|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ใครมีปัญหาผิวหน้ามัน..อ่านทางนี้
ผิวหน้ามันเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่น เนื่องจากมีอิทธิพลของฮอร์โมนเพศ ที่เพิ่มขึ้นไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้น แต่บางคนคิดว่าตัวเองพ้นวัยรุ่นมานานแล้ว ทำไมยังหน้ามันไม่หายสักที นั่นเป็นเพราะยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ส่งผลต่อความมันบนใบหน้า เช่น ความเครียด, การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในหญิงมีครรภ์ ความร้อน และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสมกับผิวหน้า
ส่วนความเชื่อที่ว่าการรับประทานอาหารมันๆ เช่น ขาหมู ไอศครีม กะทิ ชีส อาหารทอด อาหารมันต่างๆ จะทำให้ผิวหน้ามันนั้นเป็นการเข้าใจผิด เพราะเป็นไขมันคนละชนิดกับที่หลั่งออกมาสู่ผิวหนัง
ปัญหาที่พบคู่กันกับอาการหน้ามันคือ การมีรูขุมขนกว้าง ซึ่งจะสัมพันธ์กับปริมาณไขมันที่ผลิตจากต่อมไขมัน และหลั่งออกสู่ผิวหนังที่มากขึ้น เพราะถ้าไขมันเหล่านี้ไม่สามารถระบายออกไปได้ จะสะสมในรูขุมขน ทำให้รูขุมขนมีขนาดกว้างขึ้น จากนั้นก็จะเกิดการอุดตัน อนเป็นสาเหตุให้เกิดเป็นสิวตามมา
การดูแลรักษาผิวหน้าสำหรับคนหน้ามัน
1.ควรล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2-3 ครั้งก็พอ เพราะการล้างหน้าบ่อยเกินไป กลับจะเป็นโทษคือทำให้ผิวหน้าอักเสบระคายเคืองได้ ในระหว่างวันถ้ารู้สึกรำคาญหน้ามันก็อาจใช้กระดาษซับมันช่วยได้ สบู่หรือโฟมที่เลือกใช้ควรผลิต สำหรับผิวมันโดยเฉพาะ การทำความสะอาด ไม่ควรใช้สบู่ เพราะจะทำให้ผิวหน้าแห้งตึง ซึ่งเป็นสาเหตุให้รูขุมขนกว้างขึ้นอีกด้วย
2.ครีมบำรุงหรือครีมให้ความชุ่มชื้น ควรเลือกชนิดปราศจากน้ำมัน (Oil-free) และไม่อุดตันรูขุมขน (Non-Comidogenic) ที่สำคัญ ควรมีสารป้องกันแสง UV ที่จะมาทำลายผิวด้วย
3.การแต่งหน้า แป้งที่เหมาะสมสำหรับคนหน้ามันก็คือแป้งฝุ่น การเลือกใช้รองพื้นควรใช้ชนิดที่มีส่วนผสมเป็นน้ำ (Water Based) และปราศจากน้ำมัน (Oil-free)
ถ้าปฏิบัติด้วยวิธีดังกล่าวแล้วยังมี ผิวหน้ามันมาก มีรูขุมขนกว้าง หรือมีสิวขึ้นจนขาดความมั่นใจ ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพราะคุณหมอจะมียาทาบางชนิดที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วที่อุดตันตามรูขุมขนออกไป เช่น ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ, AHA, BHA ซึ่งจะช่วยทำให้ผิวหน้าดูดีขึ้น ส่วนยาสำหรับรับประทานเพื่อช่วยในการควบคุมความมันบนใบหน้านั้น เป็นยาอันตราย ไม่ควรซื้อกินเอง หรือเอาไปแบ่งกินกับเพื่อน เพราะยานี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น
Create Date : 19 มีนาคม 2554 |
Last Update : 19 มีนาคม 2554 10:46:25 น. |
|
0 comments
|
Counter : 326 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|