พฤษภาคม 2554

1
2
3
4
5
6
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
พัฒนาการของสาว 34 (ภาคสอง)
ความว่างนี่ มีประโยชน์เหลือเกิน

มันทำให้เราได้ทำสิ่งที่เรามีโอกาสทำยากเย็นเหลือเกิน ได้ซักที

หนึ่งในนั้นคือเขียนบล็อค เล่านู่น เล่านี่

เมื่อคืน พอเขียนพัฒนาการของตัวเอง Part I ขึ้นไป ในหัวตอนหลับก้อยังไม่วายลำดับจุดเปลี่ยนที่สำคัญของตัวเอง

ว่าแล้วดีเจ ก้อขัดจังหวะ ด้วยการเปิดเพลง At Seventeen ที่ทำให้รู้สึกว่าใกล้เคียงกับตัวเองเหลือเกิน

"AT SEVENTEEN"

By Janis Ian

I learned the truth at seventeen
That love was meant for beauty queens
And high school girls with clear skinned smiles
Who married young and then retired
The valentines I never knew
The Friday night charades of youth
Were spent on one more beautiful
At seventeen I learned the truth...

ชั้นเรียนรู้ความจริง เมื่อตอนสิบเจ็ด
ว่าความรักมีสำหรับสาวสวยเท่านั้น
และสาวไฮสคูล ผิวใส ยิ้มสวย
แต่งงานเร็ว เลิกเรียน
วันวาเลนไทน์ที่ชั้นไม่เคยรู้จัก
คืนวันศุกร์ของคนหนุ่มสาว
เชื้อเชิญคนหน้าตาดี
ที่วัยสิบเจ็ดชั้นได้สัจธรรม


And those of us with ravaged faces
Lacking in the social graces
Desperately remained at home
Inventing lovers on the phone
Who called to say "come dance with me"
And murmured vague obscenities
It isn't all it seems at seventeen...

แล้วคนแบบชั้น ที่หน้าตาเห่ย
ขาดความสง่างามทางสังคม
ต้องแกร่วอยู่บ้านแบบสิ้นหวัง
ค้นหาคนรักทางสายโทรศัพท์
คนที่จะโทรมาบอกว่า "มาเต้นรำกับชั้นไหม"
และส่งเสียงหื่นกระหายจนฟังไม่ได้ศัพท์
........................

เอ่อ... ก้อไม่ได้เหมือนทั้งหมดหรอกนะ อย่างน้อย เมืองไทยก้อไม่เหมือนเมืองนอกที่เปิดเผยอิสระ กันแต่วัยรุ่น

บังเอิญเกิดมาในครอบครัวที่เคร่งครัดมากไปหน่อย แต่ความรู้สึกของการเป็นผู้ถูกมองข้ามในสังคมนิ ไม่ต่างกันเท่าไหร่

ถ้าคุณไม่เคยมีกลุ่ม คงเข้าใจ

ความรู้สึกตอนเด็ก ที่ไม่มีเพื่อนเลือกเราเข้ากลุ่มรายงาน
ไม่อยากชวนเล่นด้วย
ไม่มีคนนั่งกินข้าวกลางวันด้วย

ทั้งที่นั่งแจ๋น อยู่แถวหน้า แต่ถูกมองข้ามไป

นี่คือสมัยประถม

เด็กเห่ย ประหลาด เต็มขั้น

ตอนขึ้นมัธยม ความพยายามเข้าสังคม เริ่มเกิดขึ้น

การเปลี่ยนโรงเรียน เปลี่ยนสังคม สร้างความเปลี่ยนแปลงขึ้น

วิกฤต ที่เป็นโอกาส เพราะนี่คือการเริ่มใหม่

ทุกคนเริ่มจากศูนย์ ไม่มีใครรู้จักใคร

"ชั้นต้องทำได้"

จากที่มีหนังสือเป็นเพื่อนคนเดียว

ความมุ่งมั่น เปิดประตูสู่การเปลี่ยนแปลง

จะยากอะไร แค่ตอบคนที่เค้ามาชวนคุยด้วย

แค่ตอบคำถามให้ถูก

ทุกวันกลับบ้านไป ต้องมานั่งนึก เอ.. ชั้นพูดอะไรผิดไปรึเปล่า

หรือว่าทำอะไรประหลาดไปหรือเปล่า

วิตกจริตเต็มขั้นแต่เด็ก

ทุกวัน คือ การต่อสู้

ต่อสู้ เพื่อการยอมรับ กับเพื่อนร่วมชั้น

ต่อสู้ เพื่อความอยู่รอด กับครอบครัวที่บ้าน

อยู่ที่โรงเรียน มีอะไรก้อเกาะกลุ่มเพื่อนไปเรื่อยๆ การเป็นผู้ตามที่ดี จะทำให้เราไม่โดดเดี่ยว

แต่ตอนอยู่บ้านนี่สิ จะทำยังไง

ไม่มีใครให้คุย ไม่มีที่ปรึกษา ก้ออ่านหนังสือมันเรื่อยไป เค้าให้ทำอะไร ก้อทำๆไป

อยากออกไปเที่ยวบ้านเพื่อนมั่ง ก้อทำไม่ได้

ไม่มีตังค์ กับ ที่บ้านไม่ให้

เธอมีหน้าที่ พี่น้องทุกคน มีหน้าที่

แบ่งภาระ กันทำงานบ้าน ตอนที่คนใช้ไม่มี

ตอนที่มีคนใช้ ก้อต้องอยู่เฝ้าบ้าน รอคำสั่ง ว่าเดี๋ยวเค้าจะหาอะไรให้ทำ

รู้สึกไม่ต่างอะไรกับถุกขังคุก ที่มีอากาศหายใจอันน้อยนิด

ดีว่ามีความสามารถพิเศษอยู่อย่างนึง

คือการวาดการ์ตูน

เอาจินตนาการตัวเอง มาใส่ในการ์ตูน

โตขึ้น ชั้นอยากผมยาว สวย หน้าตาเป็นยังไง

ก้อวาดลงไปในการ์ตูน

เพื่อนอยากให้วาดอะไร ก้อวาดไป ให้เพื่อนๆมารุมล้อม

เป็นคนเด่นดัง ด้วยความสามารถพิเศษ

แต่เอาดีไม่ได้ เพราะระบายสีไม่เป็น ฮา..................

ประกวดวาดรูปทีไร วาดไม่เสร็จซักที

ขาดการลงสี เอิ๊กๆๆๆๆ

เพื่อนถาม เธอวาดแต่ผู้หญิง เธอวาดรูปใครกันน่ะ ส้วย...สวย...

ไม่กล้าตอบ นึกในใจ "ชั้นวาดรูปตัวชั้นเอง (ในอนาคตนะ)"

แม้แต่คุณครูเห็นวาดรูปผู้หญิง แต่งตัวสวย บอก

"ไหน ออกแบบชุดให้ครูหน่อยซิ"

ก้อลองเสก็ตๆมันไป

ที่โรงเรียนก้อไม่เลวร้ายเท่าไหร่นะ

แต่ชั้นมีความมุ่งมั่น

โตขึ้นชั้นจะสวย ชั้นจะเก่ง ชั้นจะสูงเหมือนนางแบบด้วย และ ชั้นจะพูดได้สองภาษา

ภาษาอังกฤษ จะเป็นใบเบิกทางให้ชั้น

เบิกไปไหนไม่รู้ รู้แต่ว่า ที่บ้านหนังสือภาษาอังกฤษจากอากู๋ ที่เป็นนักเรียนนอก มีเยอะ อยากอ่าน

ก้อพยายามอ่านไปเรื่อยๆ แกะศัพท์ไปทีละตัว ตอนพ่อไปส่งโรงเรียน จนนั่งรถเมล์กลับบ้าน ตอนไหนอ่านได้ อ่านไป

มิน่า สายตาสั้นชิหาย

กลางคืนนอนไม่หลับ แม่ปิดไฟแล้ว ยังแอบอ่าน ลอดแสงไฟข้างนอกห้องเอา

ทำไปได้....

ขึ้น ม. ปลาย เริ่มค้นพบว่าตัวเองพอจะมีอารมณ์ขันอยู่บ้าง ใช้ให้เป็นประโยชน์

ฮาเข้าไว้

แบบตลกคาเฟ่ หน้าชื่น อกตรม

ความประหลาดของตัวเอง แปรเปลี่ยนเป็นความขำขันของผู้อื่น

เข้าท่ามั่ง ไม่เข้าท่ามั่ง

เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ก้อจะเป็นวันใหม่ เราก้อจะเริ่มใหม่

อย่างน้อยชั้นก้อมีกลุ่มเพื่อนอ่ะนะ

เ้ค้าอาจจะขำชั้นบ้าง แต่ก้อไม่ใช่คนนิสัยไม่ดีอะไร

ถึงจะเฉิ่ม แต่ก้อมีหัวคิดนะยะ

ชั้นคบแต่เพื่อนที่จริงใจ และนิสัยดี

เพื่อนที่ชักจูงไปในทางไม่ดี อย่ามีซะดีกว่า

หนังสือบอกไว้ อ่านอะไรไป ก้อเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์

อย่างที่เค้าบอก "หนังสือเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา"

ถ้าอ่านแล้วเข้าหัวทางซ้าย ทะลุออกสมองด้านขวา

อย่าอ่านเลยเธอ เสียเวลา

หนังสือคือเพื่อนแท้ และ ทำให้ชั้นได้เจอเพื่อนแท้ อีกหลายคน

ไว้มาต่ออีกทีนะ




Create Date : 07 พฤษภาคม 2554
Last Update : 7 พฤษภาคม 2554 17:09:13 น.
Counter : 821 Pageviews.

6 comments
  
สวัสดีคับ เรื่องของคุณสนุกดีนะ พอดีผมจะ search เรื่องอื่นแต่ดันมาเจอ ยินดีที่ได้รู้ก
โดย: Ch@iz IP: 58.9.200.134 วันที่: 10 มกราคม 2555 เวลา:20:58:12 น.
  
น่ารัก ครับ..บรรยาย เหมือนนางเอกการ์ตูน ตัวนึงเลย อย่าง อาซาริจอมแก่น ก็น่าจะคล้ายๆกัน

ก็ครับ อะไรที่มันรื้อฟื้นมาเก็บไว้บน Blog ก็เอามาฝังไว้ในนี้กันครับ

อะไรที่เป็นปัจจุบัน เราก็อยู่กับมันให้กลมกลืน

อะไรที่เป็นอนาคต เราหาคนร่วมฝันได้ ก็ทำด้วยกัน แม้จะไม่หา หรือ ไม่มีเข้ามา เอาน่า มันจะมีก็ต้องมีสิน่า

ขอบคุณครับ กับ มุมความคิดของผู้หญิง ที่ผู้ชายแบบผม คาดไม่ถึง ไม่นึกว่า พวกเธอจะมีความเข้มแข็งบนใบหน้า แต่มุมลึกๆได้เห็นความอ่อนแอบ้าง
โดย: Vee กิตติภพ ธ. IP: 125.27.37.130 วันที่: 15 มีนาคม 2555 เวลา:14:20:03 น.
  
อิอิ ไม่ได้เข้าบล็อคตัวเองซะนาน งานใหม่ ยุ่งขนาด ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ

โดย: COS Stylist วันที่: 24 เมษายน 2555 เวลา:15:00:18 น.
  
แปลกจังผมเซิร์ชเลือกอื่น แต่กลับเข้ามาบล็อคคุณซะได้ ถือเป็นโชคดีครับเพราะ ทำให้ผมได้คิดอะไรหลายๆอย่างซึ่งตรงกับสิ่งที่ผมเจอในตอนนี้
โดย: TheMagus IP: 202.25.83.2 วันที่: 3 ตุลาคม 2555 เวลา:19:45:03 น.
  
ดีใจค่ะที่ชอบ
โดย: จกท (COS Stylist ) วันที่: 15 ธันวาคม 2555 เวลา:2:10:15 น.
  
อ่านเพลินเลย ใช้สำนวนได้งดงามมากค่ะ คุณมีพรสวรรค์ด้านการเขียนมากเลยนะคะ
โดย: teed IP: 118.173.230.88 วันที่: 20 ธันวาคม 2558 เวลา:12:25:41 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

COS Stylist
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



การไตร่ตรองและคิด วิเคราะห์ เป็นหนทางสู่การพัฒนาสมอง การพัฒนาตนเอง และพัฒนาสังคม

คนเรามักสนใจแต่การปรุงแต่งรูปลักษณ์ภายนอก บุคคลิกภาพ พื้นฐานทางสังคม และความสุขส่วนตัว หากมีซักกี่คนที่มุ่งเน้นการพัฒนา "ใจ"

บล็อคนี้ เขียนจากคนธรรมดา ที่ไม่มีอะไรโดดเด่น หากแต่ชอบคิด ชอบเขียน และ อยากพัฒนา"ใจ"ของตนเอง ให้พบกับความสุขที่ยั่งยืน ที่ไม่มีวัตถุเป็นตัวกำหนด พร้อมทั้งยังอยากให้เพื่อนๆร่วมโลกได้ประโยชน์จากประสพการณ์และเรื่องเล่าต่างๆ ให้เป็นสาระแก่การดำเนินชีวิต และได้ข้อคิดแล้วต่อจะไปปรับใช้ในชีวิตของแต่ละคน

ทั้งนี้ ผู้เขียนขอไม่ประสงค์ออกนามของทั้งตนเอง และผู้ใดก้อตามที่ได้กล่าวอ้างถึง ไม่ให้พาดพิงต่อสิทธิส่วนบุคคลของทั้งตนเองและผู้อื่น

ทั้งนี้ข้อคิด และ เรื่องราวต่างๆนานาๆ ผู้เขียนไม่อาจรับรองได้ว่าเป็นวิธีคิด การกระทำ หรือทางเลือกที่ดีที่สุด สิ่งที่นำเสนอ เพียงแต่เป็นมุมมองของแต่ละบุคคล และขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้อ่านเป็นหลัก

ทั้งนี้ อยากให้เพื่อนๆเพียงแค่ได้นำสิ่งที่เขียนไปคิดพิเคราะห์ คนเขียนก็ปลื้มใจมากมายแล้ว

ทั้งนี้ในฐานะชาวพุทธ ขอยกคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้ปราดเปรื่องให้ข้อเตือนใจก่อนจะรับฟังเรื่องใดๆดังนี้

กาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล (เรียกว่า เกสปุตสูตร ก็มี[1]) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการคือ

อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล
ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ
ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่
ปัจจุบันแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผลไม่หลงเชื่องมงาย ในทำนองเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เมื่อ 2500 ปีก่อนได้รับการบรรจุเป็นวิชาบังคับว่าด้วยการสร้างทักษะการคิดหรือที่เรียกว่า "การคิดเชิงวิจารณ์" (Critical thinking) ไว้ในกระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยของประเทศพัฒนาแล้ว

ที่มา: http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3

New Comments
MY VIP Friend