|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
เศษเส้นฟาง ในรังน้อย
เรา ในฐานะผู้วิ่งอยู่บนเส้นของปัจจุบัน ไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนอดีตแม้สักเศษเสี้ยวนาที
ทว่า แม้จะเปลี่ยนไม่ได้ แต่เราก็ยังเป็นเจ้าของ ของเจ้าเวลานั้น ๆ ได้ ซึ่งเราเรียกมันว่า ภาพแห่งความทรงจำ
ภาพความทรงจำในอดีต ก็คล้ายกับซี่ฟันเฟืองหักที่หมุนวน มันหมุนมาหาเราอยู่บ่อยบ้าง หรือนาน ๆ มาทีบ้าง คล้ายเป็นญาติห่าง ๆ ของเรื่องราวปัจจุบัน
ทั้งนี้ไม่มีใครปฏิเสธถึงการจดจำภาพแห่งความทรงจำที่ดี ที่หวนกลับมากี่ที ๆ ก็เป็นสุข
เรื่องที่ข้าพเจ้าจะเล่านี้ เป็นภาพในอดีต ที่ผสานกับจินตนาการจนเป็นเรื่องราว ซึ่งไม่ใช่เรื่องสมมติ แต่เป็นภาพในอดีตที่บางภาพข้าพเจ้าไม่อาจมองเห็นได้
เพราะมันถูกเรียบเรียงโดยคำบอกเล่าของพ่อ และแม่
...
สมัยที่แม่ยังมีอายุย่างเข้าวัยสาว มีชายหนุ่มคนหนึ่งมาคบหา เขาผู้นั้นมีผิวคล้ำ ผมยาวสวมรองเท้าแตะ ใส่กางเกงยีนส์ขาด ๆ ชอบหอบกีตาร์มาบรรเลงเพลงฝรั่ง ใคร ๆ มักจะเรียกบุคคลอย่างชายผู้นั้นว่า "พวกฮิปปี้" นั่นเอง
ใช่แล้ว เขาคือพ่อของข้าพเจ้าเอง
ท่านทั้ง 2 ดูใจกันอยู่นานพอควร พ่อก็ตกลงปลงใจไปขอแม่ ด้วยพิธีแบบชาวบ้าน ๆ ไม่มีการจัดงาน ไม่มีแขกรับเชิญมากมาย มีเพียงขบวนขันหมากเล็ก ๆ โดยญาติสนิท 7-8 คนเท่านั้นเป็นสักขีพยานรัก
หลังจากนั้น แม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ร่วมชายคาเดียวกับพ่อ
ครอบครัวของพ่อเป็นครอบครัวใหญ่ ซึ่งใหญ่มาก ๆ เพราะปู่กับย่าของข้าพเจ้า ท่านมีลูกถึง 8 คนและทั้ง 8 คนนั้นอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ พ่อของข้าพเจ้าเป็นลูกชายคนที่ 3
ครอบครัวของพ่อ เป็นครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร บอกได้เลยว่าค่อนข้างยากจน อาชีพหลักคือทำนา หมดฤดูทำนาก็มารับจ้างถางหญ้า ดูแลฮวงซุ้ย จับปลา หาหน่อไม้ ฯลฯ
แม่ของข้าพเจ้าก็เป็นหญิงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง ที่พลัดถิ่นจากบ้านเกิดที่สระบุรี มาเป็นสาวโรงงานน้ำตาลที่จังหวัดชลบุรี นั่นถือเป็นอาชีพที่ดีหากเทียบกับหญิงสาวผู้มีความรู้เพียง ป.3
หลายท่านอาจคิดว่าครอบครัวใหญ่ครอบครัวนี้คงมีชีวิตที่ลำบากยากเข็ญเป็นแน่ ทว่า... หาได้เป็นเช่นนั้น แม้จะขัดสน ไม่มีแม้กระทั่งไฟฟ้าใช้ แต่ทุก ๆ คนในบ้านต่างพึงพอใจในสิ่งที่มี
การรู้จักทำมาหากิน ความเอื้ออาทร และความรักที่แบ่งปันให้กันและกัน เป็นตัวเหนี่ยวนำความอบอุ่นให้แผ่ไปยังสมาชิกในบ้าน
จนเวลาล่วงเลยผ่าน แม่ก็ได้ให้กำเนิด "ข้าพเจ้า" และน้องสาว ซึ่งมีอายุห่างกัน 3 ปี ครอบครัวนี้จึงโตขึ้นจนมีความรู้สึกว่าโตเกินไป และนั่น ทำให้พ่อตระหนักว่า ถึงเวลาแล้ว ที่ "เรา" ต้องโบยบินออกจากรังใหญ่นี้ เพื่อไปสร้างรังน้อยของตนสักที ครั้นเพียงอาชีพทำนาและถางหญ้าคงไม่เพียงพอต่อการสร้างรัง
พ่อจึงตัดสินใจแยกออกมา
หลังจากแยกออกมา พ่อได้เข้ามาหางานเป็นช่างต่อเรื่อในเขตจังหวัดสมุทรปราการ ปล่อยให้แม่กับข้าพเจ้าและน้องสาวอยู่เฝ้าเล้าไก่เล็ก ๆ ห่างจากบ้านเดิมเกือบ 20 กิโลเมตร ซึ่งเป็นของนายทุนมาปลูกไว้และจ้างให้เลี้ยงแบบอยู่กินเบ็ดเสร็จ
ด้วยความขัดสน บ้านของเราจึงไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรหรูหรานัก ไม่มีโทรทัศน์ เจ้าสิ่งนี้หากใครจะมีได้ ต้องเป็นคนมีฐานะพอควร แค่วิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องเดียวที่มีอยู่ ก็ถือเป็นของล้ำค่ามากพอแล้วสำหรับครอบครัวของเรา
เล้าไก่แห่งนี้อยู่ติดกับสุสานแห่งหนึ่งซึ่งไกลจากร้านขายของชำมาก จะซื้ออะไรที แม่ต้องปั่นจักรยานออกมาถนนใหญ่หลายกิโลเมตร
น้อยครั้งนักที่เรา พี่ น้อง หรือใครคนหนึ่งจะได้นั่งซ้อนท้ายออกไปร้านขายของชำหน้าปากถนนกับแม่ เพราะไม่มีใครอยู่เฝ้าไก่ พ่อหรือก็นาน ๆ กลับที
เวลาที่แม่ขี่จักรยานออกมาซื้อของ ข้าพเจ้ากับน้องจะมานั่งเล่นแถวไร่มันสำปะหลังตรงทางเข้าเล้าไก่ เพื่อชะเง้อคอคอยแม่ คอยว่าแม่จะซื้ออะไรมา วันนี้ขนมจะเป็นอะไรนะ ถ้าเป็นขนมห่อจะแถมอะไรข้างใน ข้าพเจ้ากับน้องคุยกันไม่หยุด
หากบางครั้งแม่หายไปนานจนถึงค่ำ น้องของข้าพเจ้าก็จะร้องไห้แหกปากเห็นฟันหลอดูน่าขัน สำหรับตัวข้าพเจ้าไม่ต้องพูดถึง ร้องไปก่อนหน้าเรียบร้อยแล้ว
แต่เมื่อเห็นแสงไฟกะพริบ จากวงล้อปั่นของจักรยาน มาไกล ๆ พร้อมกับเสียงคนคุยกันเบา ๆ ข้าพเจ้ากับน้องจะวิ่งออกไปรับและร้องตะโกนด้วยความดีใจ รู้ได้เลยว่าที่แม่หายไปนาน เพราะไปรอรับพ่อนั่นเอง
จนถึงทุกวันนี้ ข้าพเจ้าไม่เคยถามแม่เลยว่า รู้ได้อย่างไรว่าพ่อจะกลับเมื่อไหร่?
วันที่พ่อกลับมา จะเป็นวันที่วิเศษกว่าทุกวัน อาหารจะมีมากเป็นพิเศษ เพราะจะไม่ใช่เนื้อไก่เหมือนทุกวัน หลังจากกินข้าวเสร็จ พ่อจะมานั่งดีดกีตาร์ให้ฟัง แล้วข้าพเจ้ากับน้องจะกระโดดโลดเต้นบนฟูก กระโดดลง กระโดดขึ้น
"บัวน้อยลอยชูช่อ รออรุณ เหมือนรอไออุ่น จากดวงสุริยา"
ยังจำได้ดี
แต่ความดีใจที่แสดงออกมาทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เพราะคิดถึงพ่อทั้งหมด เพราะทุก ๆ ครั้งที่พ่อกลับมา จะถือขนมห่อใหญ่ ๆ ติดมาด้วยเสมอ ๆ (พ่อจะเสียใจหรือเปล่านี่)
ขนมที่ข้าพเจ้าชอบกินก็จะเป็นเวเฟ่อร์สีชมพู แต่น้องข้าพเจ้าชอบกินขนมปังปรุงแต่งรสใส่ถุง ซึ่งข้าพเจ้าเกลียดมาก เพราะรสเค็มของมัน ชวนให้ข้าพเจ้าอาเจียน แต่ข้อดีของขนมชนิดนี้คือมันจะแถมของเล่นมาด้วย
มันฝืนความรู้สึกของข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากข้าพเจ้ามัวแต่กินเวเฟอร์สีชมพู ข้าพเจ้าจะไม่ได้ของเล่นที่แถมมาในซอง ต้องคอยแย่งกับน้องเล่น
ตอนนั้น ข้าพเจ้าไม่ค่อยมีเพื่อน ก็มีแต่น้องเท่านั้น เล่นอะไรก็ได้ กะลามะพร้าว ก้อนหิน กองทราย ฯลฯ แค่นี้ก็ใช้ชีวิตหมดไปได้วันหนึ่ง ๆ แล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น พ่อก็ปั่นจักรยานโดยมีแม่ซ้อนท้ายออกไปยังปากถนน แม่ไปส่งพ่อนั่นเอง
ข้าพเจ้ากับน้อง มานั่งอยู่ตรงไร่มันสำปะหลังชะเง้อคอมองท่านทั้งสองจนลับตาด้วยความเศร้า คงอีกเป็นเดือน ๆ กว่าพ่อจะกลับมาอีก
ขากลับแม่ต้องปั่นจักรยานกลับมาคนเดียว เพื่อไม่ให้เสียเที่ยว แม่จึงซื้อกับข้าวติดมาด้วยและแน่นอนว่าต้องมีขนมด้วยแน่ ๆ
ไม่นาน เสียงกริ่งก็ดังมาแต่ไกล เราสองคนวิ่งเข้าไปหาแม่ด้วยความดีใจ หลังจากได้ขนมไปคนละอย่าง แม่ก็ทำท่าเหมือนมีเรื่องอยากเล่าให้ฟังด้วย
แม่ถามว่า รู้จักโดเรม่อน (โดราเอม่อน) กันหรือเปล่า
ข้าพเจ้ากับน้องส่ายหน้า ขนมยังคาปากอยู่
แม่เล่าว่าโดเรม่อนเป็นแมวไม่มีหู มีกระเป๋าวิเศษอยู่ที่หน้าท้อง สามารถเอาสิ่งของใหญ่ ๆ เก็บไว้ในกระเป๋าได้ ของที่อยู่ข้างในกระเป๋า ล้วนแล้วแต่เป็นของวิเศษ เช่นคอปเตอร์ไม้ไผ่ที่เอาติดหัวแล้วจะสามารถบินไปไหนก็ได้
ข้าพเจ้ากับน้องนั่งฟังอย่างตั้งใจ และสนุกในจินตนาการแบบเด็ก ๆ
ข้าพเจ้าคิดไปต่าง ๆ นานา ว่าแมวอ้วน ๆ ไม่มีหู ยืน 2 ขา มีกระเป๋าแบบจิงโจ้ มันจะหน้าตาเป็นอย่างไร และด้วยความไม่เคยเห็น คำถามจึงเกิดขึ้น
"ทำไมมันไม่มีหู"
"เพราะมันมาจากอนาคต แมวในอนาคตจะไม่มีหู"
แม่ตอบอย่างมั่นใจ ข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่ามันจริงหรือเปล่า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำว่าอนาคตคืออะไร แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่จะถาม เพราะสิ่งที่ต้องการคือลักษณะของเจ้าแมวตัวนี้มากกว่า
"แล้วโดเรม่อนมันสีอะไรครับ"
"..."
เป็นคำถามที่ทำให้แม่อึ้งได้เลยเชียว ดูไม่น่าจะยากใช่ไหม...แต่แม่ไม่มีทางรู้ได้เลย
ทำไมล่ะ? เรื่องแค่นี้ทำไมแม่จึงไม่รู้ แต่ทำไมแม่จึงรู้ว่ามีตัวการ์ตูนชื่อโดราเอม่อน ?
นั่นเป็นเพราะก่อนที่แม่จะกลับมาจากการซื้อกับข้าวและขนม ทางร้านขายของชำได้เปิดการ์ตูนเรื่องนี้ให้กับลูก ๆ ของเขาดู เพราะรักลูกมิใช่หรือ แม่จึงพยายามจดจำมาเล่าให้ลูกฟัง อยากให้ลูกได้เห็น แต่เพราะทำไม่ได้ จึงขอเพียงจดจำให้ได้มากที่สุด
เพื่อ... มาเล่าให้ลูกฟัง
ทว่าโทรทัศน์ที่ร้านขายของชำเป็นโทรทัศน์ขาว-ดำ นั่นเอง แม่จะรู้ได้อย่างไรกัน ว่าเจ้าโดราเอม่อนนั้นมันมีสีอะไร ?จะถามจากเจ้าของร้านกระนั้นหรือ...
แม่... จึงไม่อาจหาคำตอบมาให้พวกเราได้เลย
นั่นแหละ ข้าพเจ้าชักไม่แน่ใจเสียแล้วสิ ว่ามารู้ว่าโดราเอม่อนนั้นมีสีอะไร ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เป็นเพราะเจ้าฟันเฟืองแห่งความทรงจำของตอนนั้นไม่เคยหมุนวนมาอีก
...
นี่คือรูปแบบของชีวิตของข้าพเจ้าในอดีต รูปแบบแห่งความไร้เดียงสา ความอบอุ่น ความคิดถึงและความรัก ที่คนในครอบครัวมีให้
เราไม่มีรูปธรรมมากมาย หาใช่ว่าเราจะไร้ซึ่งความสุข เรามีความสุขในรูปแบบของเราต่างหาก
นี่เป็นบทหนึ่งแห่งชีวิต ที่เรียบง่าย แต่งดงามนัก...
... ตอบข้าพเจ้าที โดราเอม่อน... มีสีอะไรครับ?
Create Date : 13 มิถุนายน 2549 |
|
8 comments |
Last Update : 13 มิถุนายน 2549 23:43:07 น. |
Counter : 748 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: p_jung IP: 210.246.66.214 17 มิถุนายน 2549 13:00:04 น. |
|
|
|
| |
โดย: ann IP: 203.113.41.36 21 มิถุนายน 2549 19:03:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: กระปุกกลิ้ง (กระปุกกลิ้ง ) 13 กรกฎาคม 2549 12:53:41 น. |
|
|
|
| |
โดย: รวยระรินกลิ่นชา IP: 203.154.148.66 4 กันยายน 2549 11:22:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: ไก่ย่างห้าดาว` IP: 203.113.81.168 5 พฤศจิกายน 2549 13:55:02 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ลัทธิวัตถุนิยม ชอบนำมาตรฐานตัวเองไปตัดสินคนอื่นเนอะคะ..
แล้ว สรุปว่า โดราเอม่อน สีอะไรกันแน่นะคะ
^^