Group Blog
 
 
มีนาคม 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
22 มีนาคม 2553
 
All Blogs
 
ประสบการณ์สุดขีด

ประสบการณ์ "ความสุดขีด" ของชีวิตแต่ละคน คงไม่เหมือนกัน และคงมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป


บางคนชีวิตอาจจะเรียบ ๆ ง่าย ๆ บางครั้งเมื่อเจอสิ่งที่แตกต่างอาจจะเรียกสิ่งนั้นว่าเป็นความสุดขีด


บางคนชีวิตอาจจะโลดโผน ความสุดขีดในชีวิต หากมีโอกาสได้รับฟัง ก็อาจจะไม่น่าเชื่อว่า จะมีอยู่จริงบนโลกนี้


เพราะชีวิตนั้นแตกต่าง แม้อยู่บ้านเดียวกัน แต่อาจได้รับประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกัน


และแน่นอนที่สุด "ความสุดขีด" ของเราคงไม่ได้มีกันแค่ครั้งเดียว มนุษย์เรา ตราบใดที่ยังเป็นสัตว์สังคม ยังคงต้องใช้ชีวิตร่วมกัน การกระทำของแค่คน ๆ หนึ่ง อาจส่งผลให้เกิดประสบการณ์สุดขีดให้กับอีกหลาย ๆ ชีวิตได้


อย่างความสุดขีดที่เพิ่งได้รับมาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา จัดว่าเป็นความสุดขีดที่ทำให้ตราตรึงอยู่ในโสตประสาทกันเลยทีเดียว


ผ่านร้อนผ่านฝนมา ก็กลางคนเข้าไปแล้ว ประสบการณ์ซื้อบ้านมาก็หลายหลัง แต่หลังล่าสุด จัดว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ที่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน ขอบันทึกเอาไว้เตือนความทรงจำตัวเอง


มันเริ่มจากคุณแม่ได้โทรมาให้ไปดูบ้านหลังนึง ที่ประกาศขายเอาไว้ คุณแม่บอกว่าชอบบ้านหลังนี้มาก มีการกั้นห้องให้เช่าอย่างเป็นสัดส่วนอย่างที่คุณแม่ชอบ ตกเย็นวันนั้นผมจึงรีบบึ่งไปดูบ้านหลังนี้ ตามความรู้สึกแรก รู้สึกเฉย ๆ เจ้าของบ้านบอกว่าบ้านเค้านี่สุดยอดแล้ว หาไม่ได้จากไหนในราคานี้ ซึ่งไม่ได้ถูกเลย แต่ไหน ๆ คุณแม่ชอบ ก็เลยคุยเรื่องราคากันวันนั้น แต่ยังไม่ตกลงซื้อ


หลังจากวันนั้นผมก็ได้ติดต่อกับเจ้าของบ้านหลายครั้ง และในที่สุดก็ตกลงที่จะซื้อขายกัน โดยวางมัดจำเอาไว้ก่อน


คำพูดของเจ้าของบ้านคนนี้ที่ยังติดอยู่ในหูก็คือ บ้านหลังนี้


1. สภาพสมบรูณ์สุด ๆ สุดยอด หาที่ไหนไม่ได้


2. การทำห้องเช่าง่ายดายมาก ใคร ๆ ก็ทำได้ 


3. มีห้องเช่ากั้นเป็น 6 ห้อง มีคนเช่าหมด


4. บ้านหลังนี้ซ่อมมาประมาณ 5 ปี เท่านั้นใหม่กิ๊ก


5. ไม่มีรั่วไม่มีซึม


6. อุปกรณ์ทุกชิ้นภายในบ้านใช้ได้หมด


จากที่บรรยายมา จะเห็นได้ว่าบ้านหลังนี้เป็นอะไรที่ perfect ซะ จริง ๆ ผมก็ไม่ได้เชื่อทั้งหมดอยู่แล้ว แต่พอวางมัดจำกันวันนั้น พอรับเงินมัดจำเสร็จ ก็พูดคุยกัน จึงได้ทราบว่า ห้องเช่าทั้ง 6 ห้องนั้น 1 ห้องนั้นให้หลานตัวเค้าเองอยู่ สรุปห้องเช่าจริง ๆ มี 5 ห้อง ไอ่ข้อ 3 ด้านบนก็มีอันตกไป 


เนื่องจากราคาบ้านที่คุยกันราคาค่อนข้างสูง จึงเงื่อนไขว่า เจ้าของบ้านจะต้องซ่อมประตูห้องน้ำที่เริ่มผุ 2 บาน และมีการผ่อนชำระในส่วนของค่าบ้านบางส่วน(ส่วนเศษ ๆ) ส่วนเค้าเองก็ขออยู่ 4 เดือนค่อยย้าย ซึ่งข้อตกลงอันนี้แหล่ะที่เป็นที่มาของประสบการณ์สุดขีด!!


ช่วงที่รอวันโอนบ้านกันนั้น เจ้าของบ้านได้มาหาคุณแม่ที่บ้าน และโอดครวญว่าไม่มีกำลังใจซ่อมบ้าน (ประตูสองบานที่ตกลงกัน) เพราะการผ่อนชำระ 2 ปี ของส่วนเศษ ๆ นั้น คุณแม่เลยตบปากรับคำไปว่าจะให้เป็นสองงวดคือ งวดแรก เมื่อโอนบ้านเสร็จ งวดสองเมื่อย้ายออก (ใจดีซะ)


ถึงวันนัดโอนที่กรมที่ดิน ช่วงเดือนมีนาคม 2553 นั้น เป็นเดือนสุดท้ายที่รัฐฯ ลดค่าโอนบ้าน เจ้าของบ้านก็เลยนัดโอนกันในช่วงนี้ ซึ่ง วันนั้นจัดว่าเป็นประสบการณ์สุดขีด (ย่อย ๆ) เลยทีเดียว ต้องรอคิวประมาณ 100 คิว!!! หากใครเคยไปกรมที่ดินจะรู้ว่าต่อ 1 คิวนั้นใช้เวลาไม่น้อยเลยทีเดียว วันนั้นต้องรออยู่ประมาณ 9 ชั่วโมง!!! T-T เพื่อประหยัดเงินให้เจ้าของบ้านประมาณ 2000 บาท ในระหว่างที่รอเจ้าหน้าที่เรียกไปโอนนั้นก็ได้รู้ว่าบ้านหลังนี้ได้ซ่อมมา 7 ปีกว่าแล้ว... (ข้อ 4. ด้านบนตกไป) ซึ่งหลังจากโอนเสร็จก็มีการพูดคุยข้อตกลง โดยเจ้าของบ้านได้เสนอว่าจะซ่อมบ้านอีกหลายจุด โดยมีปัญหาเรื่องรั่วซึม!! อ่าว งี๊ไอ้ข้อ 1. ข้อ 5. ก็หลอกนี่หว่า ตกไปอีก โดยที่จะขอให้จ่ายเงินส่วนที่เหลือให้หมดไปเลย ซึ่งคุณแม่ก็ได้พูดถึงการอยู่ถึง 4 เดือนนั้นถือว่านานเกินไป จึงอยากให้ลดลงเหลือสัก 2 เดือน คำนึงที่จำได้เลยก็คือ ผมถามว่าการที่เจ้าของบ้านจะซ่อมโน่นนี่นั่นให้คงใช้เวลานานหรือเปล่า เค้าบอกว่า ไม่ถึงสองเดือนแน่นอน สรุปวันนั้น ข้อตกลงที่ทางผมเข้าใจคือ เศษที่เหลือจะจ่ายงวดแรกครึ่งนึง ส่วนที่เหลือขอเป็นไม่เกิน หกเดือน (ในใจนึกว่าคงจะจ่ายสัก 3 เดือน เพราะรู้สึกว่าเค้าก็คุยดี และอุตส่าห์เสนอ ซ่อมเพิ่มให้) ส่วนเค้าก็จะซ่อมแซมเพิ่มเติมนอกเหนือจากประตู 2 บาน


หลังจากวันโอน (พฤหัสบดี) วันจันทร์ถัดมาผมก็โอนให้งวดแรกตามที่ตกลง ซึ่งผมได้โทรไปแจ้งว่าโอนเรียบร้อย และได้มีการพูดคุยกันทั่วไป ระหว่างนั้นเจ้าของบ้านได้แชร์ว่าที่ขายเพราะไม่อยากจุกจิกเรื่องห้องเช่า มันน่าเบื่อ... (ไอ่ที่ว่าง่าย ข้อ 2. ด้านบน ตกปะ) จนมาถึงเรื่องการย้ายออก ซึ่งดูเหมือนกับว่าเค้าจะยังเข้าใจว่า เค้ายังอยู่ได้อีก 4 เดือน โดยพูดว่า ยังไงก็อยู่ไม่ถึง 4 เดือน และที่อยู่ก็ไม่ได้อยู่เปล่า แต่ซ่อมไปด้วย อ่าว... งี๊ดูท่าทางเรากะเค้าจะเข้าใจกันคนละอย่างในข้อตกลงเรื่องย้ายออกซะแล้วล่ะสิเนี่ย กลับมาบ้านเล่าให้คุณแม่ฟัง เลยตกลงกันว่า วันเสาร์ 20 มี.ค. 2553 จะเข้าไปคุยกันหน่อยน่าจะเป็นการดี


ถึงวันเสาร์ ก็โทรเข้าไปนัดกับเค้าโดยบอกว่าจะเข้าไปดูว่าเค้าจะซ่อมจุดไหนให้บ้าง เนื่องจากคุณแม่ติดธุระส่วนตัวนิดหน่อยจึงให้ผมออกไปเจอก่อน โดยได้พาเจ้าลูกชายจอมซนไปด้วย เมื่อไปถึง ก็ทักทายสวัสดีกัน ยังยิ้มแย้มปกติ ผมก็บอกว่าเดี๋ยวคุณแม่จะตามมา ยังไงเราขึ้นไปดูจุดที่จะซ่อมกันก่อนเลยละกัน ระหว่างที่ห้องเช่าที่ว่างอยู่ที่ชั้น 3 นั้น คุณแม่ก็ได้มาถึงและเดินขึ้นมา ขึ้นมาถึงก็เข้าไปดูในห้องเช่าที่ว่าง พูดคุยเรื่องทั่วไปชั่วครู่ คุณแม่เริ่มถามถึงเรื่องที่จะอยู่อีกกี่เดือน 


เค้าตอบคุณแม่ว่าคงไม่เกิน 4 เดือน คุณแม่ก็เริ่มเสียงดัง (ปกติก็ดังอยู่แล้ว) ซึ่งช่วงนี้เหตุการณ์มันเกิดเร็วมาก แต่ใช้เวลากว่าชั่วโมง.. (งง เหมือนกัน) เค้าเริ่มเสียงดัง (กว่า) และคำพูดที่ยังจำได้ก็คือ ไอ่พวกที่ซื้อบ้านแล้วจะไล่เค้าออกเลยเนี่ย เกลียดที่สุด (อ่าว.. 2 เดือนนี่ไม่นานพอรึ?) ใครอ่อนกับอั๊วะ อั๊วะยิ่งอ่อนกว่า แต่ถ้าใครแรงกับอั๊วะ อั๊วะก็จะแรงกลับยิ่งกว่า (T_T บรรลัยล่ะครับท่าน..) ระหว่างนี้ลูกชายตัวแสบก็เริ่มงง.. เพราะเริ่มเสียงดังเอ็ดตะโลกัน ผมกลายมาเป็นคนกลาง และพยายามทำให้ทั้งคู่ใจเย็นลง แต่ไม่ได้ผลครับท่าน เหมือนภูเขาไฟระเบิด แล้วทั้งคู่ก็สาดเสียงใส่กัน และเท่าที่จำความได้ ข้อตกลงตอนนี้กลายเป็น "ได้! อั๊วะอยู่ 2 เดือนย้ายออก ไอ่ที่จะซ่อมนอกเหนือจากประตู ไม่ซ่อมแล้ว!" (เยี่ยมครับพี่ T_T) และ "โธ่โว๊ย!!! แม่ง" เค้าก็วิ่งลงมาชั้น 2 เข้าไปในห้องนอน หยิบปืนพกใส่อยู่ในปลอกสีดำ เอามาวางกระแทกที่ขอบหน้าต่างข้างห้อง (โอ้! จอร์จ มันยอดมาก) ช่วงนั้นผมลงตามมาติด ๆ ที่ผมจำได้ก็คือ ผมได้พยายามปลอบให้ใจเย็นลง และบอกว่าไม่มีประโยชน์หรอก มันไม่เกิดประโยชน์ ใจเย็น ๆ ช่วงนั้นเองคุณแม่ผมลงมาเห็นปืน เลยตะโกนถามไปว่า "ลื้อเอาปืนมา จะมายิงอั๊วะใช่มั๊ยยย!" (เยี่ยมครับคุณแม่) เค้าก็เลยบอกว่า "อั๊วะ พกเป็นประจำอยู่แล้ว มีปัญหาอะไรมั๊ย" แล้วก็เอาปืนเหน็บเข้าไปที่เอว แล้วก็ว่า "วันนี้ไม่คุยแล้ว จะมาบีบโน่นบีบนี่ นี่ยอมกันสุด ๆ แล้ว มีอย่างที่ไหนซื้อบ้านแล้วก็จะมาไล่เลย" (เฮ้อ... ไอ่ 2 เดือนนี่ไม่นับเหรอครับเฮีย) ช่วงนั้นคิดว่าคุณแม่ผมอารมณ์พีคเหมือนกัน เริ่มร้องไห้ พูดเสียงดังกว่าเดิม ว่า "ใครไล่ลื้อ อั๊วะแค่จะมาถามว่าลื้อจะอยู่กี่เดือน แค่นี้ลื้อต้องเอาปืนออกมา จะยิงอั๊วะใช่มั๊ยยย [ร้องไห้เสียงดัง]" "อ๋อ.. ท้าเหรอ พูดกันดี ๆ !!" ช่วงนั้นผมพยายามยืนอยู่ตรงกลาง และสงบอารมณ์ของทั้งคู่ให้เร็ว และพยายามอธิบายให้เค้าเข้าใจ และห้ามคุณแม่ให้หยุดพูดบ้าง (ก็ได้..) มันได้ผลทีละน้อย ๆ จนภูเขาไฟทั้งสองลูกเริ่มสงบลง เฮ้อ...  


เมื่อทั้งสองเริ่มสงบ และกลับมานั่งคุยกัน (ซะที) ผมก็พบว่าลูกชายผม ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก และยังวิ่งเล่นซนไปมา อยู่บริเวณนั้นน่ะเอง อืม.. เป็นเด็กนี่ก็ดีเนอะ บริสุทธิ์ซะ ถ้าโดนยิงก็คงยังไม่รู้เรื่องเลย มีความรู้สึกว่ายังดีที่ไม่เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น ข้อสรุปในวันนี้คือ เค้าจะอยู่อีก 2 เดือน หากเกินสองเดือนจะจ่ายค่าเช่าให้ ส่วนผมจะจ่ายส่วนที่เหลือเมื่อเค้าย้ายออก ก่อนจะกลับนั้น เค้าได้ชี้ให้ดูว่า โถส้วม(ชักโครก)ด้านบนมันพัง กดไม่ได้ (... ข้อ 6. ตกไป หมดแระ ข้อดีที่ว่ามา)


กลับมาถึงบ้าน คุณแม่ไข้ขึ้นไป 2 วัน ส่วนผมก็ได้ประสบการณ์สุดขีดที่ยากจะลืมเลือนอีกครั้ง จากประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้ผมได้พบกับคนที่ไม่คิดว่าจะเจอ (เพราะคิดว่ามีแต่ในหนัง) และได้รู้ว่า การที่คนเราคุยกันด้วยสติ และเหตุผลเป็นที่ตั้ง น่าจะได้ผลลัพธ์ที่น่าจะเหมือนกันแต่ไม่ต้องบู๊ล้างผลาญ หวังว่าหลังจากวันนี้ไปทุกอย่างคงจะค่อย ๆ ดีขึ้น.. อาเมน..








Create Date : 22 มีนาคม 2553
Last Update : 22 มีนาคม 2553 15:46:43 น. 1 comments
Counter : 360 Pageviews.

 


โดย: thanitsita วันที่: 28 มีนาคม 2553 เวลา:15:48:00 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คิดเองเออเอง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add คิดเองเออเอง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.