แบร์แนแด็ท....น่ารัก....น่ารัก ขี้ลืม.....ขี้ลืม ...... หนังปายหนายหว่า buy แล้ววbuyอีก......... faith, hope and charity เฟศบุ๊ค http://www.facebook.com/bernadette.soubirous.3
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2550
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
20 สิงหาคม 2550
 
All Blogs
 

Rembrandt Harmenszoon van Rijn :เรมบรันต์ delicate skill with more energy and power


Rembrandt Harmenszoon van Rijn (July 15, 1606 – October 4, 1669) was a Dutch painter and etcher. He is generally considered one of the greatest painters and printmakers in European art history and the most important in Dutch history.[citation needed] His contributions to art came in a period that historians call the Dutch Golden Age.

"He combined more delicate skill with more energy and power," states Chambers' Biographical Dictionary. "His treatment of mankind is full of human sympathy" (J.O. Thorne: 1962).







Christ Healing the Sick (c. 1643, also known as The Hundred Guilders Print) - Etching, Victoria and Albert Museum, London, , nicknamed for the huge sum (at that time) paid for it



Rembrandt-Ascension



Christ in the Storm on the Lake of Galilee (1633) - Formerly at the Isabella Stewart Gardner Museum, Boston; stolen in 1990 and still at large




Artchive. Rembrandt van Rijn Descent from the Cross. 1634. Oil on canvas. 62 x 46 in. (158 x 117 cm) Hermitage, St. Petersburg Photo of a two-dimensional work whose author died more than 100 years ago.



John 20 14



Rembrandt Abraham en Isaac

เรมบรันต์ เกิดเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 1606 ที่เมืองลีเดน (Leiden) เนเธอร์แลนด์ บิดาชื่อ Harmen Gerritsz van Rijn เป็นเจ้าของโรงสี มารดาชื่อ Neeltje van Suijttbroeck เรมบรันต์ได้รับการศึกษาด้านปรัชญาจากมหาวิทยาลัยลีเดน แต่หลังจากนั้นกลับสนใจศิลปะ ดังนั้น ในปี ค.ศ. 1622-1624 เขาจึงเข้าศึกษาศิลปะกับจาคอบ ฟาน สวาเนเบิร์ก (Jacob van Swanenburgh) จิตรกรที่มีชื่อเสียงของเมืองลีเดน ต่อมาเขาได้เดินทางไปกรุงอัมสเตอร์ดัม ได้เข้าศึกษาและฝึกงานจิตกรรมกับจิตรกรชื่อลาสแมน (Pieter Lastman) ซึ่งเป็นจิตกรที่เคยศึกษาศิลปะมาจากประเทศอิตาลีและได้รับอิทธิพลจากจิตรกรอิตาเลียนชื่อคาราวัจดจ (Michelangelo Merisi da Caravaggio มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1557-1610) ซึ่งเป็นจิตรกรผู้บุกเบิกศิลปะบาโรกของอิตาลี ผลงานจิตรกรรมของคาราวัจโจมีลักษณะเฉพาะตัวคือ การสร้างแสงและเงาขึ้นเอง โดยไม่ต้องอาศัยแสดงธรรมชาติ แต่เป็นแสงของพระเจ้า (divine light) ทำให้ผลงานจิตรกรรมของเขามีแสงนุ่มนวลงดงาม ต่อมาเรียกผลงานจิตรกรรมแนวนี้ว่า Caravaggisti ดังนั้นอิทธิพลของคาราวัจโจที่ให้ความสำคัญเรื่องแสงและเงาในงานจิตรกรรมจจึงตกทองมาสู่เรมบรันต์ด้วย

ค.ศ. 1625 เรมบรันต์เดินทางกลับไปลีเดนแล้วร่วมกับเพื่อนจิตรกรชื่อ ลีแวนส์ (Jan Leivens มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1607-74) สร้างห้องทำงานขึ้นเพื่อรับจ้างเขียนรูป ในระหว่างนั้นเขาก็ศึกษาการเขียนภาพและพยายามพัฒนาฝีมือของตนเองให้สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการเขียนภาพเหมือน ซึ่งเขาศึกษาจากการเขียนภาพเหมือนตัวเอง (self portait) ในขณะเดียวกันเขาก็สร้างงานภาพพิมพ์โลหะไปด้วย ช่วงเวลาไม่นานนักชื่อเสียงของเรมบรันต์ก็เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป

หลังจากบิดาถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1630 เขาได้เดินทางไปกรุงอัมสเตอร์ดัม ซึ่งเป็นศูนย์กลางของความเจริญในขณะนั้นโดยพนักอยู่กับพ่อค้าศิลปะคนหนึ่ง สองปีถัดมาเร็มบรันต์ก็ได้สร้างผลงานที่สร้างชื่อเสียงมากชิ้นหนึ่งคือภาพ "การสาธิตกายวิภาพมนุษย์ของนายแพทย์ทัลพ์" (Doctor Nicolaes Tulp Demonstrating the Anatomy of the Arm) โดยได้รับการว่าจ้างจากสมาคมศัลยแพทย์กรุงอัมสเตอร์ดัม เป็นภาพสีน้ำมันบนผ้าใบขนาด 169.5 x 216.5 เซนติเมตร (ปัจจุบันเป็นสมบัติของ The Hague, Maurithsuis)

ผลงานจิตรกรรมชิ้นนี้แสดงให้เป็นอัจฉริยภาพในการจัดองค์ประกอบของภาพ การจัดแสดงและเงาของภาพตามแนวคิดของเขาคือ ให้แสงจับเฉพาะส่วนที่ต้องการให้เป็นจุดเด่น ได้แก่ เรือนร่างของศพ ใบหน้าของแต่ละคนแสดงความรู้สึกที่ต่างกันไป นอกจากนี้ เรมบรันต์ยังแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างคนที่มีชิวตซึ่งผิวพรรณเต็มไปด้วยเลือดเนื้อต่างกับศพที่ซีดขาว ผลงานจิตรกรรมของเขาชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่าสามารถในการเขียนภาพเหมือนชั้นครูที่สามารถนำภาพเหมือนของบุคคลต่างๆ มาจัดเป็นกลุ่มได้อย่างเหมาะสมลงตัว นอกเหนือจากคุณค่าทางศิลปะแล้ว ยังเป็นภาพบันทึกประวัติศาสตร์วงการแพทย์ของเนเธอร์แลนด์อีกด้วย ผลงานชิ้นนี้เป็นจุดเริ่มต้นของความรุ่งโรจน์ในชีวิตของเรนบรันต์เพราะหลังจากนั้นได้มีผู้มาว่าจ้างให้เขาเขียนภาพด้วยค่าจ้างที่สูงมากทำให้เขามีฐานะมั่นคั่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปี ค.ศ. 1634 เรมบรันต์ได้แต่งงานกับ ซาสเกีย (Saskia van Uyleburgh) ซึ่งมีเชื้อสายผู้ดีเก่า ทำให้สถานภาพทางสังคมของเขาสูงขึ้นตามไปด้วย ต่อมาเรมบรันต์ได้ซื้อบ้านหลังหนึ่งเพื่อเอาใจภรรยา ในขณะเดียวกันเขาก็หันมาสนใจสะสมโบราณวัตถุ เงินที่ได้มาจึงหมดไปกับการซื้อสิ่งต่างๆ เช่น อาวุธโบราณ เครื่องดนตรี เครื่องประดับ และเสื้อผ้าโบราณ ทำให้เรมบรันต์มีหนี้สินมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ต้องขายทรัพย์สินต่างๆ ที่สะสมไว้จนหมดแม้แต่บ้านก็ถูกยึดไป แม้เรมบรันต์จะมีฐานะยากจนอย่างไรเขาก็ยังเขียนรูปต่อไป และกลับจะเป็นผลดีต่อการสร้างงานของเขาเสียด้วยซ้ำเพราะแทนที่เขาจะเขียนตามใจผู้ว่าจ้างทั้งหมด แต่กลับเขียนขึ้นตามความรู้สึกนึกคิดของตนด้วย ทำให้ผลงานเป็นอิสระและมีชีวิตชีวาไม่แข็งกระด้าง

ค.ศ. 1642 เรมบรันต์ได้สร้างผลงานที่มีชื่อเสียงมากอีกชิ้นหนึ่งคือ ผลงานจิตรกรรมบนผ้าใบชื่อ กัปตันแบนิงคอร์ดกับกลุ่มยามรักษาการณ์ (The Militia Company of Captain Frans Banning Cocc) หรือภายหลังรู้จักกันในชื่อ "ยามแห่งค้ำคืน" (The Night Watch)เป็นภาพขนาด 359 x 438 เซนติเมตร (ปัจจุบันอยู่ที่ Rijksmuseum กรุงอัมสเตร์ดัม) ผลงานจิตรกรรมชิ้นนี้เป็นภาพยามหรือผู้รักษาความปลอดภัยกลุ่มหนึ่งโดยเทศบาลกรุงอัมสเตอร์ดัมเป็นผู้ว่าจ้างให้เขาวาด เพื่อบันทึกภาพของยามรักษาการณ์กลุ่มหนึ่งกำลังเดินไปข้างหน้า มีกัปตันแบนิงคอร์ดเป็นผู้นำ เรมบรันต์สร้างจุดเด่นที่กับปตันแบนิงคอร์ด คนอื่นเป็นส่วนรองลดหลั่นกันไป แต่ละคนมีแสงสว่างจับใบหน้า ฉากหลังมืดสลัวแสดงให้ห้เห็ว่าเป็นบรรยากาศของกลางคืน การจัดวางองค์ประกอบ การจัดแสงของภาพงดงามตามลักษณะเฉพาะของเรมบรันต์ แม้ผลงานชิ้นนั้นจะได้รับการยกย่องชมเชยมากก็ตาม แต่ในขณะที่เขามีชีวิตอยู่กลับไม่มีใครสนใจนัก เพราะหลังจากที่นำผลงานไปติตั้งที่ศาลาประชาคมกรุงอัมสเตอร์ดัมแล้ว ก็ไม่ได้รับความสนใจ ถูกปล่อยปละละเลยขาดการดูแลรักษานานเกือบร้อยปี จนผลงานเสียหายชำรุดไปหลายแห่ง เมื่อมีการนำมาทำความสะอาดในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ยังพบว่าขณะที่นำมาติดตั้งนั้น มีการตัดรูปคน ด้านขวามือของภาพออกไปสองคน นอกจากนี้ดังนั้น มีการตัดรูปคนด้านขวามือของภาพออกไปสองคน นอกจากนี้ในปี ค.ศ. 1975 ชายวิกลจริตผู้หนึ่งใช้มีดโกนกรีดจนผ้าใบขาดเสียหายหลายแห่ง แต่ก็ไดรับหารซ่อมแซมจนมีสภาดีเช่นเดิม ปัจจุบันผลงานจิตรกรรมชิ้นนี้ตั้งแสดงอยู่ที่พิพิภัณฑ์ริจค์ กรุงอัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์

แม้ผลงานจิตรกรรมชิ้นสำคัญๆ ของเรมบรันต์มักได้รับการว่างจ้างให้วาดเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม แต่ก็มีผลงานหลายชิ้นที่เขาเขียนตามต้องการของตน โดยเฉพาะภาพบุคคลในครอบครัวของเขา เช่น ภาพรูปคนเหมือนชื่อ Rembrandt and Saskia in the seen of the Prodigal Son in the Tavern เป็นภาพสีน้ำมันบนผ้าใบ วาดเมื่อ ค.ศ. 1635 ขนาด 161 x 131 เซนติเมตร เป็นรูปซาสเกียนั่งอยู่บนตักเรมบรันต์ แสดงให้เห็นความรักและความผูกพันระหว่างเขาและภรรยา นอกจากนี้เรมบรันต์ยังวาดภาพรูปคนเหมือนของภรรยาและบุตรชายของเขาไว้อีกหลาย เช่น ภาพชื่อ Saskia as Flora เป็นภาพรูปคนเหมือนของอีกหลายชิ้น เช่น ภาพชื่อ Saskia as Flora เป็นภาพรูปคนเหมือนของซากเกีย วาดเมื่อ ค.ศ. 1641 เป็นภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนแผ่นไม้โอ๊คขนาด 97.7 x 82.2 เซนติเมตร ภาพชื่อ Titus at his desk วาดเมื่อ ค.ศ. 1655 สีน้ำมันบนผ้าใบขนาด 77 x 63 เซนติเมตร และภาพชื่อ Titus วาดเมื่อ ค.ศ. 1658 ขนาด 67.3 x 55.2 เซนติเมตรเป็นภาพสีน้ำมันบนผ้าใบเช่นเดียวกัน

เรมบรันต์ได้รับการยกย่องว่าเป็นจิตรกรที่มีความสามารถในการวาดภาพรูปคนเหมือนเป็นเลิศ มีผลงานภาพเหมือนทั้งที่เป็นกลุ่มและภาพเดี่ยวปรากฏอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าเรมบรันต์เป็นจิตรกรที่ชอบวาดภาพเหมือนตัวเองที่สุด มีภาพเหมือนของเขาที่วาดขึ้นในช่วงเวลาต่างๆ กันถึง 60 ภาพ ผลงานจิตรกรรมเหล่านี้แสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงทางสรีระของเขาในวัยต่างๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น การวาดภาพเหมือนตัวเองยังเป็นการศึกษาและฝึกฝนการวาดรูปคนเหมือนของเขาไปด้วย

ชีวิตของเรมบรันต์เป็นชีวิตที่ผกผันจากชีวิตจิตรกรที่ร่ำรวยหรูหรามีชื่อเสียง กลับตกต่ำมาเป็นศิลปินที่ล้มละลายต้องอาศัยอยู่กับบุตรชายจนถึงวาระสุดท้าย ชีวิตของเขาเริ่มประสบกับความยากจนหลังจากที่ซาสเกียถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1642 หลังคลอดบุตรชายคนสุดท้องที่ชื่อติตุส (Titus) ได้เพียง 9 เดือน ซาสเกียเสียชีวิตเพราะความตรอมใจที่ต้องสูญเสียบุตรสามคนไปก่อนหน้านั้น การจากไปของบุตรและภรรยานำความโศกเศร้ามาสู่เรมบรันต์อย่างใหญ่หลวงแต่ในปีเดียวกันเขาก็ได้รับเฮนดริก สตรอร์เฟิล (Hendrichje Stoffels) เข้ามาช่วยทำงานบ้านและดูแลบุตรชาย และจากความใกล้ชิดและเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันทำให้ทั้งสองคนอยู่กินกันฉันท์สามีและภรรยาเฮนดริกได้ให้กำเนินบุตรสาวคนหนึ่งชื่อ คอร์เนเลีย (Cornelia) พฤติกรรมของเรมบรันต์ถูกตำหนิจากฝ่ายศาสนาว่าเป็นการกระทำที่ขัดศิลธรรมซึ่งกำหนดโดยนักบวชขณะนั้น

ในปี ค.ศ. 1654 เรมบรันต์ได้สร้างงานจิตรกรรมที่น่าสนใจมากชิ้นหนึ่งคือ ภาพชื่อ Hendrickje Bathing in a River เป็นภาพสีน้ำมันบนแผนไม้ ขนาด 61.8 x 47 เซนติเมตร (ปัจจุบันอยู่ที่ The National Gallery กรุงลอนดอน อังกฤษ)

เป็นภาพเฮนดริกยืนอยู่ริมแม่น้ำ ถลกกระโปรงด้านหน้าขึ้นไปจนถึงโคนขา ความก้าวหน้าของผลงานชิ้นนี้คือการปาดป้ายสีกระโปรงที่ทิ้งฝีแปรง (brushwork) ไว้โดยไม่เกลี่ยสีให้เรียบเหมือนผลงานจิตรกรรมของเรมบรันต์ก่อนหน้านั้น นอกจากนั้น ผลงานชิ้นนี้ยังแสดงให้เห็นว่าเขาสนใจชีวิตในโลกของตนเองมากขึ้น แทนที่จะเขียนเรื่องที่ไกลตัวดังแต่ก่อน

ฐานะการเงินของเรมบรันต์ตกต่ำลงเรื่อยๆ จนในที่สุดในปี ค.ศ. 1656 ถูกศาลสั่งเป็นบุคคลล้มละลาย ทรัพย์สินของเขาถูกขายทอดตลาด เขาและเฮนดริกต้องไปอาศัยอยู่กับติตุสบุตรชาย ในขณะนั้นเขาได้อาศัยเงินค้าจ้างสอนนักเรียนที่สนใจการวาดภาพและรายได้จากการรับจ้างวาดภาพ ชื่อ The Syndics of the Clothmakers Guild เป็นภาพจิตรกรรมสีน้ำมันขนาด 191.5 x 279 เซนติเมตร ซึ่งเขาวาดค้างไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1662

ความเลวร้ายในชีวิตของเรมบรันต์มิได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้นเพราะในปี ค.ศ. 1663 เฮนดริกถึงแก่กรรม เขาปล่อยตัวปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม ไม่สนใจการรับจ้างวาดรูป แต่กลับทำงานตามใจชอบทำให้เขาค้นพบการเขียนภาพเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์มากขึ้น ในช่วงนี้เขาได้รับการอุปการะจากติตุสซึ่งได้รับเงินมรดกจากผลงานของเรมบรันต์ชุดหนึ่ง

ค.ศ. 1668 ติตุสได้แต่งงานกับ แมกดาเลนา ฟาน ลู (Magdalan van Loo) แต่หลังจากนั้นเพียงหกเดือนติตุสก็ถึงแก่กรรม เขาจึงต้องอาศัยอยู่กับลูกสะใภ้ ในที่สุดเรมบรันต์จบชีวิตลงเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 1669 อายุ 63 ปี หลังจากได้หลานสาวเพียงไม่กี่เดือน

เรมบรันต์ทิ้งมรดกศิลปกรรมไว้ให้เป็นสมบัติของโลกจำนวนมากเป็นจิตรกรรมสีน้ำมันเกือบ 800 ภาพ ภาพพิมพ์ประมาณ 500 ภาพและวาดเส้นประมาณ 100 ภาพ



Rembrandt's house in Amsterdam, now the Rembrandt House Museum







Rembrandt : Bathsheba C. 1654
Oil on canvas 56 x 56" (142 x142 cm) Musee du Louvre, Paris
- Bathsheba Detail

ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนเลยว่ารูปนี้อยู่ที่พิพิทธภันฑ์ Louvre ในประเทศฝรั่งเศส ไม่ใช่อยู่ที่กรุง New York อย่างตามบทภาพยนตร์เรื่อง "Entrapment" หญิงสาวในภาพนี้ก็คือ Henrickje Stoffels ภรรยาที่อยู่กันอย่างลับๆของ Rembrandt นั่นเอง ภาพนี้เร็มบรั้นวาดให้กับ กษัตริย์ David โดยที่พระองค์ได้แรงบันดาลใจจากการที่พระองค์นั้น จับเอากริยาที่เห็น Bathsheba กับสาวรับใช้ของเธอที่กำลังเช็ดเท้าให้ การใช้สี ฝีแปรง ในภาพนี้เป็นแบบ Venetian School ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ฝีแปรงของเร็มบรั้น จะเป็นแนวแปรง ที่ป้ายสีหนาๆ และต่อเนื่อง เร็มบรั้นยังเลือกใช้ฉากหลัง ที่เขาคุ้นเคยคือด้านหลังจะมืดไม่เก็บรายละเอียดการที่ด้านหลังมืดนี้ เพื่อที่จะได้เน้นร่างคนด้านหน้าให้เด่นขึ้นมาแสงที่ใช้เป็นแสง แบบ Spotlight คือแสงจะส่องอย่างอิสระจะส่องตรงโน้นที ตรงนี้ที ซึ่งแสงในลักษณะนี้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ เร็มบรั้นเอง เขาจะใช้แสงและเงาตัดกันอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นอิทธิพลที่ได้มาจาก Caravaggio นั่นเอง ภาพของ Rembrandt นั้นจะถูกสร้างให้ ปรากฎขึ้นมา ด้วยแสงและเงาที่ได้จากฝีแปรงที่ต่อเนื่องและลงสีหนาๆ จนได้แสง - เงา ที่แฝงไปด้วยจิตวิญญาณอันลำลึก


Source : //en.wikipedia.org/wiki/Rembrandt




 

Create Date : 20 สิงหาคม 2550
1 comments
Last Update : 20 สิงหาคม 2550 21:07:06 น.
Counter : 3336 Pageviews.

 

อุ๊ย...เพิ่งเห็นบล็อกนี้
น่าสนใจค่ะ เพิ่งจะอัพบล็อกภาพของเรมบรันต์เมื่อวันสองวันนี้เอง ตามไปดูด้วยกันนะคะ

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=charlotte-russe&month=09-2007&date=01&group=6&gblog=22

ถ้ามีอะไรแนะนำช่วยบอกด้วยนะคะ มือใหม่ค่ะ

 

โดย: Charlotte Russe 3 กันยายน 2550 0:33:01 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Bernadette
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




In the name of the Father, and of the Son, and of the Holy Spirit

The Ave Maria asks Mary to "pray for us sinners."

Amen

PaPa for all Father W e pray year of priests.



Card Michael Michai Kitbunchu, Archbishop of Bangkok, is the first member of the College of Cardinals from Thailand.

source :http://www.asianews.it/news-en/Michai-Kitbunchu,-first-cardinal-from-Thailand-3038.html

พระคาร์ดินัล ไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู คณะเชนต์ปอล part1

ฺBishop ฟรังซิส เซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช พิธีรับPallium Metropolitans Bangkok Thailand >

สารคดี เทศกาลแห่ดาว สกลนคร Welcome
Sakonnakorn Christmas Thailand
Metropolitans Tarae Sakornakorn Thailand


Orchestra and four vocal Choir - *Latin* Recorded for the Anniversary of the Pope Benedict XVI April 19 This is the Anthem of the Vatican City. The Songs are called Inno e Marcia Pontificale ...

We are Catholic.

หน้าเฟส อัพรูป หาที่อัพรูปใหม่อยู่ http://www.facebook.com/bernadette.soubirous.3


MusicPlaylist
MySpace Music Playlist at MixPod.com

Friends' blogs
[Add Bernadette's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.