กรกฏาคม 2552

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
มองสังคมผ่านหนัง Malena ผู้หญิงสะกดโลก - ชีวิตที่ต้องดิ้นรน ในสังคมของคนจิตใจต่ำ!
สำหรับคนทำหนังแล้ว ความสามารถในการทำให้คนดู "อิน" จนถึงขนาดเก็บไปคิดได้นี่ ถึอเป็นความสำเร็จที่ทำได้น้อยรายนัก และนี่เป็นเหตุผลหลักที่ผู้เขียน ใช้ในการคัดเลือกหนังที่จะเอาบอกต่อ ส่วนนึงคือการระบาย ระบายความคิดหลังจากได้ดูหนังแต่ละเรื่อง

ดังนั้น ถ้ามันไม่ใช่หนังดีที่ควรค่าแก่การชมเชย ก็คงเป็นหนังห่วยบรม จนอยากระบายความรู้สึกเสียดายตังค์

โชคดีที่ยังไม่มีความพยายามมากพอที่จะเขียนรีวิวหนังห่วย ดังนั้น Malena สำหรับผู้เขียนแล้ว เป็นหนังดีที่สมควรหยิบมาดูเพื่อเปิดโลกความคิดเป็นอย่างยิ่ง

Malena ผู้หญิงสะกดโลก หนังปี 2000 ที่เป็นความทรงจำถึงโปสเตอร์หน้าโรงหนัง สะดุดตาที่สาวสวย Monica Bellucci ที่ตอนนี้เป็นพรีเซนเตอร์หลักของ Dior ไปแล้ว

แค่โปสเตอร์ ก้ได้กลิ่นอายของหนังยุโรปโชยมาแต่ไกล ที่ทำให้หนังน่าดูตั้งแต่ยังไม่รู้รายละเอียดอะไร ด้วยเหตูที่หนังยุโรป ดำเนินเรื่องเรียบง่าย มีเสน่ห์เฉพาะตัว

เป็นความต่างโดยสิ้นเชิงกับหนัง Hollywood

หนังว่าด้วยเรื่องชีวิตของสาวสวยนาม Malena ที่เป็นที่สะดุดตาแก่คนทั่วไป ในเมืองที่สาวสวยเป็นสิ่งหายาก ในยุคที่สงครามโลกเข้ามาประชิด บนเกาะซิซิลี ในอิตาลี มาเลน่า จึงเป็นงานศิลป์หนึ่งเดียวในหมู่บ้านเล็กๆบนเกาะห่างไกล ที่เป็นความบันเทิงใจทางสายตาแก่หนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ที่พบเห็น

หนังเล่าเรื่องผ่าน เด็กชายที่กำลังแตกหนุ่มอย่าง Ronato ที่เป็นหนึ่งในบรรดาสาวกผู้คลั่งไคล้สาวสวยผู้นี้เช่นกัน

หนังดูเผินๆช่วงแรก อาจดูเหมือนหนังเล่าเรื่องราวการผ่านชีวิตวัยรุ่นของโรนาโต้ แท้จริงโรนาโต้เป็นเสมือนกระจกที่เรามองผ่าน และส่องไปถึงชีวิตของมาเลน่า ที่ต้องดิ้นรนในสังคมที่มนุษย์ต่างก็มีกิเลส และการดิ้นรนเอาตัวรอดในยุคสงครามพรากสามัญสำนึกไปจากคนหมู่มากได้อย่างง่ายดาย

มีเพียงโรนาโต้ ที่ยังมีหัวใจที่บริสุทธิ์ พอจะมองเห็นความอยุติธรรมที่สังคมซ้ำเติมแก่เธอ หากโรนาโต้ ก็เป็นเพียงปุถุชนทั่วไป ที่เป็นเสมือนเสียงส่วนน้อย ที่ไม่อาจลุกขึ้นต่อสู้เพื่อความถูกต้อง เพียงเพราะความอ่อนแอ ที่ไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตน

มาเลน่า จึงเป็นสัญลักษณ์ของเหยื่อ ที่พบเห็นได้ทั่วไปในปัจจุบัน ที่ความเด่นดังเกินหน้าเกินตา ความเป็นจุดสนใจ นำภัยมาสู่ตัวเอง ซึ่งในที่นี้ ความสวย ที่ปราศจากเกราะป้องกัน คือ คนรอบกาย อันได้แก่ สามี ที่ต้องไปรบในสงคราม และไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร

ครอบครัว ซึ่งเหลือ บิดา เป็นญาติคนสุดท้าย เป็นเพียงครูแก่ หูหนวก สอนภาษาลาติน ที่ไม่ได้รับความยำเกรงจากลูกศิษย์

มาเลน่า จึงเป็นเหมือนเป้าที่โจมตีได้ง่าย ที่ผู้ชายต่างพยายามฉวยโอกาสทั้งทางวาจา และกริยา อย่างน่าทุเรศ ขณะที่ผู้หญิงต่างไม่มีความเห็นใจ หรือความช่วยเหลือใดๆให้แก่หัวอกผู้หญิงด้วยกันที่กำลังไร้ที่พึ่ง ด้วยความอิจฉาริษยาในความสนใจที่ผู้ชายทั้งเมืองมีให้แก่เธอ จนพร้อมที่จะโจมตีเธอได้ทุกเมื่อที่มีโอกาส

ในเรื่อง มาเลน่า ตกเป็นเหยื่อของจิตใจเน่าเฟะของคนในสังคมอย่างไม่ต้องสงสัย

ข่าวการตายของสามีเธอ เป็นเหมือนสัญญาณเริ่มโจมตี เพราะเป็นการบอกว่า เธอตัวคนเดียวอย่างแท้จริง

การเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวและพยายามยืนหยัดด้วยความดีงาม ไม่ได้ผล เมื่อเธอถูกบีบคั้นจากสังคม เริ่มจากข่าวลือในทางเสียหายจากผู้ไม่หวังดี

ส่วนคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ กลับเป็นเหล่าชายที่ต่างหวังผลประโยชน์สนองตัณหาของตนเอง

เมื่อไม่มีทางเลือก สุดท้ายก็ต้องปรับตัวตามกระแสสังคมชักนำ

ไคลแมกซ์ของเรื่องนี้ เป็นฉากที่มาเลน่า ถูกเหล่าผู้หญิงรุมทำทารุณท่ามกลางฝูงชน โดยไม่มีแม้แต่ผู้ชาย หรือมนุษย์ซักคน ออกมาห้ามปราม ระงับการกระทำป่าเถื่อน ไร้มนุษยธรรม ที่คนหมู่มาก ทำกับผู้หญิงไร้ทางสู้แค่คนเดียว

ดูแล้วก็สะท้อนใจ สังคมปัจจุบัน ในหลายแง่ ดูไป ก็ไม่ต่างจากภาพในหนังซักเท่าไหร่ ที่มีมนุษย์หลากหลายประเภท และเต็มไปด้วยกิเลสแบบปุถุชนทั่วไป ที่การต่อสู้ดิ้นรน ทำให้ความเป็นมนุษย์หดหายลงไป ความเห็นแก่ตัว เข้ามาแทนที่น้ำใจ

ความอิจฉาริษยา บดบัง ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี

กิเลส เข้าครอบงำ ความยับยั้งชั่งใจ

และการเอาตัวรอดได้ กลับกลายเป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิต ที่มาก่อนความถูกต้อง และศีลธรรมในสังคม

หากการเข้าไปยุ่งเกี่ยว ถือเป็นความเดือดร้อน ก็ถือซะว่า ธุระไม่ใช่ ใครจะเป็นอย่างไร ไม่เกี่ยวกับฉัน

หมาหมู่ กลายเป็น พลังที่ทรงอำนาจ ขณะที่ตัวคนเดียวไม่กล้าทำอะไร พอรวมกลุ่มกันได้ มีโอกาสก็ฉวยโจมตีคนอ่อนแอกว่าได้ทันทีแบบไม่ต้องคิด เสร็จแล้วก็แสร้งฉาบหน้าทำเป็นคนดีเหมือนเดิม

คุ้นๆไหมคะ รูปแบบอย่างนี้ในสังคมปัจจุบัน

มองดูในดีๆ มันอยู่ในข่าวที่เราดูกันทุกเช้า

เรามายกระดับจิตใจของสังคมกันดีกว่า ง่ายที่สุดคือ เริ่มที่ตัวเราเอง!!

ปล. ถ้าอยากได้สาระด้านภาพยนตร์ ตามมาดูได้ที่ลิ้งนี้ค่ะ
//www.cinemagonline.com/ticket/malena.html และ
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=10000tip&month=07-2005&date=21&group=11&gblog=651

ขอโทษที่อาจไม่ค่อยออกแนววิจารณ์หนังเท่าไหร่ ออกแนวระบายอารมณ์ซะมากกว่า อิอิ นี่แหละที่มาของบล็อกนี้



Create Date : 12 กรกฎาคม 2552
Last Update : 12 กรกฎาคม 2552 6:52:55 น.
Counter : 14648 Pageviews.

8 comments
  
หว๊าสองรางวัลเข้าชิง

ไม่น่าพลาดด้วยประการทั้งปวง
โดย: Mr.Chanpanakrit วันที่: 12 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:45:28 น.
  
เห็นด้วยทุกประการค่ะ
โดย: เชอรี่ IP: 125.24.92.160 วันที่: 12 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:45:40 น.
  
เรื่องนี้เคยดูตอนเรียนวิชาศึกษาทั่วไป อาจารย์เอามาฉายให้ดูจนจบเรื่อง เป็นซับไทย ฉบับ uncut ดูแล้วนักศึกษาทั้งห้องเงียบกริบตอนฉากมาเลน่าโดนทำร้ายสะเทือนใจมาก หนังให้ข้อคิดดีจิงๆหลังดูหนังจบอาจารย์ก็ให้วิเคราะห์ถึงความเป็นตัวตนของมาเลน่ากับสังคมที่มาเลน่าอยู่ สนุกดีครับ ออกจากห้องมานักศึกษาต่างวิพากษ์วิจารย์เรื่องนี้กันใหญ่
โดย: kittipon IP: 192.168.128.5, 202.142.204.1 วันที่: 12 กรกฎาคม 2552 เวลา:18:31:10 น.
  
แนะนำเว็บดูหนังซีรีย์เกาหลีฟรี
โดย: koreaserie (loveyoupantip ) วันที่: 6 สิงหาคม 2554 เวลา:10:32:55 น.
  
วันดีคืนดี
อยากรู้ว่าใครมีมุมมองหนังเรื่องนี้แบบไหนบ้าง
เปิดกูเกิ้ล แล้วเซิร์ชหา Malena ผู้หญิงสะกดโลก
บังเอิญเจอรีวิวนี้
มุมมองของคุณถ้าคนทำหนังเรื่องนี้มาเห็นคงจะดีใจไม่น้อย
ที่เข้าถึงเรื่องราวที่เขาต้องการสื่อครับ
และสามารถที่จะตีแผ่ เปรียบเทียบได้อย่างดีเยี่ยม

^^
โดย: ตุลา IP: 101.108.34.20 วันที่: 5 กรกฎาคม 2555 เวลา:2:19:55 น.
  
ddddddddddddddd
โดย: pppppppppppppp IP: 113.53.45.3 วันที่: 15 ธันวาคม 2555 เวลา:21:55:50 น.
  
หนังดีมากจนไม่รู้จะอธิบายยังไง ดูจบหนักอึ้งไปหมด สัมผัสได้ทุกอย่างที่หนังเรื่องนี้สื่อ มีอยู่ฉากนึงที่นางเอกยอมแลกตัวเองเพราะไม่มีอาหารกิน ยอมจ่ายร่างกายตัวเองให้กับชายที่เอาอาหารมาให้ และตอนนั้น โรนาโต้ ก็แอบดูอยู่ เขารักมาเลน่ามากมาย แต่ช่วยอะไรไม่ได้ เขาร้องไห้และปาเสื้อผ้ามาเลน่าหน้าบ้านแล้ววิ่งกลับไป เราร้องไห้เลยฉากนี้ใจสลายไปเลย คงเช่นเดียวกับความรู้สึกของตัวละคร โรนาโต้
และคุณวิจารณ์ได้ดีมากเลย ขอชื่มชมคับ
โดย: S.T IP: 58.8.69.166 วันที่: 3 มีนาคม 2556 เวลา:4:36:46 น.
  
555
โดย: treeranone IP: 171.5.120.37 วันที่: 21 กรกฎาคม 2557 เวลา:18:28:22 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

COS Stylist
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



การไตร่ตรองและคิด วิเคราะห์ เป็นหนทางสู่การพัฒนาสมอง การพัฒนาตนเอง และพัฒนาสังคม

คนเรามักสนใจแต่การปรุงแต่งรูปลักษณ์ภายนอก บุคคลิกภาพ พื้นฐานทางสังคม และความสุขส่วนตัว หากมีซักกี่คนที่มุ่งเน้นการพัฒนา "ใจ"

บล็อคนี้ เขียนจากคนธรรมดา ที่ไม่มีอะไรโดดเด่น หากแต่ชอบคิด ชอบเขียน และ อยากพัฒนา"ใจ"ของตนเอง ให้พบกับความสุขที่ยั่งยืน ที่ไม่มีวัตถุเป็นตัวกำหนด พร้อมทั้งยังอยากให้เพื่อนๆร่วมโลกได้ประโยชน์จากประสพการณ์และเรื่องเล่าต่างๆ ให้เป็นสาระแก่การดำเนินชีวิต และได้ข้อคิดแล้วต่อจะไปปรับใช้ในชีวิตของแต่ละคน

ทั้งนี้ ผู้เขียนขอไม่ประสงค์ออกนามของทั้งตนเอง และผู้ใดก้อตามที่ได้กล่าวอ้างถึง ไม่ให้พาดพิงต่อสิทธิส่วนบุคคลของทั้งตนเองและผู้อื่น

ทั้งนี้ข้อคิด และ เรื่องราวต่างๆนานาๆ ผู้เขียนไม่อาจรับรองได้ว่าเป็นวิธีคิด การกระทำ หรือทางเลือกที่ดีที่สุด สิ่งที่นำเสนอ เพียงแต่เป็นมุมมองของแต่ละบุคคล และขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้อ่านเป็นหลัก

ทั้งนี้ อยากให้เพื่อนๆเพียงแค่ได้นำสิ่งที่เขียนไปคิดพิเคราะห์ คนเขียนก็ปลื้มใจมากมายแล้ว

ทั้งนี้ในฐานะชาวพุทธ ขอยกคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้ปราดเปรื่องให้ข้อเตือนใจก่อนจะรับฟังเรื่องใดๆดังนี้

กาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล (เรียกว่า เกสปุตสูตร ก็มี[1]) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการคือ

อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล
ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ
ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่
ปัจจุบันแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผลไม่หลงเชื่องมงาย ในทำนองเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เมื่อ 2500 ปีก่อนได้รับการบรรจุเป็นวิชาบังคับว่าด้วยการสร้างทักษะการคิดหรือที่เรียกว่า "การคิดเชิงวิจารณ์" (Critical thinking) ไว้ในกระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยของประเทศพัฒนาแล้ว

ที่มา: http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3

New Comments
MY VIP Friend