แบร์แนแด็ท....น่ารัก....น่ารัก ขี้ลืม.....ขี้ลืม ...... หนังปายหนายหว่า buy แล้ววbuyอีก......... faith, hope and charity เฟศบุ๊ค http://www.facebook.com/bernadette.soubirous.3
Group Blog
 
<<
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
14 กันยายน 2552
 
All Blogs
 
All the President's Men (1976) : Not the greed of money, but power.

มันไม่ใช่เรื่องการละโมบเกี่ยวกับเงินเดิมพันเป็ฯ พันพันล้านที่มีการถ่ายโอนอย่าง ที่ใน Film สื่อ ...เรามอง(ส่วนตัว)ว่า มันคือ เรื่องของ อำนาจ

ใครจะเชื่อว่า นิกสัน ที่คนเมกันโหวดให้เป็นประธานาธิบดี อาณาจักรเค้าจะล่มสลาย....กะอีแค่นักข่าวโนเนม 2 คน

All The President's Men Trailer




ขอเอาบทความของคุณ กาแฟดำ บล๊อคโอเคเนชั่นมาปะค่ะ เรื่องของนิกสัน
Source://www.oknation.net/blog/
print.php?id=635

Nixon - I'm not a crook


ประโยคเด็ดของอดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ตอนที่กำลังจะถูกไต่สวนเพื่อถอดถอนที่เรียกว่า "impeachment" กรณีอื้อฉาววอเตอร์เกทว่า "I am not a crook."
กสัน ถูกกล่าวหาว่าปลิ้นปล้อนตอแหลจนถึงขั้นที่กำลังจะถูกไต่สวนเพื่อขับไล่ออกจากตำแหน่งเพราะใช้วิธีการพลิกแพลงต่างๆ เพื่อจะทำลายล้างศัตรูทางการเมือง


คำว่า "crook" ทางการเมืองนั้นหมายถึงคนชั่วร้ายที่ใช้วิธีการผิดกฎหมาย และไร้จริยธรรมทั้งหลาย เพื่อกระทำการอันน่ารังเกียจทั้งหลาย


คนที่กล่าวหาเขาใช้ทุกเหตุผลและหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าคนที่เป็นผู้นำประเทศเป็นคนไว้ใจไม่ได้ พูดจาโกหกหลอกลวง ไว้วางใจไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่ไม่เคยใช้คำที่ชาวบ้านใช้ด่ากันว่า "crook."


นิกสัน คงจะรู้อยู่ในใจของตัวเองว่าชาวบ้านเขาอยากจะใช้คำอะไรมาด่าเขา เมื่อในใจรู้อย่างนี้ แม้จะพยายามข่มความรู้สึกไว้อย่างไร มันก็หลุดออกมาจนได้


และประโยคที่หลุดออกมาว่า "I am not a crook" นั้น ถูกจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์อเมริกันมาถึงวันนี้ว่าเป็นถ้อยความที่สะท้อนถึงความสำนึกผิดในใจของตัวเองที่ไม่ยอมสารภาพจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต


และชีวิตส่วนที่เหลือหลังจากลาออกจากลงจากตำแหน่งสูงสุดทางการเมืองนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน และแค้นเคือง ไม่ให้อภัยใครเลยเพราะคิดว่าความผิดทั้งหลายทั้งปวงเป็นของคนอื่นทั้งนั้น ยกเว้นตัวเอง


นิกสันตายไปอย่างน่าสมเพช เพราะถูกจารึกว่าเป็นนักการเมืองที่ถูกประชาชนมองว่าเป็นผู้โกหกพกลม เป็นนักการเมืองที่ใช้กลยุทธ์สกปรกในการปราบปรามคู่ต่อสู้ทางการเมือง พยายามจะล้อมปราบสื่อมวลชนที่ขุดคุ้ยความเลวร้ายทางการเมืองของตนที่มีต่อฝ่ายตรงกันข้าม...ลงท้ายก็กลายเป็นผู้ล้มเหลวทางการเมืองคนหนึ่งของอเมริกาแม้ว่าผลงานด้านอื่นๆ ตอนที่ยังไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จนั้นก็น่าจะพอสร้างความประทับใจได้บ้าง


Film สร้างจาก หนังสือ the Watergate book ที่แต่งโดยนักหนังสือพิมพ์ ของ วอชิงตันโพส Carl Bernstein และ Bob Woodward มันคือความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ ในประวัติศาสตร์และมันยังคงอยู่ในใจของพี่น้องเมกัน




Film สื่อในลักษณะกับความขี้สงสัย ความกระหายข่าว ความอยากรู้อยากเห็น ต่อจิ๊กซอ และมันก็ได้ คลี่คลายออกมา และมันสอดคล้องกับเหตุและผล

ในคืนวันที่ 17 June 1972 มีการจับกุมถึง 5 คน ใน กองบัญชาการทหาร the Democratic National Committee ในอาคาร วอเตอร์เกท the Watergate complex ที่วอชิงตัน



และมันต่อเนื่องด้วยความตื่นเต้น ที่ค่อยๆเผยออกมา นั้นคือ การฟ้องร้อง และคำสารภาพ นั้นคือ ศาลพิพากษา guilt กิ้วตี้ มีความผิด และผลสรุปของมัน กะคือ การดำรงตำแหน่งของ นิกสัน สมัยที่ 2 ต้องลาออก

และมันเหมือนกันกับ ที่นักข่าวสองคน Bernstein และ Woodward ที่ได้ค้นหาความจริง อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า Film เรื่องนี้มันมีผลกระทบกับการเมืองของเมกา

ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นก่อน วอเตอร์เกท....อีก
กับเงินกองทุนลับ GOP ของรีพับลิกันแบบไม่เปิดเผย
และโครงการโจมตีดีโมแครต ...เอฟบีไอรู้เรื่อง...แต่ไม่เปิดเผย..ทำไมเหรอ
.....เงินสินบนทางการเมือง....กระทรวงยุติธรรมก็รู้เรื่อง



และโพส หน้าหนึ่งใน วอร์ชิงตันโพส ....ทำเนียบขาวไปพัวพันกับคดีวอเตอร์เกท

กับทางการแถลงข่าว....ทั้งหมดคือการหลอกลวงความลำเอียงของนักข่าว
วุฒิสมาชิกด่า สำนักข่าววอชิงตันโพส 57 ครั้ง ภายใน 20 นาที
.......แต่ว่า ...วอชิงตันโพส กลับดัง........


และสาวลึกไปกว่านั้น
มันเกี่ยวข้องกับการปกปิดหน่วยข่าวกรองของสหรัฐ ...เอฟบีไอ ซีไอเอ กระทรวงยุติธรรม จนแทบไม่น่าเชื่อ การปกปิดเรื่องวอเตอร์เกทยังไม่เท่าไหร่ การปกปิดเรื่องแอบแฝงมันเยอะมาก

ทุกคนตกอยู่ในอันตราย ...และเห็นโพลมั๊ย (ตอนนั้น) ไม่มีใครสนใจเรื่องวอเตอร์เกท
และพวกนักข่าวก็ทำข่าวกันต่อไป



กับอุดมการณ์ของพวกเค้า
รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขครั้งแรกกล่าวถึง ...สิทธิเสรีภาพในการนำเสนอข่าว เพื่ออนาคตของประเทศชาติ

ข่าว......วอชิงตันโพส

11 January 1973 ฮันท์รับสารภาพ 3 กระทงในการบุกรุก
17 August 1973 มากรูเดอร์ รับสารภาพมีส่วนในแผนวอเตอร์เกท
05 November 1973 เซเกรทถูกจำคุกหกเดือน
26 Febuary 1974 คาล์มบาซรับสารภาพผิด
เรื่องระดมเงินทุน.........ทำเนียบขาวอย่างผิดกฎหมาย

06 April 1974 เซพินมีความผิดฐานโกหกคณะลูกขุนใหญ่
12 April 1974 พอร์เตอร์ถูกจำคุก 30 วันโทษฐานให้ความเท็จต่อเอฟบีไอ
17 May 1974 อดีตรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ไคลเดียนส์...ยื่นคำให้การแก้ฟ้อง
04 June 1974 โคลสันรับสารภาพผิดคดีอุกฉกรรจ์ และขัดขวากระบวนการยุติธรรม

13 March 1975 สแตน์ยอมรับผิด....ข้อกล่าวหาระดมเงินทุนอย่างผิดกฎหมาย
02 January 1976 มิทเชล ฮาลเดแมน เอียร์อีสแมน....มีความผิดทุกกระทงในคดีวอเตอร์เกท


6 August 1974 -เทปเปิดโปง ...นิกสันเป็นผู้อนุมัติการปกปิดความจริง
ประธานาธิบดีกล่าวว่า.....จะไม่ลาออก

9 August 1974 นิกสันลาออก

เจรัลฟอร์ต เป็นประธานาธิบดีของเที่ยงวันนี้
Gerald R. Ford - Oath of office August 9th, 1974



เจอรัลด์ ฟอร์ด บุรุษผู้เยียวยาวอเตอร์เกต

ในถ้อยแถลงสดุดีเพื่อไว้อาลัยต่อ เจอรัลด์ รูดอล์ฟ ฟอร์ด ประธานาธิบดีลำดับที่ 38 ของสหรัฐอเมริกา จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ผู้นำอเมริกันบอกว่า บุคคลเยี่ยงนี้ย่อมมีหลักแหล่งแห่งหนอันจำหลักอยู่ในความทรงจำของอเมริกันทั้งชาติอย่างแน่นอน
ในความทรงจำของอเมริกันทั้งมวล ไล่ตั้งแต่นักประวัติศาสตร์ร่วมสมัยไปจนถึงผู้คนร่วมยุคสมัยเดียวกันกับอดีตผู้นำผู้นี้ เจอร์รัลด์ ฟอร์ด คือบุคคลที่อาศัยคุณสมบัติตรงกันข้ามที่สุด ปะติดปะต่อทำเนียบขาวภายใต้การนำของ ริชาร์ด มิลเฮาส์ นิกสัน ที่แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เพราะเรื่องราวอื้อฉาวเรื่องแล้วเรื่องเล่าให้กลับคืนสู่ความเป็นสถาบันสูงสุดของสหรัฐอเมริกาอีกครั้งหนึ่ง

ทำเนียบขาวที่ฉ้อฉล คดโกง และปลิ้นปล้อน ลับๆ ล่อๆ ถูกชำระตกแต่งเสียใหม่ด้วยความตรงไปตรงมา เปิดเผย สมถะ และสัตย์ซื่อของ เจอร์รัลด์ ฟอร์ด ผู้นี้

ฟอร์ด เป็นประธานาธิบดีเพราะสถานการณ์โดยแท้ เขาเป็นเพียงผู้นำอเมริกันคนเดียวในประวัติศาสตร์กว่า 200 ปี ที่ไม่เคยผ่านการเลือกตั้ง-ฟอร์ด ไม่เคยเป็นแม้แต่คู่สมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งรองประธานาธิบดี ของ นิกสัน ด้วยซ้ำไป

ผู้สมัครคู่กับนิกสัน คือ สปิโร่ แอ็กนิว รองประธานาธิบดีที่ต้องลาออกจากตำแหน่งกลางคัน เพราะรับ ของขวัญ ล้ำค่า จนกลายเป็นเสมือนหนึ่งรับสินบนในปี 1973 ฟอร์ด ถูกนิกสันเลือกขึ้นมาจากสมาชิกวุฒิสภาขณะที่ดำรงตำแหน่งผู้นำ ส.ส.รีพับลิกัน โดยมีคู่แข่งเพียง 3 คน ในลำดับไล่เลี่ยกัน หนึ่งในจำนวนนั้นคือ โรนัลด์ เรแกน ประธานาธิบดีคนที่ 40 ผู้ล่วงลับ

ฟอร์ด ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำติดดินมากที่สุดผู้หนึ่งในประวัติศาสตร์อเมริกัน ไม่เจ้ายศเจ้าอย่าง ที่สำคัญก็คือเป็นคนซื่อสัตย์อย่างที่คนอเมริกันต้องการในยุคที่ทุกอย่างดูอื้อฉาวไปหมดในยุคนั้น

เมื่อ นิกสัน ประกาศลาออกจากตำแหน่งในปี 1974 จากผลพวงของคดีอื้อฉาว วอเตอร์เกต ฟอร์ด ประกาศสิ่งซึ่งกลายเป็นประโยคสำคัญที่สะท้อนภาพการเมืองอเมริกันยุคนั้นได้เป็นอย่างดีออกมาว่า ฝันร้ายอันยาวนานของชาตินี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว

ฟอร์ดถูกต่อต้านและโจมตีอย่างหนักในอีกไม่กี่เดือนต่อมา เมื่อตรากฎหมายสำคัญอภัยโทษความผิดอาญาทั้งหมดที่ นิกสัน ก่อขึ้นขณะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี อันเป็นการกระทำที่แม้จะถูกถล่มอย่างหนักในเวลานั้น แต่นักรัฐศาสตร์ยกย่องอย่างมากว่าเป็นความกล้าหาญทางการเมืองที่ช่วยให้ประเทศชาติสามารถรุดหน้าต่อไปได้ ไม่มัวแต่จ่อมจมอยู่กับอดีตอันเลวร้ายในช่วงดังกล่าว

ฟอร์ด ยังเป็นผู้นำอเมริกันเมื่อไซง่อนแตกในปี 1975 เขาบอกกับทั้งประเทศในเวลานั้นว่า

วันนี้ อเมริกาสามารถเริ่มฟื้นฟูความภาคภูมิเมื่อครั้งก่อนหน้าสงครามเวียดนามกลับคืนมาได้อีกครั้งหนึ่ง แต่การฟื้นฟูดังกล่าวไม่อาจสำเร็จลงได้ ด้วยการรื้อฟื้นการต่อสู้ ความขัดแย้งในสงครามที่เพิ่งสิ้นสุดกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง และเรียกร้องให้ทุกคน มองไปข้างหน้า มองหาประเด็นเพื่ออนาคต เพื่อความเป็นเอกภาพ และเพื่อเยียวยาบาดแผลแห่งชาติของเรา

Credit : คุณ bluesky


Source ://learning.eduzones.com/bluesky/25723
Source ://movies.nytimes.com/movie/review res=9C0DEEDF143BE43ABC4053DFB266838D669EDE





Create Date : 14 กันยายน 2552
Last Update : 14 กันยายน 2552 1:27:51 น. 11 comments
Counter : 2213 Pageviews.

 
ขอนำบทความของคุณCredit : คุณ bluesky
Source ://blog.eduzones.com/bluesky/25721


คดีวอเตอร์เกต บันทึกอันแสนอัปยศของนิกสัน




คดีวอเตอร์เกต บันทึกอันแสนอัปยศของนิกสัน


วอเตอร์เกต คดีฉาวสะท้านโลก เป็นคดีประวัติศาสตร์ที่สะเทือนศรัทธาชาวอเมริกันมากที่สุด เพราะมันทำลายภาพทุกอย่างที่อภิมหาอำนาจรายนี้สร้างขึ้นมา ตั้งแต่บทบาทตำรวจโลก แนวคิดที่ยึดมั่นในเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน และระบบการปกครองแม่แบบของประเทศประชาธิปไตย ทั้งหมดที่ว่านี้กลายเป็นภาพจอมปลอมในบัลดลเมื่อประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสันผู้ชื่อว่าทำประโยชน์ต่อชาติอเมริกามากที่สุดผู้หนึ่ง เช่น ยอมถอนทหารออกจากเวียดนาม ปิดฉากสงครามเย็นกับสหภาพโซเวียต และเปิดความสัมพันธ์กับจีนคอมมิวนิสต์ แท้จริงคือคนที่ใช้วิธีสกปรกเพื่อให้ตนเองชนะเลือกตั้ง ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น บิดเบือนซุกซ่อนข้อมูล และใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นเพื่อให้ตนเองพ้นผิด และเมื่อคดีแดงขึ้น คดีนี้จึงกลายเป็นแผลใจของอเมริกันชนที่กาลเวลาก็ไม่อาจเยียวยา

ก่อนที่จะเกิดคดีวอตอร์เกตนั้น ทำเนียบขาวกับเอฟบีไอเข้ากันได้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะหลังจากนิวยอร์กไทม์ ลงข่าวรั่วว่าทำเนียบขาวมีแผนจะแอบคุยกับโซเวียตเรื่องอาวุธ(ช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามเย็น) นั้นเองทำเนียบขาวไม่พอใจเอฟบีไอมาก ในที่สุดได้ว่าจ้างอดีตซีไอเอไปทำงานเรื่องข่าวกรองให้แทน ถึงขึ้นตั้งหน่วยพลัมเบอร์สขึ้นมาใหม่ และนั้นคดีจุดกำเนิดของคดีวอเตอร์เกต

คดีวอเตอร์เกตมีจุดเริ่มต้นที่นี้ โรงแรมวอเตอร์เกต วอชิงตัน ดีซี ในวันที่ 17 มิถุนายน 1972 ยาม ซึ่งโรงแรมนี้เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ระดับชาติของพรรคเดโมแครต ตอนนั้นเป็นเวลากลางคืน บังเอิญเจ้าหน้าที่โรงแรมได้สังเกตเห็นสิงผิดปกติในที่ทำการพรรคเดโมแครต จึงโทรเรียกตำรวจ ส่งผลสามารถจับกุมผู้ต้องหา 5 คนได้พร้อมของกลาง

ผู้ต้องหาเหล่านี้ประกอบด้วยนายเบอร์นาร์ด บาร์เกอร์, เวอร์จิลิโอ กอนซาเลซ, ยูจินิโอ มาร์ติเนซ, เจม แม็คคอร์ด และแฟรงค์ สเตอร์กิส โดยก่อนหน้านี้กลุ่มคนร้ายเคยแอบเข้าในออฟฟิศแห่งนี้แล้วเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อนถูกจับ

ต่อมาตำรวจพบว่า บรรดาคนที่ถูกจับเหล่านี้ไม่ใช้โจรกระจอก เพราะแต่ละคนต่างทำงานให้แก่สำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (ซีไอเอ)โดยชายทั้ง 5 ได้รับคำสั่งให้บุกเข้าไปขโมยข้อมูลที่พรรคเตรียมไว้เพื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งใหม่แข่งกับริชาร์ด นิกสัน เจ้าของตำแหน่งเดิม ในตัวผู้ต้องหาคนหนึ่งมีเบอร์โทรศัพท์ของที่ปรึกษาประจำทำเนียบขาว และในบัญชีของผู้ต้องหาอีกคนหนึ่ง มีเงิน 25,000 เหรียญที่ขึ้นด้วยแคชเชียร์เช็คประทับตรา นอกจากนั้นเอฟบีไอยังเจอบันทึก มีชื่อย่อที่อาจหมายถึงทำเนียบข่าวก็ได้ เช่น W.House และ W.H (White House)

ต่อมาคณะกรรมการเลือกตั้งประธานาธิบดี รัฐสภาสหรัฐจึงตัดสินใจตั้งคณะกรรมการสอบสวนคดีวอเตอร์เกตขึ้น

จากการสอบสวนพบว่า ในสมุดโน้ตของแม็คคอร์ด หนึ่งในคนร้าย มีหมายเลขโทรศัพท์ของโฮเวิร์ด ฮันต์ อดีตเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวคนหนึ่ง ซึ่งทำให้สันนิษฐานได้ว่า คดีนี้น่าจะมีเงื่อนงำทางการเมือง นอกจากนี้แม็ค คอร์ดยังสารภาพกับศาลด้วยว่า เขาเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ซีไอเอปลดเกษียณ

ต่อมาแฟรงค์ วิลส์ ยามรักษาความปลอดภัยประจำส่วนที่เป็นสำนักงานของโรงแรมพบว่า มีเศษเทปติดอยู่ที่ประตูห้องใต้ดินของอาคารส่วนที่เปิดไปโรงรถ ซึ่งทำให้ประตูไม่ได้ล็อก ตอนแรกเขาคิดว่าคนทำความสะอาดอาจจะลืมไว้จึงดึงออก แต่เมื่อกลับมาดูอีกครั้งก็พบว่ามีเทปติดอยู่อีก วิลส์จึงติดต่อไปยังตำรวจวอชิงตันดี.ซี.

แต่กระนั้นการสอบสวนของเอฟบีไอก็ไม่ได้ราบรื่นมากนัก เพราะถูกซีไอเอคอยดึงเรื่องและขัดขวาง เหมือนกับว่าต้องการให้เอฟบีไอไขว้เขวและวางมือ

ช่วง 1972 ความตึงเครียดระหว่างทำเนียบขาวกับเอฟบีไอขมึงตึงยิ่งขึ้น ถึงขั้นเผชิญหน้า ทำเนียบขาวหาทางขัดขวางการสอบสวนคดีวอเตอร์เกตอยู่เนืองๆ ทำให้การสอบสวนดำเนินไป 3 เดือน ปรากฏว่า ไม่มีหลักฐานว่ามีเจ้าหน้าที่ทำเนียบข่าวคนใดเกี่ยวข้อง



ดูเหมือนทุกอย่างจะมาถึงทางตันเสียแล้ว ตีนแมวที่ดอดเข้าไปในตึกวอเตอร์เกต กลายเป็นโจรธรรมดาไม่มีการขยายผล ส่วนการเลือกตั้งประธานาธิบดี ปรากฏว่า นิกสันชนะการเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 2 ในปี 1972 ด้วยคะแนนท่วมท้น

ระหว่างนั้นเอง ชื่อของ “ดีพ โธรท” ก็ปรากฏตัวขึ้น เขาบอกว่าเป็นแหล่งข่าวลับ ที่พร้อมจะแฉคดีนี้ โดยเขาหวังว่าจะขยายคดีวอเตอร์เกต เขาจะคอยชี้ให้ว่าข้อมูลชิ้นไหนสำคัญชิ้นไหนไม่เกี่ยว ทำให้ข่าวได้ขึ้นหน้าหนึ่งของวอชิงตัน โพสต์ เป็นประจำ โดยมีนายบ็อบ วู้ดเวิร์ด และนายคาร์ล เบิร์นสไตน์ สองนักข่าวหัวเห็ดประจำหนังสือพิมพ์ วอชิงตัน โพสต์ เป็นผู้เปิดโปงคดีวอเตอร์เกต

การขุดคุ้ยและเปิดโปงเรื่องต่อเนื่องจากคดีวอเตอร์เกต ของวู้ดเวิร์ด ดำเนินไปนานนับเดือน สร้างแรงกดดันต่อทำเนียบขาวขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ทางการก็โกรธเกรี้ยวต่อดีพ โธรทมากขึ้นรุนแรงขึ้น แต่เขายังเพิ่มระดับการช่วยเหลือไปถึงขั้นเริ่มให้ข้อมูลชี้นำ เบาะแสที่จะนำไปสู่การเผยความจริงว่ามีการรู้เห็นสมรู้ร่วมคิดกันปกปิดความลับในทำเนียบขาว

แน่นอนถ้าคดีนี้เป็นเรื่องจริงนี้ถือว่าเป็นเรื่องสกปรกมากในเรื่องของผู้นำที่ใช้อำนาจในทางที่ผิด

ด้วยความกลัว นิกสันบีบให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาวต้องลาออก และไล่ที่ปรึกษาจอห์น ดีนออกเพื่อตัดตอนคดี จอห์น ดีนจึงตัดสินใจขึ้นให้การต่อสภาคองเกรสว่า นิกสันพยายามวิ่งเต้นบิดเบือนคดี และในทำเนียบขาวมีการติดตั้งเครื่องดักฟังอยู่ ซึ่งข้อความต่างๆ ในนั้น คื่อหลักฐานที่จะมัดตัวนิกสันได้อย่างดี แต่เมื่อหัวหน้าฝ่ายสอบสวนคดีวอเตอร์เกต เรียกขอเทปจากเครื่องดักฟังนี้ นิกสันปฏิเสธโดยอ้างสิทธิพิเศษของผู้บริหารที่ไม่อาจเปิดเผยข้อความที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ และไล่หัวหน้าคนนี้ออก ส่งผลให้ประชาชนพากันส่งจดหมายกว่า 450,000 ฉบับมาต่อว่า วิทยาลัยกฎหมายกว่า 17 แห่งเรียกร้องให้นำนิกสันขึ้นพิจารณาคดี จนนิกสันต้องยินยอมส่งเทปบันทึกเสียงให้ฝ่ายสืบสวนไปในที่สุด

ปรากฎว่าเทปที่ส่งไปให้นั้นกลับมีช่วงว่างที่เสียงพูดหายไปเฉยๆ ถึง 18 นาทีครึ่ง แต่นิกสันเอาตัวรอดด้วยการโยนความผิดให้โรสแมรี่ วู้ดส์ เลขาส่วนตัวว่าเธอเผลอลบ ขณะที่วู้ดส์ปฏิเสธว่าเธอไม่ได้ทำ และถ้าพลาดจริงก็ไม่มีทางเกิน 4-5 นาทีแน่ๆ

จากนั้น หลักฐานต่างๆ ก็ทยอยเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จนรัฐสภามีมติให้นำตัวนิกสันขึ้นพิจารณาคดีและเตรียมถอดถอน

และก่อนที่กระบวนการพิจารณาคดีจะเริ่มขึ้น ในวันที่ 9 สิงหาคม 1974 ริชาร์ด นิกสัน ก็กลายเป็นประธานาธิบดีเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกาที่ต้องลงเอยด้วยการประกาศลาออกจากตำแหน่ง แต่เขาได้รับการยกเว้นโทษในเวลาต่อมาโดยประธานาธิบดีฟอร์ด ขณะที่คนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกว่า 40 คนถูกตัดสินจำคุก ซึ่งมีตั้งแต่รอลงอาญา 1 เดือนจนถึงจำคุก 52 เดือน

คดีวอเตอร์เกตได้สร้างชื่อเสียงให้แก่วูดเวิร์ดและเบิร์นสไตน์ และได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง "All The President's Men" ในปี 2519 ส่วนนามแฝง "ดีพโธรต" ยังเป็นที่จดจำนั้นเป็นเพราะเป็นชื่อเดียวกับชื่อหนังโป๊เรื่อง "Deep Throat"


แม้คดีจบไปนานแล้ว แต่ปริศนาของคดีนี้ยังมีอยู่ เมื่อหลายฝ่ายต่างอยากรู้ว่า คนแฉเรื่องคดีวอเตอร์เกตนั้นเป็นใคร โดยเฉพาะคนที่ใช้นามปากกาว่า "ดีพโธรท" ซึ่งเป็นแหล่งข่าวลับสุดยอด คนแฉข้อมูล ให้กับคนในสำนักพิมพ์ให้ฟัง แบบรู้เรื่องคดีนี้ทั้งหมด ราวกับตาเห็น จนประชาชนยกย่องเขาในฐานะ 'ฮีโร่' ที่คอยฟาดฟันกับบรรดานักการเมืองเหลิงอำนาจ

อย่างที่รู้ๆ กัน คงไม่มีใครในรัฐบาลของนิกสันหรือข้าราชการคนไหน บ้าพอที่จะเอาคอตัวเองขึ้นเขียงด้วยการให้ข้อมูลกับนักข่าวในเรื่องนี้แล้วเห็นชื่อตัวเองปรากฏหราอยู่บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ฉบับวันรุ่งขึ้นแน่

'ดีพโธรท' เลยกลายเป็นสัญลักษณ์ของแหล่งข่าวที่มีความลึกลับ แต่มีความน่าเชื่อถือ

และบังเอิญที่คดีนี้จบลงด้วยชัยชนะของสื่อมวลชน การอ้างอิงแหล่งข่าวที่ไม่มีการเปิดเผยชื่อจึงกลายเป็นการปฏิบัติที่ได้รับการยอมรับโดยปริยาย

แต่ผลพวงที่ตามมาก็คือ สื่อมวลชนมะกันเริ่มอ้างอิง 'แหล่งข่าว' กันอย่างพร่ำเพรื่อ ปัญหาใหญ่ก็คือ ถ้าแหล่งข่าวมีความเป็นกลางหรือรู้จริงก็ว่าไปอย่าง หรือที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น แหล่งข่าวที่นักข่าวใช้อ้างอิงนั้นมีตัวตนจริงหรือเปล่า หรือเป็นแค่การอุปโลกน์หรือเป็นแค่การปั้นน้ำเป็นตัวเพื่อให้ข่าวมีความน่าเชื่อถือเท่านั้น

นักข่าวหลายคนถูกจับได้คาหนังคาเขาว่ากุข่าวที่ตัวเองเขียนขึ้นมาเอง และแหล่งข่าวที่อ้างอิงในเรื่องนั้นไม่มีตัวตนด้วยซ้ำ

เรื่องนี้กว่าจะไขได้ก็ปาไป 30 เมื่อวอชิงตันโพสต์ยอมเผยโฉม "ดีพโธรท"

ว่า "ดีพโธรท" คือ ดับเบิลยู มาร์ค เฟลท์ อดีตผู้นำหมายเลข 2 ของสำนักงานสืบสวนสอบสวนกลางสหรัฐ (เอฟบีไอ) ซึ่งผู้เปิดโปงคดีอื้อฉาววอเตอร์เกต ในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างทำเนียบขาวกับเอฟบีไอ กำลังตึงเครียดถึงที่สุด

โดยปัจจุบันนายเฟลท์ ซึ่งขณะนี้มีอายุ 91 ปีแล้วและอาศัยอยู่ในเมืองซานตา โรซา รัฐแคลิฟอร์เนีย ได้สารภาพกับครอบครัวและนิตยสารฉบับนี้ว่าตัวเองคือแหล่งข่าวลับสุดยอดของวอชิงตัน โพสต์ หรือที่รู้จักกันในชื่อของดีพโธรท หลังจากเก็บงำเรื่องนี้ไว้เป็นความลับตลอดมา แม้แต่คนในครอบครัวก็ไม่มีใครล่วงรู้ หนำซ้ำยังขอร้องให้นายวู้ดเวิร์ด และนายเบิร์น

สไตน์ รวมทั้งนายเบ็น แบรดลี บรรณาธิการของวอชิงตัน โพสต์ในช่วงนั้นไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้จนกว่าจะถึงวันที่ตัวเองสิ้นลม

แต่ปริศนาก็ตามมาอีก ว่านายเฟลท์ เขาแฉคดีนี้เพื่อชาติจริงหรือ??

ในตอนที่คดีวอร์เตอร์เกตกำลังดังใครๆ ต่างรู้กันอยู่ว่า ดับเบิลยู มาร์ก เฟลต์ คาดหวังตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐ(เอฟบีไอ)มาก ด้วยคุณสมบัติครบถ้วน ทั้งความสามารถ การยอมรับ และประสบการณ์

แต่ที่เขายังเป็นหมายเลข 2 อยู่ก็เพราะ ประธานาธิบดีริชาร์ด เอ็ม นิกสัน ไม่ชอบแล้วมอบตำแหน่งสูงสุดของเอฟบีไอให้คนสนิท ทำให้ “ดีพ โธรท” ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมด้วยวลีอมตะที่เขาให้เบาะแสนักข่าว "ลองตามเส้นทางของเงินดูสิ"

ซึ่งความจรืงเฟลต์อำลาจากเอฟบีไอ ตั้งแต่ก่อนที่นิกสันจะลาออกเสียอีกเพราะเข้ากับหัวหน้าใหม่ไม่ได้ และเมื่อนิกสันลาออกไปแล้ว ดีพโธรท เป็นใครยังคงไม่มีใครทราบ แม้สหรัฐมีประธานาธิบดีต่อมาอีก 7 คน เขาก็ไม่ยอมเผยตัว ทั้งๆ ที่รู้ว่าถ้าเผยตัวเมื่อใด ชื่อเสียงเงินทองจะหลั่งไหลเข้ามา ในรูปแบบของหนังสือเรื่องจริง มีการทำเป็นภาพยนตร์และรายการพิเศษต่างๆ ทางทีวีแน่นอน แต่ทุกคนที่เกี่ยวข้องยังคงรักษาความลับและปิดปากเงียบ

เรื่องนี้เฟลต์บอกว่าเขาอย่างให้เรื่องนี้เป็นความลับเรื่องนี้ตายไปกับตัว เพราะเขารู้สึกว่าสิ่งที่กระทำไปนับเป็นความ 'ไม่ซื่อสัตย์' ต่อองค์กรและหน้าที่

จนกระทั้งหลายปีผ่านไป โจอัน เฟลต์ บุตรีซึ่งปัจจุบันวัย 61 ปี เริ่มระแคะระคายว่าบิดาคือแหล่งข่าวนิรนามซึ่งกล้าหาญผู้นั้นและเขาก็ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับความลับของตัวเอง ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ว่าสิ่งที่เฟลต์ทำไป น่าจะเรียกว่าเป็นการแสดงความรักชาติอย่างแท้จริงมากกว่า พวกเขาจึงเสนอว่าน่าจะหาคนนอกมาเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวก่อนที่เรื่องนี้จะถูกลืมและเลือนหายไป จอห์น ดี.โอคอนเนอร์ ทนายความจากซาน ฟรานซิสโก ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวต่อสังคม

วู้ดเวิร์ด กล่าวถึง ดีพ โธรท ระหว่างบรรยายในมหาวิทยาลัยเมื่อปี 2003 ว่า "เขาจำต้องโกหกครอบครัว เพื่อนฝูง และเพื่อนร่วมงาน และปฏิเสธที่จะช่วยเรา"

อาจมีคนเห็นว่าเฟลต์คือคนทรยศที่ไขความลับขององค์กร แต่เมื่อบวกลบคูณหารลงแล้ว ดีพ โธรท ถือว่าเป็นวีรบุรุษนิรนามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของอเมริกา แม้ว่าสถานการณ์อาจมีส่วนผลักดันอยู่บ้าง แต่การที่ใครจะลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ขัดกับแนวทางขององค์กรที่ตัวเองเชื่อมั่นเพื่อจะได้คงไว้ซึ่งความจริงและสิ่งที่ถูกต้อไม่ใช่เรื่องง่าย และเฟลต์ยังต้องรับผลของการกระทำของตัวเองมาตลอด แม้ว่าจะภูมิใจได้แต่เขายังตำหนิตัวเองเสมอ เหมือนถูกจองจำอยู่ในคุกในจิตใจที่เขาสร้างมันขึ้นมาเองมาตลอดกว่า 30 ปีที่ผ่านมา


คดีวอเตอร์เกตก็เป็นเครื่องยืนยันอีกครั้งว่าในประเทศอเมริกาหรือประเทศไหนๆ บนโลก ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายได้ แม้แต่ประธานาธิบดีก็ตาม รวมถึงกลายเป็นบรรทัดฐานของการทำข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนที่ทำให้ความจริงได้ปรากฏและสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมได้



โดย: Bernadette วันที่: 14 กันยายน 2552 เวลา:1:36:58 น.  

 
มีอีกเรื่องนะหนูแบร์ ...Frost/Nixon
คล้ายๆ กันมั้ยจ๊ะ
หนูแบร์ดู 'ยัง
น่าดูมั้ย...จะได้หามาดู เห็นโฆษณาที่ทรูเมื่อหลายเดือนก่อน

------------
เรื่องภาพหัวบล็อกนั่นลูกสาวคนเล็กวาดจ้ะ
ภาพโพรไฟล์นี่ของลูกสาวคนโต
มิช่ายศิลปินที่ไหนร้อก


โดย: momster วันที่: 14 กันยายน 2552 เวลา:12:37:16 น.  

 
มีอีกเรื่องนะหนูแบร์ ...Frost/Nixon
คล้ายๆ กันมั้ยจ๊ะ
หนูแบร์ดู 'ยัง
น่าดูมั้ย...จะได้หามาดู เห็นโฆษณาที่ทรูเมื่อหลายเดือนก่อน

------------
เรื่องภาพหัวบล็อกนั่นลูกสาวคนเล็กวาดจ้ะ
ภาพโพรไฟล์นี่ของลูกสาวคนโต
มิช่ายศิลปินที่ไหนร้อก



โดย: momster วันที่: 14 กันยายน 2552 เวลา:12:37:16 น.


ตอบ ดูแล้วคุณนาย mom Frost/Nixon
หนังใช้คำพูดเกือบทั้งเรื่องดูยาก ต้องตั้งใจดูอะค่ะ

เรื่องนี้เหมือนกัน ดูยากมาก
เพราะแบร์ไม่รู้เรื่องเลย เกี่ยวกับ วอเตอร์เกท

Frost/Nixon น่าดูม๊ากกค่ะ

ปล ดู Film แนวนี้ มีเงิ๊บได้ ถ้าไม่ใช่คอจริงๆๆ หรือรู้เรื่อง แบ๊คกราวด์มาก่อนอะ

อ้อศิลปินคุณลูกนี้เอง เก่งเหมือนคุณนายmomเล๊ยยยย


โดย: Bernadette วันที่: 14 กันยายน 2552 เวลา:13:39:49 น.  

 

ได้ดูเรื่องนี้ที่โรงหนังสกาล่า นานมากๆแล้ว
ชอบ..ค่ะ



โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:14:30:00 น.  

 
ได้ดูเรื่องนี้ที่โรงหนังสกาล่า นานมากๆแล้ว
ชอบ..ค่ะ
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:14:30:00 น.

ตอบ แง๊ววว ดูยากงะพี่นางฟ้า ไม่รู้เรื่องเลย กะต้องมานั่งไล่ ว่าใครเป็นใครอะค่ะ ดูยากจัง


โดย: Bernadette วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:19:59:30 น.  

 
ขอนำบทความเรื่อง All the President's Men - ก็คนของผู้นำประเทศทั้งนั้น ของ Mr.cozy มะปะค่ะ

Source :https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=mr-cozy&date=10-08-2007&group=1&gblog=19

ในหนังเรื่อง ฟอร์เรสส์ กัมป์ - มีอยู่มุขหนึ่งคือ คืนที่เขาไปนอนโรงแรมตอนไปรับรางวัลเล่นปิงปองเขานอนไม่หลับเพราะตึกใกล้ๆมีคนคอยส่องไฟฉายหาอะไรก็ไม่รู้ เลยต้องโทรไปแจ้ง รปภ. ก่อนที่ภาพจะซูมลงไปที่สบู่ว่า เขาพักที่ตึก วอร์เตอร์เกต - Watergate



All the President's Men - เป็นหนังเรื่องของสองนักข่าวหนังสือพิมพ์ วอชิงตัน โพสต์ ที่เข้าสืบสวนคดีการบุกรุกที่ทำการสาขาของพรรคเดโมแทร๊กในตึกวอร์เตอร์เกต การจับกุมคนทั้ง 5 คนที่ทำท่าจะเป็นคดีงัดแงะธรรมดา แต่ บ๊อบ วู๊ดเวิร์ท - Bob Woodward ( Robert Redford ) นักข่าวหนุ่มที่เพิ่งจบจากมหาลัยเยล กับ คาร์ล เบรินสตีน - Carl Bernstein ( Dustin Hoffman ) ร่วมกันขุดคุ้ยอย่างถึงลูกถึงคนก่อนจะพบว่าพวกนั้นคือเจ้าหน้าที่รัฐมีเจตนาจะเข้าไปติดเครื่องดักฟังคู่แข่งทางการเมือง

หนังกำกับโดย อลัน เจ พาคูลา - Alan J. Pakula ดำเนินเรื่องได้ดี ให้คนดูได้เห็นขั้นตอนการค้นหาข่าว อุปสรรคต่างๆทั้งจากอำนาจรัฐ หรือจากบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้อง จนแทบจะล้มเลิกความตั้งใจ

ภาพที่ผมชอบมามี 2 ครั้งที่ใช้ภาพมุมสูง - bird's eyes view ครั้งแรกเมื่อพวกเขาไปห้องสมุดรัฐสภาเพื่อขอรายงานเอกสารผลก็คือได้บัตรค้นเป็นพันใบกล้องซูมจากกองบัตร สู่โต๊ะ สู่ห้อง สู่อาคารที่กว้างใหญ่ ครั้งที่ 2 ภาพของสองนักข่าวเดินตระเวณสอบถามข้อมูลผู้เกี่ยวข้อง - แน่ล่ะ คำตอบส่วนใหญ่คือปฎิเสธ - กล้องซูมพวกเขาที่ยืนอยู่ สู่ถนน เขตตึก จนเห็นเมืองใหญ่ทั้งเมือง

ภาพของหนังกำลังสื่อว่าพวกเขากำลังทำอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าใครจะคาดคิด

จนถึงจุดที่ความหวังริบหรี่เต็มทน บ๊อบ ได้รับการติดต่อกับใครคนหนึ่งว่าพร้อมจะให้ข้อมูลที่ประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ โดยห้ามไม่ให้เปิดเผยตัวเขา ให้เรียกเขาว่า ดีฟ โธร์ท - Deep Throat

หลังจากนั้น ดีฟ โธร์ท ก็กลายเป็นศัพท์ใหม่ในแวดวงการข่าวสารประเทศอเมริกา ข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากผู้ไม่ประสงค์แสดงตัวก็เรียกว่าดีฟ โธร์ท กันไปหมด

ผลจากข้อมูลทำให้พวกเขาคุ้ยไปได้ว่าการดักฟังและหาข้อมูลคู่แข่งนี้เกี่ยวโยงไปถึง ผู้นำระดับสูงของพรรครีพับรีกัลของประธานาธิบดี นิกสันที่ปกครองประเทศในขณะนั้น ยังมีเจ้าหน้าที่เอฟ บี ไอ และซี ไอ เอบางคน ไปจนถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเองด้วย

ผลก็เหมือนชื่อหนังนั่นแหละ "คนของประธานาธิบดีทั้งนั้น" - All the President's Men !!!

หนังครอบคลุมประมาณครึ่งปีแรกของการสืบข่าว จบลงที่ภาพนักข่าวทั้ง 2 ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ดีด เขียนข่าว โดยละไว้ให้รู้เองว่าสิ่งตามมาก็คือประวัติศาตร์หน้าหนึ่งของการเมืองอเมริกา - ประธานาธิบดี ริชาร์ต นิกสัน ต้องลาออกเมื่อ วันที่ 8 สิงหาคม 1974 หลังจากถูกยื่นถอดถอนเพราะละเมิดกฎหมายการเลือกตั้ง เขารอดคุกเพราะรัฐบาลต่อมาออกนิรโทษกรรมให้ แต่พวกลุกน้องทั้งหลายถูกลงโทษหนัก-เบากันทั่วหน้า

ผมขอจบบทบันทึกไว้ที่บทสัมภาษณ์ บ๊อบ วู๊ดเวิร์ท (ถ้าเป็น dvd แบบ 2 แผ่นจะมีแผ่นเบื้องหลังเป็นสารคดีของ 2 นักข่าวในคดีนี้ยาวกว่า 45 นาทีด้วย ) เขาตอบคำถามที่ว่า - คุณคิดยังไง ไม่กลัวหรือในตอนแรกๆที่เอาตัวเข้าชนอำนาจรัฐแบบนั้น - เขาตอบว่า " ผมทำในสิ่งที่ผมต้องทำ ถ้ายอมให้ผู้นำประเทศทำผิดกฎหมาย แทรกแซงการเลือกตั้งแล้ว ต่อไปประเทศอเมริกาก็จะเป็นประชาธิปไตยเพียงแค่ชื่อเท่านั้น"

ผมว่าก็เหมือนประเทศไทยยุคทักษิณ.....เป็นประชาธิปไตยเพียงแค่ชื่อเท่านั้น



ปล. กว่า 30 ปีให้หลัง ในปี 2005 นาย มาร์ค เฟล์ท - Mark Felt อดีตรองผู้อำนวยการ FBI. ก็เปิดเผยตัวว่าเขาเองคือ ดีฟ โธร์ท สาเหตุที่เอาข้อมูลไปให้นักข่าวเพราะเขาก็ทนไม่ได้ที่ผู้นำประเทศแทรกแซงกฎหมายโดยเอาองค์กรของรัฐไปรับใช้พรรคตนเอง.

หนังดีที่น่าหามาดู ในบรรยากาศการเมืองแบบนี้ครับ...




Create Date : 10 สิงหาคม 2550
Last Update : 10 สิงหาคม 2550 17:01:28 น.

Counter : 238 Pageviews.


โดย: Bernadette วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:22:06:51 น.  

 
คดีวอเตอร์เกตก็เป็นเครื่องยืนยันอีกครั้งว่าในประเทศอเมริกาหรือประเทศไหนๆ บนโลก ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายได้ แม้แต่ประธานาธิบดีก็ตาม

ดีจังทำให้ได้ความรู้ย้อนประวัติศาสตร์ด้วย

นักแสดงชุดนี้ยังวัยหนุ่มอยู่เลย


โดย: รัชชี่ (รัชชี่ ) วันที่: 17 กันยายน 2552 เวลา:10:46:17 น.  

 
คดีวอเตอร์เกตก็เป็นเครื่องยืนยันอีกครั้งว่าในประเทศอเมริกาหรือประเทศไหนๆ บนโลก ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายได้ แม้แต่ประธานาธิบดีก็ตาม

ดีจังทำให้ได้ความรู้ย้อนประวัติศาสตร์ด้วย

นักแสดงชุดนี้ยังวัยหนุ่มอยู่เลย



โดย: รัชชี่ (รัชชี่ ) วันที่: 17 กันยายน 2552 เวลา:10:46:17 น.

ตอบ เรื่องปรกติทุกที่อะ คุณนายรัชชี่ เรื่องวอร์เตอร์เกท
จริงๆๆแล้วจิ๊บจิ๊บ แบร์ว่า deal ตกลงกันไม่ได้มากกว่าอ่า
กะดูปีจิ๊ ยุค 70 รุ่นป๊าแหละ

อย่าว่ากันน๊ะ แฮ่ ลึกๆ แบร์ถูกฝังหัว Men are born and remain free and equal in rights

ผลตามมาคือยุติ เมกาขาดทุนอะปะมะรู้อ่า

คือ คน คือ คาราวาน 10


เพลง เพื่อมวลชน
ร้องกันบ่อยเหลือเกิน ฝังหัว



แสงดาวแห่งศรัทธา เพ็ญศรี พุ่มชูศรี
ด้วยคาราวะ




โดย: Bernadette วันที่: 17 กันยายน 2552 เวลา:11:21:16 น.  

 
เราชอบตอนจบน่ะแบร์

เห็นสองนักข่าวตั้งหน้าตั้งตาทำงานไปเรื่อยๆ

แต่ก้พอรู้ได้ว่า อนาคต เขาทั้งสองจะเปลี่ยนประเทศ


โดย: mr.cozy วันที่: 17 กันยายน 2552 เวลา:17:07:34 น.  

 
เราชอบตอนจบน่ะแบร์

เห็นสองนักข่าวตั้งหน้าตั้งตาทำงานไปเรื่อยๆ

แต่ก้พอรู้ได้ว่า อนาคต เขาทั้งสองจะเปลี่ยนประเทศ



โดย: mr.cozy วันที่: 17 กันยายน 2552 เวลา:17:07:34 น

ตอบ อ่า


โดย: Bernadette วันที่: 17 กันยายน 2552 เวลา:17:39:37 น.  

 
ขอบันทีกบทความนี้ในfacebookนะคร้าบ


โดย: Mr.Chanpanakrit วันที่: 1 ตุลาคม 2552 เวลา:20:49:19 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Bernadette
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




In the name of the Father, and of the Son, and of the Holy Spirit

The Ave Maria asks Mary to "pray for us sinners."

Amen

PaPa for all Father W e pray year of priests.



Card Michael Michai Kitbunchu, Archbishop of Bangkok, is the first member of the College of Cardinals from Thailand.

source :http://www.asianews.it/news-en/Michai-Kitbunchu,-first-cardinal-from-Thailand-3038.html

พระคาร์ดินัล ไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู คณะเชนต์ปอล part1

ฺBishop ฟรังซิส เซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช พิธีรับPallium Metropolitans Bangkok Thailand >

สารคดี เทศกาลแห่ดาว สกลนคร Welcome
Sakonnakorn Christmas Thailand
Metropolitans Tarae Sakornakorn Thailand


Orchestra and four vocal Choir - *Latin* Recorded for the Anniversary of the Pope Benedict XVI April 19 This is the Anthem of the Vatican City. The Songs are called Inno e Marcia Pontificale ...

We are Catholic.

หน้าเฟส อัพรูป หาที่อัพรูปใหม่อยู่ http://www.facebook.com/bernadette.soubirous.3


MusicPlaylist
MySpace Music Playlist at MixPod.com

Friends' blogs
[Add Bernadette's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.