DXIII Blog...... ON MY WAY!!!
|
|||
World 14/10/51 - ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กติดปีกทะยานขึ้นกว่า 900 จุดเมื่อคืนนี้ (13 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับข่าวที่ว่าประเทศยักษ์ใหญ่ทั่วโลกร่วมมือกัน ใช้มาตรการฟื้นฟูระบบการเงิน และข่าวที่ว่าคณะทำงานของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ได้จัดประชุมร่วมกับผู้บริหารธนาคารชั้นนำเพื่อหารือกันเรื่องแผนการ ซื้อหนี้เสียของสถาบันการเงิน นอกจากนี้ ตลาดยังขานรับแถลงการณ์ของกลุ่มผู้นำยุโรปที่พร้อมจัดสรรงบประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อปกป้องธนาคารในยุโรป สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้น 936.42 จุด หรือ 11.08% ปิดที่ 9,387.61 จุด ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นในวันเดียวที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค.พ.ศ.2543 ขณะที่ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 104.13 จุด หรือ 11.58% ปิดที่ 1,003.35 จุด ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นแข็งแกร่งสุดนับตั้งแต่มีการซื้อขายดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้น 194.74 จุด หรือ 11.81% ปิดที่ 1,844.25 จุด ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 10 เดือน จอห์น ลินช์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Evergreen Investments ในรัฐนอร์ธ แคโรไลนา กล่าวว่า "นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าดัชนีดาวโจนส์จะ ดีดตัวขึ้นหลังจากร่วงลงติดต่อกันยาวนานถึง 8 วัน แต่การพุ่งขึ้นมากกว่า 900 จุดในวันเดียวถือเป็นปรากฏการณ์ที่อยู่เหนือการคาดการณ์ โดยราคาหุ้นเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวกทั่วทั้งกระดาน อย่างไรก็ตาม ยังเร็วเกิดไปที่จะระบุว่าตลาดเข้าสู่ช่วงขาขึ้นแล้ว เพราะสหรัฐยังมีความท้าทายอีกมากมายที่รออยู่ข้างหน้า" - ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดทะยานขึ้นกว่า 300 จุดเมื่อคืนนี้ (13 ต.ค.) หลังจากมีข่าวว่ารัฐบาลอังกฤษได้จัดสรรเงินทุนมูลค่า 3.7 หมื่นล้านปอนด์ หรือ 6.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ช่วยเหลือสถาบันการเงิน 3 แห่ง และหลังจากประเทศหลายแห่งในยุโรปประกาศใช้มาตรการช่วยเหลือภาคการ ธนาคาร สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ดัชนี FTSE 100 พุ่งขึ้น 324.8 จุด ปิดที่ 4,256.9 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 3,932.1-4,256.9 จุด - ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (13 ต.ค.) ขณะที่เงินเยนก็อ่อนตัวลงเช่นกัน หลังจากมีข่าวว่าธนาคารกลางทั่วโลกประกาศใช้มาตรการกระตุ้นสภาพคล่อง เพื่อฟื้นฟูระบบการเงินทั่วโลกไม่ให้ตึงตัวมากจนเกินไป ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.3594 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับของวันศุกร์ที่ระดับ 1.3412 ดอลลาร์/ยูโร ค่าเงินปอนด์พุ่งขึ้น 1.7373 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.7041 ดอลลาร์/ปอนด์ ค่าเงินดอลลาร์พุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 102.01 เยน/ดอลลาร์ จากระดับของวันศุกร์ที่ 100.64 เยน/ดอลลาร์ แต่อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 1.1368 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.1381 ฟรังค์/ดอลลาร์ เจมส์ เชน หัวหน้านักวิเคราะห์จากบริษัท FX Solutions กล่าวว่า ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จับมือกับ 4 ธนาคารยักษ์ใหญ่ของโลก ได้แก่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ธนาคารกลางอังกฤษ และธนาคารกลางสวิส ประกาศใช้มาตรการพิเศษเพื่อกระตุ้นสภาคล่องในตลาดสินเชื่อสกุลเงิน ดอลลาร์ โดยมีเป้าหมายที่จะจัดหาสภาพคล่องที่ง่ายต่อการเข้าถึง และระดมเงินทุนให้กับสถาบันการเงิน นอกจากนี้ กลุ่มผู้นำยุโรปมีมติให้ใช้มาตรการรับมือกับปัญหาในระบบการเงินและ จัดสรรงบประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อปกป้องธนาคารในยุโรป ซึ่งครอบคลุมถึงการรับประกันเงินกู้ยืมระหว่างธนาคารพาณิชย์ และจะใช้งบประมาณในรูปสกุลเงินยูโรรับมือกับภาวะสินเชื่อตึงตัวใน ตลาดและยับยั้งความตื่นตระหนกของนักลงทุน - ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 3 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (13 ต.ค.) เพราะได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลง และจากการที่นักลงทุนหันเข้าเทรดในตลาดการเงินเพราะเชื่อว่ามาตร การที่รัฐบาลทั่วโลกประกาศใช้เพื่อฟื้นฟูระบบการเงินั้น จะช่วยยับยั้งเศรษฐกิจโลกจากภาวะถดถอยได้ นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบทะยานขึ้นหลังจากมีรายงานว่ากลุ่มโอเปคเตรียมออกมาเคลื่อน ไหวเพื่อลดเพดานการผลิต โดยมีเป้าหมายที่จะสกัดกั้นการร่วงลงของราคาน้ำมัน สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 3.49 ดอลลาร์ ปิดที่ 81.19 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในระหว่างวันที่ 82.52 ดอลลาร์ จิม ริทเทอร์บุช หัวหน้านักวิเคราะห์จากบริษัท Ritterbusch and Associates ในรัฐอิลลินอยส์กล่าวว่า "ตลาดน้ำมันนิวยอร์กขานรับการพุ่งขึ้นของดาวโจนส์ โดยนักลงทุนส่วนใหญ่คลายความวิตกกังวลและเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบอย่าง คับคั่ง หลังจากมีข่าวว่าประเทศทั่วโลกร่วมมือกันใช้มาตรการฟื้นฟูระบบการ เงิน" - ราคาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลง 16.50 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (13 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนแห่เข้าเทรดในตลาดหุ้นหลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลทั่ว โลกประกาศใช้มาตรการฟื้นฟูภาคการเงิน และธนาคารกลางหลายแห่งประกาศใช้มาตรการกระตุ้นสภาพคล่อง สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาทองคำตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 842.50 ดอลลาร์ ร่วงลง 16.50 ดอลลาร์ หลังจากเคลื่อนไหวในกรอบ 824.50-875.0 ดอลลาร์ จอห์น รีด นักวิเคราะห์จากธนาคาร UBS กล่าวว่า "ก่อนหน้านี้ราคาทองคำทะยานขึ้นเนื่องจากนักลงทุนมองว่าความวิตกกังวล เกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและระบบการเงินทั่วโลกทำให้ทองคำ เป็นการลงทุนที่ปลอดความเสี่ยง แต่การที่ธนาคารกลางและรัฐบาลของประเทศทั่วโลกร่วมใช้มาตรการฟื้นฟู ระบบการเงิน ทำให้นักลงทุนมั่นใจมากขึ้นและแห่เข้าเทรดในตลาดหุ้นอย่างล้นหลาม ซึ่งทำให้ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นกว่า 900 จุด" - ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จับมือกับ 4 ธนาคารยักษ์ใหญ่ของโลก ได้แก่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ธนาคารกลางอังกฤษ และธนาคารกลางสวิส ประกาศใช้มาตรการพิเศษเพื่อกระตุ้นสภาคล่องในตลาดสินเชื่อสกุลเงิน ดอลลาร์ โดยมีเป้าหมายที่จะจัดหาสภาพคล่องที่ง่ายต่อการเข้าถึง และระดมเงินทุนให้กับสถาบันการเงิน นอกจากนี้ กลุ่มผู้นำยุโรปมีมติให้ใช้มาตรการรับมือกับปัญหาในระบบการเงิน ซึ่งครอบคลุมถึงการรับประกันเงินกู้ยืมระหว่างธนาคารพาณิชย์ และจะใช้งบประมาณในรูปสกุลเงินยูโรรับมือกับภาวะสินเชื่อตึงตัวใน ตลาดและยับยั้งความตื่นตระหนกของนักลงทุน หลังจากตลาดหุ้นในยุโรปถูกกระหน่ำขายอย่างหนัก โดยผู้นำ 15 ชาติยุโรปเห็นชอบร่วมกันว่า จะไม่ยอมให้ธนาคารรายใหญ่ล้มละลาย และจะรับประกันเงินกู้ยืมระหว่างธนาคารจนกว่าจะสิ้นสุดปีพ.ศ.2552 อีกทั้งจะใช้มาตรการอัดฉีดเงินเข้าระบบด้วยการซื้อหุ้นบุริมสิทธิ์ สำนักข่าวเกียวโดรายงาน - มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) รื้อฟื้นการเจรจาซื้อกิจการของ มอร์แกน สแตนลีย์ หลังราคาหุ้นของมอร์แกนร่วงหนัก รายงานดังกล่าวระบุว่า MUFG จะยังซื้อหุ้น 21% ของมอร์แกน สแตนลีย์ ด้วยมูลค่า 9 พันล้นดอลลาร์ แต่จะซื้อเฉพาะหุ้นบุริมสิทธิ์ภายใต้ข้อตกลงใหม่ แทนข้อตกลงเดิมที่ระบุว่าต้องซื้อทั้งหุ้นบุริมสิทธิ์และหุ้นสามัญ - นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าบริษัท วู้ดไซด์ ปิโตรเลียม, เชฟรอน คอร์ป และบริษัทผลิตก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) รายอื่นๆ อาจระงับโครงการผลิตก๊าซแอลเอ็นจีหลังราคาน้ำมันดิบลดลงและหลังประสบ ปัญหาในการระดุมทุน - วิกฤตการณ์สินเชื่อที่ลุกลามส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในยุโรปกำลังบีบ ให้บริษัทในยุโรป ตั้งแต่บริษัทผลิตรถยนต์จนถึงบริษัทออกแบบเสื้อผ้า ลดการลงทุนและการจ้างงานลง ซึ่งนักวิเคราะห์กังวลว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะยิ่งฉุดรั้งเศรษฐกิจยุโรป ให้ชะลอตัวมากขึ้น บริษัท LVMH Moet Hennessy Louis Vuitton SA ซึ่งจำหน่ายทุกอย่างตั้งแต่กระเป๋าไปจนถึงเครื่องประดับอัญมณี กล่าวว่า บริษัทกำลังทบทวนแผนการใช้จ่าย ขณะที่บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) กล่าวว่า บริษัทจะระงับการผลิตรถยนต์ที่โรงงานจีเอ็มในเยอรมนี และบริษัท Volvo AB ของสวีเดน กล่าวว่า ลูกค้ามากมายไม่สามารถกู้เงินมาซื้อรถยนต์ของบริษัทได้ "ธุรกิจแทบจะทุกประเทศต่างลดอัตราการลงทุน หลังจากยอดสั่งซื้อทรุดตัวลงในช่วง 2 เดือนที่แล้ว" ฮากาน ซามูเอลสัน ซีอีโอบริษัท MAN AG ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรถบรรทุกรายใหญ่อันดับ 3 ของยุโรปกล่าวกับสถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์ก นักวิเคราะห์ของเครดิตสวิสคาดการณ์ว่า อัตราการลงทุนของบริษัทในยุโรปซึ่งร่วงลง 1.2% ในไตรมาสสองนั้น จะยังไม่ฟื้นตัวขึ้นจนถึงช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีพ.ศ.2552 และคาดว่าอัตราว่างงานจะพุ่งสูงขึ้น ซึ่งจะยิ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน - ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจ (CEBR) คาดการณ์ว่า ธนาคารพาณิชย์ในกรุงลอนดอนอาจลดจำนวนพนักงานลงประมาณ 62,000 คนภายในปีหน้า ส่งผลให้อัตราการจ้างงานในธุรกิจการธนาคารในกรุงลอนดอนร่วงลงแตะระดับ ต่ำสุดในรอบกว่า 10 ปี เพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤตสินเชื่อ CEBR คาดว่า ธนาคารในลอนดอนจะลดพนักงานราว 28,000 คนในปีนี้ และจะลดอีก 34,000 คนในปีหน้า ซึ่งจะทำให้อัตราการจ้างงานในธุรกิจการธนาคารหล่นลงมาอยู่ที่ระดับ 290,847 คนซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปีพ.ศ.2541 ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ทั่วโลกกำลังปรับลดจำนวนพนักงานเนื่องจากปัญหาในตลาดสิน เชื่อลุกลามไปในวงกว้าง โดยคาดว่าธนาคาร HSBC ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่สุดในยุโรปเมื่อพิจารณาจากมูลค่าตลาด จะลดพนักงาน 550 คนในอังกฤษ และคาดว่าธนาคาร UBS AG จะลดพนักงาน 2,000 คนในยุโรป ข้อมูลของสำนักงานข่าวบลูมเบิร์กระบุว่า ธนาคารและวาณิชธนกิจทั่วโลกได้ลดพนักงานไปแล้วกว่า 134,000 คน นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์สินเชื่อเมื่อปีที่แล้ว - นายโฟล์กเกอร์ โคเดอร์ ประธานฝ่ายรัฐสภาของพรรครัฐบาลเยอรมนี คาดว่า งบประมาณที่ใช้ในการรักษาระบบการเงินของเยอรมนีอาจจะสูงถึงประมาณ 4 แสนล้านยูโร หรือ 5.40 แสนล้านดอลลาร์ ส่วนการรับประกันดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างแบงค์น่าจะอยู่ในช่วง 2-2.5 แสนล้านยูโร ดังนั้น ตัวเลขโดยรวมที่จะใช้ในการสนับสนุนสถาบันการเงินทั้งหมดน่าจะอยู่ ที่ 4 แสนล้านยูโร บลูมเบิร์กรายงานว่า มาตรการแก้วิกฤตของเยอรมนีอาจจะประกอบด้วยการระดมทุนให้กับธนาคาร แม้ว่าการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากใน กฎหมายหุ้นของเยอรมนีก็ตาม ทางด้านนายกฯเยอรมนีก็ได้ผลักดันเรื่องความน่าเชื่อถือของผู้จัดการ บริษัทต่างๆ รวมถึงความโปร่งใสในแผนการจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้บริหารมากขึ้น รัฐบาลเยอรมนีอาจจะผ่อนปรนกฎเกณฑ์ด้านบัญชี เพื่อให้สถาบันการเงินมีเวลามากขึ้นในการกำจัดผลิตภัณฑ์ที่มีปัญหา โดยมาตรการผ่อนปรนวิกฤตของเยอรมนี อาจจะมีวงเงินสูงกว่างบประมาณของรัฐบาลที่อยู่ที่ระดับ 2.83 แสนล้านยูโร และมาตรการดังกล่าวคงจะสิ้นสุดลงในช่วงสิ้นปีหน้า - จอร์จ โซรอส มหาเศรษฐีนักลงทุนเจ้าของฉายา'พ่อมดการเงิน' และประธานบริษัท โซรอส ฟันด์ เมเนจเมนท์ แอลแอลซี แสดงความเห็นว่า มาตรการกอบกู้วิกฤตการณ์การเงินที่กลุ่มผู้นำยุโรปประกาศใช้ ซึ่งรวมถึงการรับประกันเงินกู้ยืมของสถาบันการเงินนั้น เป็นความเคลื่อนไหวในด้านบวกที่จะช่วยรักษาเสถียรภาพในตลาดการเงินทั่วโลกได้ "ในช่วง 72 ชั่วโมงที่ผ่านมา ผมคิดว่ารัฐบาลในประเทศยุโรปเห็นพ้องต้องกันว่าวิกฤตการณ์การเงินใน ขณะนี้ถือเป็นปัญหารุนแรงที่ต้องเร่งแก้ไข ขณะที่ประชาชนต่างจับตาดูว่าผู้นำยุโรปจะออกมาแก้ปัญหานี้หรือไม่ และในที่สุดพวกเขาก็ทำ ซึ่งความเคลื่อนไหวของ 15 ผู้นำชาติยุโรปในครั้งนี้จะช่วยให้ภาวะตื่นตระหนกในตลาดการเงินยุติ ลงได้" โซรอสกล่าวในระหว่างแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่กรุงวอชิงตัน โซรอสยังกล่าวด้วยว่า "ที่ผ่านมานั้นรัฐบาลสหรัฐใช้มาตรการแก้ไขที่ปลายเหตุ แทนที่จะใช้มาตรการป้องกันภัยล่วงหน้า อาจกล่าวได้ว่า มาตรการของสหรัฐล้าหลังกว่ายุโรป" ทั้งนี้ โซรอสคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก หลังจากปรับลดดอกเบี้ยลงเหลือ 1.5% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และเชื่อว่าภาวะตื่นตระหนกในตลาดการเงินจะสิ้นสุดลง สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน - ไมเคิล คุลเลน รัฐมนตรีกระการคลังของนิวซีแลนด์ กล่าวว่า ธนาคารของนิวซีแลนด์ไม่มีปัจจัยความเสี่ยงใดๆที่จะส่งผลกระทบต่อการดำ เนินงาน และไม่คิดว่าจะมีความเสี่ยงเกิดขึ้น เมื่อวานนี้ รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้ออกมารับประกันเงินฝากในธนาคารทั้งหมดเป็นเวลา 2 ปี สำหรับธนาคารที่ตัดสินใจเลือกเข้าสู่มาตรการรับประกันดังกล่าว ซึ่งรมว.คลังนิวซีแลนด์กล่าวว่า การที่รัฐบาลได้ตัดสินใจเช่นนั้น เพราะต้องการรักษาเสถียรภาพในระบบการธนาคารของประเทศ เนื่องจากประชาชนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาคการธนาคาร และนิวซีแลนด์เองก็ไม่สะดวกใจนักที่จะเป็นประเทศตะวันตกเพียงประ เทศเดียวที่จะไม่ออกมารับประกันเงินฝาก สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ออสเตรเลียได้ออกมารับประกันเงินฝากในธนาคารเช่นกัน เป็นระยะเวลา 3 ปี ซึ่งครอบคลุมถึงเงินฝากในบริษัทไฟแนนซ์ด้วย รมว.คลังนิวซีแลนด์ กล่าวว่า หากธนาคารทั้งหมดตัดสินใจเข้าร่วมโครงการรับประกันเงินฝาก จะทำให้รัฐบาลมีหนี้สินประมาณ 1.5 แสนล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์ หรือ 9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ - รัสเซียได้ทดสอบขีปนาวุธโทโปล ซึ่งเป็นขีปนาวุธข้ามทวีปในวันนี้ ขณะที่ประธานาธิบดีดมิทรี เมดเดเวฟ ของรัสเซียยืนยันจะเสริมสร้างความสามารถด้านการใช้อาวุธของกองทัพรัส เซียต่อไป - อัตราดอกเบี้ยอินเตอร์แบงค์ในออสเตรเลียปรับตัวลดลง หลังจากนายเควิน รัดด์ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ใช้มาตรการรับประกันการกู้ยืมเงินระหว่างธนาคาร และหลังจาก 15 ชาติยุโรปมีมติใช้มาตรการคลี่คลายวิกฤตการณ์ในระบบการเงิน อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคาร หรือ อัตราดอกเบี้ยอินเตอร์แบงค์ ประเภท 1 ปีในออสเตรเลียปรับตัวลง 0.73% แตะระดับ 0.84% ในช่วงเช้าวันนี้ตามเวลาท้องถิ่นออสเตรเลีย ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งใหญ่สุดนับตั้งแต่ปี 2543 อดัม คาร์ นักวิเคราะห์จากบริษัท ICAP Australia Ltd กล่าวว่า "รัฐบาลยุโรปและออสเตรเลียประกาศใช้มาตรการเพื่อปกป้องระบบการเงิน ไม่ให้ล่มสลาย ซึ่งเราคาดว่าความพยายามดังกล่าวจะช่วยให้แรงกดดันด้านการระดมทุนบรร เทาลง เศรษฐกิจโลกเผชิญวิกฤตการณ์รุนแรงอย่างที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งฉุดรั้งเศรษฐกิจให้ชะลอตัวลง แต่เราก็ยังไม่มั่นใจว่าวิกฤตการณ์จะไม่ลุกลามไปไกลกว่านี้" สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน - สำนักงานศุลกากรจีนเปิดเผยว่า ยอดเกินดุลการค้าของจีนในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ลดลง 2.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี มาอยู่ที่ระดับ 1.08 แสนล้านดอลลาร์ ส่วนยอดส่งออกเพิ่มขึ้น 22.3% แตะ 1.074 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้น 29% แตะ 8.93 แสนล้านดอลลาร์ สำนักข่าวซินหัวไฟแนนซ์รายงานว่า ยอดการส่งออกเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 21.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะ 1.36 แสนล้านดอลลาร์ ส่วนการนำเข้าเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 21.3% แตะ 1.07 แสนล้านดอลลาร์ ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้ ยอดส่งออกไปยังสหรัฐ เพิ่มขึ้น 11.2% จากระดับปีที่แล้ว แตะ 1.89 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่การขยายตัวลดลง 4.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี การนำเข้าเพิ่มขึ้น 22.1% แตะ 6.24 หมื่นล้านดอลลาร์ - จอห์น ซัง รัฐมนตรีกระทรวงการคลังฮ่องกง เปิดเผยว่า โอกาสที่เศรษฐกิจฮ่องกงเข้าสู่ภาวะถดถอยจะมีมากขึ้นในปีหน้า เนื่องจากได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตการเงินโลก "เศรษฐกิจฮ่องกงจะซบเซาแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าเศรษฐกิจโลกย่ำแย่ เพียงใด" เดวิด โคเฮน นักเศรษฐศาสตร์จากแอคชั่น อีโคโนมิคส์ ในสิงคโปร์ กล่าว - ธนาคารกลางสิงคโปร์ได้ออกแถลงการณ์ย้ำว่า ระบบการเงินของสิงคโปร์ยังมีเสถียรภาพและสดใส ซึ่งธนาคารจะดำเนินการเพื่อให้ระบบการเงินมีเสถียรภาพอย่างต่อ เนื่อง โดยใช้มาตรการที่จำเป็น และพร้อมที่จะอัดฉีดภสพาคล่องเพิ่มเติมหากพิจารณาแล้วว่าเป็นเรื่อง ที่จำเป็น แบงค์ชาติสิงคโปร์ระบุว่า ธนาคาร บริษัทไฟแนนซ์ และบริษัทประกันยังต้องดูแลสินทรัพย์ขององค์กรไม่ให้สูงเกินกว่า หนี้สินในสัดส่วนที่เหมาะสม ตลาดเงินและตลาดปริวรรตเงินตราของสิงคโปร์โดยรวมแล้วยังอยู่ในสภาพ ที่ดี ธนาคารเองก็สามารถดูแลการระดมทุนในตลาดอินเตอร์แบงค์ได้ เนื่องจากธนาคารได้คงสภาพคล่องในระบบธนาคารให้อยู่ในระดับสูง - นายกรัฐมนตรีอับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี ของมาเลเซียได้ออกมายืนยันว่า เศรษฐกิจของมาเลเซียจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยแม้ว่าตลาดเงินโลกจะอยู่ ในขั้นวิกฤต ขณะที่นายอันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำพรรคฝ่ายค้านของมาเลเซียกล่าวโจมตีในระหว่างการอภิปรายงบประมาณ ประจำปี 2552 ว่า คณะทำงานของนายกฯมาเลเซียกำลังฝันกลางวันกันอยู่ เพราะขนาดสิงคโปร์ซึ่งมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่ามาเลเซีย นั้น ตอนนี้เศรษฐกิจก็อยู่ในภาวะถดถอยแล้ว หลังจากที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจหดตัวลง 2 ไตรมาสติดต่อกัน ทางด้านนายกฯมาเลเซียชี้ว่า เศรษฐกิจของมาเลเซียไม่ได้เคลื่อนไหวไปในแนวทางเดียวกับสิงค โปร์ เพราะมาเลเซียมีสำรองที่แข็งแกร่ง ยอดเกินดุลของประเทศก็ยังมีความแข็งแกร่ง อัตราการออมภายในประเทศก็อยู่ในระดับที่สูงมาก และสกุลเงินริงกิตก็มีเสถียรภาพ ไม่ได้อ่อนไหวไปตามความผันผวนในตลาด อ้างอิงจาก //www.ryt9.com. ข้อสังเกต 1. ณ เวลานี้ประเทศต่างๆ กำลังพยายามที่จะหยอดน้ำมันเข้าสู่ระบบ รวมถึงคอยหมั่นตรวจเช็ค ไขน๊อตตามจุดต่างๆให้แน่นขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ฟันเฟืองที่หลวมอยู่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น หลุดออกมาจากระบบ แต่อย่างไรก็ตามตัวขับเคลื่อนที่แท้จริงก็ยังไม่มีกำลังพอที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจโลกดำเนินไปได้ยังมีเสถียรภาพ ฉะนั้นก็ต้องมาดูกันว่า ประเทศต่างๆจะมีมาตรการที่เน้นหรือเจาะลงไปยังตัวขับเคลื่อนออกมาหรือไม่ อย่างไรครับ 2. ช่วงนี้กำลังยุ่งๆครับ เตรียมตัวที่จะหายตัวไป 10 กว่าวันช่วงปลายเดือนนี้ อาจจะไม่ได้เขียนบ้าง หรือเขียนแล้วอาจจะงดข้อสังเกตบ้างครับ ---------------------------------------------------------------------------------- คำเตือน - ข้อมูลดังกล่าวผู้เขียนตั้งใจเก็บไว้สำหรับเตือนความจำ และประกอบการวิเคราะห์ของผู้เขียน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวอาจมีข้อผิดพลาด คลาดเคลื่อน ไม่ครบถ้วน หรือไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ดังนั้นผู้เข้าเยี่ยมชมโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ขอบคุณครับ |
Death_13
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Group Blog All Blog
Friends Blog
Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |