|
หัวแตงโม
//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A4319989/A4319989.html#15
//www.tangmofanclub.com
Create Date : 27 เมษายน 2549 |
|
10 comments |
Last Update : 27 เมษายน 2549 17:22:33 น. |
Counter : 860 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: เหยี่ยวเงิน IP: 203.118.83.170 28 เมษายน 2549 0:41:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: ... IP: 124.121.187.93 7 มีนาคม 2551 6:56:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: คนดีที่โลกรอ IP: 124.121.187.93 7 มีนาคม 2551 6:59:29 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปลาดุกงับหางอากุม่อน IP: 118.172.167.213 5 ตุลาคม 2551 22:20:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: คนที่อยากเป็นหัวแตงโม IP: 125.26.176.172 7 กุมภาพันธ์ 2552 14:15:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: คนที่อยากเป็นหัวแตงโม IP: 125.26.176.172 7 กุมภาพันธ์ 2552 14:16:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: janehae IP: 118.173.101.249 1 กุมภาพันธ์ 2553 17:58:51 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ถ้าลองได้เปิดดูหนังสือตามรายชื่อ 70 กว่าเล่มที่ส่งเข้าประกวดซีไรต์ปีนี้ นอกจากเราจะได้เห็นหนังสือรวมเรื่องสั้นมากมายหลายปกตามวาระการประกวดแล้ว สองเล่มจากจำนวนทั้งหมดที่หลายคนอาจไม่ได้สังเกตคือมีหนังสือการ์ตูนส่งเข้าประกวดซีไรต์ปีนี้ด้วย
หนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "หัวแตงโม ซีกที่หนึ่ง- เมื่อหัวข้าพเจ้ากลายเป็นแตงโม" หนังสืออีกเล่มซึ่งเป็นเล่มต่อชื่อ "หัวแตงโม ซีกที่สอง- หัวเปลี่ยนไป ใจเปลี่ยนแปลง" ทั้ง 2 เล่มผลงานของ องอาจ ชัยชาญชีพ นักวาดการ์ตูนอิสระผู้หาเลี้ยงชีพด้วยการวาดการ์ตูน
คำถามว่าทำไมถึงส่งหนังสือการ์ตูนเข้าประกวด องอาจบอกว่า "นี่เป็นไม่กี่ครั้งในชีวิตที่รู้อยู่แล้วว่าไม่ได้อะไร ด้วยความสัตย์จริงไม่ได้คาดหวังอะไรแม้แต่นิดเดียว มันเหมือนกับเราอยากแบ่งให้กรรมการ อยากให้ผู้ใหญ่อ่านบ้าง คือคิดว่าไหน ๆ เราทำหนังสือเราก็แบ่งเขาอ่าน ไม่เห็นแปลก ปกติผมก็ต้องส่งให้นิตยสาร ส่งให้สื่ออยู่แล้ว และก็เผื่อว่าในอนาคตมันอาจจะเกิดคำถามขึ้นกับแวดวงนี้บ้างว่า ถ้าเป็นงานลักษณะอื่น ๆ นอกจากงานเขียนที่เราคุ้นเคยเราจะจัดมันไว้ตรงไหน"
องอาจมองว่าการ์ตูนก็คืองานสื่อสารเรื่องราวชนิดหนึ่งไม่ต่างจากวรรณกรรมหรือภาพยนตร์ คนเราจำแนกมันตามสื่อก็เพื่อสะดวกในการเรียกขาน ซึ่งก็ไม่ต่างกันกับกับงานจิตรกรรมหรือดนตรี เพราะสุดท้ายในความเป็นองค์รวมแล้วทั้งหลายทั้งปวงเรารวมเรียกมันว่า "ศิลปะ" เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาการ์ตูนในลักษณะที่เป็น "คอมมิก" ยังไม่เคยถูกยกให้เป็นแขนงหนึ่งของงานศิลปะ
"ระหว่างคนอ่านวรรณกรรมที่เขียนเป็นตัวหนังสือกับอ่านหนังสือการ์ตูนมันก็ได้รสชาติคนละอย่างกัน อย่างเช่นวรรณกรรมเป็นคำบรรยายหมด ก่อให้เกิดจินตนาการก็จริง แต่อย่าลืมว่าหนังสือการ์ตูนที่สื่อด้วยภาพมันก็ให้เนื้อหา ให้ความรู้สึกโดยที่ไม่ต้องใช้คำบรรยายได้ไม่ใช่หรือ"
"หัวแตงโม" ทั้งเล่ม 1 และ 2 คือหนังสือการ์ตูนที่เล่าเรื่องเป็นตอน ๆ นำเสนอเรื่องราวหรือสถานการณ์ทั่ว ๆ ไปที่พบเห็นได้ในสังคมเมือง มีตัวละครหลักคือ "หัวแตงโม" เป็นผู้ร้อยเรื่องทั้งหมดเข้าด้วยกัน ผู้ครั้งหนึ่งก่อนที่หัวจะกลายเป็นเช่นนั้นเขาก็คือมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง แม้สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงจะยังไม่ได้รับการเฉลย แต่ประเด็นที่ควรให้ความสำคัญมากกว่านั้นก็คือการคลี่คลายไปทั้งวิธีคิดและทัศนคติของตัวละคร
องอาจบอกว่า "ทั้ง 2 เล่มมันจะมีอินโทรดักชั่นพูดถึงการเปลี่ยนแปลงจากตัวผู้ชายคนหนึ่งไปสู่การเป็นหัวแตงโม อย่างเล่มหนึ่งพูดถึงเมื่อก่อนมันเคยคิดว่ามันเก่ง มันฉลาด แต่พอวันหนึ่งมันกลายเป็นหัวแตงโม มันโง่ลง แต่มีความสุขมากขึ้น พอเล่มสองมันเป็นคนอิจฉา เมื่อก่อนมันขี้อิจฉา แต่พอกลายเป็นหัวแตงโมก็เปลี่ยนไปเป็นอีกแบบหนึ่ง ซึ่งจุดที่จะบอกไม่ได้บอกว่าการเป็นหัวแตงโมหมายความว่าเป็นคนดีนะ เพียงแต่ว่ามันผ่อนคลายขึ้น หมกมุ่นกับตัวเองน้อยลง มองเห็นคนอื่นมากขึ้น"
สำหรับไอเดียในการสร้างผลงาน องอาจบอกว่าเขาพยายามสร้างเรื่องให้มีเอกภาพโดยจะวางแผนการ์ตูนแต่ละเล่มโดยภาพรวมว่าจะเสนอไปในแนวทางไหน กระนั้นบางทีถ้าเกิดมีความคิดผุดขึ้นมาภายหลังเขาก็ต้องหาวิธีการดึงเรื่องทั้งหมดให้เป็นกลุ่มก้อนเดียวกันให้ได้ ซึ่งอย่างน้อยที่สุดก็จะได้ตัวละครหัวแตงโมเป็นตัวเชื่อม
"บางครั้งหัวแตงโมแทบไม่มีบทบาทเลย เหมือนแค่คนเดินผ่าน บางครั้งหัวแตงโมอยู่ในสถานะที่เป็นคนเปลี่ยนแปลงความคิด บางครั้งอยู่ในสถานะที่ถูกเปลี่ยนแปลงความคิด คือมันเหมือนชีวิตคนจริง ๆ บางครั้งเราไปสอนคนอื่น บางครั้งถูกคนอื่นสอน บางครั้งเราก็อยู่ในเหตุการณ์เฉย ๆ เท่านั้นเอง"
ไอเดียและเรื่องที่จะเล่าคือสิ่งที่ต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก องอาจบอกว่าเขาจะร่างความคิดเป็นสตอรี่บอร์ดหรือจดเป็นประโยคเก็บไว้ และด้วยความคิดที่มีมาทุกวันเขาบอกว่าขั้นตอนนี้ไม่ใช่ปัญหา แต่ที่ยากกว่าคือขั้นตอนที่สองและสาม
ขั้นตอนที่สองคือการร้อยเรื่องและวางลำดับภาพ องอาจจะใส่ใจขั้นตอนนี้เป็นพิเศษเพราะเขาเชื่อว่าการ์ตูนที่ดีคือการ์ตูนที่สามารถดึงคนอ่านให้มีส่วนร่วมได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่รู้สึกสะดุด ส่วนขั้นตอนที่สามคือการลงมือวาดอีกครั้งเพื่อนำไปเป็นต้นฉบับตีพิมพ์ จุดนี้องอาจออกตัวว่าเขาทำได้ไม่ดีนักด้วยข้อสันนิษฐานของเขาเองคือ เขารู้สึกว่างานทั้งหมดมันเสร็จตั้งแต่จบขั้นตอนที่สองแล้ว เพียงแต่คนอื่นอ่านงานของเขาไม่ออกเพราะมันเละเกินไป เมื่อต้องวาดใหม่ก็คือการซ้ำที่เกิดจากความจำเป็น
หากมองในด้านเนื้อหา ตัวอย่างหนึ่งที่องอาจยกมาคือ "รสชาติของมาการิต้า" เรื่องราวที่เล่าผ่านวิธีการชงเหล้าของบาร์เทนเดอร์ต่างวัยสองคน
"มันพูดถึงความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยและความสัมพันธ์ของคน บาร์เทนเดอร์หนุ่มซึ่งได้แชมป์การผสมเหล้ามาเพราะท่าสุดยอด ปรากฏว่าคนแก่ที่เป็นบาร์เทนเดอร์เก่าบอกว่าเพิ่งมาทำงานวันแรกใช่มั้ย ลีลาโอเค คนแก่คนนี้ไม่มีลีลา ผสมไปแบบธรรมดา ๆ แล้วให้หัวแตงโมซึ่งเป็นเด็กเสิร์ฟชิมเปรียบเทียบดู ปรากฏว่าหัวแตงโมบอกว่าของบาร์เทนเดอร์แก่ทำอร่อยกว่า แต่เจ้าหนุ่มคนนี้ไม่เข้าใจ นี่มันระดับแชมเปี้ยนนะ ชายแก่คนนี้ก็สอนว่าที่แกได้รางวัลก็แค่ท่าทาง แค่เปลือกเท่านั้น อย่ามัวยึดติดกับวิธีการหรือท่วงท่าจนลืมเป้าหมายที่แท้จริง"
แต่เรื่องยังไม่จบเมื่อถึงเหตุการณ์ตอนกลางคืนคนมาสั่งเหล้า บาร์เทนเดอร์หนุ่มคนนั้นยังคงไม่เชื่ออยู่ดีถึงวิธีการของชายแก่ เขากระโดดขึ้นกลางบาร์แล้วเขย่าเต้นอย่างสนุกสนาน ปรากฏว่าทุกคนสนุกกับมันมากและรุมสั่งเหล้าจากบาร์เทนเดอร์หนุ่มคนนี้คนเดียวไม่มีใครอยากกินมาการิต้าของบาร์เทนเดอร์ชราเลย
"เพราะฉะนั้นมันเกิดมุมกลับรอบที่สองคือชายแก่คนนี้ไม่เข้าใจ บอกว่ามันแก่เกินไปรึยัง ทำไมคนมองแต่รูปแบบภายนอกไม่ได้มองที่แก่นแท้ หัวแตงโมซึ่งเป็นเด็กเสิร์ฟก็ทำตัวพูดอะไรเท่ ๆ บอกว่าไม่หรอก บางทีมันไม่ใช่เรื่องของการลืมหรือไม่ลืมแก่นแท้หรอก แต่ว่าคนเราอาจมีวิถีทางมีรสชาติที่แตกต่างกัน เท่านั้นเอง"
นอกจากการ์ตูนชุดหัวแตงโมซึ่งกำลังจะมีผลงานลำดับที่ 3 ออกมาให้เห็น ผลงานที่ผ่านมาภายใต้ชายคาสำนักพิมพ์เป็ด-เต่า-ควาย ขององอาจ ชัยชาญชีพ ได้แก่ปรัชญานิทานเรื่อง "หมูบินได้" ซึ่งได้รับคัดเลือกให้ได้รับรางวัลที่หนึ่งประเภทวรรณกรรมเยาวชน รางวัลเซเว่นบุ๊กอวอร์ดส และเรื่อง "พระเจ้าเป็นหมา" การ์ตูนที่ล้อปรัชญาความเชื่อโดยมีสุนัขเป็นตัวละครดำเนินเรื่อง
จากประสบการณ์ของการเป็นนักวาดการ์ตูนมาไม่น้อยกว่า 5 ปี องอาจพูดถึงหนังสือของเขาว่า
"ผมเชื่อของผมเองและได้ยินคนพูดต่อกันมาว่าหนังสือของผมมีคนอ่านมากกว่าจำนวนขาย ในแง่ของคนทำธุรกิจไม่ดีใจหรอก...โศก แต่ว่าในแง่ของคนทำงานดีใจสิ ดีใจมาก ๆ ด้วย ผมรู้ดีว่าหนังสือมันมีคุณค่าต่อเมื่อเราได้อ่านมัน ไม่ใช่ว่าเก็บไว้ในตู้ ฉะนั้นอย่างน้อยสิ่งที่ผมบอกไป สิ่งที่ผมเขียนออกไปมีคนได้อ่านมันแล้ว ไม่ว่าจะเกลียดหรือจะชอบก็ตาม"