มกราคม 2559

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
12
13
14
15
16
17
19
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30
31
 
 
จุติวิบัติ - บทที่ 3
เกริ่นนำ
สวัสดีค้าบ สวัสดีวันจันทร์ 
วันนี้ที่เชียงรายอากาศหนาวมากๆ 
จนชักจะเข้าใจความรู้สึกของปลาในช่องฟรีซละ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
แต่อากาศหนาวๆ แบบนี้ก็ดีไปอีกแบบนะครับ
เพราะฤดูหนาวเป็นฤดูกาลที่ทำให้หัวใจมีความร้ากกกกก
ฮิ้วววว ...ว่าไปนั่น

หมดโควต้าทักทายแล้ว ฮ่า ฮ่า
ขอให้มีความสุขกับการร่วมผจญภัยกับเจ้าเอยนะครับ
ขอให้สุขภาพแข็งแรงและโชคดีกันทั่วหน้า
พบกันใหม่วันจันทร์ค้าบบบบ

กลิ้งโคลงแก้มขาว



จุติวิบัติ
บทที่ 3

จากข้อมูลที่จ๊อดหามาให้ บ้านของหวันยิหวาอยู่ในย่านชุมชนแออัด แม้เจ้าเอยจะเตรียมใจไว้เยอะมาก ครั้นเห็นสภาพจริงก็อดเบ้ปากไม่ได้ เอาผ้าเช็ดหน้าปิดจมูก ทำตาเหลือกราวคนจะเป็นลม

ฝนยังคงหล่นปรอยๆ ต่อเนื่อง กลิ่นน้ำเน่าลอยโชยมาจากลำคลองปะปนกับความชื้นในอากาศ ทำให้รู้สึกเสมือนว่ามีขยะมาพอกตามเนื้อตัว ทางเดินทอดยาวคดเคี้ยวริมคลองคับแคบพอให้เดินสวนกันได้ไม่ตกเท่านั้น ขยะเกลื่อนกลาด สุมพะเนินตรงโน้นกอง ตรงนี้กอง หมาจรจัดวิ่งกันให้ขวัก หมัดเห็บกระโดดยุ่บยั่บ เสียงคนเมาโวยวายโหวกเหวก

พร่ำบอกตัวเองว่า ฉันเป็นนักเขียนมืออาชีพ... ฉันเป็นนักเขียนมืออาชีพ...ฉันเป็นนักเขียนมืออาชีพ... พอทำใจได้ เจ้าเอยก็หันไปหาจ๊อดเพื่อบอกให้เตรียมตัวบุกบ้านเป้าหมาย แต่ลูกน้องตัวดีกลับปรับเบาะฝั่งคนขับเอนเตรียมนอนเรียบร้อย

หญิงสาวกำหมัดแน่นตวาดลั่น

“ทำอะไร!”

“ก็รอคุณหนูทำธุระไงครับ”

เจ้าเอยกรีดนิ้วแตะขมับ ช่างเป็นท่าปวดหัวที่แสนงดงาม

“นายต้องคอยคุ้มกันฉันสิ”

“อ้าวผมเห็นคุณหนูเป็นสาวแกร่ง นึกว่าอยากลุยคนเดียวเหมือนในนิยายเสียอีก”

หญิงสาวหัวเราะเหี้ยมเกรียมในลำคอ

“ถ้าฉันจ้างกองทัพได้ ฉันจ้างให้มาคุ้มครองฉันไปนานแล้วย่ะ”

“แล้วถ้างานคุณหนูเสี่ยงจนผมต้องตายจริงทำไงล่ะครับ”

“ฉันจะเสียสละใช้ชีวิตแทนนายเอง”เจ้าเอยตบบ่าคนถามอย่างให้กำลังใจ

“สมแล้วที่เป็นคุณหนู” ชายหนุ่มปรบมือ

“หมายความว่าไงยะ”

“เพอร์เฟ็ค” จ๊อดยกนิ้วให้ รอยยิ้มเปื้อนเต็มหน้า

คร้านจะต่อความยาวสาวความยืด รีบลากตัวจ๊อดมาจนถึงบ้านเป้าหมาย

บ้านไม้ชั้นเดียวยกพื้นเล็กน้อยพอให้คนมุดลอดเท่านั้น หลังคามุงสังกะสีผุๆ ไม้บางแห่งเปราะจนหัก ตะปูสนิมเขลอะเลื่อนจนเกือบหลุดออกมาจากแผ่นกระดานที่ยึดไว้ บันไดทุกขั้นพร้อมจะหักทุกเมื่อถ้ามีใครเหยียบ

เจ้าเอยตะโกนเรียกหน้าบ้าน สักพักหนึ่งก็มีหญิงร่างท้วมนุ่งเสื้อกับผ้าซิ่นเก่าๆ เดินตึงตังออกมาหยุดตรงบนบันได หน้าตาบอกบุญไม่รับ (คงพอๆ กับเจ้าเอยนั่นแหละ)

“มาหาใคร”

“ดวงยิหวาค่ะ”

ได้ยินดังนั้น เจ้าหล่อนก็กวาดสายตามองเจ้าเอยทั่วร่าง ใบหน้าบูดๆ ตอนนี้กลายเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวด แขนทั้งสองข้างยกเท้าสะเอว

“ไม่อยู่ พวกกูต้องทำมาหาแดก ไม่ว่างคุยด้วยหรอก... เสียเวลา”

เจ้าเอยแทบจะแยกเขี้ยวใส่ หน็อยแน่... หยาบคายกับใครไม่หยาบ มาหยาบกับเธอ เดี๋ยวแม่ก็...

“ขอโทษนะครับพี่สาว ที่รบกวน”

จ๊อดรีบแก้สถานการณ์ ตอนนี้เจ้าเอยเริ่มกอดอกและพร้อมเหวี่ยง ชายหนุ่มรีบไต่ขึ้นบันได พูดคุยซุบซิบๆ กับยายเจ๊นิสัยเสียนั่นครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นธนบัตรให้เจ้าหล่อนเป็นค่าน้ำชากาแฟ เจ้าของร่างท้วมเบิกตากว้าง ไหวไหล่เบาๆ อย่างไว้เชิง แล้วหันมาพูดกับเธอเสียงอ่อนลงหน่อย

“อีหวาอยู่ในห้อง ถ้าอยากจะคุยกับมันก็ลองดู แต่ไม่รับประกันหรอกนะว่าจะได้เรื่อง”

“ทำไมล่ะ”เจ้าเอยถาม

“ตั้งแต่เพื่อนมันตาย ก็เห็นหมกตัวแต่ในนั้นไม่พูดไม่จา ทำตาขวางๆ ผีเข้ารึเปล่าไม่รู้”

“ไม่สบายมั้ง”

“งั้นมั้ง...เด็กบ้า ขวางจริง เมื่อไหร่จะไปให้พ้นบ้านนี้ก็ไม่รู้”

เจ้าเอยชะงักกับคำพูดของเจ้าของบ้านเล็กน้อย แต่ดูเหมือนจ๊อดจะรู้ใจ เลยถามแทน

“พี่สาวเป็นอะไรกับน้องดวงยิหวาครับ”

“น้า”คนตอบกระชากเสียง “ตกลงจะคุยกับอีหวาหรือคุยกับฉัน ถ้าจะคุยกับมันก็เร็วๆ”

เจ้าเอยเลยส่งสัญญาณให้จ๊อดหยุดแค่นั้น

ห้องนอนของดวงยิหวาจะเรียกว่าห้องก็ไม่ถูกนัก เพราะเป็นพื้นที่โล่งของบ้านที่เอาตู้มากั้นเขต แล้วโยงเชือก ใส่ผ้าทำเป็นประตู

สภาพภายในค่อนข้างมืด แสงที่ลอดจากรูเล็กๆ ของหน้าต่างส่องลงมาเป็นลำ กระทบใบหน้าเด็กสาวผมตัดสั้นมันเยิ้ม ดวงตาเหม่อลอยและลึกโหล เธอนั่งกอดเข่าอยู่ในชุดเสื้อกางเกงขาสั้น ทำให้เห็นผิวตามแขนและขาที่ทั้งซีดและแห้ง... แห้งจนเริ่มเป็นขุย

เด็กสาวกัดเล็บกึด... กึด... จนน่ากลัวว่าจะแทะนิ้วตัวเองกินเข้าไปด้วย

“หวา” เจ้าเอยเรียก

ไม่มีการตอบกลับ

“หวา...ขอคุยด้วยได้ไหม”

คนถูกเรียกยังนิ่งเฉยกัดเล็บ เหม่อมองไร้ความสนใจ

“หวาคะ”หญิงสาวเอ่ยเสียงดัง

หวันยิหวาหันขวับ ดวงตาเบิกกว้างเหมือนโกรธนั้นทำเอาเจ้าเอยสะดุ้ง ความตกใจจู่โจมไม่ให้ตั้งตัวจนแทบจะวิ่งกลับรถ แต่จ๊อดซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังทำให้เธอต้องรักษาอาการ ไม่อยากเสียฟอร์มต่อหน้าลูกไล่ตลอดกาล

“หวาสนิทกับเด็กคนนี้มากไหม” หญิงสาวยื่นรูปถ่ายของเบลล์ เด็กสาวผู้เสียชีวิตด้วยอาการแปลกประหลาดพร้อมครอบครัวที่ดังเป็นข่าวใหญ่

ดวงยิหวาเอื้อมมือซีดเซียวออกมาฉกรูปกลับไปรวดเร็ว

“ต้องการอะไร”เด็กสาวถามห้วน

“พี่อยากรู้ว่าหวาพอจะรู้ไหมว่า ช่วงที่ผ่านมีอะไรเกิดขึ้นกับน้องเบลล์รึเปล่า... เกี่ยวกับการตายของน้องเบลล์”

“ไม่รู้”

“อย่าหาว่าพี่ละลาบละล้วงเลยนะ แต่น้องเบลล์เขาไม่เคยบอกหรือแสดงอาการผิดปกติให้หวาเห็นเลยเหรอ”

“กลับไป”

เสียงของเด็กสาวเริ่มแข็งขึ้น จ๊อดเริ่มสะกิดแขนเจ้าเอยเบาๆ

“น้องเบลล์เขาคงจะดีใจมากกว่าถ้าใครๆ ได้รู้ว่า เขาตายยังไง”

“ไป!!”

ดวงยิหวาตะคอกเจ้าเอยนิ่ง... ก่อนพยักหน้าช้าๆ พลางล้วงเข้าไปในกระเป๋าถือ

“โอเค...ถ้างั้น พี่ขอถามเป็นคำถามสุดท้าย... หวาเคยเห็นสัญลักษณ์พวกนี้รึเปล่า”

หญิงสาวยื่นรูปภาพที่ได้มาจากสบชัยให้เด็กสาวดู อะไรบางอย่างในรูปนั้นทำให้ดวงยิหวาเบิกตากว้าง เสียงกระซิบแหบพร่า

“ผู้สังเกตการณ์...”

“ว่าอะไรนะ”เจ้าเอยถามซ้ำ

ดวงยิหวาโถมตัวมาทางเธอจนแทบจะกลายเป็นกระโจนเข้าใส่ เจ้าเอยถอยหลังออกมาตามสัญชาตญาณ จนพ้นเขตผ้าม่านซึ่งห้อยแขวน หัวใจเต้นโครมคราม จ๊อดพุ่งตัวเอาแขนกั้นระหว่างเธอกับเด็กสาวไว้

ผ้าม่านแหวกออกมีเพียงใบหน้าของดวงยิหวาที่โผล่ออกมา ต่ำจนแทบจะเกยตักเจ้าเอย ดวงตาคู่นั้นดำทื่อไร้แววประกาย ส่วนที่เป็นตาขาวเห็นเส้นเลือดฝอยสีแดงเข้มชัดเจน

“เจ้ารู้อันใดเกี่ยวกับพวกเรา”

“อะไร”เจ้าเอยเสียงสั่น มือที่กำแน่นเปียกเหงื่อชื้น

ดวงหน้าซูบซีดของเด็กสาวเริ่มมีสีแดง...ทว่าหาใช่สีแดงด้วยโลหิตสูบฉีดระเรื่ออย่างเด็กสาวแรกรุ่นไม่ หากเป็นสีแดงคล้ำจากความช้ำระบม

“บาเลบา...บาเลบา... ผู้สืบวิถีแห่งจิต”

“คุณหนูครับ กลับเถอะ” จ๊อดเร่ง

“นั่นสิ”

เจ้าเอยลุกพรวด แต่ดวงยิหวาจับขาของเธอไว้แน่น... แน่นราวกับจะจิกเข้าไปในเนื้อ

หญิงสาวร้องโอ๊ยรีบสะบัดหลุด หัวใจร่วงกองคาตาตุ่ม สายตาของดวงยิหวาคล้ายจะจ้องทะลุเข้าไปในความคิดและวิญญาณของเธอได้ เจ้าเอยขอโทษ แล้วรีบวิ่งออกจากบ้านโดยมีจ๊อดตามติดๆ

เสียงแหบพร่าของดวงยิหวาดังไล่หลัง

“บาเลบา...บาเลบา... จิตมารดาต้องถูกทำลาย!”




จิตมารดาต้องถูกทำลาย!

เสียงประกาศกึกก้องดั่งฟ้าผ่ากระหึ่มในหัวของเหนือเมฆ ทำเอาเขาสะดุ้งจนแทบตกเตียง เนื้อตัวชุ่มเหงื่อ ที่นอนเปียกชื้นเป็นวง เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์นั่นเองที่ปลุกเขาตื่น

คำพูดในฝันยังทำให้เขาใจระส่ำ คงเพราะอุบัติเหตุเมื่อวานละมั้ง เลยเก็บเอามาฝันร้ายแบบนี้

อุบัติเหตุซึ่งควรคร่าชีวิตเขา!

เหนือเมฆยกมือคลำลำคอตัวเองโดยไม่รู้ตัว

นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานหลังจากสลบไปแล้ว เขาก็ลืมตาตื่นขึ้นที่ไหนสักแห่ง ทั้งมืดมิดและเหน็บหนาว รอบด้านปกคลุมด้วยไอหมอกหนาทึบ เห็นเพียงสะพานไม้ข้ามฟากที่ทอดตัวยาวไปถึงไหนไม่อาจคะเนได้

เมื่อแรก เขาก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไง พลันนั้นเองที่มีเพรียกกระซิบแผ่วแว่วลอยมาจากอีกฝั่งปลายสะพาน เขาจึงเดินข้ามสะพานนั้นไปหา โดยปราศจากความคิดหรือสงสัย เหมือนกับว่า แค่รู้ว่าต้องทำเป็นปกติเมื่อมาถึงที่นี่ ขามันก็เดินไปเอง

พอถึงกึ่งกลางสะพานจู่ๆ ก็มีเสียงเล็กๆ แหลมๆ ละม้ายเสียงปลาโลมาสะท้อนมาจากด้านบน เขาแหงนหน้า เห็นลูกแก้วกลมโตขนาดเท่าไข่ไก่เปล่งแสงกระจ่างจนต้องหยีตา ดวงแก้วชะลอเชื่องช้าจ่อตรงหน้าเขา เสียงเล็กๆ นั้นดังมาจากข้างในลูกแก้วนี้เอง

พอเอานิ้วจิ้มมันก็แตก แล้วเขาก็ฟื้น!

ที่น่ามหัศจรรย์ยิ่ง ถึงเขาจะฟื้นจากความตายขึ้นมาได้ แต่ร่างกายยับเยินบอบช้ำขนาดนั้น ก็ควรหมดสติไปสักหลายๆ วันแล้วนอนในโรงพยาบาลสักปี แต่เขากลับลืมตาตื่นบนถนน ตรงจุดที่นอนกอง ยังทันได้เห็นรถคู่กรณีอัดเสาไฟฟ้าจนกระโปรงหน้ารถบุบ

เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ...

เขาลองขยับศีรษะซึ่งบิดผิดท่าทางที่ควรจะเป็น เสียงลั่นกึกสนั่นสะเทือนในกะโหลก อาการเจ็บจากต้นคอวิ่งขึ้นกลางสมอง แต่แวบเดียวความปวดร้าวก็สูญสิ้น เขาลุกขึ้นนั่ง มองรอบๆ ตาลอยเหมือนคนยังไม่ตื่นดี

ผู้คนเริ่มล้อมมาทางเขามากขึ้น พูดคุยไต่ถามราวกับเขาเป็นคนเด่นคนดัง เขาเองก็ยังมึนๆ จึงตอบเพียงแค่ไม่เป็นอะไร บางคนก็เริ่มอยากรู้ว่าเขามีพระดีอะไรรึเปล่า ซึ่งข้อนั้นเขาก็ตอบไม่ได้เพราะไม่เคยห้อยพระอะไรสักองค์

สักพักหน่วยกู้ภัยก็มาถึงพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไต่ถามเอาความกับเขาสักครู่จึงปล่อยตัวกลับ

เหนือเมฆเองรู้สึกยินดีที่ยังไม่ตาย แต่การฟื้นขึ้นมาอย่างแปลกๆ ก็ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจระคนหวาดหวั่นชอบกล

ถ้าไม่เฮงสุดขอบ ก็ซวยสุดขีดล่ะ!

คนบ้าอะไร ตายยากยิ่งกว่าตัวการ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่!!

เสียงโทรศัพท์ดังไม่หยุด เหนือเมฆรับสาย

“ครับ”

“พี่โจ้บอกแกก็จะไปงานคุณหญิงผ่องเหมือนกันเหรอ”

เสียงที่ดังมาจากปลายทางคือแจน เพื่อน... น่าจะเพื่อนล่ะนะ ของเขาเอง

“อืม”

“ไปพร้อมกันปะ เดี๋ยวไปรับ”

เหนือเมฆยกมือเกาหัว รู้สึกยุ่งยากใจยังไงชอบกล

“ไม่อะ เดี๋ยวเจอกันที่นู่นเลย”

“เสียงไม่ค่อยดีเลย เป็นไรรึเปล่า”

“เปล่า...ยุ่งอยู่” เหนือเมฆตัดบท

“เออๆ ฉันไม่กวนแกละ” ปลายเสียงแจนสะบัด “แล้วเจอกันที่งาน”

วางสาย...

เหนือเมฆถอนใจเฮือกให้กับความสัมพันธ์อันน่าอิลั่กอิเหลือของตนเองกับแจน... หญิงสาวอายุรุ่นเดียวกับเขา และถ้าหากไม่ปิดหูปิดตาตัวเอง เขาก็รู้ว่า เธอก็รู้สึกดีๆ กับเขาเหมือนกัน แม้จะน่าอึดอัด แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะตัดสัมพันธ์ตรงๆ เพราะกลัวเธอจะเสียใจ

แต่คนที่ไม่ใช่ยังไงก็ไม่มีวันใช่อยู่ดี

ยังไม่ทันได้ขยับ อาการปวดหัวจี๊ดก็แล่นพล่าน โทรศัพท์หล่น

เหนือเมฆยกมือทาบกดเปลือกตานวดๆ คลึงๆ เคลื่อนไปทางขมับสักครู่หนึ่งจนทุเลาลงบ้าง อาจเป็นไปได้ที่หัวกระทบกระเทือนแรงอย่างนั้น เส้นเลือดอาจจะแตก...คงต้องไปตรวจอาการดูสักหน่อย ไม่รู้ว่าค่าตรวจจะมากไหม

จะกลับไปนอนอีกก็เกรงใจตัวเอง ไหนๆ ก็ตื่นแล้ว มีอะไรให้ทำอีกตั้งหลายอย่าง รีบอาบน้ำอาบท่าดีกว่า

ลงจากเตียงถอดเสื้อผ้า เข้าห้องน้ำ มองดูกระจก

หน้าอกด้านซ้ายปูดออกเหมือนลูกโป่งที่สูบลมเข้า พองขนาดเท่ากำปั้นโตๆ

เหนือเมฆหน้าซีด เซถอยหลังสะดุดผ้าเช็ดเท้าหน้าห้องน้ำ มือกวาดเอาราวแขวนข้างๆ ล้มระเนระนาดชายหนุ่มรีบก้มสำรวจหน้าอกตัวเอง ใช้ทั้งสองมือตะปบ

หายไปแล้ว!

...นี่มันเรื่องจริงหรือคิดไปเอง




“ไม่ต้องห้ามเลย ไอ้เฮีย...หนูไม่ทำแล้วเว้ย น่ากลัวเป็นบ้า นี่ถ้าหนูตายใครจะรับผิดชอบห๊ะ เฮียมีปัญญาชดใช้ชีวิตหนูเหรอ โนเวย์... หนูจะไม่ฟังเหตุผลอะไรของเฮียทั้งนั้น และถ้าขืนบังคับกันมากๆ หนูจะลาออก ได้ยินไหม... ลาออก!!”

เจ้าเอยตะโกนใส่วิดีโอคอลโดยมีสบชัยทำหน้าม่อยอยู่ปลายทาง หญิงสาวสวมชุดราตรีสีเขียวปีกแมลงทับ และกำลังมุ่งหน้าไปยังงานเลี้ยงของคุณหญิงผ่องพิลาสเลอวรรณด้วยรถลีมูซีนส่วนตัว

“เอ๋ยใจเย็นๆ ถ้ายอมแพ้ตอนนี้ก็เสียดายแย่สิ อุตส่าห์หาข้อมูลมาได้ตั้งเยอะแล้วไม่ใช่เหรอ”

“เยอะบ้านเฮียดิ ยัยเด็กนั่นเอาแต่พูดเรื่อง อะไรนะ... ผู้สังเกตการณ์... ผู้สืบวิถี...จิตมารดา... อาลีบาบา...”

“บาเลบาครับคุณหนู” จ๊อดแทรก

“นั่นแหละ บาเลบา... เฮียคิดว่าหนูจะรู้เรื่องไหม”

“โป๊ะเช๊ะ” สบชัยตีมือ “มันต้องเป็นรหัสลับระหว่างพวกต่างดาวแน่ๆ เอ๋ยมาถูกทางแล้ว เฮียมั่นใจ”

เจ้าเอยถอนใจเอือมระอา

“เฮียจะให้หนูบอกกี่ครั้ง หนูเป็นผู้หญิง สวย รวย และยังไม่อยากตายหนูไม่ใช่ซุปเปอร์แมน... ไม่ได้ทำงานกับนาซ่าด้วย เพราะงั้นไม่ว่าจะเป็นคนบ้าหรือมนุษย์ต่างดาว หนูก็ไม่เกี่ยว โอเค๊”

“โห เอ๋ย... ถ้าเอ๋ยไม่เขียนแล้วใครจะเขียน”

“เขียนเองดิ”

“เอ๋ยฟังเฮียนะ”

“ไม่”

“มีแต่เอ๋ยคนเดียวที่เขียนเรื่องนี้ได้ ลองนึกภาพตอนที่เอ๋ยได้รับเสียงปรบมือในฐานะนักเขียนชาวไทยที่มีผลงานระดับสากลดูสิ งานเขียนที่ได้รับการแปลกว่าสิบภาษาทั่วโลก มันไม่ใช่จะมีคนทำได้เยอะนะเอ๋ย”

“แต่ถ้าหนูตาย หนูก็ไม่ได้ยินเสียงปรบมือพวกนั้นหรอกค่ะ... พอ หนูไม่ฟังเฮียละ บาย”

หญิงสาวกดปิดสัญญาณโดยที่อีกฝ่ายยังพูดชื่อเธอไม่ทันจบด้วยซ้ำ ยกมือกอดอก ไม่สบอารมณ์เลยสักนิด ตั้งใจแน่วแน่ว่าต่อจากนี้เป็นตายร้ายดียังไงเธอก็จะขออยู่ให้ห่างไกลจากเรื่องพวกนี้

ไม่อยากเป็นหมองูตายเพราะงู

นักเขียนเรื่องลึกลับต้องตายเพราะสาเหตุลึกลับ คงโจษจันทั่วแผ่นดิน

งานเลี้ยงจัดขึ้นที่โรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา แลดูน่าจะเอิกเกริกกันพอสมควร... เว่อร์ชะมัด

“เจ้าของงานชื่อคุณแก้วกังสดาล ชื่อเล่นชื่อน้ำใจครับ จบปริญญาตรีสาขาเทคโนโลยีชีวภาพ ปัจจุบันกำลังยื่นเรื่องศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่เยอรมัน เพราะต้องการทำโปรเจ็คค้นหาลำดับเบสในดีเอ็นเอ เพื่อยับยั้งโอกาสเกิดโรคมะเร็ง” จ๊อดรายงานข้อมูลพลางบังคับรถเลี้ยวไปตามถนน

“ปวดหัวเกิ๊น”เจ้าเอยบ่น

“ผมเตรียมของขวัญไว้ให้แล้วครับ”รถจอดด้านหน้าโรงแรม

“เดี๋ยวฉันถือเอง”

พ่อลูกน้องตัวดีส่งกล่องของขวัญขนาดพอมือให้เธอ หญิงสาวรับมาอย่างไม่ใส่ใจหางตาแลเห็นดอกกุหลาบแดงช่อเล็กใกล้ตัวจ๊อด

“ช่อดอกไม้นั่นล่ะ”

“นี่เหรอครับ...แฟนคลับให้ผมมา” จ๊อดยิ้มแฉ่ง

“ย่ะ”หมั่นไส้!

พนักงานโรงแรมเปิดประตูรถให้หญิงสาวบ่ายตัว เตรียมลงรถด้วยท่วงท่าสง่างาม

“คุณหนูจะให้ผมรอที่ไหนครับ”

“เรื่องของนาย”

...แต่ถ้าฉันเรียกต้องมาให้ไว แค่นั้นพอ!




“หายปุ๊บ แรดปั๊บนะมึง”

หญิงร่างท้วมเอ็ดตะโรขึ้นเมื่อเห็นหลานสาวเดินออกจากห้องท่าทางโงนเงน

ท้องฟ้ายามค่ำมืดมิด หมู่เมฆขนาดใหญ่ปกคลุมสิ้น มีเพียงแสงไฟจากหลอดทังสเตนแขวนกลางบ้านเท่านั้นที่พอจะส่องให้เห็นอะไรๆ ในบ้านบ้าง เธอจึงลากลังใส่อุปกรณ์ทำดอกไม้ประดิษฐ์ที่รับจากโรงงาน มาทำใต้หลอดไฟ ทำแล้วก็ต้องรีบเก็บก่อนที่ไอ้ผัวเฮงซวยจะเมากลับ ไม่งั้นมันเตะกระจาย เสียเงินมัดจำฟรีๆ

ยังดีหน่อยที่วันนี้ได้เงินจากไอ้พวกคนรวยที่อยากสัมภาษณ์อีหวา

“มึงจะไปไหน”

เด็กสาวมองหน้าเธอครู่หนึ่ง สีหน้าแววตาเฉยชา แล้วหันหลังให้ ทำเอาคนเป็นน้าตบเข่าฉาด

“อีเวรตะไล นับวันยิ่งกำเริบ กูถามทำไมไม่ตอบ”

“งานเลี้ยง”น้ำเสียงที่ตอบกลับมาเยือกเย็น ชวนขนลุก

เจ้าของร่างท้วมขมวดคิ้ว สำรวจดูเครื่องแต่งกายของหลาน ชุดมันก็ใส่ชุดเดิม น้ำท่ามันก็ไม่อาบ ดัดจริตบอกว่าจะไปงานเลี้ยง

“มึงจะไปทำอะไร”

คำตอบที่ได้รับกลับมา แม้จะเป็นน้ำเสียงที่นิ่งเรียบ หากเปี่ยมล้นไปด้วยอารมณ์จนภายในปั่นป่วน

“สังหาร...ธิดาแห่งอาดามะ!”


....................(โปรดติดตามตอนต่อไป)




Create Date : 25 มกราคม 2559
Last Update : 25 มกราคม 2559 13:42:11 น.
Counter : 642 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 2273544
Location :
เชียงราย  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



เชิญติดตามผลงานของบล็อกได้ครับ

.........................



แคนโต้:เรื่องราวในช่องว่าง
แจกฟรี
โดย...กลิ้งโคลงแก้มขาว

ช่องว่าง คือสิ่งที่ปรากฏอยู่ในทุกที่หน
บางครั้งช่องว่างก็นำพา
เอาความหมองหม่นมาให้
แต่บางคราวช่องว่างก็กลายเป็นสิ่งสำคัญ
ที่ช่วยผลักดันให้หัวใจเติบโต

.........................

***หมายเหตุตัวโตโต***

ขอความกรุณาอย่าลอกหรือนำผลงานใดๆ
ในบล็อกนี้ไปดัดแปลงเลยนะครับ
สงสารนักเขียนตาดำๆ นะค้าบบบ

^o^
กลิ้งโคลงแก้มขาว