Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
19 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 
2 weeks in Hong Kong and Beijing ตอนที่ 3 เที่ยวจตุรัสเทียนอันเหมินกะไป นครต้องห้าม Forbidden City




บล๊อกที่แล้วตามลิงค์ข้างล่างค่ะ


2 weeks in Hong Kong and Beijing ตอนที่ 1 ชิวชิวที่ฮ่องกงเพื่อขอวีซ่าเข้า Bejing



2 weeks in Hong Kong and Beijing ตอนที่ 2 ไปดู Temple of Heaven ต่อด้วยไปกินเป็ดปักกิ่งสูตรต้นตำรับ


มาต่อกันด้วยไปทริปต่อไปเราสองคนไปเที่ยวที่จตุรัสเทียนอานเหมินที่ว่ากันว่าเป็นจตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในโลก และก็ไปเที่ยวที่ Forbidden City หรือพระราชวังต้องห้าม ซึ่งสถานที่สองแห่งนี้อยู่ใกล้กันเพียงแค่ข้ามถนนไปเท่านั้นเอง เป็นสถานที่เที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่น่าสนใจมากทีเดียว ตอนเด็กเด็กเราได้ยินทางทีวีบ่อยบ่อยไม่นึกเลยว่าเราโตขึ้นจะมีโอกาศได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง

จตุรัสเทียนอันเหมิน (Tian Anmen Square)

จตุรัสเทียนอานเหมินเป็นลานกว้างใหญ่ มีเนื้อที่ถึง 440000 ตารางเมตร ตั้งอยู่หน้าพระราชวังโบราณและตั้งอยู่บริเวณตรงใจกลางนครปักกิ่ง แวดล้อมด้วยสิ่งก่อสร้างดังต่อไปนี้

ประตูเทียนอาน หรือเทียนอานเหมิน เดิมทีเป็นประตูหน้าของพระราชวังสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1417มีชื่อเดิมว่า "เฉิงเทียนเหมิน" หลังซ่อมแซมใหม่ในสมัยจักรพรรดิซุ่นจื้อแห่งราชวงศ์ชิง ในปี ค.ศ. 1651ได้เปลี่ยนชื่อเป็นเทียนอานเหมิน จากประตูนี้ เราสามารถเดินทะลุเข้าวังโบราณได้

ลักษณะของประตูวังเก่าแห่งนี้ เป็นกำแพงใหญ่ ชั้นบนสร้างเป็นเก๋งหลังคาสีเหลือง มีเสากลมสีแดง 10 ต้น เพื่อให้เกิดเป็นช่วงระหว่างเสา 9 ช่อง ตามตัวเลขทรงโปรดของจักรพรรดิ ชั้นล่างเป็นช่องประตูทรงเกือกม้า 5 ช่อง มีภาพเหมือนสีน้ำมันขนาดใหญ่ของประธานหมาว เจ๋อ ตง ติดตั้งเหนือประตูกลางสองข้างของภาพนี้
มีคำขวัญเขียนว่า "ประชาชนจีนจงเจริญ" และ "ประชากรโลกจงเจริญ" เป็นคำพูดของ ท่านหมาวเมื่อครั้งกล่าวคำปราศรัยบนพลับพลาเทียนอานเหมิน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 ซึ่งเป็นวันสถาปนาประเทศจีนใหมหรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า "สาธารณรัฐประชาชนจีน" และได้ถือเอาวันที่ 1 ตุลาคม เป็นวันชาติตลอดมาจวบจนปัจจุบัน
บริเวณหน้าเทียนอานเหมิน มีสะพานหินที่แกะสลักลวดลายสวยงามเรียงขนานกัน 5 สะพานด้วยกันมีสิงโตหินขนานใหญ่ ยืนเป็นยามรักษาประตูอีก 1 คู่ สำหรับสิงโตคู่ที่วางประดับหน้าตำหนักและอาคารบ้านเรือนทั่วไปจะมีตำแหน่งการจัดวางที่ตายตัว โดยตัวผู้จะถูกวางทางซ้าย ตัวเมียอยู่ทางด้านขวาเสมอ

Credit: //www.educatepark.com/china/tian-anmen.php

สำหรับเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นที่จตุรัสเทียนอันเหมิน

4 มิถุนายน พ.ศ. 2532 เกิดเหตุการณ์นองเลือดที่ จตุ รัสเทียนอันเหมิน (Tiananmen Square Massacre) กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ในยุคที่เติ้งเสี่ยวผิงเป็นผู้นำระบอบคอมมิวนิสต์ โดยกองกำลังทหารติดอาวุธพร้อมรถถังเข้าระดมยิงเพื่อสลายการชุมนุมของ นักศึกษาและประชาชนที่ชุมนุมประท้วงต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์จีนและเรียกร้อง ประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ การชุมนุมเริ่มตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2532 นำโดยปัญญาชนและนักศึกษาชาวจีน มีผู้เข้าร่วมชุมนุมนับหมื่นคน การปราบปรามของทหารทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 2,000 คน บาทเจ็บอีกราว 7,000- 10,000 คน การเรียกร้องของนักศึกษาประชาชนครั้งนี้ล้มเหลว ส่งผลให้พรรคคอมมิวนิสต์อยู่รอดแข็งแกร่งมาจนทุกวันนี้ แต่เหตุการณ์สังหารหมู่ครั้งนี้ก็ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่า รัฐบาลจีนได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง

credit: //guru.sanook.com/


มาดูจตุรัสเทียนอันเหมินกันก่อนค่ะ ก็เป็นลานจตุรัสที่กว้างใหญ่เป็นลานกว้าง มีนักท่องเที่ยว ผู้คนชาวเมืองที่อยู่อาศัยอยู่แถบนั้นออกมาเดินเล่นกัน ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกกันเป็นจะนวนมาก

เราไปกันวันธรรมดากันค่ะ คนก็เยอะแต่ก็ไม่ได้เยอะมากเท่าไหร่

กำลังเดินกันไป

Photobucket


ถึงแล้ว


Photobucket


Photobucket

อากาศที่เมืองปักกิ่งก็จะประมาณว่า ครึ้มฟ้าครึ้มฝนเหมือนมีหมอกปกคลุมตลอดเวลา เพราะว่ามลภาวะทางอากาศ ต้องนำรูปมาปรับสีนิดหน่อยเพราะว่าภาพไม่ค่อยสวยเลยเนื่องจากไอ้เจ้ามลภาวะที่กล้าวถึง เนื่องจากรอบรอบตัวเมืองมีโรงงานตั้งอยู่เป็นจะนวนมาก

Photobucket


Photobucket


Photobucket


จตุรัสเทียนอันเหมินตอนกลางคืน พอดีเราไปเดินเล่นกันบริเวณนั้น

Photobucket


Photobucket


ต่อมาเราจะข้ามเขตไปเดินดู ที่ Forbidden City หรือ พระราชวังต้องห้ามกัน เป็นอะไรที่อลังการณ์มากทีเดียวสำหรับเรา ภาพอาจจะไม่ครบเนื่องจากร้อน อบอ้าวมาก เดินดูไม่ทั่วถึง แถม แบตกล้องถ่ายรูปหมดช่วงสำคัญสำคัญ ซะด้วยเสียดายมาก

รายละเอียดค่ะ

แม้ว่าประเทศจีนจะไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว พระราชวังต้องห้ามก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของประเทศจีน และภาพประตูเทียนอันเหมินก็ยังปรากฏอยู่ในตราประจำสาธารณรัฐประชาชนจีนอีก ด้วย นอกจากนี้ พระราชวังต้องห้ามยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่ง ของโลก ซึ่งไม่นานมานี้ ทางรัฐบาลจีนได้มีนโยบายจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวเพื่อจะอนุรักษ์สภาพของ อาคารและสวนหย่อมไว้

พระราชวังต้องห้าม

(จีน: 紫禁城; พินอิน: Zǐjìn Chéng จื่อจิ้นเฉิง; อังกฤษ: Forbidden City) จากชื่อภาษาจีน แปลตามตัวอักษรได้ว่า "เมืองต้องห้ามสีม่วง" พระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่ใจกลางของกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของประเทศจีน เป็นพระราชวังหลวงมาตั้งแต่สมัยกลางราชวงศ์หมิงจนถึงราชวงศ์ชิง พระราชวังต้องห้ามยังรู้จักกันในนาม พิพิธภัณฑ์พระราชวัง (ภาษาจีน: 故宫博物院; พินอิน: Gùgōng Bówùyùan) ครอบคลุมพื้นที่ 720,000 ตารางเมตร อาคาร 800 หลัง มีห้องทั้งหมด 9,999 ห้อง[1] และมีพระที่นั่ง 75 องค์ หอพระสมุด ห้องหับต่างๆอีกมาก รวมทั้งยังมีสวน ลานกว้าง ทางเดินเชื่อมกันโดยตลอด มีคูและกำแพงที่สูงถึง 11 เมตร ล้อมรอบ ใช้ระยะก่อสร้างประมาณ 14 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 1949 จนถึง พ.ศ. 1963

พระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจตุรัสเทียนอันเหมิน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าสู่พระราชวังต้องห้ามได้ทางจตุรัสนี้ ผ่านประตูเทียนอันเหมิน บริเวณรอบจตุรัสเทียนอันเหมิน เรียกว่า อาณาเขตหลวง โดยมีสิ่งก่อสร้างสำคัญอยู่โดยรอบ เช่น มหาศาลาประชาคม ในอดีต พระราชวังแห่งนี้ เป็นเขตหวงห้ามไม่ไห้ประชาชนเข้า แม้ข้าราชการชั้นสูง ยังต้องขออนุญาต เป็นกรณีพิเศษ จึงเรียกพระราชวังนี้ว่า "พระราชวังต้องห้าม" จักรพรรดิจะทรงประทับอยู่ในพระราชวังแห่งนี้ กั้นพระองค์จากโลกภายนอก โดยมีสนมกำนัล ขันที และข้าหลวงรับใช้ ซึ่งคนเหล่านี้ต้องอาศัยอยู่ในนครต้องห้ามตลอดชีวิต เพื่อความสำราญของจักรพรรดิ ในวังจะมีวิเสท 6,000 คน ประกอบพระกระยาหาร มีสนมกำนัล 9,000 นาง ซึ่งมีขันที 70,000 คน คอยดูแลให้ มีคำเล่าลือกันว่า พระนางซูสีไทเฮา เวลาเสวยก็จะมีพระกระยาหารถึง 148 ชุด และทรงส่งขันทีไปเสาะหาชายหนุ่มซึ่งเข้าวังแล้วจะไม่มีผู้ใดพบเห็นอีกเลย


ชื่อ

พระราชวังต้องห้ามเป็นที่รู้จักในหลากหลายชื่อ ในภาษาจีนนั้น ชาวจีนจะเรียกพระราชวังต้องห้ามว่า กู้กง (จีน: 故宫; พินอิน: Gùgōng) ซึ่งแปลว่า พระราชวังเก่า นอกจากนี้ คำนี้ยังใช้เรียกพระราชวังเก่าตามเมืองต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศจีนด้วย
ส่วนคำที่เรารู้จักกันดีว่า "พระราชวังต้องห้าม" นั้น แปลมาจากภาษาจีน จื่อจิ้น เฉิง (จีน: 紫禁城; พินอิน: Zǐjìn Chéng) ซึ่งแปลตามตัวอักษรได้ว่า "เมืองต้องห้ามสีเลือดหมู" ด้วยเหตุที่ว่า ห้ามสามัญชนเข้าไปในบริเวณวังหลวงโดยเด็ดขาด และสีเลือดหมูนั้นเป็นสีอาคารและหลังคาโดยทั่วไป


ประวัติ

สถานที่ที่ตั้งของพระราชวังโบราณนี้แต่เดิมนั้นก็คือพระราชวังหลวงของราชวงศ์หยวนแห่งมองโกล ซึ่งต่อมาเมื่อราชวงศ์หยวนล่มสลายลงแล้วมีราชวงศ์หมิงขึ้นมาแทน จักรพรรดิพระองค์แรกของราชวงศ์หมิง จักรพรรดิหงอู่ได้ย้ายเมืองหลวงจากปักกิ่งไปนานกิงและดำริให้รื้อถอนพระราชวังออก ซึ่งต่อมาเมื่อพระราชโอรสของพระองค์ จักรพรรดิหย่งเล่อได้ขึ้นครองราชย์ พระองค์ก็ได้ย้ายเมืองหลวงกลับปักกิ่งดั่งเดิม และทรงสั่งให้ก่อสร้างพระราชวังใหม่ขึ้นในปี พ.ศ. 1949 ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้

ต่อมาในปี พ.ศ. 2187 ได้เกิดจลาจลขึ้นทำให้พระราชวังสมัยราชวงศ์หมิงเสียหายไป และเมื่อราชวงศ์ชิงขึ้นครองอำนาจต่อจากราชวงศ์หมิง ทางราชวงศ์ชิงก็ได้ก่อสร้างสร้างขึ้นมาใหม่บนฐาน สิ่งก่อสร้างเดิม ทำให้พระราชวังกลายมาเป็นจุดศูนย์กลางอำนาจของจีนอีกครั้งหนึ่งเรื่อยมา จนถึงการล่มสลายของราชวงศ์ชิง และการเปลี่ยนมาเป็นระบอบสาธารณรัฐ

โครงสร้างและ สถาปัตยกรรม

พระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่บนหัวใจปักกิ่ง (the heart of Beijing) นักดาราศาสตร์ชาวจีนโบราณสร้างให้ที่ตั้งนี้เป็นเครื่องหมายแห่งจักรวาล

การก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามใช้ช่างฝีมือกว่าหนึ่งแสนคน คนงานมากกว่าหนึ่งล้านคน ไม้ที่ใช้เป็นไม้หนามมู่ เป็นไม้เนื้อแข็งชั้นดี เอามาจากมณฑลซื่อชวน กว่างตง และยูนาน ส่วนไม้ซุงขนมาจากซื่อชวน เจียงซี เจ๋อเจียง ส่านซี และฮูนาน การตัดและการขนย้ายเป็นเรื่องสุดโหด ไม้เมื่อตัดแล้ว จะต้องทิ้งไว้บนเขาอย่างนั้น รอให้น้ำป่าหลากทะลักพัดมันลงมาเอง จากนั้นจึงค่อยบรรทุกขึ้นเรือมาปักกิ่ง

หินที่ใช้ในการก่อสร้าง นำมาจากฟ่างซาน การขนย้ายต้องจ้างชาวไร่ ขาวนา ในการขนย้ายหินถึง 20,000 คน หินแต่ละก้อนยาว 10 เมตร กว้าง 3 เมตร หนา 1.6 เมตร หากเคลื่อนย้ายผ่านภูมิภาคที่เป็นน้ำแข็ง ต้องราดน้ำลงไปเพื่อให้น้ำแข็งละลาย เมื่อมาถึงปักกิ่ง ต้องใช้ม้าและล่อลากหินเป็นพันๆ ตัว

อิฐนำมาจากหลินจิ้ง ในมณฑลซานตง การสร้างต้องใช้อิฐมากกว่าสิบล้านก้อน เพื่อใช้ปูพื้นพระราชวัง และขั้นตอนในการปูพื้นมีกรรมวิธีกว่ายี่สิบขั้นตอน แต่ละพื้นที่ใช้เวลาปูพื้นร่วม

มาดูรูปที่เราถ่ายมาได้ดีกว่าค่ะ


เห็นประตูทางเข้าแล้วว่าแต่เราจะข้ามไปยังไงดีเนี่ย

Photobucket


ในที่สุดก็ข้ามมาได้โดยทางเชื่อมจากจตุรัสเทียนอานเหมินมามา เป็นทางเชื่อมทางใติดินค่ะ

Photobucket


ขอถ่ายรูปก่อนเข้าไปชม

Photobucket


กะลังเข้าไปแล้ว


Photobucket


สวยงามมากเลยค่ะ

Photobucket


มีแม่ค้าพ่อค้าขายน้ำกะขนมข้างในด้วย

Photobucket


ไปซื้อตั๋วเข้าชม ไม่แน่ใจกี่ หยวน พอดีมัวแต่ถ่ายรูป เชนเค้าไปซื้อตั๋วมาให้

Photobucket


ขายของที่ระลึก

Photobucket


เดินเข้าไปอีก หนทางยงอีกยาวไกลมากกกกกก

Photobucket


Photobucket


Photobucket


ลอดอุโมงค์มาอีกด่านละ เป็นลานกว้างมีตพฃำหนักแต่ละตำหนักรายล้อมตำหนักใหญ่ เดินดูไม่ครบกันเลยทีเดียวเพราะ คนร้อนและหิว



Photobucket


Photobucket


Photobucket


Photobucket



Photobucket


Photobucket


อ่างเก่าแก่ขนาดใหญ่

Photobucket


ภาพจะมัวมัวนะค่ะเพราะบ้านเมืองเค้าถูปปกคลุมไปด้วยมลภาวะทางอากาศ


Photobucket


Photobucket



Photobucket


Photobucket


Photobucket


Photobucket


Photobucket


Photobucket


หลังจากเหนื่อยกันแล้วก็พักยกด้วยการกินกินเที่ยวเที่ยวตามประสา


เจอแล้วร้านนึงพวกเราลอง เดินเข้าไปดูกัน พอดูเมนูแล้วต้องถอยทัพกลับด่วน เพราะเมนูแต่ละเมนูเราไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการ คือเป็นเมนูอาหารแปลกของที่นั่นค่ะ ส่วนมากคนที่ทานอาหารแนวนี้จะเป็นคนที่มีฐานะดีของเมืองจีนเป็นส่วนใหญ่ เพราะสังกตุได้จากรถที่จอดที่หน้าร้าน มีแต่รถยุโรปยี่ห้อหรูหรูทั้งนั้นเลย

Photobucket

หลังจากถอยทัพจากร้านข้างบนแล้ว เราเลยข้ามถนนไปร้านอีกฝั่งตรงข้าม ดูเมนูแล้วค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย

นี่เป็นร้านที่เราไปทานกันค่ะ ร้านอาหารจีนที่นี่จะสร้างแบบแนวลึกลับซับซ้อน เป็นห้องหับซะส่วนใหญ่ ไปเข้าห้องน้ำทีแทบจะหาทางกลับห้องของตัวเองไม่เจอ ไม่รู้ยังไง มันหลงง่ายมากมากค่ะ

Photobucket


อาหารมาแล้ว ก็ใช้ได้บางเมนู อาหารจีนส่วนมากจะออกรสจืดจืด ไม่ค่อยถูกปากเราเท่าไหร่ อย่างขาหมูดูเหมือนจะอร่อย แต่พอทานเข้าไป มันออกหวานหวาน เผ็ดเผ็ดแบบประหลาด

Photobucket

ขาหมู

Photobucket


ปลาราดซอสนี่ก็หวานจนไม่กล้ากิน

Photobucket

สรุปหิวมากมาย แต่ชอบอยู่สองอย่างคือ ผัดก้านผักคะน้า กะมะเขือยาวอบทรงเครื่อง

คืนต่อมาก็ไปเดินเล่นที่ บริเวณทะเลสาป HoaHai กันค่ะ

ทะเลสาบโฮ่วไห่"(Houhai) ตั้งอยู่ในย่านท่องเที่ยวที่รวมร้านอาหาร ผับ และบาร์ไว้จำนวนมาก แต่ละร้านตกแต่งในรูปแบบของตนเอง ตั้งรายรอบทะเลสาบขนาดใหญ่ใจกลางกรุงปักกิ่ง


โฮ่วไห่ เป็นทะเลสาบที่ขุดขึ้นในสมัยราชวงศ์หยวน (ศตวรรษที่ 14) อยู่ทางทิศเหนือของพระราชวังต้องห้าม ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างทะเลสาบซีไห่ (Xihai) และเฉียนไห่ (Qianhai) ทะเลสาบทั้งสามแห่งนี้เรียกรวมกันว่า "สื อช่าไห่" มีจุดเชื่อมกันเป็นคอคอดเล็กๆ นัยว่าคงไว้เพื่อตรวจความปลอดภัยในสมัยก่อน ทะเลสาบทั้งสามแห่งนี้ขุดขึ้นเพื่อขนส่งสินค้าจากคลองขุดเข้ามายังพระราชวัง ต้องห้าม

จริงๆ แล้ว คำว่า "ไห่" ในภาษาจีนนั้นแปลว่า "ทะเล" ไม่ได้แปลว่าทะเลสาบ ที่เรียกอย่างนี่ก็เพราะว่าเป็นความเชื่อของจักรพรรดิว่า ทะเลสาบเหล่านี้ได้จำลองแบบมาจากทะเลตงไห่ ซึ่งเป็นทะเลศักดิ์สิทธิ์ ที่กลางทะเลมีภูเขาบรรจุยาอายุวัฒนะไว้ เมื่อขุดทะเลสาบขึ้นมา จึงเรียกว่า "ทะเล" และสร้าง "เกาะกลางน้ำ" ขึ้นมาเป็นเสมือนภูเขาศักดิ์ เพื่อที่จักรพรรดิผู้สร้างจะได้มีอายุยืนหมื่นๆ ปี

สิ่งที่หลงเหลือมาถึงปัจจุบันนอกจากตัวทะเลสาบ และเกาะกลางน้ำแล้ว ยังมีสะพานโบราณที่อยู่ตามคอคอดจุดเชื่อมต่อระหว่างทะเลสาบ ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นหินแกะสลักเป็นรูปสัตว์ในวรรณคดีที่มีใบหน้าน่า เกรงขามนอนเฝ้าอยู่ทุกสะพาน สถานที่แห่งนี้เพิ่งมามีชื่อเสียงว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืนของกรุง ปักกิ่งไม่กี่ปีนี้เอง


เมื่อก่อนนั้น โฮ่วไห่เป็นเพียงสถานที่ผักผ่อนหย่อนใจของชนชั้นล่าง ดังที่หนังสือคู่มือท่องเที่ยวชื่อ "In Search of Old Beijing" ในปี 1930 บรรยายถึงสถานที่แห่งนี้ว่า "ในช่วงฤดูร้อน "ทะเล" แห่งนี้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจและสูดอากาศบริสุทธิ์ของชนชั้นล่างนับพันๆ คน พวกเขาจะใช้เวลาทั้งวันร้านน้ำชา หรือไม่ก็ฟังนักเล่านิทานเล่าเรื่อง นักร้องเพลงพื้นบ้าน หรือไม่ก็ฟังการบรรเลงดนตรี"

โฮ่วไห่มีชื่อเสียงขึ้นมาด้วยบาร์เล็กๆ แห่งหนึ่งชื่อ "No Name Bar" ของ ป๋าย เฟิ่ง (Bai Feng) นักบุกเบิกสถานที่ฮิปๆ ของปักกิ่งคนสำคัญ และด้วยการบอกปากต่อปากของนักท่องเที่ยว สถานที่แห่งนี้จะมีชื่อเสียงขึ้นเรื่อยๆ มีบาร์ต่างๆ มากมายทยอยเข้ามาเปิดกิจการกัน จนปัจจุบันแน่นขนัดเรียงติดกันไปทั้งสองฝั่งของทะเลสาบเลยทีเดียว

หากเดินเข้ามาทางประตูเฉียนไห่ บุกตะลุยวงเตะลูกขนไก่เข้าได้แล้ว ร้านแรกที่ท่านผู้ฟังจะได้เห็นคือ ร้านกาแฟสตาร์บั๊กในสถาปัตยกรรมแบบจีนน่ารัก น่านั่งมาก พอเดินเลาะเข้าไปก็จะมีร้านให้เลือกมากมายหลายสไตล์ ทั้งแบบนั่งทานอาหาร แบบมีดนตรีสด และแบบแดนซ์กระจายให้เลือกตามอัธยาศัยและอารมณ์สนุกของค่ำคืนนั้น ไม่ว่าจะเป็นร้าน Sex and the city, East Shore Live Jazz Caf?, Hai Bar, Hutong Bar, Buddha Bar, Regge Bar เป็นต้น

ลักษณะของผับบาร์ที่นี่คนไทยเราอาจจะไม่คุ้นกับรูปแบบนัก เพราะส่วนใหญ่เป็นบาร์ที่เปิดโล่ง มีโซฟาขนาดใหญ่ไว้ให้นั่งเอนหลังอย่างสบาย และสาเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ก็เพราะว่าอากาศของที่นี่ไม่ได้ร้อนอบอ้าวเหมือนบ้านเรา

อีกทั้งไม่มีกฎหมายการห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ การมีพื้นที่โล่งๆ ที่สามารถนั่งดื่มกินริมถนนได้อย่างเพลิดเพลิน และมีคนเดินไปมาให้เมียงมองอยู่ตลอด ก็นับเป็นมหรสพเล็กๆ จึงเป็นสิ่งที่ผู้คนที่นี่นิยมกันมาก และไม่ว่าจะเป็นร้านไหน ถ้ามาสนุกสนานกันเป็นกลุ่มเมื่อไหร่ ชาวจีนจะต้องมีไพ่หรือไม่ก็ลูกเต๋ามาเขย่ากัน ไม่ได้เล่นการพนันแบบเสียเงินเสียทองนะครับ แต่เป็นการพนันดื่ม

นอกจากบาร์แล้ว โฮ่วไห่ยังมีถนนสายเล็กๆ ลักษณะเป็นหูถ้ง อยู่ด้านทิศเหนือ เป็นแหล่งช้อปปิ้งของฝากชั้นดี มีทั้งร้านขายสินค้าจากธิเบต ร้านรับทำตราประทับอักษรจีน ร้านขายเสื้อหมายเลข 8 ร้านขายสมุดบันทึก ร้านกระเป๋าและเสื้อแบบจีน และมีร้านที่หน้าร้านเขียนว่า Thai Food แต่เป็นร้านของมาเลเซีย และมีอาหารไทยเพียงไม่กี่อย่าง แต่บรรยากาศน่านั่ง เพราะมีดาดฟ้าให้นั่งมองนักท่องเที่ยวเดินขวักไขว่ไปมา เห็นหลังคาของบ้านเก่าในซื่อเหอย่วน หลังคากระเบื้องซ้อนกันเป็นตับหนาหนัก ไม่แปลกเลยที่อาคารเหล่านี้จะผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายชั่วอายุคน

กิจกรรมท่องเที่ยวในบริเวณทะเลสาบโฮ่วไห่ นอกจากที่เหล่ามาแล้ว ยังเรือนำเที่ยวไว้บริการ พร้อมด้วยสาวน้อยหน้าตาแช่มช้อยบรรเลงกู่เจิ่งคลอตลอดการเดินทางราวกับท่าน เป็นขุนนางใหญ่ยุคโบราณเลยทีเดียว บางคนที่มาเป็นคู่ก็มักจะเช่าเรือถีบไปสวีตกันลำพัง ส่วนชาวต่างชาติส่วนใหญ่จะนิยมเหมารถสามล้อถีบพาชมโดยรอบ หนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ก็มักจะหามุมสงบริมน้ำพลอดรักกันอย่างหวานหยด และเมื่อถึงฤดูหนาวทะเลสาบนี้จะกลายเป็นน้ำแข็ง ผืนน้ำขนาดใหญ่นี้จึงกลายเป็นลานสเก็ตกลางแจ้งที่คนปักกิ่งนิยมมาเล่นกัน

และนอกจากนี้หูถ้งที่อยู่รายรอบหอกลองและหอระฆังที่อยู่ทางทิศเหนือของโฮ่ว ไห่ยังขึ้นชื่อว่าเป็นหูถ้งที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างสมบูรณ์ที่สุด มีคฤหาสน์ที่จักรพรรดิปูยี จักพรรดิองค์สุดท้ายของจีนถือกำเนิดด้วย และยังมีบ้านแบบซือเหอย่วนของมาดาม ซ่ง ชิ่งหลิง(Song Qingling) ภรรยาของดอกเตอร์ซุนยัดเซนอยู่ด้วย

และปัจจุบัน ทั้งสองแห่งได้ทำเป็นพิพิธภัณฑ์ไว้เพื่อการศึกษา บริเวณถนนโดยรอบยังมีร้านค้ามากมายที่จำหน่ายเสื้อผ้าทันสมัย จึงไม่แปลกที่จะได้เห็นวัยรุ่นของปักกิ่งมาช้อปปิ้งที่นี่กันเป็นประจำ

credit: //travel.thaiza.com

เราได้ถาพมาไม่เยอะค่ะ แถมไปตอนกลางคืนคนเยอะมองไม่ค่อยเห็นอะไร ส่วนมากริมทะเลสาปก็จะเป็น ผับ บาร์ ร้านอาหาร มีร้านขายของที่ระลึก และต่างต่างอีกมากมาย ส่วนมากสถานที่แห่งนี้จะเป็นศูนย์รวมของวัยรุ่นที่นั่น และดนตรีที่เล่นส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดจะเป็นเพลงจีน ไม่เห็นเล่นเพลงสากลกันซักเท่าไหร่ค่ะ

ได้รูปมานิดหน่อย

Photobucket


Photobucket


Photobucket


Photobucket


Photobucket


วันต่อมาก็ออกไปชิวชิวกันที่ห้างทานข้าวกันปกติไม่ได้ไปไหนต่อค่ะ

Photobucket


Photobucket


Photobucket

จบแล้ว ไว้เดี๋ยวบล๊อกหน้าจะพาไปปีนกำแพงเมืองจีนกะไปดู โอลิมปิก สเตเดียมรูปทรงรังนกนะค่ะ






Create Date : 19 มิถุนายน 2553
Last Update : 19 มิถุนายน 2553 3:24:41 น. 0 comments
Counter : 737 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

smithfamily
Location :
BAY AREA United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






Photobucket


Photobucket

*-* ชื่อจอยค่ะ ยินดีต้อนรับเพื่อนเพื่อน พี่ ป้า น้า อา ทุกท่าน บล๊อกนี้นำเที่ยว เป็นหลักค่ะ เพราะชีพจรชอบลงเท้าเป็นประจำ ยินดีที่ได้รู้จักนะค่ะ

Hi,

I'm jOy, I'm just typical thai woman. I've been living in the US since 2007 and hope you all enjoy reading and travelling with me through my blog..





ขอสงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๓๗ ห้ามผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์โดยการนำรูปภาพ บทความงานเขียน รวมทั้งข้อความต่างๆ ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดในบล็อกนี้ไปใช้โดยมิได้รับอนุญาติเป็นลาย ลักษณ์อักษรจากเจ้าของบล็อก มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด


>
Friends' blogs
[Add smithfamily's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.