American share ไม่ได้แปลว่าต่างคนต่างจ่าย รับรองว่าฝรั่ง (ต่อให้เป็นชาวอเมริกันด้วย) ได้ยินแล้วงงแน่นอน ถ้าต่างคนต่างจ่ายให้ใช้ว่า "Let's go Dutch." หรือ "Go Dutch (with somebody)." อันนี้ไม่แน่ใจว่า เป็นธรรมเนียมของชาวดัตช์หรือเปล่า? ที่ต่างคนต่างจ่ายเลยมีสำนวนอย่างนี้ หรืออาจจะบอกตรง ๆ เลยว่า "You pay for yourself." แต่ถ้าคุณต้องการเป็นเจ้ามือ ควรพูดว่า "It's my treat this time." หรือ "My treat." หรือ "It's on me." หรือ "All is on me." หรือ "I'll pay for you this time." ทั้งหมด แปลว่า มื้อนี้ฉันจ่ายเอง ส่วนถ้าจะบอกเพื่อนว่า คราวหน้าแกค่อยเลี้ยงฉันคืน ให้บอกว่า "It's your treat next time."
in trend คำนี้อินเทรนด์มาก ๆ เอ๊ย...ฮิตมากในปัจจุบัน ใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง อาจจะติดปากว่า "It is in trend." ฝรั่งเค้าไม่ใช้คำว่า "in trend" จะใช้คำว่า "trendy" หรือ "fashionable" ซึ่งเป็นคำคุณศัพท์ ที่สามารถวางไว้หน้าคำนาม ที่ต้องการขยาย เช่น a trendy haircut ทรงผมที่ทันสมัย a fashionable restaurant ร้านอาหารที่ทันสมัย หรือจะไว้หลัง verb to be เช่น It is trendy. หรือ It is fashionable ก็ได้
over คนนั้นทำอะไรเว่อร์ ๆ She is over. ไม่มีความหมายในภาษาอังกฤษ คำนี้ คนไทย หมายถึง การพูดเกินจริงหรือทำเกินจริง ซึ่งถ้าพูดเกินจริง ควรจะใช้คำศัพท์ว่า "exaggerate" เป็นคำกิริยา อ่านว่า เอก-แซ้ก-เจ่อ-เรท เช่น "He said you walked 30 miles." เค้าบอกว่าคุณเดินตั้ง 30 ไมล์ "No - he's exaggerating. It was only about 15." ไม่หรอก เค้าพูดเว่อร์ (เกินจริง) มันก็แค่ 15 ไมล์เอง ดังนั้น ถ้าจะบอกว่า เธอพูดเว่อร์ ก็บอกว่า You're exaggerating. หรือจะบอกว่า อย่าพูดเว่อร์ ๆ อาจใช้ว่า Don't exaggerate. ส่วนการทำเกินจริง จะใช้คำกิริยาที่ว่า "overact" เช่น You're overacting. เธอทำเว่อร์เกิน (แสดงอารมณ์เกินจริง)
jam ขอแจม (jam) ด้วยคน ในกรณีนี้ คำว่า "แจม" น่าจะหมายถึง "ร่วมด้วย" เช่น We are going to eat outside. Do you want to jam? เรากำลังจะออกไปกินข้าวข้างนอก เธอจะไปด้วยมั้ย? ภาษาอังกฤษไม่ใช้คำว่า jam ในกรณีนี้ ควรจะใช้ว่า "Do you want to join us?", "Do you want to come with us?" หรือ "Do you want to come along?" จะดีกว่า
soundtrack ถ้าต้องการดูหนังฝรั่งไม่พากย์ไทย อย่าพูดว่า "I want to watch a soundtrack film." แต่ควรจะใช้ว่า "I want to watch an English film." ความหมายของ "soundtrack" คือ ดนตรีที่อยู่ในภาพยนตร์ต่างหาก ถ้าพูดถึงหนังฝรั่ง ที่พากย์เสียงภาษาไทย ต้องบอกว่า "I want to watch an English film that is dubbed into Thai." เพราะคำกิริยาว่า "dub" คือพากย์เสียงจากต้นแบบ ไปเป็นภาษาอื่น ส่วนหนังที่มีคำบรรยายใต้ภาพ ที่เรียกว่า "a subtitled film" ซึ่งคำบรรยายที่อยู่ใต้ภาพ เรียกว่า "subtitles" (ต้องมี s ต่อท้ายเสมอ) เช่น a French film with English subtitles หนังฝรั่งเศสที่มีคำบรรยายใต้ภาพ เป็นภาษาอังกฤษ หนังบางเรื่องจะมีคำบรรยายใต้ภาพ เป็นภาษาเดียวกับที่นักแสดงพูด เรามีศัพท์เรียกเฉพาะว่า "closed-captioned films/ videos/ television programs" หรือ อาจเขียนย่อๆ ว่า "CC" เช่น You should watch a closed-captioned film to improve your English. คุณควรจะดูหนังฝรั่งที่มี คำบรรยายภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษของคุณ
freshy นักศึกษาปี 1 คนไทยมักเรียกว่า "freshy" ซึ่งฝรั่งไม่รู้เรื่อง เพราะไม่มีการบัญญัติศัพท์ในภาษาอังกฤษ จะใช้คำว่า "fresher" หรือ "freshman" เช่น He is a fresher. หรือ He is a freshman. หรือ He is a first-year student. เขาเป็นนักศึกษาปี 1 ส่วนปีอื่น ๆ คนไทยเรียกถูกแล้ว คือ ปี 2 เรียก a sophomore, ปี 3 เรียก a junior และ ปี 4 เรียก a senior
record อัดหรือบันทึก คนไทยมักพูดว่า เร็คคอร์ด (record) คำ ๆ นี้สามารถเป็นได้ ทั้งคำนามและคำกิริยา เพียงแค่เปลี่ยนตำแหน่ง stress กล่าวคือ ถ้าจะใช้เป็นคำนาม ที่แปลว่า แผ่นเสียงหรือสถิติ ให้ขึ้นเสียงสูงที่พยางค์แรก คือ "เร็ค-คอร์ด" เช่น He wants to buy a record. เขาต้องการซื้อแผ่นเสียง, I broke my own record. ฉันทำลายสถิติของฉันเอง แต่ถ้าคุณจะหมายถึงคำกิริยา ที่แปลว่า อัดหรือบันทึก ต้อง stress พยางค์หลัง ซึ่งจะอ่านว่า "รี-คอร์ด" เช่น I'll record the film and we can all watch it later. ฉันจะอัดหนัง เราจะได้เก็บไว้ดูทีหลังได้ ส่วนเครื่องบันทึก เรียกว่า "recorder" อ่านว่า รี-คอร์-เดอร์
back เขามี back ดี "He has a good back." ฝรั่งคงงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับข้างหลัง เพราะ back แปลว่า หลัง (อวัยวะ) แต่คุณกำลังจะพูดถึงมีคนคอยสนับสนุน ซึ่งต้องใช้ "a backup" ซึ่งหมายถึง คนหรือสิ่งของ ที่ช่วยสนับสนุน ช่วยเหลือ เกื้อกูล เป็นกำลัง