มกราคม 2559

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
12
13
14
15
16
17
19
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30
31
 
 
จุติวิบัติ - บทที่ 1
เกริ่นนำ

สวัสดีครับ ได้ฤกษ์งามยามดีเอานิยายมาลงซะที
แรกเริ่มเดิมทีตั้งใจจะเขียนนิยายรักหวานแหววกับเขาบ้าง
เขียนไปเขียนมา ดันได้แนว... ประหลาดๆ มาแทน
ส่วนจะเป็นแนวไหนนั้น อะแฮ่ม
เชิญอ่านได้เลยค้าบบบบ

^o^ 
กลิ้งโคลงแก้มขาว

.................................................

จุติวิบัติ

บทที่ 1

เช้าวันนั้นมีสัญญาณประหลาดดังก้องทั่วกรุงเทพมหานคร เสียงหวีดคล้ายสัญญาณเตือนภัยทะลุออกมาจากผืนแผ่นดิน ซึมแทรกตามตรอกซอกซอยน้อยใหญ่ ในย่านบ้านเรือน ในละแวกหมู่ตึก เสียงแห่งความวังเวงนั้นดังยาวนานต่อเนื่องกว่าสิบนาที... เป็นสิบนาทีที่ทุกสิ่งเงียบงันทุกกิจกรรมหยุดกะทันหันราวเครื่องจักรถูกปิดสวิตซ์ แม้กระทั่งสายลมซึ่งเคยโบกพัดกลับสงบเอาเสียดื้อๆ กิ่งไม้ใบหญ้าแน่นิ่ง ละม้ายกาลเวลาแห่งมหานครได้หมดลง

ความหวาดหวั่นคุกคามอย่างหาที่สุดมิได้...

ครั้นแล้ว ช่วงเวลาประหลาดได้ผ่านพ้น เพาะบ่มความสงสัยกลายเป็นข่าวใหญ่ประจำสำนักข่าวทุกช่อง ทุกฉบับ

มีกระแสบอกว่า นี่เป็นเสียงกรีดร้องของดวงวิญญาณที่ตายอย่างอยุติธรรม

หากกระนั้น นักวิชาการให้ข้อโต้แย้งน่าคิด ว่านี่อาจเป็นเสียงเคลื่อนตัวของมวลสารภายในอุโมงค์ใต้ดิน

มีทฤษฎีสมคบคิด อ้างอิงถึงเสียงแบบเดียวกันนี้ ที่เคยเกิดขึ้นในต่างประเทศ เสียงนั้นเรียกว่าเสียงแตรทั้งเจ็ด ตามคัมภีร์ไบเบิ้ล กล่าวถึงอะมาเกดอน หรือวันโลกาวินาศ เมื่อเสียงแตรทั้งเจ็ดของพระเจ้าถูกเป่า ภัยพิภัยทั้งหลายได้ตกจากท้องฟ้าและทำลายมนุษยชาติสิ้น!

กระแสสังคมไหลอย่างต่อเนื่องใช้เวลาเพียงสามวัน ทะเลข้อมูลมากมายก็หลั่งเข้าระบบความรู้สึกนึกคิดของประชาชนจนแน่นอั้ก เสียงปริศนาดังกล่าวจึงผ่านมาและผ่านไป... ไร้การจดจำ

สองสัปดาห์ต่อมาสำนักข่าวทุกแห่งได้รับข่าวใหญ่อีกครั้ง

ในยามเย็น ขณะแสงอาทิตย์อัศดง หมู่เมฆสีแดงฉานดุจชะโลมด้วยเลือด แสงสว่างวาบพุ่งพาดท้องฟ้า คล้ายจะตกลงมายังศูนย์กลางของประเทศไทย

พลันนั้น ระเบิดวาบสว่างกระจายกลางฟ้าอากาศ มีเสียงบึ้มสนั่น อาคารบ้านเรือนสั่นไหว กระจกลั่นกราวราวจะแตก

ไม่มีใครบอกได้ว่าอุตกาบาตจากฟ้านี้สอดคล้องกับเสียงลึกลับเมื่อสองอาทิตย์ก่อนหรือไม่

และในขณะที่แต่ละคนเริ่มลืมเลือน บางสิ่งได้แทรกซึม ปะปนกับหมู่มนุษย์สองเท้า ที่ย่ำก้าวตามวังวนชีวิต...บางสิ่ง ซึ่งข้ามห้วงกาลและอวกาศมายังโลกสีฟ้า อันเปรียบเสมือนสวรรค์แห่งนี้

เด็กสาวมัธยมปลายนอนคว่ำบนเตียงแคบๆ ยกขาขึ้นไกวเบาๆ อย่างสบายอารมณ์ ผ้าห่มร่นลงมากองปลายเตียงทิ้งชายระพื้น ตุ๊กตาของขวัญเนื่องในโอกาสต่างๆ สุมพะเนิน เสื้อผ้าใช้แล้วกองรวมไว้จนล้นตะกร้าที่มุมซอกตู้เสื้อผ้าหลังเก่าคร่ำ ผนังห้องติดโปสเตอร์ไอดอลหนุ่มหล่อไว้เกือบเต็ม พื้นที่ที่พอจะว่างบ้าง หลงเหลือร่องรอยปุปะของเทปกาว

แสงจากจอโทรศัพท์มือถือส่องจับใบหน้าของเธอ รอยยิ้มผุดพราวเมื่อเห็นข้อความตอบกลับผ่านโปรแกรมแชท มือทั้งสองพิมพ์ตอบโต้กลับอย่างรวดเร็วและรอคอยคำตอบ

การอยู่ในบ้านช่างน่าเบื่อ ชีวิตวัยรุ่นที่ต้องทำตามคำสั่งของคนนู้นคนนี้นั้นน่าเบื่อ เธออยากเที่ยว อยากทำอะไรๆ ตามใจต้องการ ไม่ใช่อยู่ใต้กฏเกณฑ์บ้าบอคอแตก หรือต้องคอยดูแลคนเฒ่าคนแก่ที่เหม็นกลิ่นสาบยา

ทำไมพวกพ่อแม่ถึงไม่เข้าใจลูกตัวเองทั้งที่เคยผ่านช่วงวัยรุ่นมาก่อนแท้ๆ

เด็กสาวเบะปาก นึกถึงเมื่อเช้า เธอมีปากเสียงกับพ่อแม่เพราะถูกบังคับให้เฝ้ายายซึ่งป่วยอัมพาต เนื่องจากวันนี้ พ่อแม่ต้องไปเหมาผลไม้ที่ต่างจังหวัด ส่วนเธอมีนัดกับเพื่อนจะออกไปดูรองเท้าผ้าใบด้วยกัน ของจำเป็นเพราะจะต้องใส่วันจันทร์นี้... ไม่มีใครฟังเหตุผลของเธอเลยสักคน ที่ทำได้จึงมีเพียงเดินลงส้นตึงๆ กลับเข้าห้อง กระแทกประตูปิดดังโครม!

ยายนอนนิ่งเป็นผักอยู่ในห้องข้างๆ ไม่ใช่ผักธรรมดาด้วย แต่เป็นผักเหี่ยวๆ ... ทำอะไรไม่ได้ มีชีวิตเพื่อจะลืมตาหายใจ ขี้ เยี่ยว เป็นภาระให้แก่คนอื่นเท่านั้น

...ทำไมไม่ตายๆ ซะ ให้รู้แล้วรู้รอด!!

เสียงเตือนจากโปรแกรมสนทนาดังขึ้น ดึงเธอออกจากห้วงความคิดล้ำลึก ฟันซึ่งขบแน่นเมื่อครู่ค่อยคลายออก รอยยิ้มพราวผุดอีกครั้ง

“เผื่อกูด้วย...คืนนี้กูจะเมา”

“พ่อแม่มึงคงยอมให้ลูกสาวสุดรักสุดหวงมาบ้านเพื่อนอย่างกูหรอก”

“กูจะไปชีวิตกู ใครก็บังคับไม่ได้”

โครกกกก....

มีเสียงแปลกๆ ดังมาจากห้องยาย คงเป็นเสียงอาเจียนหรืออะไรสักอย่างเทือกๆ นั้น น่ารังเกียจ

เธอเคยเห็นที่โรงพยาบาลหนหนึ่งในห้องรวม พยาบาลห้าหกคนรุมล้อมรอบเตียงคนไข้ รุมจับแขนจับขาพยายามยัดอุปกรณ์บางอย่าง ลักษณะเหมือนท่อขนาดใหญ่ลงคอผู้ป่วย เสียงร่างกายต่อต้านและดิ้นรน โครกคราก... โครกคราก... น่าขยะแขยง

“แม่ง ยายเรียกกูอีกแล้วว่ะ”

“เหี้ย... ยายมึงพูดไม่ได้”

“เออ วิธีเรียกเฉพาะตัว” เธอพิมพ์ตอบ “เดี๋ยวกูมา”

เด็กสาวโยนโทรศัพท์ลงบนหมอนพลิกตัวลงเตียง ถอนใจเฮือก รำคาญเต็มแก่ คอยดูเถอะ จะดูแลให้หนักมือเลยคราวหน้าคราวหลังจะได้ไม่ต้องถูกใช้อีก

ครั้นมาถึงห้องยายจริงๆเธอต้องตาค้าง

ไม่มีใครนอนบนเตียง!

เด็กสาวเดินเข้าใกล้เตียงที่เคยมีร่างยายนอนอยู่จนเจนตาด้วยความตกใจระคนสงสัย... เกิดอะไรขึ้น ยายลุกขึ้นเอง หรือมีโจรบุกเข้ามา

ขนลุกวาบจนถึงหัวเย็นยะเยือกไล้ตามแนวสันหลัง ช่องท้องปวดมวน วูบโหวงในอก

แจ้งความ...ใช่ เธอต้องแจ้งความ แล้วโทร. บอกแม่ด้วย

เด็กสาวรีบวิ่งจะกลับเข้าห้องหากร่างที่ถลันออกไปกลับต้องชะงักกึกเมื่อเจอยายยืนจังก้าขวางประตู

ยายยืนก้มหน้า ผมสีดอกเลากระเซอะกระเซิงปรกใบหน้าเหี่ยวย่น เส้นเลือดปูดโปนตามเนื้อตามตัวเต้นตุบๆ รวดเร็ว

“ใช้ไม่ได้”เสียงแหบพร่าเปล่งออกมาจากลำคอยาย “สังขารนี้ใช้ไม่ได้”

“ยาย”เด็กสาวทำใจดีสู้เสือ ขาก้าวถอยเองโดยไม่ต้องคิด “ยายลุกขึ้นมาได้ไง”

“สังขาร...อาหาร...”

ยายเงยหน้าขึ้นมาดวงตาแดงก่ำ กล้ามเนื้อทุกมัดบนใบหน้าปูดโปน ผิวหนังแห้ง ลอกล่อนร่วงโรยจนน่ากลัวเหมือนผิวต้นไม้หยาบๆ เหมือนสีทาบ้านที่โดนแดดโดนลมจนกรอบ

เด็กสาวร้องกรี๊ดหลับหูหลับตาฉวยของใกล้มือขว้างใส่ “ยาย” ตรงหน้า ถอยกรูดจนถึงหน้าต่างกระจก ตั้งใจกระโดดแม้จะอยู่บนชั้นสองก็ตาม

พ่อช่วยด้วย...แม่... แม่ช่วยด้วย!!

ถ้าหนูรอดไปได้ หนูสัญญาจะไม่ทำตัวแย่ๆ อีก

ก้าวขาออกได้หนึ่งข้าง หางตาเหลือบเห็นเงาสะท้อนในกระจก...ร่างยายอันตรธานหาย

เด็กสาวรีบเร่งลนลาน เหงื่อแตกพลั่ก หัวใจเต้นถี่ประหนึ่งจะหลุดทะลุอก ความสูงของหน้าต่างและชุดนอนที่คอยเหนี่ยวรั้งทำให้ยากต่อการปีนป่าย

ของเหลวเหนียวหนืดเป็นเมือกยืดย้อยลงมาจากด้านบน หยดย้อมศีรษะของเธอ ร่างกายตึงเครียด บัดนี้สั่นหนักจนไม่สามารถควบคุมไหว น้ำตาไหล... น้ำปัสสาวะไหลย้อยตามขานองเต็มพื้น...

รวดเร็วดุจเงาพรายเคลื่อนไหวใต้แสงจันทร์ วัตถุสีดำมะเมื่อมพุ่งรัดตัวเด็กสาวยกขึ้นบนเพดาน

เสียงหวีดร้องแผ่วลงเช่นเดียวกับเสียงดิ้นขลุกขลักของการต่อสู้เอาชีวิตรอด

บ้านทั้งหลังแน่นิ่ง...ปราศจากชีวิต




ตาย! ตายแน่ๆ!!

แม้บรรยากาศทั่วทั้งเมืองจะมืดครึ้มเพราะลมมรสุมที่พาดผ่าน ทำให้ฝนตกปรอยๆ ตลอดทั้งวันอย่างน่ารำคาญมาสามวันแล้ว หากทว่าความน่ารำคาญนั้นยังไม่เท่ากับคำสั่งใหม่ที่หญิงสาวเพิ่งได้รับ... คำสั่งให้เขียนสกู๊ปข่าวการตายยกครัวซึ่งกำลังดังครึกโครมสนั่นเมือง

เจ้าเอยเดินหน้าหงิกเข้ามาในห้องทำงานของสบชัย ชายร่างเล็กวัยสี่สิบต้นๆ ผู้กำลังนั่งบนเก้าอี้หมุน ดึงมู่ลี่แง้มดูอุบัติเหตุนอกตึก เขาสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นเธอ ยกไม้ยกมือพัลวัน เสียงไซเรนดังแว่วเข้ามาในห้อง

“เดี๋ยวๆ เอ๋ย เฮีย...”

ปัง! เจ้าเอยกระแทกฝ่ามือทุบโต๊ะมักกะลีผลของปลอมที่ตั้งโชว์ไว้สั่นโงนเงนจนเกือบร่วงจากแท่น

“เฮียคิดยังไงให้หนูเขียนข่าววะ หนูเป็นนักเขียนเว้ย ไม่ใช่นักข่าว!!”

คนถูกต่อว่ายกมืออุดหูหลับตา หญิงสาวรีบดึงมือเขาออก

“ไม่ต้องเลย อธิบายมาดีๆ ไม่งั้นยัยมลรู้เรื่องเฮียยักยอกเงินเมียไปลงอ่างแน่” เจ้าเอยขู่ และ อธิบายมาดีๆ ของเธอ หมายถึง จงอธิบายเหตุผลมาให้ถูกใจเธอเสียดีๆ

“เอ๋ย...ฟังเฮียก่อน...”

“ฟังนี่ไง”

“นั่งๆ”

เจ้าเอยแยกเขี้ยวใส่ ลากเก้าอี้มานั่งฝั่งตรงข้าม จ้องเขม็งจนตาแทบถลนครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมราแรง รวบผมยาวถึงเอวสะบัดไปด้านหลัง

“เอ๋ยก็รู้ข่าวนี้มันดัง มันสะเทือนขวัญ ทั้งลึกลับ สยดสยองเหมาะเหม็งกับคอนเซ็ปต์นิตยสารเราสุดๆ”

“เฮีย หนูรู้นะว่ายอดขายของเราตก...”

“บ้างเล็กน้อย”

“ค่ะ... ตกเล็กน้อยเนาะ” เจ้าเอยเบะปาก “แต่ พิศวง ทำแนวลึกลับไม่ใช่แนวอาชญากรรมหรือหนังสือพิมพ์ เฮียควรมีจรรยาบรรณหน่อยปะ”

“จรรยาบรรณเรื่องอะไรวะ”

“จรรยาบรรณต่อลูกน้องไง!”เธอโวย “เฮีย ตายสี่ศพนะเว้ย ตำรวจยังไม่รู้เลยว่าตายยังไง ในเน็ตเขาบอก อาจจะมีแจ็ค เดอะ รีปเปอร์เมืองไทย แล้ว... เฮีย จะให้นักเขียนสวยๆ ตัวเล็กๆ บอบบางๆอย่างหนูไปทำข่าวนี้เนี่ยนะ หนูไม่ต้องตกเป็นเหยื่อมันเหรอวะ... เอาอะไรคิดถามหน่อย เอาอะไรคิด!!”

เจ้าเอยนึกถึงข่าวที่ได้ดูมาตลอดทั้งสัปดาห์ในวันแรกมีคนพบศพยายแก่นอนตายในบ้านสองชั้นย่านชุมชน สภาพศพแห้งเหมือนมัมมี่ภายในร่างกายไม่มีของเหลวหลงเหลือ ต่อจากนั้นอีกสองวัน พบศพเด็กสาวริมแม่น้ำ อีกสามวันหลังจากนั้น พบศพคู่สามีภรรยาในป่าละเมาะในเขตนอกเมือง สภาพศพทั้งสามมีลักษณะเหมือนกับศพของยายแก่ไม่ผิดเพี้ยน เมื่อตรวจสอบประวัติแล้วทราบว่า ทั้งสี่คนเป็นครอบครัวเดียวกัน ยาย พ่อ แม่ ลูก

ผลชันสูตร “ไม่ทราบสาเหตุการเสียชีวิต”

จึงไม่อาจระบุได้เช่นกัน... ฆาตกรรมหรือผลพวงจากโรคประหลาด

ความคลุมเครือทำให้ประชาชนสะท้านทั้งใจ

“มันไม่มีอะไรหรอกน่า เชื่อเฮียดิ”

“งั้นทำไมเฮียไม่ทำเองวะ”

“เฮียเป็นบอกอ”

“หนูก็อยู่ในทีมบอกอ”

“มันไม่เหมือนกัน”

“งั้นให้คนอื่นทำ”

“แต่เอ๋ยเก่งสุดในทีมไง เฮียเชื่อมั่นในศักยภาพของเรานะ”

“ประเด็นคือหนูไม่เชื่อเฮีย”

“อ้าว”

“เฮีย... เข้าใจปะ มันน่ากลัว...หนูเขียนเรื่องผีของหนูก็ดีแล้ว คนอ่านเขาชอบ... หนูขอทวงบุญคุณมันตรงนี้เลย ที่หนังสือเฮียรอดได้ถึงทุกวันนี้ เพราะคอลัมน์ของหนูล้วนๆ หรือจะเถียง!... แล้วดู เฮียทำกับลูกน้องผู้มีพระคุณยังงี้ได้ไงอะ”เจ้าเอยเริ่มฟูมฟาย

“เอ๋ย...”

“อะไร๊!!” หญิงสาวแหว

“อย่าเสียงดังดิ เฮียตกใจ”สบชัยทำตัวลีบ “เฮียอยากให้เอ๋ยคิดว่านี่เป็นการก้าวข้ามสู่ระดับสากล คิดดูดิเอ๋ย ตอนนี้ประเทศไทยเราน่ะ ถ้าพูดถึงสิ่งเร้นลับทุกคนจะนึกถึงเรื่องผีก่อนอันดับแรกใช่ปะ สื่อไหนๆ ก็มีแต่เรื่องผีสางนางไม้ตามล้างแค้นเอย ขอส่วนบุญเอย หาตัวตายตัวแทนเอย บางทีหลอกแบบไม่มีเหตุผล...

“ส่วนเรื่องลึกลับแนวอื่นๆ กลับค่อยๆ ตายลง อย่างอสูรกายแบบเสือสมิง ตะเข้ ตะโขง, คนหลงหายในมิติบิดเบือน, การติดอยู่ในฝันร้ายซ้อนฝันร้ายจนตื่นขึ้นมาไม่ได้, เทคโนโลยีของคนโบราณที่ล้ำหน้าคนยุคปัจจุบัน... เรื่องพวกนี้เฮียเคยอ่านเมื่อตอนเด็ก แต่เดี๋ยวนี้มันลดน้อยลงเรื่อยๆ”

เจ้าเอยหรี่ตามองคนตรงหน้า สบชัยทำไม่รู้ไม่ชี้พูดต่อ

“คดีนี้มันลึกลับ ทำให้ตีความกันต่างๆ นานา ทีนี้เอ๋ยลองคิดดู ถ้าเราตั้งสมมุติฐานอื่นขึ้นมา ที่มันไม่ใช่ทั้งเรื่องผี อาถรรพ์ และฆาตกรรม แล้วบังเอิ๊ญ คนอ่านคล้อยตาม... นั่นเท่ากับ เอ๋ยต่ออายุเรื่องเร้นลับแนวอื่นเลยนะเว้ย คนทำแบบนั้นได้ต้องมีความสามารถระดับสากลเท่านั้น”

เจ้าเอยเริ่มคล้อยตาม เฮียพูดมีเหตุมีผลดีอีกอย่าง การได้เขียนอะไรแปลกใหม่ไม่คุ้นเคย นับเป็นเรื่องท้าทายของนักเขียน

แต่ถ้ารับทำงานนี้ เธอจะมั่นใจได้ไงว่าจะปลอดภัยตลอดรอดฝั่ง

ถึงอายุจะเกือบๆ สามสิบ แต่ฉันยังสาว ยังสวย ยังเริด และยังรวยมาก ชีวิตนี้ยังเสพสุขได้ไม่เต็มที่เลยเรื่องอะไรจะเสี่ยงให้ตัวเองตายยะ!

“ไม่อะ” ยืนยันเสียงแข็ง สบชัยโอดครวญ

“โห... เฮียไม่ได้ให้เอ๋ยเกาะข่าวภาคสนามซะหน่อย เราแค่เรียบเรียงข้อมูล เสนอสมมุติฐานใหม่พอ อีกอย่าง เฮียไม่คิดว่านี่จะเป็นฝีมือคน”

สบชัยเปิดลิ้นชักโต๊ะล้วงเอาซองเอกสารออกมา หญิงสาวรับมันอย่างงงๆ เปิดออก เห็นรูปภาพสามเซ็ต ทุกเซ็ตคือสถานที่ที่พบศพตามข่าว

วันที่ที่ระบุใต้รูป เปรียบเทียบระหว่างวันเจอศพ กับวันหลังจากเก็บศพ

“เฮียให้คนถ่ายรูปมาเมื่อวานนี้ เห็นอะไรไหม”

หญิงสาวสำรวจดูภาพทีละภาพอย่างถี่ถ้วนไม่เห็นความแตกต่างใด สภาพบ้านดูปกติทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษ ภาพแม่น้ำ และป่าละเมาะ ทุกสิ่งอยู่ในที่ที่มันควรอยู่ แต่... เดี๋ยวนะ... ภาพที่เพิ่งถ่ายมาหลังเก็บศพ... เซ็ตแรก ในครัว ตรงอ่างล้างจาน...เซ็ตสอง ตรงก้อนหินใหญ่ริมตลิ่ง... เซ็ตสุดท้าย ตรงโคนต้นไม้

มีดอกหญ้าสีขาววางไว้ใต้รอยไหม้เท่าฝ่ามือเด็ก...

รอยไหม้มีลักษณะคล้ายตราสัญลักษณ์บางอย่าง

“คุ้นๆ”

“วงกลมลึกลับ สัญลักษณ์จากยูเอฟโอที่เคยปรากฏบนทุ่งหญ้าและไร่นาหลายแห่งบนโลก”สบชัยยิ้ม

“เฮียกำลังสงสัยว่านี่เป็นฝีมือของ...”

“มนุษย์ต่างดาว”คนถูกถามตอบโดยไม่ต้องฟังให้จบประโยค

เจ้าเอยรู้สึกเหมือนถูกกระแทกหน้าแรงๆทั้งมึนงงและสับสน

“เพ้อเจ้อ... มนุษย์ต่างดาวมีที่ไหน”

สบชัยหัวเราะ ตอบ

“เฮียถึงได้บอกไงล่ะ นี่เป็นโอกาสทองที่เอ๋ยจะนำเสนอสมมุติฐานใหม่ๆก้าวสู่สากล”

หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น เม้มริมฝีปาก...สัญชาตญาณนักเขียนในตัวเตือนให้รู้ เธอกำลังเจอเรื่องที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งและถ้าปล่อยหลุดมือ เธออาจจะพลาดโอกาสสำคัญที่สุดในการรังสรรค์ผลงานชิ้นสำคัญ

ทว่าหากเธอเขียนเรื่องนี้โดยไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันได้มากพอว่า “มีแนวโน้มที่มนุษย์ต่างดาวได้มาเยือนประเทศไทย” สมมุติฐานจะเลื่อนลอย ฝันกลางวันและเธอจะกลายเป็นตัวตลก

นั่นยังไม่สำคัญเท่า...ถ้าตัวนักเขียนไม่เชื่ออย่างจริงจังในเรื่องที่ต้องการจะสื่อเสียก่อน สิ่งที่สื่อออกไปย่อมขาดพลัง แน่นอน คนอย่างเธอยอมไม่ได้เด็ดขาด

“เอาไงจะทำรึเปล่า”

“หนูขอเวลาสองอาทิตย์ เฮีย...ขอเวลาสองอาทิตย์เก็บข้อมูล หนูจะเขียนให้เฮียแน่ๆถ้าหนูเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมาที่นี่จริงๆ!”


(โปรดติดตามตอนต่อไป)





Create Date : 11 มกราคม 2559
Last Update : 11 มกราคม 2559 11:07:58 น.
Counter : 616 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 2273544
Location :
เชียงราย  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



เชิญติดตามผลงานของบล็อกได้ครับ

.........................



แคนโต้:เรื่องราวในช่องว่าง
แจกฟรี
โดย...กลิ้งโคลงแก้มขาว

ช่องว่าง คือสิ่งที่ปรากฏอยู่ในทุกที่หน
บางครั้งช่องว่างก็นำพา
เอาความหมองหม่นมาให้
แต่บางคราวช่องว่างก็กลายเป็นสิ่งสำคัญ
ที่ช่วยผลักดันให้หัวใจเติบโต

.........................

***หมายเหตุตัวโตโต***

ขอความกรุณาอย่าลอกหรือนำผลงานใดๆ
ในบล็อกนี้ไปดัดแปลงเลยนะครับ
สงสารนักเขียนตาดำๆ นะค้าบบบ

^o^
กลิ้งโคลงแก้มขาว