มองไปข้างหน้า กับคำสั่งคุ้มครองของศาลโลก
ศาลโลกมีคำสั่งออกมาแล้วครับ ดังนั้นก่อนที่จะไปทำอะไรกัน เรามาดูคำสั่งของศาลโลกกันก่อนดีกว่า
คำแปลคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) โดยสรุปจาก ThaiArmedForce.com
ด้วยมติอย่างเป็นเอกฉันท์ ศาลวินิจฉัยว่า ให้ยกคำร้องของไทยที่ขอให้ศาลยกฟ้องและลบคำฟ้องของกัมพูชาออกจากระบบ
หลังจากนั้น ศาลมีคำสั่งให้ออกมาตราการคุ้มครองชั่วคราว โดยศาลระบุว่า ด้วยมติ 11 ต่อ 5 ให้ทั้งสองฝ่ายถอนกองกำลังติดอาวุธซึ่งปัจจุบันประจำการอยู่ในพื้นที่เขตปลอดทหารซึ่งศาลกำหนดขึ้น ดังแผนที่แนบท้ายคำสั่ง และงดเว้นการวางกำลังทหารในพื้นที่นั้นและงดเว้นกิจกรรมทางทหารใด ๆ ในพื้นที่นั้น
หลังจากนั้นศาลอธิบายว่า ด้วยศาลตระหนักว่า พื้นที่ปราสาทได้กลายเป็นพื้นที่ที่เกิดการปะทะระหว่างทั้งสองฝ่ายและเกรงว่าการปะทะจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ศาลจึงมีคำสั่งอย่างเร่งด่วนตามความจำเป็นที่จะงดเว้นการวางกำลังทหารใด ๆ ในพื้นที่เขตปลอดทหารที่กำหนดขึ้นนั้น เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ศาลยังมีมติด้วยคะแนนเสียง 15 ต่อ 1 ให้ไทยไม่ขัดขวางกัมพูชาในการเข้าถึงตัวปราสาทพระวิหาร และไม่ให้ไทยขัดขวางการส่งสิ่งของสนับสนุนกับเจ้าหน้าที่ที่ไม่ใช่ทหารของกัมพูชาในตัวปราสาท ศาลยังหวังให้ทั้งสองฝ่ายคงความร่วมมือในกรอบอาเซียน และอนุญาตให้ผู้สังเกตุการณ์จากอาเซียนเข้าไปยังพื้นที่เขตปลอดทหาร และให้ทั้งสองฝ่ายยุติการกระทำที่อาจนำไปสู่การขยายความขัดแย้ง การเพิ่มความขัดแย้งกับศาล หรือการทำให้ศาลวินิจฉัยได้ยากขึ้น
สุดท้าย ศาลมีคำสั่งด้วยมติ 15 ต่อ 1 ให้ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวที่ออกมา จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาในกรณีนี้
//www.thaiarmedforce.com/taf-military-news/58-other-thai-news/333-icj-provisional-massure-2011.html
ถ้าถามผม ณ ตอนนี้ว่าผมพอใจกับคำตัดสินไหม? ผมตอบได้เลยว่าผมพอใจครับ เพราะตอนแรกผมกลัวว่ามันจะออกมาแย่กว่านี้เยอะ ถ้ามันออกมาแค่นี้ ก็ยังพอเบาใจได้ เพราะถึงแม้มันจะไม่ช่วยให้เราได้เปรียบอะไรมากมาย แต่มันก็ส่งผลสะท้อนที่ทำให้กัมพูชานั้น แทนที่จะได้เปรียบกลับต้องมาเสียเปรียบเหมือนกันกับเรา
ความจริงมันก็ไม่ได้ดีมากอะไรนักหรอกครับ แต่ได้เท่านี้ก็ดีเท่าที่เราจะพอหวังได้แล้ว อย่างที่เคยบอกไปคือ คดีนี้กัมพูชามีแต่เสมอตัวกับกำไร เรามีแต่เสมอตัวกับเสียเปรียบ เพราะเราสู้อยู่บนสิ่งที่เราเสียเปรียบทุกประตูมาตั้งแต่ปี 2505 แล้ว ผลออกมาแบบนี้เสมอตัวได้ ได้แค่นี้ก็ OK แล้วละครับ
ลองมาดูกันคร่าว ๆ กันไปเป็นจุด ๆ ครับ
"ด้วยมติอย่างเป็นเอกฉันท์ ศาลวินิจฉัยว่า ให้ยกคำร้องของไทยที่ขอให้ศาลยกฟ้องและลบคำฟ้องของกัมพูชาออกจากระบบ"
- ตรงนี้ผมคิดว่าศาลโลกตัดสินถูกครับ ศาลโลกมีอำนาจตีความตามธรรมนูญศาลโลก ตรงนี้เราคงต้องยอมรับตรงจุดนี้ แต่ศาลโลกจะมีอำนาจพิพากษาหรือไม่นั้นคงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
"หลังจากนั้น ศาลมีคำสั่งให้ออกมาตราการคุ้มครองชั่วคราว โดยศาลระบุว่า ด้วยมติ 11 ต่อ 5 ให้ทั้งสองฝ่ายถอนกองกำลังติดอาวุธซึ่งปัจจุบันประจำการอยู่ในพื้นที่เขตปลอดทหารซึ่งศาลกำหนดขึ้น ดังแผนที่แนบท้ายคำสั่ง และงดเว้นการวางกำลังทหารในพื้นที่นั้นและงดเว้นกิจกรรมทางทหารใด ๆ ในพื้นที่นั้น"
- ตามคำฟ้องของกัมพูชานั้น กัมพูชาต้องการให้ไทยถอนทหารออกจากพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารโดยทันที ซึ่งถ้าจะมองกันนี่สมความประสงค์ของกัมพูชานะครับ เพราะเขาสามารถไล่ทหารไทยออกไปได้ แต่เรื่องกลับกลายเป็นว่า เขาไล่ทหารตัวเองออกไปด้วย ที่สำคัญคือ พื้นที่ที่ศาลโลกให้ถอนทหารออกไป ก็ทับอยู่ในพื้นที่ตัวปราสาทพระวิหารพอดีป๊ะ ... ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาไปแล้วตั้งแต่ปี 2505 ศาลโลกให้กัมพูชาถอนทหารออกจากตัวปราสาทด้วย เขาก็คงรู้สึกเหมือนกับที่เรารู้สึกว่า ทำไมต้องให้เราถอนทหารออกจากภูมะเขือและพื้นที่โดยรอบปราสาทด้วยทั้ง ๆ ที่เป็นพื้นที่ของเรา ... อันนี้มองสองมุมนะครับ ออกหน้านี้กัมพูชาก็คงไม่แฮปปี้หรอก ไม่แฮปปี้พอ ๆ กับเรานั่นแหละ
"หลังจากนั้นศาลอธิบายว่า ด้วยศาลตระหนักว่า พื้นที่ปราสาทได้กลายเป็นพื้นที่ที่เกิดการปะทะระหว่างทั้งสองฝ่ายและเกรงว่าการปะทะจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ศาลจึงมีคำสั่งอย่างเร่งด่วนตามความจำเป็นที่จะงดเว้นการวางกำลังทหารใด ๆ ในพื้นที่เขตปลอดทหารที่กำหนดขึ้นนั้น เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น"
- ความจริงผมไม่เห็นด้วยกับศาลตรงนี้เท่าไหร่ เพราะกัมพูชาไม่ได้ยกกรณีการปะทะที่กันทรลักษณ์เมื่อก.พ.ปีนี้มาอ้าง แต่กลับยกกรณีที่ตาควาย-ตาเมือนธมเมื่อเม.ย.นี้มา ซึ่งเป็นการโยงของกัมพูชาจากปราสาทพระวิหารไป ตาควาย-ตาเมือนธมอีกที แล้วโยงกลับไปที่ปราสาทพระวิหารอีกครั้ง มันเหมือนกับผมเคยตีกับเพื่อนข้างบ้าน แล้วต่อมาผมไปตีกับเพื่อนอีกซอยหนึ่ง แต่ตำรวจกลับบอกว่าให้ผมหยุดเพราะผมไปตีกับเพื่อนอีกซอยหนึ่ง เลยกลัวว่าผมจะไปตีกับเพื่อนข้างบ้าน มันฟังแล้วงง ๆ
แต่ถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง (บทความนี้ผมจะมองสองมุมเสมอนะครับ) เราต้องยอมรับว่า การปะทะมีจุดศูนย์ดุลอยู่ที่ปราสาทพระวิหาร การปะทะครั้งแรกเกิดขึ้นที่แถวปราสาท และก็ยังมีการวางกำลังอยู่เช่นกัน เราคงไม่ปฏิเสธว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นพื้นที่แถวนั้นก็เสี่ยงจะมีการปะทะกันอีก ซึ่งศาลโลกใช้หลักการที่ว่า ถ้ามีเหตุการณ์หรือมีแนวโน้มที่จะส่งผลเสียหาย ศาลโลกก็อาจจะออกมาตราการคุ้มครองได้ ซึ่งตรงนี้ก็จะเข้ากรณีนี้
ตรงนี้ก็เลยมองว่า ก็พอรับได้ แม้ว่ามันจะฟังดูประหลาดก็ตาม
"ศาลยังมีมติด้วยคะแนนเสียง 15 ต่อ 1 ให้ไทยไม่ขัดขวางกัมพูชาในการเข้าถึงตัวปราสาทพระวิหาร และไม่ให้ไทยขัดขวางการส่งสิ่งของสนับสนุนกับเจ้าหน้าที่ที่ไม่ใช่ทหารของกัมพูชาในตัวปราสาท "
- ความจริงตรงนี้หลาย ๆ คนอาจจะไม่สบายใจ แต่ผมกลับมองว่ามันไม่มีอะไรเลยนะครับ ความจริงถ้าเราจับคำสั่งนี้มาเล่นดี ๆ มันจะเป็นผลดีต่อเราด้วยซ้ำ
คำสั่งบอกว่า ไม่ให้ไทยขัดขวางการส่งสิ่งของสนับสนุนของเจ้าหน้าที่ที่ไม่ใช่ทหาร (ก็คือเจ้าหน้าที่ติดอาวุธทั้งหลาย) ในตัวปราสาท ซึ่งอาจจะเป็นภารโรงกวาดปราสาทของเขมร หรืออะไรก็ว่าไป
เน้นตรงนี้ว่าในตัวปราสาท แปลว่าศาลไม่ได้แตะเลยออกมาที่พื้นที่โดยรอบปราสาท ตรงนี้เข้าทางเรา สองก็คือ เขาไม่ให้ไทยขัดขวางการส่งสิ่งของสนับสนุนกับเจ้าหน้าที่ที่ไม่ใช่ทหารของกัมพูชาในตัวปราสาท เราก็ยิ่งพูดได้ว่าเราก็ไม่ได้เคยที่จะขัดขวาง แต่ถ้ามันล้ำเข้ามาในพื้นที่ของเราเราก็มีสิทธิที่จะให้หรือไม่ให้ก็ได้ เพราะทางขึ้นปราสาทก็มีหลายทาง คุณก็ไปขึ้นทางบันไดหักฝั่งคุณเอาสิ จะเอา ฮ. มาลงเหมือนเดิมก็ได้ (ถ้ายังบินขึ้นอยู่นะ)
อีกอย่างถ้าเราทำตามนี้ เรายิ่งสามารถบอกได้ว่า กิจกรรมของเราก็ไม่เคยไปรบกวนกิจกรรมของกัมพูชาในตัวปราสาทอยู่แล้ว ดังนั้นศาลจะสั่งมาอย่างนี้เราก็ยินดีทำตาม เพราะเราก็ทำตามมาตลอดแล้ว ซึ่งเราสามารถตั้งคำถามกลับไปได้ว่า สิ่งที่กัมพูชากล่าวอ้างนั้นว่าไทยเข้ายึดตัวปราสาทนั้นแท้จริงไม่มีมูลใช่หรือไม่?
"และอนุญาตให้ผู้สังเกตุการณ์จากอาเซียนเข้าไปยังพื้นที่เขตปลอดทหาร และให้ทั้งสองฝ่ายยุติการกระทำที่อาจนำไปสู่การขยายความขัดแย้ง การเพิ่มความขัดแย้งกับศาล หรือการทำให้ศาลวินิจฉัยได้ยากขึ้น"
- ตรงนี้ไม่มีอะไรมากครับ ไม่กระทบอะไรกับเรา
อันนี้คือภาพรวมคร่าว ๆ ของเรื่องนี้ คราวนี้มีจุดที่ต้องตั้งข้อสังเกตุอยู่สองประเด็นคือ
1. เขตปลอดทหารหรือ DMZ ที่ศาลโลกลากนั้น เป็นการลากโดยกำหนดจุด 4 จุดขึ้นมา และลากเส้นตรงต่อจุดเหล่านั้น คงต้องไปตามดูเหตุผลในเอกสารฉบับเต็มว่าทำไมศาลโลกถึงเลือกใช้จุด 4 จุดนั้น และพื้นที่ที่เส้นมันทับ ก็ทับทั้งพื้นที่ตัวปราสาทเอง (ซึ่งเป็นของกัมพูชาไปแล้ว) และพื้นที่โดยรอบปราสาทซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อน (ซึ่งควรจะเป็นของเรา) ด้วย ตรงนี้ไม่เท่าไหร่
แต่ที่น่าสังเกตุก็คือ เส้นพวกนี้มันลากกินดินแดนของไทยแท้ ๆ เข้าไปด้วย ซึ่งในขณะเดียวกันมันก็ลากกินดินแดนของกัมพูชาแท้ ๆ เข้าไปด้วยเช่นกัน (คำว่าแท้ ๆ ของผมคือเป็นพื้นที่ที่ไม่มีใครมาโต้แย้งเรื่องอธิปไตย) สำหรับไทยโดนตรงพื้นที่ที่เหนือหมู่บ้านภูมิซรอลไปหน่อย อาจจะเลยด่านเก็บเงินทางเข้าอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารไปหน่อย ตรงนี้เดี๋ยวผมจะไปดูแผนที่ละเอียด ๆ อีกทีครับ
ส่วนเขมรโดนลากให้ถอนทหารออกจากพื้นที่สันปันน้ำในฝั่งเขาไปด้วย ซึ่งตรงนั้นถ้าลองนึกภาพตามคือส่วนที่เลยผามออีแดง เลยภูมะเขือไปทางดินแดนเขมรต่ำ (อันนี้ไม่ใช่คำด่านะครับ เป็นคำของคนโบราณ เขมรต่ำคือฝั่งกัมพูชา เขมรสูงคือฝั่งเรา เพราะพื้นที่ที่เราอยู่สูงกว่า) ซึ่งตรงนั้นเป็นของเขมรแท้ ๆ เลยครับ ไม่ทับซ้อน เพราะมันเลยสันปันน้ำไป แต่เขมรก็ต้องถอนด้วย
ปัญหาก็คือ ไทยกับเขมรจะยอมถอนหรือเปล่า?
ตรงนี้น่าคิดนะครับ และต้องคิดดี ๆ ด้วย ในกรณีที่เป็นไปได้มากที่สุดเลยคือ ทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่ยอมทำอะไรกันอยู่ดีนั่นแหละ อยู่กันไปอย่างนี้ แต่กรณีที่น่าจะเป็นไปได้และน่าจะดีกับทั้งสองฝ่ายที่สุดก็คือ ทั้งสองฝ่ายยอมถอน แต่ถอนเฉพาะในส่วนที่เป็นพื้นที่ทับซ้อนซึ่งอยู่ใน DMZ ที่ศาลโลกกำหนดเท่านั้น ซึ่งตรงนี้จะมีข้อดีกับเราส่วนหนึ่งก็คือ พื้นที่ที่เป็นติ่งทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือที่ศาลโลกไมได้ลากเส้นไปทับนั้น เราก็ยังคงกำลังทหารไว้ได้เต็มที่ เขมรก็จะเข้ามาตรงนั้นได้ยากขึ้นมาก เพราะตะกายมาไม่ถึง และมันอาจจะชี้ได้ด้วยว่า ตรงนั้นไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อนแต่ศาลยอมรับว่าเป็นของเราใช่หรือไม่?
แต่ถ้าเล่นมุขนี้ ก็จะมีคำถามอีกว่า แล้วพื้นที่ในตัวปราสาทล่ะ เขมรควรจะถอนทหารไหม ซึ่งถ้ามองตามกรณีนี้คือ อาจจะให้ทั้งสองฝ่ายถอนจากพื้นที่ทับซ้อนอย่างเดียว เขมรอาจจะอ้างว่าก็ตัวปราสาทเป็นของเขมร อยู่ในดินแดนเขมรตามคำตัดสินปี 2505 ซึ่งถ้าเขมรยกเหตุผลนี้มาเราก็ต้องยอมให้เขาคงกำลังทหารอยู่ในปราสาทไปก่อน เพราะมันตกเป็นของเขาไปแล้วตั้งแต่ปี 2505 และถ้าเราดึงดันเขมรอาจจะนำไปขยายผลได้ว่า ไทยโกหกที่ว่าไม่มีความขัดแย้งในพื้นที่ตัวปราสาทและไทยไม่ยอมรับและปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลโลกเมื่อปี 2505 ดังนั้นตรงนี้ถ้าเขมรไม่ถอนจากปราสาทจริง ๆ ก็คงต้องยอม ๆ ไปก่อนเพื่อผลประโยชน์ในระยะยาวของเรา แต่เราอาจจะไปเล่นมุขอื่น เช่นการวางกำลังทหารตรงนั้นมันผิดสนธิสัญญาอะไรก็ว่าไป แต่แน่ ๆ ว่าพื้นที่โดยรอบต้องถอน และต้องถอนพร้อมกันด้วย ไม่ใช่เราเป็นสุภาพบุรุษถอนอยู่คนเดียวอย่างที่เคยเกิดขึ้นมา
ซึ่งตรงนี้เราต้องคิดดี ๆ ครับ แต่ถ้าให้ผมเดา สถานการณ์น่าจะออกสองแง่คือ ไม่มีใครถอนเลย หรือตกลงกันว่าจะถอนเฉพาะพื้นที่ทับซ้อนที่อยู่ใน DMZ ที่ศาลโลกกำหนด แล้วให้อินโดนิเซียเข้ามาสังเกตุการณ์
2. คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวนี้ยังไม่ใช่คำตัดสินครับ การตัดสินในการแปลคำตัดสินเมื่อปี 2505 นั้นยังคงต้องใช้เวลาอีก 1 - 2 ปี ซึ่งกระบวนการยังไม่ได้เริ่มเลย แต่คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวที่ออกมานี้ ก็ทำให้เห็นได้ว่า ทีมงานกฏหมายของไทยควรปรับปรุงในจุดใดบ้าง จุดใดที่ศาลพิจารณาแล้วฟังไม่ขึ้น จุดใดที่ศาลเห็นด้วยกับเรา ตรงนี้พอมองเห็นหลายจุดแล้ว ซึ่งถ้าทีมกฏหมายของไทยนำคำสั่งคุ้มครองนี้ไปทำการบ้านเพิ่มเติม ก็จะทำให้การสู้คดีที่แท้จริงที่กำลังจะเริ่มนั้นมีความเข้มแข็งมากขึ้นครับ
เรื่องยังไม่จบครับ ครั้งนี้จะเรียกว่าเราชนะก็เรียกได้ไม่เต็มปาก แต่ถ้าจะบอกว่าแพ้ก็คงไม่ถูกนัก คงเรียกได้ว่าจากที่เราเสียเปรียบกลับมาเสมอตัวได้ แต่ทั้งหมดนี้นั้นเป็นแค่ออร์เดิร์ฟ จานหลักกำลังจะเสิร์ฟในอีก 1 - 2 ปีนับจากนี้ครับ
ขอให้ทุกคนช่วยกันส่งใจไปเชียร์และช่วยกันอธิฐานให้ไทยไม่เสียดินแดนอีกครั้ง พวกเราจะได้ไม่อายบรรพบุรุษของเราและจะได้ตอบแทนบุญคุณของบรรพบุรุษของเราอย่างแท้จริงครับ
อ่านเพิ่มเติม
"มรดกโลก ศาลโลก ไทย กัมพูชา และระเบิดเวลาที่รออยู่"
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=skyman&month=25-06-2011&group=2&gblog=206
อ้างอิง
จาก //www3.icj-cij.org/docket/files/151/16582.pdf
Create Date : 18 กรกฎาคม 2554 |
|
0 comments |
Last Update : 18 กรกฎาคม 2554 22:13:31 น. |
Counter : 2566 Pageviews. |
|
|
|