แบร์แนแด็ท....น่ารัก....น่ารัก ขี้ลืม.....ขี้ลืม ...... หนังปายหนายหว่า buy แล้ววbuyอีก......... faith, hope and charity เฟศบุ๊ค http://www.facebook.com/bernadette.soubirous.3
Group Blog
 
<<
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
30 กันยายน 2552
 
All Blogs
 

Always: Sunset on Third Street (2005):as Tokyo Tower is being built.

Tomorrow and the day after and for 50 more years.The sunset will always be pretty.

ไม่ว่าพรุ่งนี้มะรืนนี้ หรืออีก 50 ปี ....พระอาทิตย์ตอนตกดิน.... ก็สวยเสมอ



หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง สิบกว่าปี ผ่านไป กับในปี 1958 ปีแห่ง การฟื้นคืนชีพขึ้นใหม่ของชาวญี่ปุ่น ตึกอาคารสูงๆได้เกิดขึ้น ทีวี ตู้เย็น สิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ๆ อุตสาหกรรมยานยนต์ และสิ่งที่บ่งบอกถึง ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และความภาคภูมิใจของชาวญี่ปุ่น นี้นคือ หอโตเกียว ทาวเวอร์ Tokyo Tower ซึ่งสร้างเสร็จในปี 1958

มันไม่ใช่เรื่องหน้าประหลาดใจ ที่คนญี่ปุ่นชื่นชอบภาคภูมิใจเรื่องนี้กันมาก มันคือ Film Idol ของพวกเค้าเลยอะ

Always: San Chome no Yuhi (Sunset on Third Street) Tribute




Film ดัดแปลงมาจาก การ์ตูนย์ญี่ปุ่นของนักเขียน เรียวเฮ ไซงัง(Ryohei Saigan's)
จากการ์ตูนย์เรื่อง ซังโจเมะโนะยูฮิ (Sanchome no Yuhi) Always: Sunset on Third Street สร้างในปี 2005 และต่อด้วยภาคสอง Always: Sunset on Third Street 2 สร้างในปี 2008



Film ดำเนินเรื่องราวไปควบคู่ พร้อมกับภาพ จาก หอโตเกียวที่ยังสร้างไม่เสร็จ ...และนำความชื่นชมยินดี มาสู่พี่น้องชาวญี่ปุน ในวันคริสมาส สัญญาลักษณ์ แห่งความชื่นชมยินดี ...นั้นคือ หอโตเกียวทาวเวอร์ ได้สร้างสำเร็จแล้วววว

กับสิ่งใหม่ๆๆที่เข้ามาในวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นในยุคนั้น






อิปเป... แม่ แม่ครับ ทีวี มายัง ยังเลยลูก กว่าจะได้ทีวี ก็ต้องรอ ... ได้ทีวีมา จัดงานเลี้ยงกันทั้งซอย คนทั้งซอยเข้ามาดูมาเชียร์มวยปล้ำ มีการกล่าวสุนทรพจน์ก่อนเปิดทีวี ...ดูไปดูมา ทีวีดับ
เอ้า...ลูกอีช่างซ่อมของชาวญึ่ปุ่นแกะทีวีออกเป็นชิ้นเลย ...ช่างซ่อมทีวีกลับบอกว่า ...พวกคุณเสียบปลั๊กไม่แน่น ถอดทีวีเป็นชิ้นอย่างงี้ ต้องเอาเข้าศูนย์ซ่อมลำบาก

ตู้เย็นได้เข้ามา และตู้แช่เป็นไม้แบบเก่ากะทิ้งไป ...Film ต้องการสื่ออะไรหรือเปล่า คงยังจำกันได้ ที่เห็นในข่าวบ่อยๆ ...ในช่วง สิบยี่สิบปีที่ผ่านมา ...วิถีชีวิตชาวญึ่ปุ่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องอำนวยความสะดวก ...พอตกรุ่นปุ๊บ พวกเค้าทิ้งทันที ซื้อรุ่นใหม่เดิ้นสุดสุด...คนที่ต้องการใช้กะไปเก็บเอามาใช้ต่อได้ ...ตอนนี้กะรัดเข็มขัดกันแหล่ววววว

หรือในสมัยนั้น เด็กๆๆ ผู้ใหญ่ เจอคุณหมอ กะจะกลัว เรียกคุณหมอว่า ปีศาจ Devil...เห็นคุณหมอ ขี่เวสปา ผ่านมา รีบไปหลบทันที ...เพราะกลัวเข็มฉีดยาของคุณหมอ
หรือ กระแสเพลงร๊อค ที่เข้ามาถึง คุณซูซูกิ ถึงกับถามคุณยายว่า ฟังเพลงอะไรนี่
และน้ำอัดลม โคคา โคลา ได้เข้ามา ...คุณซูซูกิ กะบอกว่า มันคือซีอิ้ว... ดีดีนี้เอง



มันคือเรื่องราวของชุมชนเล็กๆบ้านใกล้เรือนเคียง ของถนน Third Street เขตยูฮีของเมืองโตเกียว



กับครอบครัวแรก
คุณซูซูกิ กับร้าน ซูซูกิ ออร์โต เป็ฯเพียงแค่อู่ซ่อมรถยนต์เล็กๆ โดยมีภารยาของเค้าคุณโทโมเอะ ซึ่งดูแลลูกชายเค้า อิปเป และคุณซูซูกิ ได้จ้างเด็กผู้หญิง มาเป็นพนักงานซ่อมรถในร้านของเค้า มัตสุโกะ ซึ่งเธอผิดหวังม๊ากก เธอนึกว่าเธอจะได้ เป็นเลขา บริษัทออร์โตยานยนต์ที่ใหญ่โต

กับความผิดหวังของมัตสุโกะ และคุณซูซูกิ รู้ว่ามัตสุโกะ ซ่อมรถยนต์ไม่เป็นเลย คุณซูซูกิซึ่งมีการศึกษาน้อย ได้อารวาด พังร้าน ตามมัตสุโกะที่ไปซ่อนตัวจนถึงข้างบ้าน

มันคือความเข้าใจผิดของคุณซูซูกิและอ่านหนังสือตกไป มัตสุโกะกรอกใบสมัครงาน ว่า... เธอซ่อมจักรยานเป็น

และมันก็คือการปรับความเข้าใจกัน ระหว่างคุณซูซูกิ และ มัตสุโกะ

คุณซูซูกิ:ฉันเข้าใจว่าเธอผิดหวัง ฉันลำบากใจเวลาประกาศรับสมัครคนงาน
...Automobiles are a growing industry now.
ต่อไปนี้อุตสากรรมรถยนต์จะก้าวหน้า ...การมีบริษัทรถยนต์คงไม่ไช่ความฝันแล้ว
เราจะส่งรถไปขายต่างประเทศด้วยซ้ำไป
สงครามจบลงแล้ว ...อีกหน่อยเราก็มีตึกใหญ่ๆได้ ... เธอจะช่วยฉันทำงานมั๊ย

มัตสุโกะ:ชั้นซ่อมรถไม่เป็นซักอย่างเลย
คุณโทโมเอะ: ค่อยๆเรียนรู้ไปก็ได้จ๊ะ
มัตสุโกะ:ขอบคุณม๊ากนะค่ะ ฉันจะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดเลย
ครอบครัวคุณซูซูกิ ดีใจกันยกใหญ่ ...ดีจังเลย พวกเราหวังพึ่งเธอน๊ะมัตสุโกะ

และความรอบคอบ อย่างคุณโทโมเอะ ในสมัยนั้น เธอปะเสื้อให้ลูก อิปเปไม่ชอบเลย บอกว่าแม่ทำไมต้องเอาเสื้อเก่ามาปะด้วย...ประหยัดจ๊ะลูก

มันมากกว่านั้นอะ ...ตอนอิปเปพาชินุซุเกะไปตามหาคุณแม่ เด็กทั้งสอง มีตังค์ค่ารถราง แค่ไปเท่านั้น แต่เงินค่าตั๋วขากลับไม่มี...ไปถึงที่แม่ชินุซุเกะ กะไม่ต้องการพบ เด็กทั้งสอง นั่งคอตกริมสะพาน ทะเลาะกันโทษกันบ้าง ร้องไห้บ้าง ...อิปเป จำคำคุณแม่ได้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น หยิบเครื่องรางของแม่ ที่ปะกะเสื้อลูกไว้ออกมาน๊ะจ๊ะไว้ใช้ตอนฉุกเฉิน ...อิปเปหยิบออกมา มันคือตังค์ค่ารถกลับบ้านของเด็กทั้งสอง ...และอิปเป แม่ครับ นี้ตังค์ทอน




ในขณะที่เพื่อนบ้านอย่าง คุณริวนุสุเกะ นักประพันธ์ไส้แห้ง ส่งงานไปไม่เคยได้รับรางวัลกะเค้าสักกะที หน้าบ้านขายของเด็กเล่น สิ่งที่เค้าเขียน นั้นคือการ์ตูนย์สำหรับเด็ก "The Young Boys Adventure Club" คุณริวนุสุเกะ ไปตกหลุมรัก คุณฮิโรมิ ทว่าคุณฮิโรมิ ฝากเด็กที่แม่ของเด็กได้ทิ้งแกไว้ ให้คุณริวนุสุเกะดูแล

สิ่งที่คุณริวนุสุเกะเข้าใจกันได้กับ หนูน้อย ชินุซุเกะ นั้นคือ ชินุซุเกะ เป็นแฟนตัวยงกับการ์ตูนย์ของเค้า
กับพรสวรรค์ของชินุสุเกะ เค้ากะชอบเขียนนิยายเช่นกัน จนเพื่อนๆๆในโรงเรียนติดกันงอมแงม

คุณริวนุสุเกะ ตัน คิดเรื่องนิยายสำหรับเด็กไม่ออก เค้าได้เห็นงานเขียนของ ชินุสุเกะ และเค้าเอาไปส่งตีพิมพ์ เพื่อนๆๆของชินุสุเกะ เห็น นี้มันงานเขียนของนาย

คุณริวนุสุเกะ :ทำไมมองฉันอย่างงั้นเล่า ฉันต้องเลี้ยงคนที่ไม่เป็นอะไรกันเลย...ความคิดของเธอก็ต้องเป็นของฉันรู้มั๊ย ...เอ้าค่าเรื่อง ร้อยเยนต์ ...ค่าเรื่องคราวหน้าแบ่งครึ่งให้พอใจมั๊ย จะให้ทำยังไงถึงจะพอใจละ

ชินุซุเกะ :ร้องไห้ ...ไม่เอาตังค์ ...คือผมดีใจม๊ากกเลย ...ที่น้าเอาเรื่องของผมไปทำเป็นนิยายจริงๆ ...และตอนนี้ยังเป็นหนังสืออีกด้วย ...Incredible เหลือเชื่อที่สุดเล๊ยย
เยี่ยมไปเล๊ยยยยย

ชินุซุเกะ กะยิ้มอย่างดีใจ...นั้นคือ ความภูมิใจ ดีใจของเด็กๆๆ แค่นี้แหละที่เด็กมันคิดกันงะ



และวันคริสมาสวันแห่งความชื่นชมยินดีกะมาถึง

ชินุซุเกะ ได้ปากกาหมึกซึม ที่ชินุซุเกะอยากได้...จากซานตาครอส ...ซึ่งชินุซุเกะคิดว่า ลุงซานต้าไม่มีจริง...ลุงซานต้ามีจริงด้วยยยยย

มันกลับกลายเป็นว่า ...คุณริวนุสุเกะไปขอยืมตังค์คุณซูซูกิ เพื่อซื้อปากกาหมึกซึม และกล่องแหวนให้คุณฮิโรมิ

อิปเป ได้เกมส์เบสบอล เป็นของขวัญจากคุณพ่อคุณแม่
มัตสุโกะ ได้โบนัสเป็นตั๋วรถไฟ กลับบ้านเพื่อไปเยี่ยมคุณแม่ แต่มัตสุโกะไม่อยากไป เพราะ แม่ของเธอไม่เคยตอบจดหมายเธอเลย และบอกกับเธอว่า เธอไม่อยู่กะ save ค่ากินไปอีกหนึ่งคน
... แต่จริงๆๆแล้ว คุณแม่ของมัตสุโกะ เขียนจดหมาย ถึง คุณโทโมเอะ ตลอดเวลา ...เหตุผลเพราะเธออยากให้ลูกของเธอเข้มแข็ง

และมันกลับกลายเป็นว่า ชินุซุเกะ เป็นถึงลูกของประธานบริษัท และเค้ามารับชินุสุเกะ ...มันคือความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งในเรื่องของวรรณกรรม ระหว่าง ชินุซุเกะ และคุณริวนุสุเกะ ที่มีความเห็นตรงกัน

และความชื่นชมยินดีของพวกเค้าทั้งหมด ในวันคริสมาส
ชินุซุเกะ และคุณริวนุสุเกะ จ้องมองไปที่หอโตเกียว ทาวเวอร์ที่สร้างเสร็จแล้ว ...พวกเราจะรอคุณฮิโรมิกลับมาเพื่อเป็นครอบครัว
มัตสุโกะ นั่งรถไฟกลับบ้าน พร้อมกับมองไปที่ หอโตเกียว ทาวเวอร์
อิบเป คุณซูซูกิ คุณโทโมเอะ มาส่งมัตสุโกะ ...และกะมองไปที่หอโตเกียว ทาวเวอร์อย่างชื่นชมยินดี

Tomorrow and the day after and for 50 more years.
The sunset will always be pretty.
ไม่ว่าพรุ่งนี้มะรืนนี้ หรืออีก 50 ปี ....พระอาทิตย์ตอนตกดิน.... ก็สวยเสมอ



Film ไม่ได้สื่อ ผลพวงหลังสงครามอันเลวร้าย สิ่งที่สื่อ มันมีแต่การพัฒนา ก้าวไปข้างหน้า ของสังคมญี่ปุ่น ...มันคือการพัฒนาทางด้านจิตใจ จิตวิญาณ ที่มองโลกในแง่ดี ...และพัฒนาควบคู่กันไปกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ...และนำไปสู่ความสำเร็จของประเทศเค้าอะ



Tokyo Tower -Tokyo Miniature-


หลังสงครามในปี 1950,ประเทศญี่ปุ่น มองหาอนุสาวรีย์ เพื่อมาเป็นสัญญาลักษณ์ เพื่อแสดงถึงอำนาจอิทธิพลทางเศรษฐกิจของโลก,และยังถูกสร้างให้เป็นสถานีถ่าย ทอดสัญญาณโทรทัศน์ และวิทยุอีกด้วย.ดูเหมือนว่าหอคอยโตเกียวจะได้รับแรงบันดาลใจจากประเทศตะวัน ตก โดยความตั้งใจของรัฐบาลโตเกียว,ที่จะสร้างหอคอยสูงขนาดใหญ่แบบหอสูงที่กรุง ปารีส หอคอยโตเกียวถูกสร้างด้วยบริษัท Takenaka โดยสร้างจากสถาปัตยกรรมแบบโบราณของชาวญี่ปุ่น ที่เน้นถึงความแข็งแรง และเหนียวแน่น และโครงสร้างเสร็จในปี 1958 ใช้เงินในการก่อสร้างกว่า 2.8 พันล้านเยน .เป็นหอคอยขนาดยักษ์มีความสูงกว่า 333 เมตร.และถูกบันทึกลงในหนังสือระดับโลกมากมาย .ตัวอาคารประกอบด้วยโครงสร้างเหล็กกล้า และมีความสูงกว่า หอ Eiffel ถึง 13 เมตร หอคอยโตเกียวยังเป็นเหมือนเส้นขอบฟ้าของกรุงโตเกียว.จากที่ไม่เคยมี อนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงระดับสากล แม้ว่าจะใช้เหล็กกล้าอันก้าวหน้า แต่ก็ยังหนักกว่าครึ่งของ Sibling ของประเทศฝรั่งเศส (ประมาณ 4000 ตัน) และเป็นหนึ่งใน 21 อนุสาวรีย์หอคอยที่ยิ่งใหญ่ของโลก ("The World Federation of Great Towers," ) อีกด้วย

มี 9 สถานีโทรทัศน์และ 5 สถานีวิทยุใช้ที่นี่เป็นหอการกระจายสัญญาณ หอคอยโตเกียวนี้เป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวมากกว่าศิลปะน่าเบื่อ ๆ ซะอีก รอบ ๆ หอคอยโตเกียว มีต้นช้าปลูกรอบ ๆ และชั้นหนึ่งทำเป็น พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ (Ocean world ) มีพันธุ์ปลามากกว่า 50,000 ชนิด ชั้น3เป็น พิพิธภัณฑ์ขี้ผึ้ง แสดงเกี่ยวกับความลึกลับของการเดินทางรอบโลก.และชั้นที่4 เป็นหอศิลป์ (Art Gallery) เราสามารถส่องกล้องที่ทางหอคอยโตเกียวทำขึ้นชมวิวทิวทัศรอบ ๆ เมืองได้อีกด้วยด้วยมีจุดส่องกล้อง 2 จุด คือจุดหลัก สามารถส่องชมวิวได้ไกลกว่า 150 เมตร และจุดพิเศษ จะสามารถส่องได้ไกลกว่า 250 เมตรด้วยเฉพาะอย่างยิ่งจะในช่วงฤดูหนาวสามารถเห็นวิวที่ทัศน์ที่สวยงาม อย่างถูเขาฟูจิที่ปกคุมไปด้วยหิมะ,ถูเขา Hakoneถูเขา Tsukuba ได้อีกด้วย หอคอยโตเกียวสามารถสังเกตเห็นได้จากระยะไกล เพราะมีจุดเด่นที่หลอดไฟขนาดใหญ่กว่า 164 ดวง ประดับด้วยสีสันต่าง ๆ ทุกวันนี้หอคอยโตเกียวถูกสร้างมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว เป็นสถานที่แพร่สัญญาณโทรทัศน์.มีการวางแผนสร้างหอคอยสูงที่ ไซตามะ เพื่อแสดงถึงเมืองหลวงแห่งใหม่ของประเทศญี่ปุ่นซึ่งจะมีความสูงถึง 500 เมตร และทุกวันนี้บริษัทโทรทัศน์ Nippon เป็นผู้จัดการดูแลหอคอยโตเกียว ไม่ว่าจะเปิดอะไรขึ้นจะมีหอคอยแห่งใหม่ที่ใหญ่กว่าสูงกว่าถึง 700 เมตรก็ตามแต่เชื่อว่าหอคอยโตเกียวก็ยังเป็นที่รักของคนชาวโตเกียวต่อไป


Tokyo Tower


ชั้น 1 Tokyo Tower Aquarium

ีมีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่สำคัญที่สุดของประเทศญี่ปุ่น และเป็นที่นิยมที่สุดในญี่ปุ่นโดยมีปลามากกว่า 50,000 ตัวและกว่า 800 สายพันธุ์เลยทีเดียว

ชั้น 1 และชั้น 2 แหล่งรวมร้านขายของมากมาย ร้านอาหาร และร้านน้ำชา

ในชั้นนี้สามารถหาซื้อของที่ระลึกของโตเกียว และญี่ปุ่นเพื่อซื้อเป็นของฝากได้ที่นี่ และยังมีร้านอาหารอีกหลายร้านด้วย

ชั้น 3 Tokyo Tower Carnival (คาร์'นะเวิล)

"พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง"

ที่ชั้นนี้สามารถเดินชมหุ่นขี้ผึ้งได้ โดยเป็นหุ่นของคนสำคัญของโลก

"โซนพิศวง (Mysterious Walking Zone)"

ที่นี่เราสามารถพบกับเทคโนโลยีแบบภาพสามมิติ ล้ำสมัย ตื่นตาตื่นใจอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

ชั้น 4 Tokyo Tower Trick Art Gallery

ห้องจัดแสดงภาพศิลปะ และเพลิดเพลินกับภาพในระบ 3 D

Government Information Display Center (Forest of Information)

ห้องแนะนำเรื่องราวเกี่ยวกับญี่ปุ่นสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะ จัดโชว์ในรูปแบบวีดีโอ เพื่อความบันเทิง

ห้องจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับสถิติ (Statistics Plaza)

เรื่องราวของประวัติศาสตร ์ที่นำเสนอผ่านวีดีโอ และเกมส์คอมพิวเตอร์ เพื่อให้ง่ายแก่การเข้าใจของผู้มาเยี่ยมชม


Source://www.fareastfilms.com/
reviewsPage/
Always-Sunset-On-Third-Street-1381.htm

//www.thaigoodview.com/node/8280






 

Create Date : 30 กันยายน 2552
13 comments
Last Update : 3 ตุลาคม 2552 16:23:12 น.
Counter : 2458 Pageviews.

 

เจิม ๆ จ้า

 

โดย: รัชชี (รัชชี่ ) 30 กันยายน 2552 20:41:51 น.  

 

เจิมด้วย

 

โดย: Mr.Chanpanakrit 30 กันยายน 2552 21:12:19 น.  

 

เจิมด้วย


โดย: Mr.Chanpanakrit วันที่: 30 กันยายน 2552 เวลา:21:12:19 น.

ตอบ เขียนได้ยาววววววววววววววววววววดี
ประชุมโลกร้อนที่ผ่านเมืองไทย เชิญโน้นเชิญนี้มา

สรุป ไม่คืบหน้า ให้จีนลดคาร์บอน แปรพลังงาน เรื่องเดิมๆๆ

ทำไมไม่หากลวิธี ปลุกจิตสำนึกง่ายๆๆกันหว่า

 

โดย: Bernadette 30 กันยายน 2552 21:45:10 น.  

 


ภาระกิจ 15-21 กย.2552 ที่ประเทศญี่ปุ่น



ดูภาค1 แล้วค่ะสาวแบร์
ในโรงแถวสกาล่า..
แล้วไปเห็น+ถ่ายรูปหอคอยโตเกียวมาฝากเพื่อนๆเมือ่ 2-3 บล็อคก่อน..
เห็นหอคอยโตเกียวปั๊ป..นึกถึงหนังเรื่อง always ทันที
แต่เราไม่รู้จะบอกใครตอนนั้น
เพราะที่เดินทางไปด้วยกัน..ไม่ใช่คนดูหนังแนวเรา



 

โดย: เริงฤดีนะ 30 กันยายน 2552 21:55:39 น.  

 

ดูภาค1 แล้วค่ะสาวแบร์
ในโรงแถวสกาล่า..
แล้วไปเห็น+ถ่ายรูปหอคอยโตเกียวมาฝากเพื่อนๆเมือ่ 2-3 บล็อคก่อน..
เห็นหอคอยโตเกียวปั๊ป..นึกถึงหนังเรื่อง always ทันที
แต่เราไม่รู้จะบอกใครตอนนั้น
เพราะที่เดินทางไปด้วยกัน..ไม่ใช่คนดูหนังแนวเรา




โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 30 กันยายน 2552 เวลา:21:55:39 น.

ตอบ อือ พี่นางฟ้า ได้โชว์รูป Tokyo Tower เล๊ยยย

Film เรื่องนี้ได้รางวัลตริมเล๊ยยย ขี้เกียจแจง ยาวม๊ากกกกกกก

 

โดย: Bernadette 30 กันยายน 2552 22:54:00 น.  

 

ไม่ว่าพระอาทิตย์จะตกวันไหน เราก็ร่าเริงหลังพระอาทิตย์ตกเสมอ

55555

ไปรับการบ้านที่บ้านคุณพี่เจ้าหญิงด้วยนะ..จุ๊บๆ

 

โดย: เจ้าหญิงที่เจ้าชายตายจาก (timeofmylove ) 1 ตุลาคม 2552 2:39:56 น.  

 

ผมเคยยืมมุกตลับใส่แหวนแต่งงานอันว่างเปล่าไปใช้แต่ไม่ยักเวิร์คเหมือนในหนังอ่ะครับ อิอิ

 

โดย: Nanatakara 1 ตุลาคม 2552 3:25:50 น.  

 

ไม่ว่าพระอาทิตย์จะตกวันไหน เราก็ร่าเริงหลังพระอาทิตย์ตกเสมอ

55555

ไปรับการบ้านที่บ้านคุณพี่เจ้าหญิงด้วยนะ..จุ๊บๆ


โดย: เจ้าหญิงที่เจ้าชายตายจาก (timeofmylove ) วันที่: 1 ตุลาคม 2552 เวลา:2:39:56 น.

ตอบ เรื่องโมเม คิดเองเออเองนี้ มันช่วยมะได้จริงจริ๊งงงงง

เอาเพลงมาฝากพี่เจ้าหยิงค่ะ แบร์บ้าสัจธรรมเช่นเคย


Asanee Wasan TSB:1:14:9 ยิ่งสูงยิ่งหนาว Ying Soong Ying Now HQ

 

โดย: Bernadette 1 ตุลาคม 2552 9:35:41 น.  

 

ผมเคยยืมมุกตลับใส่แหวนแต่งงานอันว่างเปล่าไปใช้แต่ไม่ยักเวิร์คเหมือนในหนังอ่ะครับ อิอิ


โดย: Nanatakara วันที่: 1 ตุลาคม 2552 เวลา:3:25:50 น.

ตอบ อ้อเรื่องนี้ เพื่อนพาไปสอยที่เจียงใหม่จ้า มันบอกเรื่องนี้ ดีดี กะหยิบหยิบ ตามที่มันบอกงะ

 

โดย: Bernadette 1 ตุลาคม 2552 9:46:38 น.  

 

รัชชี่ได้เคยดูสารคดี “ฮิโรชิมา” ถ่ายทอดเรื่องราวยุคสงครามโลกและสัมภาษณ์คนญี่ปุ่นที่เคยเจอเหตุการณ์ช่วงนั้น

ญี่ปุ่นเก่งมากนะ หลายสิบปีผ่านไป ทำอะไรได้มากมาย ไม่เหลือภาพความเสียหายของการถูกบอมบ์ในยุคสงครามโลกเลย

 

โดย: รัชชี่ (รัชชี่ ) 1 ตุลาคม 2552 10:08:20 น.  

 

Google วันนี้ แฮปปี้เบริทเดย์ มหาตะมะ คานที



มหาตมา คานธี (อังกฤษ: Mahatma Gandhi) เป็นผู้นำและนักการเมืองที่มีชื่อเสียงชาวอินเดียและศาสนาฮินดู มีชื่อเต็มว่า โมหันทาส กรรมจันท คานธี (คุชราต: મોહનદાસ કરમચંદ ગાંધી; อังกฤษ: Mohandas Karamchand Gandhi) เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 1869 ในแคว้นคุชราตทางทิศตะวันตกของอินเดีย

Mahatma Gandhi : God is Life, Truth, Light, Love and The supreme Good



การต่อต้านที่มีเหตุผล ได้ เราจะยอมเป็นนักโทษ เราจะตั้งสัตย์แด่พระเป็นเจ้าว่า
"เราจะยอมติดคุก และอยู่ในนั้นจนกว่ากฎหมายยกเลิกไป"
ผู้ยอมเสียสละเพื่อประเทศชาติ ท่านพูดว่า "เราคงจะเสียชีวิตด้วยการโดนลอบสังหาร เมื่อถึงเวลานั้น เราจะยอมรับลูกกระสุนด้วยความกล้าหาญ"
ขณะกล่าวในพระนามของพระเป็นเจ้า และเมื่อนั้นเราคือ มหาตมะคานทีอย่างแท้จริง

ราไม่ได้ปฎิเสธกฎหมาย หรือผู้ตรากฎหมาย เรารู้เรื่องกฎหมายนั้น เรื่องของคนผู้นั้นน้อยม๊ากก แต่พระเป็นเจ้าจะครองใจและเปลี่ยนแปลงมันได้ สิ่งนี้พิสูจน์ได้จากความประพฤติ อุปนิสัยที่เปลี่ยนไป ของผู้ที่มีความเชื่อมั่นว่า มีพระเจ้าอยู่จริง

มูฮานดาส เค คานที Mohandas Karamchand Gandhi (Gujarati: મોહનદાસ કરમચંદ ગાંધી, IAST: mohandās karamcand gāndhī

เค้าเขียนอัตชีวิตของตน ให้ชื่อหนังสือว่า "ข้าพเจ้าทดลองความจริง วิถีอันยาวไกลในการเปลี่ยนแปลงตนเอง" เริ่มขึ้น ในปี 1869 จากบ้านของชนชั้นกลาง ที่เมืองท่า ทาเมนเดอร์ ที่อินเดีย ในวัยเด็ก ได้ชีวิตมีระเบียบแบบแผน อย่างเคร่งครัดของมารดา ที่ศรัทธาในศาสนา ฮินดู เค้าเป็ฯลูกคนสุดท้องในจำนวนสี่คน แต่งงานอายุ 13 ปี อายุ 17 ปี ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ

mahatma Gandhi


ในช่วงนั้น ความใฝ่ฝันสูงสุดของเค้า คือการได้เป็นสุภาพบุรุษชาวอังกฤษ เค้าจะถือหมวกทรงสูง และถือไม้ตะพดเลี่ยมเงิน เค้าเรียนเต้ นรำ หัดสีไวโอลีน และพูดภาษาฝรั่งเศส

แม้ได้รับปริญญาทางกฏหมายมาแล้ว เค้าไม่มั่นใจว่า จะทำงานได้ ดังที่บันทึกไว้ว่า " ความอับจนของปัญญา และความกลัว ดูจะไม่มีวันจบสิ้น"

เค้า จึงไปอินเดีย และเมื่อมีงานทำชิ้นแรก เมื่อต้องว่าความในศาล เค้าไม่สามารถพูดอะไรต่อผู้พิพากษาได้เลย ตัวของเค้าแข็งทื่อไปหมด และก็เสียใจในตัวเองม๊าก ด้วยความอดสูใจ เค้าหาคำตอบในตัวเอง

ในที่สุดเค้าได้รับข้อเสนอให้ทำงานที่อาฟริกาใต้ คือจุดเริ่มต้นของ อหิงสา และเค้าพูดว่า "ในประเทศที่ยากไร้ และแห้งแล้งนี้เอง ที่ข้าได้พบกับพระเจ้า"

คานทีได้พบ เหตุการณ์สะเทือนใจอย่างรุนแรง เค้าสำรองตัวที่นั่งชั้นหนึ่งรถไฟ เพื่อเดินทางไปปิโทรเรีย โดยที่เค้าไม่รู้เรื่องคนกีดกันคนผิวสีและคนอินเดีย และเค้าถูกคนขาวไล่เค้าให้ไปนั่งชั้น 3 และคานทีต่อสู้ ในที่สุด คานทีถูกเจ้าหน้าที่ไล่ลงสถานีรถไฟ ปีเตอร์มาลิเบิรก อย่างโหดร้ายม๊าก

ทำให้คานทีคิดถึงการเปลี่ยนแปลง คิดหาทางเพื่อให้ได้รับความยุติธรรม เป็นช่วงที่เค้าใช้ความคิดม๊ากที่สุดในชีวิต ตอนแรกเค้าคิดจะกลับอินเดีย แต่เค้าได้ละทิ้งความคิดนี้ไป

เป็ฯการกระทำที่ขี้ขลาด เป็นการยอมรับการกีดกันของเชื้อชาติ แต่จิตใจของเค้าไม่ยอมจำนน เค้าคิดจะตอบโต้ผู้กดขี่แต่ก็ล้มเลิกไป ทางเลือกเดียวของเค้าก็คือ อยู่ต่อเพื่อต่อต้าน

ต่อมาเค้าเริ่มก่อชุมนุม ผู้อพยพชาวอินเดียในอาฟริกาใต้ คานทีอายุเพียง 24 ปี เค้ารู้สึกว่า เป็นลิขิตที่เค้าจะต้องอยู่ต่อไป ต่อสู้เพื่อสิทธิ ประชาชนอินเดีย และคนผิวดำ นี้คือจุดเริ่มต้นของเค้า หมายถึง จิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่

Mahatma gandhi Funeral Cremation


ปี 1890 ชาวอาฟริกัน และอินเดีย ตกเป็นเบี้ยล่างของชนชาติผิวขาว ไม่มีกฎหมายมีสิทธิในการเลือกตั้ง หรือเป็ฯเจ้าของทรัพย์สิน หรือแม้แต่เดินบนท้องถนนในยามค่ำคืน ช่วงแรกคานทีอ่อนประสบการณ์ในเกมส์ การเมือง เค้าพยายามแก้กฎหมาย แต่ะไม่ทันชนชาติผิวขาว ที่แก้กฎหมายกลับ และกฎหมายใหม่สร้างมาแทนที่อีก

เมื่อเป็นเหยื่อคนผิวขาว คานทีพัฒนาชุมชน รวบรวมคนหลายเชื้อชาติ ศาสนา ที่อยู่รวมกันอย่างเสมอภาค คานทีชิงชังระบบการปกครองของอังกฤษ แต่คานทีกะนับถือ เค้าคือพลเมืองดี ของสหราชอาณาจักร จนกระทั้งปี 1906 เค้ายังร้องเพลงสดุดี ฉลอง The Queen และ สอนให้ลูกๆๆร้องด้วย เค้าจงรักภักดี ช่วยรบสงครามโฮเออร์ สงครามกบฎซูลู เค้าทำหน้าที่บุรุษพยาบาล เค้าตะหนักว่า นี้คือการสังหารหมู่นั้นเอง

ปี1906 มีกฏหมายใหม่ให้ชาวอินเดียขึ้นทะเบียน และใช้ลายนิ้วมือ หญิงชาวอินเดียต้องเปลื้องผ้าต่อคนผิวขาวเพื่อจดบันทึกแผลเป็น ทำให้ชาวอินเดียกว่า 3000 คน มาร่วมประชุมกัน ที่เมืองโจฮันเนสเบิรก วางแผนการประท้วง คานทีบอกว่า "เราขอถวายสัตย์ต่อพระเป็ฯเจ้า เราจะเข้าคุก เราจะอยู่ในนั้น จนกว่ากฎหมายจะถูกยกเลิกไป"

คำ พูดของคานที ทำให้มวลชนขัดขืนคำสั่งอย่างไม่เคยมีมาก่อน ผู้ประท้วงภายใต้การนำของคานที ยอมอดทนต่อการทุบตี ยอมรับความเจ็บปวดอย่างขมขื่น โดยไม่ยอมโต้ตอบ
คานทีเข้าใจทันที "เมื่อใดหัวใจของมนุษย์ถูกปิดกั้น คุณไม่อาจเข้าใจเหตุผลนั้นได้ เค้าก็ไม่รับฟัง หากคุณใช้เหตุผล ก็ไม่สามารถใช้ความรุนแรงได้ "

คานทีจึงพบการต่อต้าน แบบ "สันติวิธี"
ไม่ยอมแพ้ แต่ไม่ตอบโต้ด้วยการทำอันตรายใดใด

คานทีบัญญัติศัพย์ใหม่ มาจากสันสกฤตที่ว่า สัตยาเคราะ คือ สัจจะ และการแสวงหา มีความหมายเก่าแก่เท่ากับปรัญญามนุษย์

ปี 1913 นายพล ยาน สมั๊ท ประมุขหุ่นเชิดของอังกฤษในอาฟริกาใต้ ผ่านกฎหมายต่างๆๆ และคานที โจมตีและต่อต้าน คานทีเรียกร้องให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมในชุมชนมากขึ้น การโจมตีของคานที มีผู้ปลดปล่อยนับล้าน และคานทีมีเครื่องมือทรงพลังมากขึ้น นายพล สมั๊ท ยอมผ่อนปรน

ปี 1915 คานที กลับอินเดีย เพื่อคัดค้านอังกฤษ 2 ศตวรรษที่ อังกฤษชกชิงปล้นทรัพยกร ของอินเดีย อังกฤษทำให้อินเดียตกต่ำ ชาวอินเดีย 300 ล้านคนก้มหัวให้ชาวอังกฤษซึ่งมีแค่ 100,000 คนเท่านั้น

คานทีกล่าวว่า "คนที่งอมืองอเท้าเหมือนกับหนอน ก็มีแต่รอวันถูกเหยียย้ำ"

" เมื่อใดที่เราจะเรียนรู้การปฏิวัติตัวเอง เราเคยชาชินกับการเรียนรู้ผู้อื่น ด้วยการกำจัดนิสัยพึ่งพาความช่วยเหลือ และให้สินบน ไม่ใช่ละทิ้งความกล้าหาญ เราจะปฎิวัติรัฐบาลไม่ได้ ถ้าเราไม่ปฎิวัติตนเอง"

ปี 1919 คานทีประท้วงกฎหมายชุดใหม่ กระตุ้นให้มีการประท้วงระดับชาติ ชาวอินเดีย 2000 คนประท้วงในจตุรัสอามิสเซอร์ ถูกทหารฆ่าตายอย่างทารุณ ประชาชน 370กว่าคนเสียชีวิต บาดเจ็บกว่าอีกพันคน

ภายหลังสังหารหมู่นายพลไดเออร์มีสองทางให้คนอินเดียเลือก คือ นอนราบเหมือนหนอน กะถูกโบยเสียชีวิต

ต่อมานองเลือดอีก ฝ่ายอินเดียเป็นฝ่ายชนะ เป็นการสร้างความเสี่ยงให้เกิดการนองเลือดอีก

คานที กล่าวว่า "เราต้องไม่ทำกับชาวอังกฤษเหมือนกับที่นายพล ไดเออร์ทำกับเรา เราต้องแสดงให้เห็นว่า พวกเรามีคุณธรรมเหนือความเกลียดชัง "
เค้าไม่ต้อง การให้เห็นว่า ชาวอังกฤษเป็นศตรู เค้ากล่าวว่า "คนเหล่านั้นไม่ใช่ศตรูแต่เป็นเพื่อนเรา ได้รับการปลดปล่อย เช่นเดียวกับเราที่ต้องการด้วย "

3 ปีหลังจากนั้น คานทีเปลี่ยนแปลงจาการรักชาติเป็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
คานที สวมเสื้อผ้า กินแต่น้อย เหมือนบันดาพวกยากจน ในอินเดีย ผู้หญิงใส่ชุดประจำชาติ ปั่นด้ายเอง เสื้อผ้ายุโรปเผาทิ้ง เพื่อส่งเสริมการพึ่งพาตัวเอง

Gandhiji- Father of the Nation


ปี 1930 เมื่ออายุ 61 ปี เค้าพูดถึงการต่อต้าน ระบบการจัดเก็บภาษี เกลือ ที่ไม่ยุติธรรมของอังกฤษที่เรียกว่า "ภาษีเกลือ" เป็นเรื่องผิดกฎหมายที่ชาวอินเดียผลิตเกลือเอง ค้าขายเกลือ สงวนไว้ชาวต่างชาติเท่านั้น
คานทีเดินทาง 240ไมล์เพื่อผลิตเกลือด้วยตัวเอง อังกฤษมองศตรูของเค้าเป็นเรื่องน่าขัน 12 พฤษภาคม คานทีออกเดินทางพร้อมผู้ติดตาม 80 คน ท่ามกลางนักข่าวทั่วโลก มาทำข่าวนี้

คานทีกำเกลือ ขึ้นมากำหนึ่งบอกว่า "ด้วยเกลือนี้ ข้าขอต่อต้านจักรวรรดิ์ อังกฤษ จงมาทวงสิทธิอันชอบธรรม จากผู้ยิ่งใหญ่นี้ด้วยกันเถิด"

คนทั่วประเทศ ผลิดขายเกลือกันอย่างเปิดเผย

ภายใต้แรงกดดันจากนานาชาติในที่สุด ผู้สำเร็จราชการ ลอร์ด เออวิน ยอมปล่อยคานทีและมาเจรจา

ปี ถัดมา คานที เดินทางไปประชุมที่ลอนดอน เพื่อร่วมประชุมอนาคตของอินเดีย เค้าเดินทางที่นั่ง ชั้น 3 เค้าอยู่ร่วมกับผู้ยากไร้ และเด็กๆๆร้องถามเค้าว่า คานทีกางเกงของคุณอยู่ใหน ทำให้ได้รับความนิยมมาก คนชื่นชมมาก

เมื่อเข้าเฝ้าking เค้าถูกตำหนิ เพราะเรื่องการห่มขาวที่เค้าเข้าเฝ้า king ตรัสว่า "คานทีแต่งตัวเหมาะสมดีแล้ว สำหรับเราสองคน "

ปี1945 อังกฤษคืนเอกราชให้อินเดีย เกิดการแบ่งแยกประเทศ คือปากีสถาน เกิดการนองเลือดขึ้น เป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดของ คานที มองดูแผ่นดินเกิดแตกแยกกันเอง

14 สิงหาคม ปี 1947 ชาวอินเดียฉลองเอกราช คานทีเห็ฯการแบ่งแยกประเทศของอินเดีย คานทีกล่าวว่า "พวกเค้ายินดีกันทำไม ข้าพเจ้าแลเห็นธารโลหิตที่ไหลนองเท่านั้น " ชีวิตคนกว่าครึ่งล้านคนดับสิ้นไป เกิดการปะทะกัน
ชาว ฮินดู เดินเท้ากลับอินเดีย ชาวมุสลิมเดินเท้ากลับปากีสถาน ทำกลางความขาดแคลน น้ำ อาหาร คานทีรู้สึกผิดไปด้วย โดยส่วนตัวแล้วเค้าล้มเหลว ที่ผู้คนไม่เชื่อหลัก อหิงสา หรือสันติวิธี
คานทีประท้วงอดอาหาร จนกว่าการนองเลือดจะยุติ จนกว่าจะเป็นพี่น้องกันดังเดิม ผู้คนประท้วงโกรธแค้นมาก บอว่า "คานทีจงไปตายซะ จงลงนรกซะ"

วันแรก วันที่ สอง วันที่ สาม วันที่ สี่ คนสนับสนุนคานที เพื่มขึ้นเรื่อยๆๆ คนต่อต้านคานที ลดลง ตะโกนร้องสดุดีคานที และสันติวิธี เกิดขึ้นที่นิวเดลฮี

คานทีเริ่มจารึกเพื่อสันติภาพ ผ่านดินแดนที่มีความเกลียดชัง เค้าเดินจากหมู่บ้านสู่หมู่บ้าน ที่เกลียดชัง

ไม่ มีชาวอินเดียคนใหน ที่คานทีเดินผ่านหมู่บ้านสู่หมู่บ้านนองเลือด รู้สึกละอาย เค้าละอายใจที่ทำให้คานทีรู้สึกผิดหวัง เค้ารู้สึกภูมิใจที่มีบุคคลผู้หนึ่งที่เค้าเคารพ
"รอบตัวข้าพเจ้าไม่มีสิ่งใดเลย นอกจากความรุนแรง ชีวิตข้าพเจ้าสูญเปล่าแล้ว"

เค้าเดินทางต่อปราศจากการอารักขา ผ่านสถานการอันตรายต่างๆๆ

30 มกราคม ปี 1948 คานที อายุ 78 ปีเดินเข้าสู่ที่ชุมนุม เพื่อสวดมนต์ในสวน เวอริเฮาท์ในกรุงนิวเดลฮี เด็กหนุ่มชาวฮินดูเดินมาเคารพเค้าและยิงใส่คานที 3 นัด
คานทีก่อนสิ้นใจพึมพำว่า "ราม" (พระนามพระเจ้าของฮินดู)

ท่ามกลางความโศกเศร้าของชาวอินเดีย "บิดาของประเทศเราได้จากไปแล้ว" ได้ดึงอินเดียพ้นจากความบ้าคลั่ง คนนับล้านมาเคารพศพเป็นครั้งสุดท้าย

Source :https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=soubirous&month=11-2007&date=13&group=7&gblog=16

 

โดย: Bernadette 2 ตุลาคม 2552 0:45:08 น.  

 

หนังเรื่องนี้จะว่าดีก็ดีนะแบร์

แต่เดินเรื่องเป็นสูตรสำเร็จไปหน่อยน่ะ

แบบเดาได้เลยว่าอะไรจะเกิดต่อ แต่หนังก็ดีจริงๆนะ

 

โดย: mr.cozy 3 ตุลาคม 2552 7:50:33 น.  

 

หนังเรื่องนี้จะว่าดีก็ดีนะแบร์

แต่เดินเรื่องเป็นสูตรสำเร็จไปหน่อยน่ะ

แบบเดาได้เลยว่าอะไรจะเกิดต่อ แต่หนังก็ดีจริงๆนะ


โดย: mr.cozy วันที่: 3 ตุลาคม 2552 เวลา:7:50:33 น.


ตอบ ใช่ใช่ ดำเนินเรื่องง่ายๆๆ เข้าใจง่าย ดี เมื่อไหร่จะอัพบล๊อคงะ เกาะขอบรอแหละ

 

โดย: Bernadette 3 ตุลาคม 2552 9:38:47 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Bernadette
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




In the name of the Father, and of the Son, and of the Holy Spirit

The Ave Maria asks Mary to "pray for us sinners."

Amen

PaPa for all Father W e pray year of priests.



Card Michael Michai Kitbunchu, Archbishop of Bangkok, is the first member of the College of Cardinals from Thailand.

source :http://www.asianews.it/news-en/Michai-Kitbunchu,-first-cardinal-from-Thailand-3038.html

พระคาร์ดินัล ไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู คณะเชนต์ปอล part1

ฺBishop ฟรังซิส เซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช พิธีรับPallium Metropolitans Bangkok Thailand >

สารคดี เทศกาลแห่ดาว สกลนคร Welcome
Sakonnakorn Christmas Thailand
Metropolitans Tarae Sakornakorn Thailand


Orchestra and four vocal Choir - *Latin* Recorded for the Anniversary of the Pope Benedict XVI April 19 This is the Anthem of the Vatican City. The Songs are called Inno e Marcia Pontificale ...

We are Catholic.

หน้าเฟส อัพรูป หาที่อัพรูปใหม่อยู่ http://www.facebook.com/bernadette.soubirous.3


MusicPlaylist
MySpace Music Playlist at MixPod.com

Friends' blogs
[Add Bernadette's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.