แต่ละปีมีภาพยนตร์เข้ามาฉายในบ้านเรา โกยเงินบาทไทยไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ นี่ยังไม่นับถึงหนังที่คนไทยผลิตเองด้วยนะเนี่ย ปีๆนึงเราเสียค่าหนังไปอย่างน้อย ก็ 100 บาทขึ้นไป (ไม่นับถึงวันพุธที่ตั๋วหนังราคา 60 บาท) แน่นอนว่าเงินในส่วนนั้น ก็ต้องมีเงินของเราแน่นอน
นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา อ่ะไม่ใช่ซิ ต้องแต่ปีที่แล้วด้วยซ้ำ โรงหนัง แทบจะกลายเป็นญาติห่างๆจนเกือบจำหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำ ด้วยเหตุผลหลายประการ อันดับแรกเลยคือ หนังยังไม่น่าสนใจ สอง ไม่ค่อยมีเวลาไปดู สาม ไม่รู้จะไปดูกับใคร สี่นี่สำคัญสุด คือ ไม่มีตังไปดู ฮ่าๆๆๆๆๆ แต่เดือนนี้เหมือนกับเป็นการกลับมาอีกครั้งของการเป็นพันธมิตรกับโรงภาพยนตร์ เรื่องแรกที่ไปดูในรอบ เกือบ 1 ปีที่ผ่านมาคือเรื่องบุญชู (ปกติไม่ค่อยได้ดูหนังไทยหรอก นิยมซื้อแผ่นมาดูมากกว่า) ตามคำเชิญของเพื่อนสาว โดยไม่ได้นัดหมาย แบบปุ๊บปั๊บ -*- ตามมาด้วยเรื่องที่ 2 คือ step up 3D แบบตั้งใจไปดู กับบุคคลที่คาดว่าไม่น่าไปด้วยกันได้ นัดแบบอึนๆ อีกครั้ง หลังจากออกจากโรงมาด้วยความประทับใจเพราะเพิ่งเคยดูหนังแบบ 3D ครั้งแรกในชีวิตด้วยวัยเกือบ 24 ปี ฉะนั้นเป็นธรรมเนียมว่าต้องเก็บตั๋วหนังไว้เป็นที่ระลึก ทำให้อีกคนนึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า ทำไมต้องเก็บตั๋วหนัง ตอนนั้นก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี แต่มันเป็นนิสัยอยู่แล้ว บางอันไปดูแล้วไม่ได้เก็บไว้เลยก็มี หายไปบ้าง อะไรบ้าง ที่เก็บได้มีแค่บางส่วนเท่านั้น เหตุผลที่เก็บเพราะตั๋วหนังทุกใบเป็นส่วนนึงของความทรงจำ บางตั๋วอาจจะคาดไม่ถึงว่า เฮ้ย เราเคยไปดูเรื่องนี้ กับเพื่อนคนนี้ด้วยเหรอว่ะ บางอันก้อเฮ้ย เรื่องนี้ไปดูแล้วไฟดับที่โรงหนัง จนต้องมาดูใหม่อีกวัน และบางอันก้อ เป็นเรื่องแรกที่ไปดูด้วยกัน และครั้งแรกที่เคยดูหนังแบบนี้ก้อมี แล้วบางเรื่องก้อไปดูคนเดียว อันนี้ก้อมีเหมือนกัน มองดูเป็นเรื่องไร้สาระ แต่สำหรับเราแล้ว บางทีมันเป็นเรื่องที่น่าจดจำ เพราะออกมาทุกครั้งก้อมีความสุขทุกครั้ง ยกเว้นบางเรื่องที่ไปดูแล้วต้องกลับมาตั้งคำถามที่บ้านว่า เรื่องนี้มันต้องการสื่อถึงอะไร 555
เรื่องดีๆที่เล็กน้อย แต่น่าจดจำ มันคือเหตุผลทั้งหมด ของเรื่องนี้