่า “ ฮู้ก่ ” แล้วพี่คิ้มก็ให้น้องเกล้าร้องเพลง อิ่มอุ่น โดยมีพี่คิ้มช่วยอยู่ข้างๆ ร้องเสร็จน้องเกล้าก็วิ่งโผเข้ากอดคุณแม่ทันที



หลังจากนั้นพี่คิ้มก็ขนเอาเพลงความหมายดีๆมาร้อง อาทิเช่น เพลงจะเก็บเธออยู่ในใจเสมอ เพลงClose to you เพลง Lovin' you ซึ่งเพลงหลังสุดนี้เกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิค จนต้องให้พี่โก้มาร้องขัดตาทัพก่อนในเพลง ภาวนา ส่วนพี่คิ้มบอกลงไปคอยท่าอยู่ด้านข้างเวที กว่าจะได้ร้องก็เหนื่อยเล่าเรื่องนู้นนี้อยู่ตั้งนาน

ปิดท้ายกันด้วยเพลง สายลม เช่นเคยพี่คิ้มลงมาร้องใกล้ชิดคนดู คนดูเองก็กรูกันเข้ามาขอถ่ายรูป เดินอ้อมไปทั่วๆ งาน ซึ่งก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากนัก แวะโบกไม้โบกมือให้รถรางที่ขยันวิ่งวนไปวนมาอยู่รอบหัว พี่โก้เองก็ลงมาข้างล่างเหมือนกัน โดนรุมถ่ายรูปคล้ายกัน จนจบเพลงทั้งสองคนก็กล่าวคำลา



พอพี่คิ้มกับพี่โก้แสดงจบก็ถึงเวลาไปดูหมีของช้างกับเก้ ระหว่างทางก็มีสัตว์นานาชนิดให้เดินดูกันเพลินๆ สัตว์กรงแรกที่เราเจอเป็นฮิปโปโปเตมัส 3 ตัว ถัดไปเป็นตัวหนูยักษ์คาปิบารา ถัดไปอีกเป็นยีราฟ ม้าลาย นกกระจอกเทศ ถัดจากนั้นก็เจอช้างงาไขว้พลายเอกสิทธิ์




เดินต่อไปอีกนิดเดียวเราก็มาถึงกรงหมี เลี้ยวซ้ายเดินขึ้นเนินซื้อบัตรราคา 50 บาท 2 ใบ สำหรับเข้าไปดูช่วงช่วง ส่วนแม่หลินฮุ่ยกับหลินปิง ( ชื่อสดใหม่หมาดๆ) นั้นรอบการแสดงพึ่งหมดไปก่อนหน้าช้างกับเก้จะมาถึง เสียดายมัวแต่ไปดูฑูตสันทวไมตรีร้องเพลง เอาไว้คราวหน้าถ้าโชคดีคงได้กลับมาดู ถึงตอนนั้นหลินปิงคงโตไปเยอะแล้วก็ได้



ได้บัตรแล้วเราเดินเข้าไปชมได้เลย ระหว่างนั้นก็มีคนต่อแถวเข้าสโนว์โดมกันยาวเหยียด แทรกตัวเดินผ่านเข้าไป เจอช่วงช่วงกำลังหลับอย่าสบายอารมณ์ ดูได้จากกองมูลที่ทยอยไหลออกมาเรียงตัวกันอย่างสวยงาม (อู...แหว่ะ)



รอสักพักช่วงช่วงก็เริ่มลุกเดินหาใบไผ่กิ่งไผ่กิน กิจกรรมของหมีแพนด้าก็มีแต่กินกับกิน เหมือนพี่ช่วงจะรู้งาน พอคนมาดูกันเยอะเข้า พี่ท่านก็มานอนแบะโชว์บักหำน้อย อล่างฉ่าง เทคนิคแกะเยื่อไผ่กินเรียกได้ว่าแพรวพราว ฉีกไม่เกินสามทีพี่ช่วงกัดกรวมกินอย่างสบายอารมณ์ ส่วนไอ้พี่เก้คนที่ชวนช้างเสียตังค์มาเชียงใหม่ ออกอาการลิงโลดโดดไปโดดมา เหมือนลิงได้กล้วย ชื่นชมพี่ช่วงแบบใกล้ชิดติดขอบ ส่วนแม่ฮุ่ยกะหนูหลินปิง ต้องส่องผ่านทีวีอย่างเดียว






การเข้าไปชมอะไรก็แล้วแต่เราควรจะเชื่อฟังกฏกติกา และให้ความเคารพกับสถานที่ ตอนที่ช้างยืนดู เจ้าช่วงช่วงที่กำลังตั้งหน้าตั้งตากินจนไม่ใยดีกับคนที่มามุงดูอิริยาบทของมัน ผู้ชายคนข้างๆช้างก็ตะโกนเรียกชื่อช่วงช่วง จนมันแหงนคอหันมามอง ครั้งแรกอ่ะ ไม่เป็นไร หวังว่าคงจะพอใจ แต่ที่ไหนได้ ผู้ชายคนเดิมยังคงทำพฤติกรรมอย่างเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก จนช้างรำคาญหันไปบอกด้วยความสุภาพพร้อมชี้ไปที่ป้ายห้ามใช้เสียง เพื่อเป็นการเตือนถึงมารยาทที่ควรมีในสถานที่ แต่มันก็ใช้ไม่ได้ผล จนยามเข้ามาบอกว่าห้ามเรียกชื่อ ผู้ชายคนนั้นถึงได้เงียบเสียงไป เฮ้อ...คนเรา ! สันดอนขุดได้ สัน-านขุดไม่ได้จริงๆ





ออกจากกรงแพนด้าก็แวะถ่ายรูปเสือขาวที่ไม่รู้เมากาวรึเปล่า เดินวนไปวนมา ในอาณาบริเวณเดิมเหมือนเสือไขลาน ในขณะที่อีกตัวก็ดูจะปกติดีกว่า ใกล้กันเป็นกรงสิงโต กับนางสิงคู่ตุนาหงัน เสร็จจากบรรดาสัตว์ก็ต้องรีบกลับ เพราะฟ้าใกล้จะมืดแล้ว เดี๋ยวจะขี่มอเตอร์ไซค์กลับลำบาก

ออกมาจากสวนสัตว์แอบแวะเข้า มช. แวะถ่ายรูปที่อ่างแก้ว ซึ่งคล้ายๆ เป็น Land Mark ของ มช. ตั้งอยู่ใกล้กับคณะมนุษย์ศาสตร์ เป็นสถานที่ที่โรแมนติกสำหรับหนุ่มสาว มช. จะมาจับคู่นั่งปรึกษาปัญหาหัวใจกัน บ้างก็เอาเฟรมมาตั้งวาดรูปวิว บ้างก็มาวิ่งออกกำลังกาย เขาว่ากันว่า อ่างแก้วเปรียบเหมือนกระจกบานใหญ่ที่จะสะท้อนภาพของดอยสุเทพจนเต็มผืนน้ำที่นิ่งสนิท มองดูภาพดวงอาทิตย์อัศดงลับลงหลังทิวเขา แสงแดดอ่อนๆ กระทบกับผืนน้ำ วับวาบจับตาจับใจ ทองกวาวสองข้างทางยังคงออกดอกเต็มต้น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ยังผลิตลูกช้างที่เป็นคนดีคืนสู่สังคมต่อไป 10 ปีที่แล้วที่นี่สวยอย่างไร ผ่านไปกี่ปี ความสวยงาม สงบร่มเย็นก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง



ออกจาก มช. วนรถเข้าไปเล่นในตลาดฝายหิน ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่มากนัก ไม่ได้อะไรติดมือมา ขับออกไปแวะเติมน้ำมันแถวๆ วัดเจ็ดยอด ก่อนจะกลับที่พัก เอนหลังพอหายเหนื่อยจน 2 ทุ่มกว่าก็ออกเดินทางไปหาของอร่อยๆ กินกันที่ร้าน Good view ขับจอดรถหน้าร้าน สั่งอาหารกินเป็นขันโตกเล็กกับต้มแซ่บปลาคัง ผัดฟักแม้ว กินไปฟังดนตรี วงดังของที่นี่เห็นจะเป็น Muse และ The cool เล่นเพลงสากลเป็นส่วนใหญ่ กินไปฟังไปเจริญอาหารอ้วนไม่รู้เรื่องเหมือนกัน อิ่มหนำสำราญขับรถกินลมชมวิวเล่นไปเรื่อยๆ จน 4 ทุ่มถึงได้ขับกลับไปพักผ่อนนอนหลับ




เช้าวันใหม่มีเสียงโทรศัพท์ปลุกเราแต่เช้า ปลายสายเป็นเจ้าของรถเช่ามาเอารถมอเตอร์ไซค์คืนตามเวลาที่เราแจ้งไว้ คืนรถเสร็จกลับขึ้นมาอาบน้ำอาบท่า แพ็คของลงกระเป๋า เราจะ Check out กันทันที โทรไปตามพี่เกษียรให้มารับพาไปเที่ยว คะแนนสำหรับห้องพักที่นี่หากตัดระยะทางที่ค่อนข้างไกลจากตัวเมืองไปแล้วล่ะก็ช้างให้ 8/10 ถ้าใครต้องการความเงียบไม่พลุกพล่านที่ A9place เหมาะมาก

สำหรับวันที่ 2 พี่เกษียรจะพาอาคันตุกะต่างถิ่นอย่างเราไปปางช้างแม่สา-ศูนย์ฝึกลิง-คุ้มเสือ ระหว่างทางก็มีเผลองีบหลับไปนิดหน่อย แดดยังไม่แรงมาก เราไปถึงปางช้างแม่สาตอน 9.45 พอดีกับเวลาแสดงโชว์ ทุกที่นั่งเต็มไปด้วยชาวต่างชาติ หัวดำอย่างเราไม่ค่อยจะมีให้เห็นมากนัก พี่เกษียรบอกว่าส่วนใหญ่คนไทยมาเที่ยวเฉพาะเทศกาล ช่วงนี้โลว์ซีซั่นเลยเห็นแต่ต่างชาติ สำหรับราคาบัตรเข้าคนไทยอยู่ที่ 240 บาท ต่างชาติไม่รู้ไม่ทันได้สังเกตุ ราคานี้ไม่รวมหากขี่ช้างชมวิถีชีวิตกะเหรี่ยง ซึ่งเราไม่มีเวลามากนัก จึงพลาดกิจกรรมนี้ไป



ความรู้สึกของช้างตอนนี้แทบจะอดดีใจไว้ไม่อยู่ สิ่งที่เราชื่นชอบอยู่ตรงหน้า ความไร้เดียงสาความฉลาดทำให้หลงรักช้างมาตั้งแต่เด็กๆ

มาดูโชว์กันบ้าง ที่นี่ช้างโชว์ส่วนใหญ่จะเป็นช้างที่อายุน้อย ความซุกซนยังแฝงอยู่ในดวงตาของช้างแทบทุกเชือก ความสามารถที่ใช้มาโชว์ก็น่าเอ็นดูไม่แพ้กัน เรียกเสียงปรบมือ เสียงหัวเราะจากชาวต่างชาติได้มากทีเดียว ส่วนตัวช้างชอบที่เรียงหน้ากันเป่าหีบเพลง ควงงวงและเต้นกัน มันน่ารักมาก-มากที่สุด






ช้างสัตว์ใหญ่ใจดี พี่คิ้มพูดบนเวทีดนตรีในสวนว่า “ อย่ามัวแต่ให้ความสนใจเพียงหมีแพนด้า จนลืมเอาใจใส่ช้าง สัตว์คู่บ้านคู่เมืองของคนไทย ” ช้างนิอยากจะยืนปรบมือดังๆ ให้กับความคิดนี้จังเลย ถูกใจเป็นที่สุด แต่อย่าเอาความแตกต่างของสายพันธ์มาสาดเสียเทเสียใส่กัน ช้างเชื่อว่าคนไทยทุกคนรักช้าง เพียงแต่แพนด้าเข้ามาสร้างสีสันให้บ้านเราช่วงนึงเท่านั้นเอง คิดในแง่ดีเราจะได้ไม่ต้องบินไปเฉิงตูเพื่อดูหมีแพนด้า นั่งเครื่อง นั่งรถมาเชียงใหม่ ก็มีให้ดูแล้ว ประหยัดกว่าเห็นๆ ประเทศไทยจะได้ครึกครื้น เศรษฐกิจไทยจะได้คึกคัก





จบโชว์ก็มีการให้อาหารช้าง นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้มีโอกาศใกล้ชิดกับช้างก็ตอนนี้หล่ะ ช้างเองก็ไม่พลาดนัวเนียหนุบหนับเหมือนกัน แถมทุ่มทุนสร้าง ซื้อกล้วยอ้อยเลี้ยงแบบไม่อั้น ( 80 บาทแค่นั้นหล่ะ พูดเว่อร์เชียว) แลกกับการสัมผัสกอดรัดฟัดเหวี่ยง แต่ช้างดันมาเสียรู้ตอนกำลังเพลิดเพลินกับการให้อาหารนี่หล่ะ ช้างตัวนึงตวัดงวงขโมยกล้วยอ้อยไปจากมือช้างหมดเลย แหม..เจ็บใจ แต่ไม่เป็นไร ซื้อใหม่ก็ได้ รักนะเนี่ยไม่งั้นโดน !!





ภาพวาดจากปลายงวงของช้างแต่ละเชือก สวยกว่าน้ำมือช้างที่เป็นคนเสียอีก แต่ละใบมีราคาสูงหลักพัน วาดเสร็จแปะราคาปั๊บเลย ฝรั่งจับจองกันแทบไม่เหลือ กวาดเงินเข้าประเทศได้หลายเลยล่ะ เกลือกกลิ้งกับช้างจนสาแก่ใจก็โบกมือลาไปที่อื่นกันต่อ



ฝากเวบไซด์เผื่อใครสนใจตามเข้าไปดูกันได้ที่ //www.maesaelephantcamp.com สัมผัสให้ลึกแล้วคุณจะหลงรักช้าง







ออกจากปางช้างแม่สา วกกลับมาต่อกันที่ศูนย์ฝึกลิง ซื้อบัตรคนละ 200 บาท ไปนั่งดูความสามารถต่างๆของลิง มีทั้งช่วยคนเก็บมะพร้าว ขี่จักรยาน วิดพื้น ยกน้ำหนัก ดำน้ำเก็บของ นั่งตักนักท่องเที่ยว ช่วยแก้พันธนาการ บวกเลข ซึ่งในหลายกิจกรรมช้างเสนอหน้ามีส่วนร่วมตลอด เดี๋ยวไม่คุ้ม 200 เอาจริงๆ มันไม่คุ้มเลยให้ตายเถอะ



ไปต่อกันที่คุ้มเสือ แดดกำลังแรงได้ที่ ค่าบัตรเข้าสัมผัสเสือจะเป็นตามขนาด เริ่มจาก ขนาดSmall= เสือเด็ก 520 บาท / 15 นาที Medium = เสือวัยรุ่น Big cat = เสือโตเต็มวัย 320 บาท / 15 นาที หรือ จะเหมาแบบเสือกับสิงโต ราคาอยู่ที่ 1,350 บาท ราคาทั้งหมดนี้จะรวม Insurance ประกันชีวิตไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องคิดหนักช้างกับเก้เลือกแบบราคาถูกเข้าไว้ สูบเงินออกจากกระเป๋าเราสองคนไปแล้ว ก็เดินถือบัตรไปยื่นให้พนักงานหน้ากรง ก่อนเข้าเราต้องอ่านข้อห้ามเสียก่อน

ซึ่งมีกำหนดไว้ว่าห้ามลูบหัว ห้ามลูบเท้าเสือ เพราะเขาจะคิดว่าเราเล่นด้วย ห้ามใช้แฟลช ห้ามส่งเสียงดัง เมื่อทำความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก้มหัวให้ต่ำไว้แล้วลอดเข้ากรงไปได้เลย วันนี้เราได้หนุ่มน้อยชื่อว่า ไส้อั่ว อายุ 10 เดือน ใหญ่กว่าหมายักษ์ที่บ้านช้าง 3 เท่าเห็นจะได้



ดูจากฝ่าตีนแล้ว ใหญ่กว่าหน้าช้างอีก นึกไม่ออกเลยหากต้องตกอยู่ภายใต้อุ้งตีนจะมีชีวิตรอดมั๊ย ตลอดเวลาที่เราอยู่ในกรงเสือ พี่คนดูแลก็จะคอยกระตุ้นให้ไส้อั่วน้อย คึกคัก พี่เขาก็สรรหาของมาล่อไส้อั่ว ทั้งลูกมะพร้าว ทั้งของเล่นอื่นๆ แต่อากาศมันร้อน ไส้อั่วเลยไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลยนอนแลบลิ้นแฮ่กๆ อย่างเดียว

พี่เขาก็ให้ไปสัมผัสตัว ได้ลูบท้องเกาพุง นอนทับจับหาง ตามสบาย หลังจากเข้ากรงมาได้ 5 นาที หนุ่มน้อย ข้าวเหนียววัยเดียวกันกับไส้อั่วก็ถูกต้อนมาจากอีกฝากของกรง นี่ถ้าได้แคบหมูมาจิ้มเบ๊ะด้วยนะเปิดขันโตกได้เลย ใครบอกเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ มาดูไส้อั่วกับข้าวเหนียวซิ ยังอยู่ได้เลย กรงอื่นๆ ก็เช่นกัน





5 นาทีสุดท้ายความพยายามของพี่เขาก็สำเร็จ ได้จับภาพสองหนุ่มวิ่งเล่นในน้ำมาจนได้ ทิ้งท้ายพี่เขาจับข้าวเหนียวแหกปากโชว์ฟันขาวที่เขาบอกว่าชุดที่เห็นอยู่เนี่ยมันเป็นแค่ฟันน้ำนม เอาไว้กินไก่วันละ 15 โลเท่านั้นเอง แถมเอามือเข้าไปเขี่ยลิ้นเล่นอีกต่างหาก

ช้างว่านะ สัตว์อะไรก็แล้วแต่หากเราใกล้ชิดเขา เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เล็กๆ แม้พฤติกรรมสัตว์ป่าจะไม่หายไปจนหมด แต่อย่างน้อยเราก็จะเห็นแง่มุมที่น่ารักของเขาขึ้นมาบ้างล่ะ

ออกจากกรงเดินดูทั่วบริเวณ ไม่แน่ใจว่าเข้ามาผิดที่รึเปล่า เพราะเห็นแต่เสือนอนขึ้นอืด เสือที่อิฉันหมายมั่นปั้นมือว่าน่ากลัว ขู่แฮ่ๆ ไปไหนหมด แล้วแต่ละตัวนะ นอนกันโป๊เปลือยแบะ 180 องศา หมดกันเสือในจินตนาการของช้าง



จักกะแร้เปียกกันจนพอใจแล้วกลับขึ้นรถพี่เกษียรกันดีกว่า เวลาตอนนี้บ่าย 2 หน่อยๆ เที่ยวเพลินจนลืมกินข้าวกินปลามิน่าล่ะ หน้ามืดชอบกล ไปวูบในกรงเสือ คงเหลือกลับมาแค่กระดูกแน่เลย รบเร้าพี่เกษียรให้พาไปกินข้าวซอย น้ำเงี้ยว จอดแวะถามร้านไหนก้อไม่มี ไม่ได้ทำ ขับรถมาเรื่อยๆ จนถึงร้านของฝากวนัสนันท์ เป็นที่พึ่งสุดท้ายที่คาดว่าน่าจะมี หากใครจำกันได้เมื่อปีที่แล้วช้างก็พึ่งมาเชียงใหม่ ก็แวะมากินน้ำเงี้ยวที่นี่หล่ะ

เป็นไปดั่งคาดมีจริงๆ ด้วย สั่งทั้งข้าวซอยและน้ำเงี้ยวมาแลกกันกิน อิ่มเสร็จก็ซื้อหมูยอไปฝากที่บ้านซักหน่อย สิริรวมเวลาก็พอดีกับที่เราต้องไปเช็คอินเพื่อรอขึ้นเครื่องกลับ กทม. กันแล้ว ก่อนจะไปเรายังแวะเที่ยวที่พิพิธภัณฑ์เชียงใหม่ บรรยากาศอึมครึมดูขลัง น่าขนลุก เสียค่าเข้าชม 20 บาท/คน

เสร็จสิ้นภารกิจทุกอย่างก็ถึงเวลาเช็คอินที่สนามบินพอดี ส่งค่าเสียหายตลอดการเดินทางให้พี่เกษียรแถมทิปอีกนิดหน่อย เดินขึ้นชั้น 2 นั่งหลับรอเครื่องหางแดงมารับ



“17.30 ผู้โดยสารที่จะเดินทางจากกรุงเทพ ด้วยเที่ยวบินที่ FD3237 ขณะนี้พร้อมให้บริการเรียบร้อยแล้วค่ะ” ขึ้นเครื่องล็อคเข็มขัดเรียบร้อย โชคดีได้นั่งข้างหน้าต่างทั้งไปทั่งกลับ สักพักก็มีเพื่อนร่วมเดินทางเป็นสองสามีภรรยาชาวญี่ปุ่นมานั่งข้างๆ ช้าง เผลอหน่อยเดียวอีตาคนผู้ชายปรับแอร์ซะงั้น หันมาถามช้างว่า “ หนาวมั๊ย ” เป็นภาษาไทยแบบกระท่อนกระแท่น ช้างก็ส่ายหัว “ คนไทย ? ” ถามต่ออีกแนะ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นบทสนทนาที่ทำให้ผู้โดยสารท่านอื่นรอบข้างรำคาญช้างกะคนญี่ปุ่น

ชวนกันคุยโล้งเล้งๆ ถามไปถามมาได้ความว่าทั้งสองคนเกษียณมาพำนักอยู่ที่เมืองไทย ช้างก็ถามว่าทำไมเลือกเมืองไทยล่ะ ทากะ(ชื่อคุณลุงญี่ปุ่น)บอกว่าเมืองไทยน่าอยู่ ผู้คนน่ารัก ไม่เหมือนญี่ปุ่นทำงานอย่างเดียว ทากะเลิกทำงานมา 2 ปีแล้ว ทากะยังบอกอีกว่าเขาเรียนภาษาไทยมา 3 เดือน วันละ 2 ชั่วโมง เพราะเขาอยากคุยกับคนไทยได้ คนไทยน่ารักมากๆ มีน้ำใจ แถมยังบอกว่าคนเชียงใหม่ใจดี ยอกันเข้าไปทากะนี่ปากหวานนะเนี่ย ส่วนภรรยาของทากะช้างไม่ทันได้ถามชื่อ มีหน้าที่คอยอธิบายเป็นภาษาญี่ปุ่นให้ทากะฟังเวลาไม่เข้าใจในภาษาอังกฤษแปร่งๆ ของช้าง 555 อาทิเช่น ช้างบอกว่าเมื่อวานไปเชียงใหม่ Zoo ทากะขมวดคิ้วเล็กน้อย งง ว่า Zoo คืออะไร ได้เมียอธิบายอยู่ตั้งนานกว่าจะเข้าใจ ช้างเสียSelf เลย

ทากะ ชื่อเต็มชื่อTakashi นามสกุลไม่ได้ถาม อายุ 45 มีลูกสาว 2 คน คนโตอายุ 29 มีร้านเพ้นท์เล็บที่ฮ่องกง คนเล็กอายุ 20 อยู่เมืองไทย มาเที่ยว ส่วนทากะซังกับภรรยาพักอยู่ทองหล่อ มาเที่ยวเชียงใหม่กันสองคน ทากะเป็นคนญี่ปุ่นที่รู้ลึกรู้ดีเกี่ยวกับประเทศไทยเลยหล่ะ ขนาดมหาวิทยาลัยรามคำแหงก็รู้จัก ไม่ใช่รู้จักธรรมดารู้ด้วยว่าจบยาก ม.เชียงใหม่ก็รู้จัก จังหวัดนครพนมก็รู้จัก รู้ด้วยว่าติดแม่น้ำโขง สมุทรปราการก็รู้จักละเอียดพอๆกับช้างเลย

ที่เด็ดกว่านั้นคือ ทากะถามว่ามีแฟนรึยัง โหย...กล้าถามเนอะ พอช้างบอกยังไม่มีอ่ะ ทากะถามว่าถ้าไม่ชอบคนไทย เดี๋ยวทากะติดต่อคนญี่ปุ่นให้ได้นะ หน้าช้างงี้แดงเหมือนโดนใครตบฉาดใหญ่ นึกในใจทากะอย่ามาล้อเล่นนะ ช้างเอาจริงนะ 5555

คุยกันไปเรื่อยมารู้สึกตัวอีกทีตอนกัปตันประกาศว่าเครื่องจะถึงสุวรรณภูมิแล้ว จากชั่วโมงกว่าๆ ทากะชวนคุยจนลืมระยะทางกับเวลาไปเสียสนิท เครื่องลงจอดเราก็แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง ทากะและภรรยาทิ้งท้ายว่า

“ ขอบคุณครับ/ค่ะ ” พร้อมยกมือไหว้ สวยกว่าเด็กสมัยนี้ซะอีก ช้างประทับใจและอดดีใจแทนคนไทยอีกหลายล้านคนไม่ได้ว่าอย่างน้อย คนต่างบ้านต่างเมืองเขายังมองว่าคนไทย ประเทศไทยเป็นที่ที่น่าอยู่ แล้วทีนี้คนไทยล่ะจะเห็นคุณค่าและรักษาสิ่งดีงามเพื่อให้คนต่างชาติอย่างทากะและภรรยา และคนต่างชาติอีกนับร้อยที่ช้างไปเจอมาในการไปเชียงใหม่ครั้งนี้ เชื่อมั่นได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับเราๆ แล้ว มาร่วมมือกันดีมั๊ย เพื่อบ้านเรา เพื่อตัวเรา เพื่อลูกหลานเราสืบต่อไป

นานมากแล้วที่เชียงใหม่เป็นเมืองเล็กๆ ที่พร้อมจะเปลี่ยนไปตามกระแสโลก แต่ในเวลาเดียวกันบางอย่างที่บ่งบอกความเป็นเชียงใหม่ ไม่เคยเปลี่ยนไป ยังแฝงตัวอยู่ในคำพูด ในภาษาที่น่ารัก ในวัฒนธรรม ในความมีน้ำใจแบบคนเมือง ไปกี่ครั้งแทบทุกครั้งช้างมีแต่ความประทับใจกลับมา ถึงใครจะบอกว่า เชียงใหม่ต้องมาหน้าหนาว สำหรับช้างเชียงใหม่ไปได้ทุกฤดู โดยเฉพาะฤดูอกหัก เชียงใหม่สวยอย่าบอกใครเลยเชียวล่ะ 555




ร้อยเรียงเรื่องราว โดย ช้างน้อย นำเสนอ โดย บูเก้
Apple & Bouquet Productions...






 

Create Date : 03 กันยายน 2552
32 comments
Last Update : 8 กันยายน 2552 22:11:24 น.
Counter : 1579 Pageviews.

 

วะ วะ ว้าวววว เครื่องลงหมีมาส่งแล้ว

 

โดย: พี่ช้าง IP: 116.58.231.242 8 กันยายน 2552 15:21:48 น.  

 

ขอบคุณนะคะที่เอาเรื่องราวของป้ามาให้ชื่นชมกันและยังมีสานที่พักผ่อนและสถานที่เที่ยวมาให้ดูอีกขอบคุณจริงๆ คะ

 

โดย: พี่แหว๋ว IP: 124.122.3.52 8 กันยายน 2552 22:57:12 น.  

 

โหหหหหห! น้าช้างกะน้าเก้ เที่ยวนี้ทั้งเรื่องทั้งภาพเยอะจุใจนู๋จริงๆ เลย...ป้าใส่สายเดี่ยวด้วยอ้ะน่ารักที่สุด บรรยากาศท่าจะดีเนอะ ไม่รู้ว่าตอนหลินปิงครบขวบ ป้าจะไปร้องฉลองเบิร์ธเดย์ให้ด้วยหรือป่าวเนอะ? ถ้าไปคราวนี้นู๋ขอติดไปกะน้าช้างกะน้าเก้ด้วยนะท่าทางน่าสนุก อยากไปดูปางช้างด้วยแหละ ช้างเราเก่งจังอ้ะ แสดงก็ได้ วาดรูปก็สวย น้าช้างกะน้าเก้น่าจะถอยมาซักรูปสองรูปนะ เอามาประดับฝาบ้าน อืมมม....ว่าแต่เดี๋ยวนี้น้าช้างกะน้าเก้มี logo ประจำตัวแล้วเหรอ ช้างน้อยกะปุ๊กก้า 555+

 

โดย: ฟ้าใสดาวสวย IP: 202.12.118.61 9 กันยายน 2552 7:56:43 น.  

 

อ่อๆ ตะกี๊ลืมถามไปว่านู๋จะเอาน้องไปฝากเข้า รร.สอนลิงได้ไหม๊ค๊า เขาจะรับไหม๊ค๊า...แบบว่า รร.อนุบาลที่น้องเรียนอยู่ตอนนี้ท่าจะเอาไม่อยู่แว้วค่ะ ซนเป็นลิงเลยเนี่ย นู๋ละเบื่อออออออ...

 

โดย: ฟ้าใสดาวสวย IP: 202.12.118.61 9 กันยายน 2552 8:21:42 น.  

 

ตอบ พี่แหว๋ว
ยินดีค่ะ

ตอบฟ้าใสดาวสวย
ภาพที่เห็นเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นค่ะ
ยังมีอีกแสนฟ่ารูปที่มีหน้าเจ้าของ blog แอบซ่อนไว้อีก อิอิ

ป.ล. นู๋เอาน้องเข้ากรง เอ้ย คอร์ทเดียวกะน้องน้าช้างก้อได้จ๊ะ ซน+แสบพอกันเลย

 

โดย: พี่ช้าง IP: 116.58.231.242 9 กันยายน 2552 9:09:42 น.  

 

ไชยโย!!!!!!!หมี มา แว้ววว....

ขอบคุณเจ๊ทั้ง2นะคร่ะ

น่าฮักขนาดเลยเจ้า!!!!!!!

โดยเฉพาะหมีขาว.....คริๆๆๆ บ่ไจ๋หมีแพนด้าเน้อ...555+++

เหงภาพเจียงใหม่แล้วกึดเติงหาขนาด .....เจ๊เปิ้ลเล่าได๋ไจ๋แต้ๆๆๆ ส่วนเจ๊เก็ ก็ลงบล็อคได้...ซู๊ดยอดคร้าๆๆๆๆๆๆ

อย่างนี้ต้องยกนิ้วโป้ง ทั้งโลก(เว่อร์ไปหล่ะ)มาทั้งเจ๊ทั้ง
2แว้วววววววววว........

 

โดย: ปุ๋ย IP: 124.120.145.95 9 กันยายน 2552 15:41:09 น.  

 

ตอบ ปุ๋ย
ขอบคุณจ้าดนัก

 

โดย: พี่ช้าง IP: 116.58.231.242 9 กันยายน 2552 16:28:33 น.  

 

ข้าวเหนียวกะไส้อั่ว น่ารักมากๆๆๆเรย ^^

(เจ้มะได้ไปดูเพนกวินหรอ..ตัวเล็กๆเดีนเรียงแถว น่ารัก..ก)

ป้าจ๋ากะท่าประจำ 2 นิ้ว มะไหวนะ น่ารักเกินไปอ่า วิ้ว..ว
อาหารก้อน่าตาน่ารับประทาน น

เท่วหลายที่เรย2ฉาว..ไปถนนคนเดินมาป่าว

ปอลิง...ตัวแทน2เสี่ยว น่ารักว่ะ..อิอิ ^^

**พูก้า(เก้) กะ ชบาช้างน้อย**

 

โดย: กอล์ฟ ^o^ IP: 118.173.250.28 9 กันยายน 2552 17:11:31 น.  

 

บ่ เปงหยัง ยินดีจ๊าดนัก.....

แต่ ...ตอนนี้อยากกิ๋น ไส้อั่วขนาด ...กะข้าวนึ่ง

โอ๊ยยยยย อยากกิ๋น แต้ๆๆๆๆๆ

 

โดย: ปุ๋ย IP: 124.122.148.230 9 กันยายน 2552 17:49:55 น.  

 

ตอบ กอล์ฟ
ไปถึงขบวนพาเรดสัตว์เขาเดินไปหมดแล้วอ่ะดิ
ถนนคนเดินม่ะได้ไปอ่ะ มันมีเสาร์-อาทิตย์
เจ้าของ blog ก้องามแต้งามว่านะจะบอกหัย 5555

ตอบ ปุ๋ย
แก๋งแคจิ๊นงัว ฮ้อนๆด้วยนะ

 

โดย: พี่ช้าง IP: 116.58.231.242 10 กันยายน 2552 9:35:05 น.  

 

พี่เปิ้ลๆๆๆๆ แก๋งแค ก็กิ๋นอยู่ บ่เอาจิ๊นงัวได๋ก่

บ่กิ๋น สัตว์ใหญ่เน้อ.....

แต่ว่าไป อยากกิ๋นกู่อย่าง...5555+++

ตะกละไม่มีใครเกิ้น!!!!!

 

โดย: ปุ๋ย IP: 125.25.5.152 10 กันยายน 2552 18:13:53 น.  

 

เสียใจโตยเน้อคนในเมืองเมินๆไหนได้กิ๋นเตื้อ ฮ่าๆๆ

ว่าแล้วกะอยากกิ๋นแล่ววว

คิคิ

เอ่อ ปี้เปิ้ล ตี้สั่งของกิ๋นมาตึงหมดนี้จะเอา
มาเลี้ยงจ้างก๊ะเจ้า

กิ้วว ว ว ววววววว

 

โดย: กันค้าบ บ IP: 192.168.1.117, 124.157.130.21 11 กันยายน 2552 17:34:07 น.  

 

วะ..วะ...วะ....ว้าวววววว
ทำblog น่าระกจัง อือ....เห็นแล้วอยากไปด้วยจัง....
แต่...ติดประชุม ประชุม และ ประชุม...เฮ้ออออ

 

โดย: สายสืบโรงเบียร์ IP: 203.148.162.196 11 กันยายน 2552 19:25:27 น.  

 

ตอบ ปุ๋ย & เดกดอย
ว้ายยยย คุยภาษาอะไรกันอ่ะ ฟังไม่รู้เรื่อง อ่านไม่เข้าใจ


ยะหยังกั๋น บ่อจ้ายคนเมือง อู้บ่อจ้าง ว้ายยย

 

โดย: ปี้จ้าง IP: 116.58.231.242 12 กันยายน 2552 11:00:21 น.  

 

ตอบ สายสืบโรงเบียร์
blog น่ารักเหมือนเจ้าของอ่ะป่าวค่ะ 555

 

โดย: พี่ช้าง IP: 116.58.231.242 12 กันยายน 2552 12:36:00 น.  

 

อะโห....ก้าอู้เนาะคนเฮา

กร๊าก ก กๆๆๆๆๆ

คอมเม้นตางบนนี่เข้าข้างตัวเก่าตี้สุด

5555555555

 

โดย: อิน้องกันเจ้า IP: 117.47.44.244 12 กันยายน 2552 17:33:10 น.  

 

ตอบ แม้วกัน
เป็นแม่หญิงฮือต้องฮักสวยฮักงามเป็นธรรมดาแม่นก่ะ
ตี้สำคัญ ฮู้ก่าว่า ปี้อ่ะฮู้ตั๋วว่าฮูปงามดีแต้ๆ บ่อต้องฮือผู้ใดอู้บอก 555

อุ้ย..พูดภาษาอะไรออกไป !

 

โดย: ปี้จ้าง IP: 116.58.231.242 13 กันยายน 2552 9:45:24 น.  

 

กระจกที่บ้านพี่ช้างมีกี่บาน ทุบทิ้งให้หมดเลยนะคะ

เขียนไปด๊ายยย

 

โดย: whitebouquet IP: 203.144.130.176 13 กันยายน 2552 15:32:35 น.  

 

ตอบ พี่ช้าง

อูยยย....เล่นถามว่า blog น่ารักเหมือนเจ้าของหรือป่าว ตอบไม่ถูกเลย แต่เพื่อรักษาไว้ซึ่งสันติภาพแห่งมวลมนุษยชาติ....เลยต้องตอบว่า...
blogน่ารักน้อยกว่าเจ้าของนิดเดียวเอง...5555

(จริงแล้ว น่ารักทั้งเจ้าของ blog และ blog จ้ะ....จิงจิงนะ)



 

โดย: สายสืบโรงเบียร์ IP: 115.67.33.118 13 กันยายน 2552 21:22:59 น.  

 

ตอบ ไอ้ บ.ก ขี้บ่น
บอกกี่ครั้งแล้วหึ ว่าที่บ้านใช้ชะโงดูเงาในกะลา มันเลยไม่ชัด แต่อนุมานได้ว่า น่ารักเป็นที่ซู๊ด..

ตอบ สายสืบโรงเบียร์
น้องเข้าใจนะฮะว่าคุณพี่ไม่อยากชมต่อหน้ากลัวน้องทำตัวไม่ถูก น้องก้อรู้ตัวดีอยู่ว่าน่ารักไม่เป็นรองใคร คริ คริ

ป.ล. ต้องมีคนหมั่นไส้แน่เลย แต่จะทำไรได้ นี่ blog ข้าพเจ้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

 

โดย: พี่ช้าง IP: 116.58.231.242 14 กันยายน 2552 9:29:25 น.  

 

ถ้าเปนแม่ญิงคนอื่นจะบ่าเถียงสักกำเน้อ
แต่
เปนพี่เลยต้องเถียงฮ่าๆๆ

เออพี่เก้นุว่าแค่ทุบทิ้งอย่างเดียวไม่พอ
ฟังกลบไปเลย ย ดีกว่า

5555555555555555555555555555555

 

โดย: แม้วกัน(ตั้งแต่เมื่อไหร่?) IP: 192.168.10.157, 192.168.10.157, 127.0.0.1, 124.157.238.75 14 กันยายน 2552 10:34:27 น.  

 

ตอบ กะเหรี่ยงกัน
เตะตกดอยซะดีมั๊ย

 

โดย: พี่ช้าง IP: 116.58.231.242 14 กันยายน 2552 15:01:22 น.  

 

เดกกัน
พุดเมืองละพี่ช้างรุเรื่องหมดก๊ะน่ะ

สะปี๊กเมืองขนาดนั้น





จะว่าไปแล้วก้อยากกิ๋นข้าวนึ่งกะไส้อั่วขนาด ^^

 

โดย: may IP: 118.172.78.101 14 กันยายน 2552 20:22:27 น.  

 

ตอบ may
คนเมืองอีกล่ะ

 

โดย: พี่ช้าง IP: 116.58.231.242 15 กันยายน 2552 10:42:14 น.  

 

อารัยหวะ
มาจิๆๆมาเตะๆๆรอยุเน้อออ ฮ่าๆๆ


พี่เมจะใดพี่เปิ้ลจะบะฮู้เรื่อง
เค้ากะเปนคนภูธรเหมือนกันนี่ ฮ่าๆๆ

 

โดย: (กระเหรี่ยงซะงั้น)กัน IP: 192.168.1.204, 192.168.1.204, 127.0.0.1, 58.147.20.203 15 กันยายน 2552 15:51:02 น.  

 

ตอบ เดกกัน
55+
ขยันว่ากันจิ๊งงงงงง
เหนื่อยมะกะการขบกันเนี๊ยะ




ตอบ พี่ช้าง
เอิ้ว
แกนคนเมืองเหรอคะ พี่ช้าง
คนเมืองน่ารักหนา จิงๆ

 

โดย: may IP: 118.172.77.44 16 กันยายน 2552 22:38:54 น.  

 

ตอบ เดกดอย บ๊อบเท
ปริมลฑลย่ะ

ตอบ may
คนเมืองน่าฮักปี้ก่ะฮู้ แต่ยกเว้นเดกดอยคนนึงหนา น่ากัวขนาดดดดด

 

โดย: พี่ช้าง IP: 116.58.231.242 17 กันยายน 2552 12:46:11 น.  

 

** คำเมือง ** ยึดบล็อก ก ฮ่าๆ ^^

 

โดย: กอล์ฟ ^o^ IP: 118.173.250.155 17 กันยายน 2552 17:54:58 น.  

 

ฮู้ได้จะใดว่าเปิ้ลน่ากัว ว
ออกจาน่าฮักขนาดดนี้ ฮ่าๆๆ

ถึงจาปริมณฑลก้ไม่ต่างกะภูธรตงไหนหรอกน่า

พี่เมมะขบอย่างเดียวนะจิกด้วย ย

 

โดย: กันค้า IP: 127.0.0.1, 124.157.238.219 19 กันยายน 2552 13:59:31 น.  

 

ตอบ กอล์ฟ
นี่ถ้าใครแว่วอีสาน กะเล่งใต้มาพี่ก้อมั่วได้อีกนะ 55

ตอบ เดกดอย
อย่างน้อยฉันก้ออยู่ขอบๆ กทม หล่ะย่ะ ไม่เหมือนหล่อนอยู่บนภูเขา ว้ายยย

 

โดย: พี่ช้าง IP: 116.58.231.242 19 กันยายน 2552 14:26:19 น.  

 

อาร๊าย ย ย

พี่เปิ้ล ลเค้ามะด้ายยุบนเข้านะ

แค่ขอบๆๆๆ อุ๊บ บ

 

โดย: กันค้า IP: 117.47.44.188 20 กันยายน 2552 15:27:40 น.  

 

ตอบ เดกกัลย์

บอกมาเต๊อะ ว่าอยุ่ตีนดอยอ่ะ
มะต้องมาว่าขอบๆเรย

เด๋วโดนคัยซักคนตีนถีบตกดอยแน่ๆ
55+

 

โดย: may IP: 118.172.71.104 26 กันยายน 2552 22:53:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


whitebouquet
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]










ภารกิจนี้ ปังคุงและเจมส์
เอ้ยยย ไม่ใช่
Apple&Bouquet จะทำสำเร็จหรือไม่ ???
ติดตามได้ที่
ขำกลิ้ง เปิ้ลกะเก้ ภารกิจเพื่อป้า !!!


+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+
ขอบคุณแอปเปิ้ล(ช้างน้อย)เพื่อนรัก
สำหรับงานเขียนดี ๆ ใน Blog ของเราสองคน
และทุกงานที่ผจญภัยร่วมกัน
ขอบคุณ "พี่น้องผองเพื่อน" ที่น่ารัก
สำหรับสิ่งดี ๆ ที่ให้กันทุกครั้งที่เจอ

ขอบคุณค่ะ
+
-+-+-+-+-+บูเก้-+-+-+-+-+
Group Blog
 
<<
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
3 กันยายน 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add whitebouquet's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.