ครั้งแรกที่ Belize (ตอนจบ)
Belize ไม่ไปไม่รู้
ตอนจบ



หลังจากพักค้างคืนได้ไม่นาน เราก็เกิดอาการจะบ้าค่ะ เพราะมีตัวลิ้นเข้ามากัด ทั้งๆ ที่มีมุ้งลวด ใช้ผ้ามุ้งกางก็แล้ว ผ้าปูที่นอนคลุมทั้งตัวและหัวใจก็แล้ว อีกทั้งยังก่อกองไฟ เปิดพัดลม ฉีดยากันยุง ทาครีม สารพัดตามที่เค้าจะบอกมา (ถามชาวบ้านค่ะ) ก็
ไม่สามารถหลุดรอดจากลิ้นไปได้ เป็นแมลงที่ขยันเอางานเอาการมากๆ ไม่ยอมหลับยอมนอนเอาเสียเลย สามีดิฉันได้ทำโล่ให้หัวหน้าฝูงไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนเราสองคนทนไม่ไหวค่ะ ต้องเก็บของย้ายออกจากเกาะชั่วคราว ดูในภาพมองให้ดีๆ นะคะจะเห็นร่องรอยที่ฝากไว้เป็นพันๆ จุด เราจะคันยิกๆ กันทั้งคืนไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันแหละค่ะ


บอกเพื่อนว่าขอลาสัก 3 วัน เพื่อไปเยี่ยมคุณพ่อเพื่อนที่อีกเมือง ก่อนขึ้นเรือมาบก สามีเป็นคนช่างเจรจา ชอบหาเรื่อง อุ๊ย..ไม่ใช่ค่ะหาเพื่อนค่ะ เลยได้เพื่อนไปด้วยที่ ซาน นิกนาเซียโอ (San Ignacio) ที่จริงพี่แดนนี่เคยไปมาก่อน แต่โดยรถส่วนตัว ถึงตอนนี้โบกเลยค่ะ รถโดยสารซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่ของสามีด้วย เราเดินท่ามกลางอากาศร้อนและระมัดระวังกระเป๋าสตางค์ของตัวเองอย่างดีที่สุด เพราะเค้าก็จนๆ กันเยอะค่ะ เรื่องวิ่งราวกันก็เป็นของธรรมดา แต่โชคดีไม่เจอค่ะ และนี่ก็ใช่เลย
สีสรรของสถานีรถประจำทางบ้านเค้า



พี่แดนนี่ เหนื่อยแดดค่ะ แต่ก็ยังสู้กล้องนะ หมวกนี่ของรักของหวง หลายๆ คนเจอเค้าที่นี่จะบอกว่าฉันเจอเธอที่เกาะ จำหมวกได้ ครือว่าไม่มีใครซื้อใส่กัน นอกจากเรามั๊ง ถึงสถานีรถ พี่แดนนี่ชอบใจใหญ่ ส่วนดิฉันคิดว่าเหมือนรถเมล์ บ้านเราสมัยก่อน ที่แย่กว่าคือมีประตูเดียว พอถึงเวลารถออกดิฉันพุ่งปราดไปที่หน้าประตูก่อนใคร เพราะวิญญานแย่งรถเมล์เก่ามันออกสิง สมัยเรียนนั้น ได้นั่งทุกรอบ ถ้าไม่ได้นั่งไม่ไปนะเออ สามียืนอมยิ้มในความเก่งของภรรยา บอกเสียงดังๆ ว่าจองที่นั่งเบาะหน้านะ ดิฉันรับคำทันที

ตอนนั้นเป็นเวลาใกล้ปีใหม่ที่คนจะกลับมาทำงานกัน รถเมล์จึงแน่นเป็นปลากระป๋อง ที่นั่งสองที่แต่เราต้องมีน้ำใจขยับกันให้ชิดเพื่อให้เกิดที่นั่งสามที่ สามีสพายเป้ ดิฉันหอบเสบียงเช่นเดิม คือน้ำดื่มและกล้วยหอม เพื่อเป็นประกันยามหิว ระหว่างทางพบว่า
มีขยะมากมาย เยอะกว่าบ้านเราอีก พอเราบ่นสามีก็แหย่ว่าเหมือนที่ไหนน๊า..... ดิฉันให้นึกขายหน้าเป็นยิ่งนักยามใดที่มาบ้านเกิดแล้วพบว่าคนยังทิ้งขยะเกลื่อนกลาดอยู่แม้ตามจุดชมวิวตามดอยสูงก็ตาม สิ่งนี้ตัวสามีดิฉันตามเก็บขยะมาก่อนและให้ดิฉันพูดกับชาวบ้านว่า เค้าชอบที่นี่อยากให้ที่นี่สะอาด เค้าไม่ใช่เจ้าของบ้านยังเก็บขยะแล้วพวกคุณล่ะ เค้าบอกว่าอย่าเกรงใจที่จะพูดสิ่งดีๆ เพื่อให้เกิดสิ่งดีๆ

เรานั่งอมยิ้มและเพลิดเพลินกับคนบนรถ บางคนก็อารมณ์เสียเพราะยืนอยู่หลังสุดแต่ลงก่อนใคร คนที่ยืนหน้าสุดและต่อๆ มาต้องเข้าแถวลงไปข่างล่างเพื่อเปิดทางให้ ร้อนก็ร้อนค่ะ เค้าก็บ่นบ้าง ด่าบ้างในภาษาพื้นเมือง ถึงฟังไม่ออกแต่หน้าตาบอกอารมณ์ค่ะ รถขับผ่านวิวข้างทาง ต้นไม้ใบหญ้าที่นี่ก็เหมือนบ้านเราเปี๊ยบเลย ดิฉันตื่นเต้นกับต้นและลูกสาเก ด้วยไม่ได้กินนานแล้ว แต่ที่นี่เค้าทำอย่างเดียวคือทอดแบบเฟร็นฟราย แถมมีต้นกระเพราอีกน๊า แต่ไม่เห็นเค้าทำกับข้าวด้วยผักเลยนอกจากข้าวและถั่ว กับถั่วและข้าว



ลงให้ดูชัดๆ เลยค่ะ ข้าวกับถั่ว และก็ปลาทอดแบบคล้ายๆ บ้านเรา เป็นแบบร้านข้าวแกง ที่มีหม้อใบเล็กใบใหญ่คละกันไป
รถชาติใช้ได้ค่ะ ที่เห็นสีส้มๆ นั่นน้ำพริกศรีราชาบ้านเค้าค่ะ รถเข็นนี้ให้บริการที่ข้างท่ารถเมล์ค่ะ

เราถึงเมืองนี้ ก็รีบจองห้องเล็กๆ และเดินทางไปเพื่อพบกับพ่อและแม่ของคุณหมอ Leah ซึ่งเป็นหมอประจำตัวน้องหมา บ้านเราและเลยกลายมาเป็นสมาชิกแบบถาวรของ Sunday Dinner อีกด้วยซึ่งอยู่ถัดไปประมาณ 6 บล็อก คุณพ่อและคุณแม่ของหมอหมามาเปิดกิจการขายไอศครีมโคนยอดฮิตของที่นี่ แต่คุณแม่หมอกลับมาเยี่ยมลูกสาวที่ดูลูทเพราะคุณหมอบาดเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาล เราเลยแบกข้อความไปให้คุณพ่อว่าคุณหมอหายวันหายคืน ไม่ต้องเป็นห่วง


เราพักที่ ไฮเอท เชียวนะคะ สะกดถูกแล้วค่ะ ดิฉันเห็นชื่อที่พักแล้วชอบใจ HI-ET ที่พักก็แค่ 30 เหรียญมีเตียงกับโต๊ะเครื่องแป้งแต่เราหลับได้สบายเหลือเกิน

ตอนเช้าตื่นขึ้นมา เรานั่งรถเมล์ไปอีกเมืองที่ใกล้ๆ กันเพื่อไปดูปราสาทที่ชาวมายันสร้างขึ้นด้วยหินโดยไม่ได้ใช้อะไรประกอบ
เหมือนกับปราสาทหินพิมายบ้านเรา แต่ดิฉันว่าบ้านเราสร้างได้หวือหวากว่า คิงของชาวมายันสมัยก่อนเป็นผู้วิเศษที่จะหยั่งรู้เรื่องดินฟ้าอากาศและประกาศให้ชาวบ้านได้เตรียมตัวทัน ว่าจะมีฝนตกหนักนะ อะไรทำนองนี้ แต่ดิฉันว่าคิงรู้ได้ล่วงหน้าเพราะมีสิทธิขึ้นมาที่สูงๆ ได้ผู้เดียว เมื่อขึ้นมาที่สูงก็ย่อมมองเห็นหมู่เมฆ และประมวลเหตุการณ์ได้ถูก และนี่เลยค่ะ ที่เห็นลิบๆ นี่คือจุดชมวิวที่เคยเป็นที่ของคิงขึ้นมาดูภูมิอากาศ




ดิฉันสัญญากับสามีว่าถ้าชอบดูอะไรอย่างนี้งวดหน้าจะพาไปบุรีรัมย์ เพราะปราสาทหินพิมายดิฉันก็ไม่ได้ไปมานานแล้ว
(ครั้งเดียวที่เคยไปก็ตั้งแต่อายุ 18 ปี) ขากลับเราเดินลงเขากันเหนื่อยตามสมควร แวะทานข้าวเย็นที่ร้านอาหารอินเดียก่อน
กลับที่พัก และนอนหลับสบายอีกหนึ่งคืน

รุ่งขึ้น พาสามีไปดื่มกาแฟ ชอบสีสันและรายละเอียดของร้าน ที่มีอินเตอร์เน็ทด้วย เจ้าของร้านยังเด็กมาก น่ารักด้วย แต่กาแฟและอาหารเช้าไม่อร่อยค่ะ ในภาพพี่แดนนี่ยังไม่หายง่วงเพราะกาแฟยังไม่เสริพค่ะ สังเกตุนะคะหมวกไม่เคยห่างจากศรีษะเลย


ทานกาแฟเสร็จ เดินเตร็ดเตร่ไปตลาด ผ่านลำธารและแม่น้ำของเมือง เค้ามีเรือแคนูมาวางให้เช่ากัน ก็มีหน้าม้ามาติดต่อเสนอ
แคนูให้เช่าในราคา 25 เหรียญ ต่อวัน (2 เหรียญที่นี่เท่ากับ 1 เหรียญยูเอสค่ะ) สามีเห็นว่าไม่มีอะไรทำเลยเช่าแคนูกัน เราเดินกลับไปตลาดอีกครั้งเพื่อตุนเสบียง อันได้แก่ แครอท, บล็อคเคอร์รี่, ส้ม และน้ำดื่มสำหรับการเดินทางของเรา ทริปนี้ไม่มีรูปถ่ายค่ะ เพราะไปทางน้ำสามีบอกว่าบางตรั้งเรืออาจพลิกเราไม่ควรเอาอะไรติดตัวไป กระเป๋าสตางค์เราห่อถุงลาสติกไว้ค่ะ

เป็นการพายแคนูครั้งแรกของดิฉัน สามีก็พยายามอธิบายและให้ลองว่าถ้างัดใบพายไปทางนี้เรือจะหันไปทางใด ดิฉันไม่ชอบเดินทางทางน้ำนักเพราะว่ายน้ำไม่เก่ง สามีเป็นคนสอนเก่งค่ะ สอนก่อนและให้ลองทำดูด้วยตัวเองและจะคอยมองพร้อมบอกข้อบกพร่อง (เรื่องเดียวที่เค้ายอมแพ้ไม่สอนดิฉันคือการขับรถค่ะ เพราะมือแตะพวงมาลัยเมื่อไรดิฉันจะโวยวายไว้ก่อนทุกที)
แต่ครั้งนี้กลับสนุกกับแม่น้ำสะอาดใสแจ๋ว มีแก่งหินทั่วไป ทั้งแม่น้ำมีแต่เราบางครั้งเรือเราเกือบพลิกก็ช่วยกันกู้กลับมาก่อนได้ทุกครั้ง ก็นับว่าสามัคคีคือพลังดีเดียว บางที่บรรยากาศดีเราก็แวะทานแสน็กผักกัน และเล่นน้ำไปด้วย บางทีเรือก็ต้องโต้กับลมแรง นับว่าเป็นประสบการณ์ที่สนุกและบรรยากาศดีทีเดียว เราใช้เวลาเดินทางทางแม่น้ำทั้งวัน เริ่มเมื่อ 10.00 น. เราส่งเรือคืน
เมื่อ 6.00 น. ขากลับสะดวกหน่อยเพราะพายตามคลื่น แต่สามีบอกให้รีบพาย เพราะไม่อยากให้มืดกลางทาง เราไม่ทราบว่าที่นี่มีอันตรายอย่างไรบ้าง เป็นอันว่ากลับที่พักแบบเหนื่อยแต่สนุก ทานข้าวเย็นเสร็จสามีขอไปนั่งดื่ม แป็ปเดียวกลับมาแล้วเพราะเมืองนี้เงียบเสียเหลือเกิน เลยไม่มีเพื่อนคุย เราออกเดินทางกลับไปเกาะล้านลิ้นกันในวันรุ่งขึ้นค่ะ พร้อมฉลองวันขึ้นปีใหม่กับเพื่อนที่นั่น เรานอนค้างกันที่เรือใบของเพื่อน เราอยู่ที่นั่นอีก 1 อาทิตย์ และดิฉันกับสามีก็ออกมาเช่าที่พักในเมืองของเกาะ
คล็อกเกอร์ เพื่อหนีลิ้นกัน หลังจากนั้นอีกไม่นานก็เดินทางกลับบ้านที่ดูลูทกันค่ะ โดยสรุปดิฉันเฉยๆ กับประเทศนี้เพราะประเทศเรามีบรรยากาศคล้ายเขาเลยไม่รู้สึกตื่นเต้น เพื่อนสามีชวนไปอีกหลังคริสมาสต์ สามีดิฉันไปค่ะ โดยเขาจะล่องเรือใบ
กันทั้งหมด 3 คน คงใช้เวลาประมาณ 1 เดือนครึ่ง เริ่มจากแถบฟอร์ริด้าไป แต่ดิฉันตัดสินใจอยู่บ้านค่ะ เพราะอยากอยู่เฉยๆ บ้าง
จริงๆ แล้วเมาคลื่นและก็กลัวตัวลิ้นน่ะเอง






Create Date : 21 ธันวาคม 2551
Last Update : 21 ธันวาคม 2551 3:46:11 น.
Counter : 1230 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ลูกหมูตัวกลม
Location :
Duluth, MN  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



เป็นผู้หญิงที่เริ่มจะวัยทองคนหนึ่ง รักการกินและท่องเที่ยว
ทำงานได้ทุกแบบแล้วแต่ว่าอยากจะทำแค่ไหน

รูปและเรื่องขอสงวนสิทธิ์เอาไว้แพร่หลายด้วยตนเองแต่ผู้เดียว
หากเพื่อนๆ ต้องการขยายต่อแค่เพียงคลิกแล้วขอยืม ยินดีอนุญาตด้วยความเต็มใจค่ะ

hits
ธันวาคม 2551

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
18
19
20
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
MY VIP Friends