ประโยคเด็ดของอดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ตอนที่กำลังจะถูกไต่สวนเพื่อถอดถอนที่เรียกว่า "impeachment" กรณีอื้อฉาววอเตอร์เกทว่า "I am not a crook." กสัน ถูกกล่าวหาว่าปลิ้นปล้อนตอแหลจนถึงขั้นที่กำลังจะถูกไต่สวนเพื่อขับไล่ออกจากตำแหน่งเพราะใช้วิธีการพลิกแพลงต่างๆ เพื่อจะทำลายล้างศัตรูทางการเมือง
และประโยคที่หลุดออกมาว่า "I am not a crook" นั้น ถูกจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์อเมริกันมาถึงวันนี้ว่าเป็นถ้อยความที่สะท้อนถึงความสำนึกผิดในใจของตัวเองที่ไม่ยอมสารภาพจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
Film สร้างจาก หนังสือ the Watergate book ที่แต่งโดยนักหนังสือพิมพ์ ของ วอชิงตันโพส Carl Bernstein และ Bob Woodward มันคือความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ ในประวัติศาสตร์และมันยังคงอยู่ในใจของพี่น้องเมกัน
Film สื่อในลักษณะกับความขี้สงสัย ความกระหายข่าว ความอยากรู้อยากเห็น ต่อจิ๊กซอ และมันก็ได้ คลี่คลายออกมา และมันสอดคล้องกับเหตุและผล
ในคืนวันที่ 17 June 1972 มีการจับกุมถึง 5 คน ใน กองบัญชาการทหาร the Democratic National Committee ในอาคาร วอเตอร์เกท the Watergate complex ที่วอชิงตัน
11 January 1973 ฮันท์รับสารภาพ 3 กระทงในการบุกรุก 17 August 1973 มากรูเดอร์ รับสารภาพมีส่วนในแผนวอเตอร์เกท 05 November 1973 เซเกรทถูกจำคุกหกเดือน 26 Febuary 1974 คาล์มบาซรับสารภาพผิด เรื่องระดมเงินทุน.........ทำเนียบขาวอย่างผิดกฎหมาย
06 April 1974 เซพินมีความผิดฐานโกหกคณะลูกขุนใหญ่ 12 April 1974 พอร์เตอร์ถูกจำคุก 30 วันโทษฐานให้ความเท็จต่อเอฟบีไอ 17 May 1974 อดีตรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ไคลเดียนส์...ยื่นคำให้การแก้ฟ้อง 04 June 1974 โคลสันรับสารภาพผิดคดีอุกฉกรรจ์ และขัดขวากระบวนการยุติธรรม
13 March 1975 สแตน์ยอมรับผิด....ข้อกล่าวหาระดมเงินทุนอย่างผิดกฎหมาย 02 January 1976 มิทเชล ฮาลเดแมน เอียร์อีสแมน....มีความผิดทุกกระทงในคดีวอเตอร์เกท
6 August 1974 -เทปเปิดโปง ...นิกสันเป็นผู้อนุมัติการปกปิดความจริง ประธานาธิบดีกล่าวว่า.....จะไม่ลาออก
9 August 1974 นิกสันลาออก
เจรัลฟอร์ต เป็นประธานาธิบดีของเที่ยงวันนี้ Gerald R. Ford - Oath of office August 9th, 1974
Orchestra and four vocal Choir - *Latin* Recorded for the Anniversary of the Pope Benedict XVI April 19 This is the Anthem of the Vatican City. The Songs are called Inno e Marcia Pontificale ...
Source ://blog.eduzones.com/bluesky/25721
คดีวอเตอร์เกต บันทึกอันแสนอัปยศของนิกสัน
คดีวอเตอร์เกต บันทึกอันแสนอัปยศของนิกสัน
วอเตอร์เกต คดีฉาวสะท้านโลก เป็นคดีประวัติศาสตร์ที่สะเทือนศรัทธาชาวอเมริกันมากที่สุด เพราะมันทำลายภาพทุกอย่างที่อภิมหาอำนาจรายนี้สร้างขึ้นมา ตั้งแต่บทบาทตำรวจโลก แนวคิดที่ยึดมั่นในเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน และระบบการปกครองแม่แบบของประเทศประชาธิปไตย ทั้งหมดที่ว่านี้กลายเป็นภาพจอมปลอมในบัลดลเมื่อประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสันผู้ชื่อว่าทำประโยชน์ต่อชาติอเมริกามากที่สุดผู้หนึ่ง เช่น ยอมถอนทหารออกจากเวียดนาม ปิดฉากสงครามเย็นกับสหภาพโซเวียต และเปิดความสัมพันธ์กับจีนคอมมิวนิสต์ แท้จริงคือคนที่ใช้วิธีสกปรกเพื่อให้ตนเองชนะเลือกตั้ง ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น บิดเบือนซุกซ่อนข้อมูล และใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นเพื่อให้ตนเองพ้นผิด และเมื่อคดีแดงขึ้น คดีนี้จึงกลายเป็นแผลใจของอเมริกันชนที่กาลเวลาก็ไม่อาจเยียวยา
ก่อนที่จะเกิดคดีวอตอร์เกตนั้น ทำเนียบขาวกับเอฟบีไอเข้ากันได้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะหลังจากนิวยอร์กไทม์ ลงข่าวรั่วว่าทำเนียบขาวมีแผนจะแอบคุยกับโซเวียตเรื่องอาวุธ(ช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามเย็น) นั้นเองทำเนียบขาวไม่พอใจเอฟบีไอมาก ในที่สุดได้ว่าจ้างอดีตซีไอเอไปทำงานเรื่องข่าวกรองให้แทน ถึงขึ้นตั้งหน่วยพลัมเบอร์สขึ้นมาใหม่ และนั้นคดีจุดกำเนิดของคดีวอเตอร์เกต
คดีวอเตอร์เกตมีจุดเริ่มต้นที่นี้ โรงแรมวอเตอร์เกต วอชิงตัน ดีซี ในวันที่ 17 มิถุนายน 1972 ยาม ซึ่งโรงแรมนี้เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ระดับชาติของพรรคเดโมแครต ตอนนั้นเป็นเวลากลางคืน บังเอิญเจ้าหน้าที่โรงแรมได้สังเกตเห็นสิงผิดปกติในที่ทำการพรรคเดโมแครต จึงโทรเรียกตำรวจ ส่งผลสามารถจับกุมผู้ต้องหา 5 คนได้พร้อมของกลาง
ผู้ต้องหาเหล่านี้ประกอบด้วยนายเบอร์นาร์ด บาร์เกอร์, เวอร์จิลิโอ กอนซาเลซ, ยูจินิโอ มาร์ติเนซ, เจม แม็คคอร์ด และแฟรงค์ สเตอร์กิส โดยก่อนหน้านี้กลุ่มคนร้ายเคยแอบเข้าในออฟฟิศแห่งนี้แล้วเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อนถูกจับ
ต่อมาตำรวจพบว่า บรรดาคนที่ถูกจับเหล่านี้ไม่ใช้โจรกระจอก เพราะแต่ละคนต่างทำงานให้แก่สำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (ซีไอเอ)โดยชายทั้ง 5 ได้รับคำสั่งให้บุกเข้าไปขโมยข้อมูลที่พรรคเตรียมไว้เพื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งใหม่แข่งกับริชาร์ด นิกสัน เจ้าของตำแหน่งเดิม ในตัวผู้ต้องหาคนหนึ่งมีเบอร์โทรศัพท์ของที่ปรึกษาประจำทำเนียบขาว และในบัญชีของผู้ต้องหาอีกคนหนึ่ง มีเงิน 25,000 เหรียญที่ขึ้นด้วยแคชเชียร์เช็คประทับตรา นอกจากนั้นเอฟบีไอยังเจอบันทึก มีชื่อย่อที่อาจหมายถึงทำเนียบข่าวก็ได้ เช่น W.House และ W.H (White House)
ต่อมาคณะกรรมการเลือกตั้งประธานาธิบดี รัฐสภาสหรัฐจึงตัดสินใจตั้งคณะกรรมการสอบสวนคดีวอเตอร์เกตขึ้น
จากการสอบสวนพบว่า ในสมุดโน้ตของแม็คคอร์ด หนึ่งในคนร้าย มีหมายเลขโทรศัพท์ของโฮเวิร์ด ฮันต์ อดีตเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวคนหนึ่ง ซึ่งทำให้สันนิษฐานได้ว่า คดีนี้น่าจะมีเงื่อนงำทางการเมือง นอกจากนี้แม็ค คอร์ดยังสารภาพกับศาลด้วยว่า เขาเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ซีไอเอปลดเกษียณ
ต่อมาแฟรงค์ วิลส์ ยามรักษาความปลอดภัยประจำส่วนที่เป็นสำนักงานของโรงแรมพบว่า มีเศษเทปติดอยู่ที่ประตูห้องใต้ดินของอาคารส่วนที่เปิดไปโรงรถ ซึ่งทำให้ประตูไม่ได้ล็อก ตอนแรกเขาคิดว่าคนทำความสะอาดอาจจะลืมไว้จึงดึงออก แต่เมื่อกลับมาดูอีกครั้งก็พบว่ามีเทปติดอยู่อีก วิลส์จึงติดต่อไปยังตำรวจวอชิงตันดี.ซี.
แต่กระนั้นการสอบสวนของเอฟบีไอก็ไม่ได้ราบรื่นมากนัก เพราะถูกซีไอเอคอยดึงเรื่องและขัดขวาง เหมือนกับว่าต้องการให้เอฟบีไอไขว้เขวและวางมือ
ช่วง 1972 ความตึงเครียดระหว่างทำเนียบขาวกับเอฟบีไอขมึงตึงยิ่งขึ้น ถึงขั้นเผชิญหน้า ทำเนียบขาวหาทางขัดขวางการสอบสวนคดีวอเตอร์เกตอยู่เนืองๆ ทำให้การสอบสวนดำเนินไป 3 เดือน ปรากฏว่า ไม่มีหลักฐานว่ามีเจ้าหน้าที่ทำเนียบข่าวคนใดเกี่ยวข้อง
ดูเหมือนทุกอย่างจะมาถึงทางตันเสียแล้ว ตีนแมวที่ดอดเข้าไปในตึกวอเตอร์เกต กลายเป็นโจรธรรมดาไม่มีการขยายผล ส่วนการเลือกตั้งประธานาธิบดี ปรากฏว่า นิกสันชนะการเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 2 ในปี 1972 ด้วยคะแนนท่วมท้น
ระหว่างนั้นเอง ชื่อของ ดีพ โธรท ก็ปรากฏตัวขึ้น เขาบอกว่าเป็นแหล่งข่าวลับ ที่พร้อมจะแฉคดีนี้ โดยเขาหวังว่าจะขยายคดีวอเตอร์เกต เขาจะคอยชี้ให้ว่าข้อมูลชิ้นไหนสำคัญชิ้นไหนไม่เกี่ยว ทำให้ข่าวได้ขึ้นหน้าหนึ่งของวอชิงตัน โพสต์ เป็นประจำ โดยมีนายบ็อบ วู้ดเวิร์ด และนายคาร์ล เบิร์นสไตน์ สองนักข่าวหัวเห็ดประจำหนังสือพิมพ์ วอชิงตัน โพสต์ เป็นผู้เปิดโปงคดีวอเตอร์เกต
การขุดคุ้ยและเปิดโปงเรื่องต่อเนื่องจากคดีวอเตอร์เกต ของวู้ดเวิร์ด ดำเนินไปนานนับเดือน สร้างแรงกดดันต่อทำเนียบขาวขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ทางการก็โกรธเกรี้ยวต่อดีพ โธรทมากขึ้นรุนแรงขึ้น แต่เขายังเพิ่มระดับการช่วยเหลือไปถึงขั้นเริ่มให้ข้อมูลชี้นำ เบาะแสที่จะนำไปสู่การเผยความจริงว่ามีการรู้เห็นสมรู้ร่วมคิดกันปกปิดความลับในทำเนียบขาว
แน่นอนถ้าคดีนี้เป็นเรื่องจริงนี้ถือว่าเป็นเรื่องสกปรกมากในเรื่องของผู้นำที่ใช้อำนาจในทางที่ผิด
ด้วยความกลัว นิกสันบีบให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาวต้องลาออก และไล่ที่ปรึกษาจอห์น ดีนออกเพื่อตัดตอนคดี จอห์น ดีนจึงตัดสินใจขึ้นให้การต่อสภาคองเกรสว่า นิกสันพยายามวิ่งเต้นบิดเบือนคดี และในทำเนียบขาวมีการติดตั้งเครื่องดักฟังอยู่ ซึ่งข้อความต่างๆ ในนั้น คื่อหลักฐานที่จะมัดตัวนิกสันได้อย่างดี แต่เมื่อหัวหน้าฝ่ายสอบสวนคดีวอเตอร์เกต เรียกขอเทปจากเครื่องดักฟังนี้ นิกสันปฏิเสธโดยอ้างสิทธิพิเศษของผู้บริหารที่ไม่อาจเปิดเผยข้อความที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ และไล่หัวหน้าคนนี้ออก ส่งผลให้ประชาชนพากันส่งจดหมายกว่า 450,000 ฉบับมาต่อว่า วิทยาลัยกฎหมายกว่า 17 แห่งเรียกร้องให้นำนิกสันขึ้นพิจารณาคดี จนนิกสันต้องยินยอมส่งเทปบันทึกเสียงให้ฝ่ายสืบสวนไปในที่สุด
ปรากฎว่าเทปที่ส่งไปให้นั้นกลับมีช่วงว่างที่เสียงพูดหายไปเฉยๆ ถึง 18 นาทีครึ่ง แต่นิกสันเอาตัวรอดด้วยการโยนความผิดให้โรสแมรี่ วู้ดส์ เลขาส่วนตัวว่าเธอเผลอลบ ขณะที่วู้ดส์ปฏิเสธว่าเธอไม่ได้ทำ และถ้าพลาดจริงก็ไม่มีทางเกิน 4-5 นาทีแน่ๆ
จากนั้น หลักฐานต่างๆ ก็ทยอยเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จนรัฐสภามีมติให้นำตัวนิกสันขึ้นพิจารณาคดีและเตรียมถอดถอน
และก่อนที่กระบวนการพิจารณาคดีจะเริ่มขึ้น ในวันที่ 9 สิงหาคม 1974 ริชาร์ด นิกสัน ก็กลายเป็นประธานาธิบดีเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกาที่ต้องลงเอยด้วยการประกาศลาออกจากตำแหน่ง แต่เขาได้รับการยกเว้นโทษในเวลาต่อมาโดยประธานาธิบดีฟอร์ด ขณะที่คนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกว่า 40 คนถูกตัดสินจำคุก ซึ่งมีตั้งแต่รอลงอาญา 1 เดือนจนถึงจำคุก 52 เดือน
คดีวอเตอร์เกตได้สร้างชื่อเสียงให้แก่วูดเวิร์ดและเบิร์นสไตน์ และได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง "All The President's Men" ในปี 2519 ส่วนนามแฝง "ดีพโธรต" ยังเป็นที่จดจำนั้นเป็นเพราะเป็นชื่อเดียวกับชื่อหนังโป๊เรื่อง "Deep Throat"
แม้คดีจบไปนานแล้ว แต่ปริศนาของคดีนี้ยังมีอยู่ เมื่อหลายฝ่ายต่างอยากรู้ว่า คนแฉเรื่องคดีวอเตอร์เกตนั้นเป็นใคร โดยเฉพาะคนที่ใช้นามปากกาว่า "ดีพโธรท" ซึ่งเป็นแหล่งข่าวลับสุดยอด คนแฉข้อมูล ให้กับคนในสำนักพิมพ์ให้ฟัง แบบรู้เรื่องคดีนี้ทั้งหมด ราวกับตาเห็น จนประชาชนยกย่องเขาในฐานะ 'ฮีโร่' ที่คอยฟาดฟันกับบรรดานักการเมืองเหลิงอำนาจ
อย่างที่รู้ๆ กัน คงไม่มีใครในรัฐบาลของนิกสันหรือข้าราชการคนไหน บ้าพอที่จะเอาคอตัวเองขึ้นเขียงด้วยการให้ข้อมูลกับนักข่าวในเรื่องนี้แล้วเห็นชื่อตัวเองปรากฏหราอยู่บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ฉบับวันรุ่งขึ้นแน่
'ดีพโธรท' เลยกลายเป็นสัญลักษณ์ของแหล่งข่าวที่มีความลึกลับ แต่มีความน่าเชื่อถือ
และบังเอิญที่คดีนี้จบลงด้วยชัยชนะของสื่อมวลชน การอ้างอิงแหล่งข่าวที่ไม่มีการเปิดเผยชื่อจึงกลายเป็นการปฏิบัติที่ได้รับการยอมรับโดยปริยาย
แต่ผลพวงที่ตามมาก็คือ สื่อมวลชนมะกันเริ่มอ้างอิง 'แหล่งข่าว' กันอย่างพร่ำเพรื่อ ปัญหาใหญ่ก็คือ ถ้าแหล่งข่าวมีความเป็นกลางหรือรู้จริงก็ว่าไปอย่าง หรือที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น แหล่งข่าวที่นักข่าวใช้อ้างอิงนั้นมีตัวตนจริงหรือเปล่า หรือเป็นแค่การอุปโลกน์หรือเป็นแค่การปั้นน้ำเป็นตัวเพื่อให้ข่าวมีความน่าเชื่อถือเท่านั้น
นักข่าวหลายคนถูกจับได้คาหนังคาเขาว่ากุข่าวที่ตัวเองเขียนขึ้นมาเอง และแหล่งข่าวที่อ้างอิงในเรื่องนั้นไม่มีตัวตนด้วยซ้ำ
เรื่องนี้กว่าจะไขได้ก็ปาไป 30 เมื่อวอชิงตันโพสต์ยอมเผยโฉม "ดีพโธรท"
ว่า "ดีพโธรท" คือ ดับเบิลยู มาร์ค เฟลท์ อดีตผู้นำหมายเลข 2 ของสำนักงานสืบสวนสอบสวนกลางสหรัฐ (เอฟบีไอ) ซึ่งผู้เปิดโปงคดีอื้อฉาววอเตอร์เกต ในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างทำเนียบขาวกับเอฟบีไอ กำลังตึงเครียดถึงที่สุด
โดยปัจจุบันนายเฟลท์ ซึ่งขณะนี้มีอายุ 91 ปีแล้วและอาศัยอยู่ในเมืองซานตา โรซา รัฐแคลิฟอร์เนีย ได้สารภาพกับครอบครัวและนิตยสารฉบับนี้ว่าตัวเองคือแหล่งข่าวลับสุดยอดของวอชิงตัน โพสต์ หรือที่รู้จักกันในชื่อของดีพโธรท หลังจากเก็บงำเรื่องนี้ไว้เป็นความลับตลอดมา แม้แต่คนในครอบครัวก็ไม่มีใครล่วงรู้ หนำซ้ำยังขอร้องให้นายวู้ดเวิร์ด และนายเบิร์น
สไตน์ รวมทั้งนายเบ็น แบรดลี บรรณาธิการของวอชิงตัน โพสต์ในช่วงนั้นไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้จนกว่าจะถึงวันที่ตัวเองสิ้นลม
แต่ปริศนาก็ตามมาอีก ว่านายเฟลท์ เขาแฉคดีนี้เพื่อชาติจริงหรือ??
ในตอนที่คดีวอร์เตอร์เกตกำลังดังใครๆ ต่างรู้กันอยู่ว่า ดับเบิลยู มาร์ก เฟลต์ คาดหวังตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐ(เอฟบีไอ)มาก ด้วยคุณสมบัติครบถ้วน ทั้งความสามารถ การยอมรับ และประสบการณ์
แต่ที่เขายังเป็นหมายเลข 2 อยู่ก็เพราะ ประธานาธิบดีริชาร์ด เอ็ม นิกสัน ไม่ชอบแล้วมอบตำแหน่งสูงสุดของเอฟบีไอให้คนสนิท ทำให้ ดีพ โธรท ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมด้วยวลีอมตะที่เขาให้เบาะแสนักข่าว "ลองตามเส้นทางของเงินดูสิ"
ซึ่งความจรืงเฟลต์อำลาจากเอฟบีไอ ตั้งแต่ก่อนที่นิกสันจะลาออกเสียอีกเพราะเข้ากับหัวหน้าใหม่ไม่ได้ และเมื่อนิกสันลาออกไปแล้ว ดีพโธรท เป็นใครยังคงไม่มีใครทราบ แม้สหรัฐมีประธานาธิบดีต่อมาอีก 7 คน เขาก็ไม่ยอมเผยตัว ทั้งๆ ที่รู้ว่าถ้าเผยตัวเมื่อใด ชื่อเสียงเงินทองจะหลั่งไหลเข้ามา ในรูปแบบของหนังสือเรื่องจริง มีการทำเป็นภาพยนตร์และรายการพิเศษต่างๆ ทางทีวีแน่นอน แต่ทุกคนที่เกี่ยวข้องยังคงรักษาความลับและปิดปากเงียบ
เรื่องนี้เฟลต์บอกว่าเขาอย่างให้เรื่องนี้เป็นความลับเรื่องนี้ตายไปกับตัว เพราะเขารู้สึกว่าสิ่งที่กระทำไปนับเป็นความ 'ไม่ซื่อสัตย์' ต่อองค์กรและหน้าที่
จนกระทั้งหลายปีผ่านไป โจอัน เฟลต์ บุตรีซึ่งปัจจุบันวัย 61 ปี เริ่มระแคะระคายว่าบิดาคือแหล่งข่าวนิรนามซึ่งกล้าหาญผู้นั้นและเขาก็ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับความลับของตัวเอง ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ว่าสิ่งที่เฟลต์ทำไป น่าจะเรียกว่าเป็นการแสดงความรักชาติอย่างแท้จริงมากกว่า พวกเขาจึงเสนอว่าน่าจะหาคนนอกมาเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวก่อนที่เรื่องนี้จะถูกลืมและเลือนหายไป จอห์น ดี.โอคอนเนอร์ ทนายความจากซาน ฟรานซิสโก ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวต่อสังคม
วู้ดเวิร์ด กล่าวถึง ดีพ โธรท ระหว่างบรรยายในมหาวิทยาลัยเมื่อปี 2003 ว่า "เขาจำต้องโกหกครอบครัว เพื่อนฝูง และเพื่อนร่วมงาน และปฏิเสธที่จะช่วยเรา"
อาจมีคนเห็นว่าเฟลต์คือคนทรยศที่ไขความลับขององค์กร แต่เมื่อบวกลบคูณหารลงแล้ว ดีพ โธรท ถือว่าเป็นวีรบุรุษนิรนามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของอเมริกา แม้ว่าสถานการณ์อาจมีส่วนผลักดันอยู่บ้าง แต่การที่ใครจะลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ขัดกับแนวทางขององค์กรที่ตัวเองเชื่อมั่นเพื่อจะได้คงไว้ซึ่งความจริงและสิ่งที่ถูกต้อไม่ใช่เรื่องง่าย และเฟลต์ยังต้องรับผลของการกระทำของตัวเองมาตลอด แม้ว่าจะภูมิใจได้แต่เขายังตำหนิตัวเองเสมอ เหมือนถูกจองจำอยู่ในคุกในจิตใจที่เขาสร้างมันขึ้นมาเองมาตลอดกว่า 30 ปีที่ผ่านมา
คดีวอเตอร์เกตก็เป็นเครื่องยืนยันอีกครั้งว่าในประเทศอเมริกาหรือประเทศไหนๆ บนโลก ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายได้ แม้แต่ประธานาธิบดีก็ตาม รวมถึงกลายเป็นบรรทัดฐานของการทำข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนที่ทำให้ความจริงได้ปรากฏและสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมได้