มินซอกวางสายไปแบบงงๆติดจะหงุดหงิดใจนิดๆ เพราะแบคฮยอนดูจะรวบรัดประหยัดคำพูดกว่าที่เคยมาก แม้ว่าเรื่องที่รับฟังจะเป็นข่าวดีที่เขาตั้งตารอคอย แต่เขาก็ต้องการรายละเอียดมากกว่าประโยคที่ว่า "พี่จงอินไม่ได้ว่าอะไร" แล้วเจ้าตัวก็บอกที่ร้านยุ่งตัดสายไปเฉยๆ
......................................................................
"คุณจงอินไม่ได้คัดค้านอะไรจริงๆเหรอ" มินซอกเปิดบทสนทนาทันทีที่พนักงานเสิร์ฟรับออร์เดอร์แล้วเก็บเมนูไป
"จริงสิ พี่จงอินบอกว่าโตๆกันแล้ว เขาไม่ยุ่งวุ่นวายเรื่องส่วนตัวหรอกแค่อย่าสร้างปัญหาก็พอ"
มินซอกพยักหน้าแต่สีหน้ายังไม่ดีนัก
"นี่..ทำไมทำหน้ายังงั้น ถ้าเรื่องแม่มินซอกน่ะไม่ต้องห่วงเลยเพราะพี่จงอินไม่ว่าอะไรแม่มินซอกก็ไม่น่ามีปัญหา แต่ถ้ามินซอกไม่สบายใจให้เราไปช่วยพูดด้วยดีมั๊ย"
"ไม่เป็นไร เราว่าถ้าผ่านจากคุณจงอินมาแล้ว แม่ก็คงไม่ไม่มีปัญหาแบบที่
แบคฮยอนว่านั่นแหละ"
"โอเค งั้นก็ไม่ต้องห่วงอะไรล่ะนะ ห่วงแค่อาหารร้านนี้จะอร่อยรึเปล่าพอแล้ว" แบคฮยอนยิ้มตาหยี พลางแอบมองสำรวจหน้าตาของอาหารตามโต๊ะข้างเคียง แล้วหันมาพยักหน้ากับอีกคนเป็นเชิงว่าน่าจะพอคาดหวังได้
.....................................................
ร่างเล็กในชุดเสื้อยืดสีเทาอ่อนโอเวอร์ไซส์กับกางเกงขาสองส่วนสีขาวพอดีตัว เดินวนอยู่ในห้องครัวแสร้งทำนั่นนี่แล้วเดินย้อนออกมาแอบมองที่ห้องนั่งเล่นเป็นระยะๆ พอเห็นว่าร่างสูงในชุดนอนไม่อยู่ตรงที่นั่งข้างๆผู้เป็นแม่แล้ว เขาก็รีบเดินมานั่งแทนที่ทันที
"อ้าวลูก ยังไม่นอนอีกเหรอ"
"ครับ..คือ..พอดีมีเรื่องจะคุยกับแม่นิดนึงครับ"
ใบหน้าไร้เครื่องสำอางคลี่ปากสีอ่อนตามธรรมชาติเป็นรอยยิ้ม แต่หัวคิ้วขมวดนิดๆ เพราะท่าทีที่ดูลุกลี้ลุกลนของลูกชาย
"ถ้าลูกมีแฟน...แม่คิดว่ายังไงครับ"
"ทำไมล่ะจ๊ะ ลูกก็ทำงานทำการแล้วมีแฟนไม่เห็นจะเป็นไรเลย"
มินซอกขยับๆนั่งให้ถนัดขึ้น เตรียมตัวสำหรับประเด็นสำคัญที่จะต้องพูดต่อไป
"แต่....."
"แต่อะไรลูก นี่แม่ก็อายุขนาดนี้แล้ว ก็อยากจะอุ้มหลานแบบเพื่อนๆที่ทำงานเหมือนกันนะ จะมีฟงมีแฟนอะไรแม่ไม่ว่าหรอก"
มินซอกหลบตา เผลอกำมือแน่นกับความคิดของแม่ที่ไปกันคนละทิศละทางกับสิ่งที่เขาจะพูด แต่ถ้ายิ่งชักช้าเรื่องก็คงจะยิ่งยุ่งยากมากขึ้น เขาตัดสินใจสบตากับผู้เป็นแม่อีกครั้งค่อยๆพูดเรื่องที่ตั้งใจจะบอกอย่างช้าๆและชัดถ้อยชัดคำ
"แม่ครับ...แฟนลูกเป็นผู้ชาย เป็นน้องชายของคุณจงอินชื่อแบคฮยอน เขาคุยกับคุณจงอินเรียบร้อยแล้วคุณจงอินไม่ว่าอะไร ลูกก็เลยมาคุยกับแม่ครับ"
ดาฮเยจ้องหน้าลูกชายเขม็ง แววตาระริกสับสนกับทุกประโยคที่ออกจากปากลูกชาย
เหมือนจู่ๆเสียงบรรยายในราการทีวีก็เงียบไป อากาศเบาบางจนมินซอกต้องออกแรงมากกว่าเดิมในการจะหายใจเพื่อรับอากาศให้ได้อย่างพอเพียง มือที่กำอยู่ออกแรงดันมากกว่าเดิมจนเริ่มเกร็ง
ผู้เป็นแม่ตั้งสติได้ก่อน เธอกดหลังลงกับพนักพิงหลับตาสลับลืมตาช้าๆก่อนจะหันหน้ามามองลูกชายอีกครั้ง
"ถ้าคุณจงอินอนุญาต แม่ก็คงว่าไปตามนั้น....."
ดาฮเยหยุดสิ่งที่อยากจะพูดไว้เพียงแค่นี้ ก่อนจะหันมากดรีโมทปิดทีวีแล้วบอกลูกชายให้ขึ้นนอนก่อนที่ตัวเองจะรีบเดินขึ้นชั้นบนของบ้านไป
ท่าทีของแม่ทำให้เรื่องของพ่อกลับมาฉายชัดในความคิดของมินซอกอีกครั้ง เขาก้มหน้าลงกับผ่ามือออกแรงกดเบ้าตาตัวเองวนไปมาเพราะรู้สึกปวดกระบอกตาร้าวไปถึงหัวจนอยากจะอาเจียน
พยายามผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆอยู่สักครู่จึงเหยีดตัวลงนอนกอดหมอนอิงไว้แนบอก
ดาฮเยยังคงลืมตาโพลงในความมืดหลังจากพูดคุยกับสามีถึงเรื่องลูกชายและน้องชายของอีกฝ่าย เธอออกจะแปลกใจที่ฝ่ายสามีดูจะเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดาและปรามให้เธอปล่อยให้เป็นเรื่องของเด็กๆไป ในเมื่อเรื่องในอดีตที่กลายเป็นตราบาปที่สุดในชีวิตที่ทั้งสองคนทำร่วมกันต้นเหตุก็มาจากความรักของเพศเดียวกันแบบนี้
เกือบชั่วโมงที่กระสับกระส่ายพลิกซ้ายขวาอยู่บนเตียง ทั้งที่คนข้างกายหลับสบายไปแล้ว กว่าที่กลไกของร่างกายจะปิดระบบทำงานทุกอย่างเพราะความอ่อนเพลีย
...............................................
.....................................
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเปะปะไปคนละทิศละทาง จงอินดูเหมือนจะปกติดี ดาฮเยฝืนตัวเองให้ปิดความอึดอัดใจไว้ไม่มิด แบคฮยอนเป็นแบคฮยอนแบบเวลาที่ต้องเข้าสังคม ส่วนมินซอกเข้าๆออกๆระหว่างความกระอักกระอ่วนใจกับความพยายามฝืนทำตัวให้เป็นธรรมชาติ
"ตอนเจอคุณน้าครั้งแรก ผมไม่คิดเลยนะครับว่าจะมีลูกชายรุ่นเดียวกับผมแล้ว"
"ขอบใจที่เอาใจคนแก่นะ"
"ไม่เอาครับไม่พูดคำว่าแก่ แล้วผมก็ไม่ได้พูดเพื่อนเอาใจด้วย คุณน้าดูสาวกว่าอายุจริงมาก มินซอกคงได้ส่วนนี้มาเยอะตอนผมเจอครั้งแรกนึกว่าเป็นเด็กมัธยมปลายด้วยซ้ำ" ชายหนุ่มพูดพลางหันมาทำหน้าล้อๆใส่คนข้างๆ มินซอกเขม่นตาใส่แต่ก็กลั้นยิ้มไม่ได้ เขาเอาศอกกระทุ้งสีข้างคนพูด อีกคนก็แกล้งหดตัวทำหน้าเหยเกเหมือนเจ็บนักหนาแล้วยิ้มขำ
สายตาคนเป็นแม่กวาดมองอย่างรวดเร็ว และตวัดกลับไปในเสี้ยววินาทีแต่ลูกชายก็เหลือบเห็นพอดี มินซอกหน้าเสียหุบยิ้ม หันมาทำเป็นสนใจกับข้าวข้างหน้าเลือกตักมาใส่จานพอเป็นพิธี
"น้องมินซอกไม่ทานกระเพาะปลาไม่ใช่เหรอครับ"
"เอ่อ...ครับ"
"ที่ตักไปนั้นกระเพาะปลานะครับ.." จงอินตักกระเพาะปลาในจานของมินซอกมาใส่จานตัวเองแล้วตักเนื้อไก่กับเม็ดมะม่วงหิมมะพานต์ให้แทน
"ขอบคุณครับ" มินซอกก้มหัวนิดๆก่อนจะตักไก่กับเม็ดมะม่วงหิมพานต์รวมกับข้าวเข้าปาก
คราวนี้เป็นแบคฮยอนบ้างที่ลอบมอง สำหรับพี่จงอินการจะเอาอกเอาใจใครแบบนี้เห็นได้ไม่บ่อยนักหรอก เอาแค่ตัวเขาเองไม่ชอบกินแตงกวาพี่จงอินยังไม่เคยสนใจจะจำด้วยซ้ำ
ทันทีที่สาวใช้เสิร์ฟกาแฟเสร็จ กุญแจรถก็ถูกวางลงกลางโต๊ะตรงหน้ามินซอก
"คุณจงอินให้ช่างตกแต่งเพิ่มนิดหน่อย วันอาทิตย์นี้น้องมินซอกไปรับรถได้เลย อู่ใกล้ที่ทำงานที่เราเคยคุยกันนะครับ"
มินซอกมองหน้าจงอินสลับกับกุญแจรถที่มีตุ๊กตากระรอกตัวเล็กๆห้อยอยู่ จงอินดันพวงกุญแจให้ใกล้เจ้าของรถคนใหม่มากขึ้น มินซอกเลยต้องขยับมือไปรวบกำเอาไว้ มือใหญ่ก็ตามมากุมตีที่หลังมือเบาๆสองสามครั้งแล้วผละออกไป
มินซอกอึกๆอักๆไม่คิดว่าตัวเองจะได้รถใหม่เร็วขนาดนี้ ขนาดที่เขายังไม่ทันได้เล่าให้แบคฮยอนฟังด้วยซ้ำ
"ขอบคุูณมากครับ"
รอยยิ้มแรกในค่ำนี้ของดาฮเยปรากฏขึ้นแทบจะในทันที
"รถสีสกายบูลแบบที่ลูกชอบเลยนะ แต่ไม่ได้ขับนานแล้วออกถนนใหญ่ครั้งแรกต้องระวังให้มากๆนะลูก แม่ว่าให้คุณ..."
"ไม่ต้องห่วงครับคุณน้า อาทิตย์นี้ผมว่างผมไปเป็นเพื่อนมินซอกเองครับ"
มินซอกหันมายิ้มให้คนข้างๆ รู้สึกขอบคุณอยู่ลึกๆที่แบคฮยอนรีบพูดขึ้นมา
ดาฮเยกลืนคำพูดสุดท้ายลงคอ หันไปฝืนยิ้มให้คนเสนอตัวกึ่งขัดจังหวะแล้วพยักหน้าเป็นเชิงขอบอกขอบใจตามมารยาท มือที่จับหูแก้วกาแฟเกร็งนิดๆระบายอารมณ์ก่อนยกขึ้นจิบช้าๆ
............................................................
รถหน้าใหม่จอดนิ่งอยู่ใต้คอนโด รอเจ้าของที่หายขึ้นไปบนชั้นยี่สิบสามนานร่วมชั่วโมงแล้ว
มือเรียวลูบหัวคนข้างๆไปด้วยขณะที่สายตาจับจ้องอยู่กับจอสี่เหลี่ยนขนาดใหญ่ข้างหน้า สายตาที่ไร้จุดโฟกัสในบางครั้งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวไม่ได้จดจ่ออยู่กับเรื่องราวสยองขวัญที่กำลังขมวดปมตึงเครียดอยู่เท่าใดนัก แบคฮยอนลากมือลงมาที่ข้างแก้มนุ่มแล้วใช้หลังมือกดแนบเอาไว้ เจ้าของแก้มเลยออกแรงดันต้านหลังมือเล่นอยู่หลายครั้งก่อนจะกลับมานั่งตัวตรงๆ คนข้างๆถึงยอมดึงมือกลับไป
"พี่จงอินดีกับมินซอกมากเลยนะ"
"อืม"
"พี่เค้าคงเอ็นดูมินซอกมาก"
"คุณจงอินก็ดีกับแบคฮยอนไม่ใช่เหรอ" มินซอกละสายตาจากจอทีวีมาเอียงหน้าถามเพราะรู้สึกถึงน้ำเสียงที่แปลกออกไป
"อืม"
"แบคฮยอน....มีอะไรรึเปล่า"
"เปล่า...แค่เบื่อๆอยากหอมแก้มแฟน"
มินซอกเม้มปากกลั้นยิ้มแล้วทำเป็นเอียงหน้ามากกว่าเดิม ขยับเข้ามาหาจนเกือบจะชนแก้มของอีกคน แบคฮยอนรีบหันไปกดปากลงกับแก้มนุ่มทันทีแล้วตามไปสูดกลิ่นหอมจากผิวใสๆอย่างไม่ลดละ อีกฝ่ายเอียงตัวหลบจนลงไปนอนเลยต้องรีบคว้าหมอนอิงมาปิดหน้าตัวเองไว้
"แบค...แบคฮยอน พอ...พอแล้ว"
"ไม่พอ"
เจ้าของห้องถือความได้เปรียบในสถานที่ดันตัวลุกขึ้นนั่งคร่อมทับหน้าขาเอาไว้ มือก็ดึงหมอนให้พ้นทาง แล้วรีบคว้าข้อมือของคนใต้ร่างป้องกันการปัดป้อง
มินซอกหยุดดิ้น มองดวงตาคู่เล็กที่ในแววตามีความหมายที่ทำให้หัวใจเต้นแรง ราวกับเป็นเกมจ้องตาที่ไม่มีใครยอมแพ้ กระทั่งแบคฮยอนค่อยๆคลายมืออกจากข้อมือของอีกคนทิ้งรอยริ้วแดงๆไว้ก่อนจะค่อยๆจางหายกลืนไปกับสีผิวปกติ
มินซอกยอมแพ้เกมจ้องตาครั้งนี้ เขาเบี่ยงหน้าเข้าหาพนักโซฟารู้สึกเหมือนหน้าอกมีของหนักๆมาทับไว้จนหายใจไม่สะดวก
สายตาที่เต็มไปด้วยความเสน่หายังจับจ้องไม่ไปไหน ชายหนุ่มส่งสัมผัสเบาๆของฝ่ามือไล้ที่แก้มเนียนที่เริ่มมีสีเลือดฝาดเด่นชัดแล้วบีบคางนิดๆให้หันกลับมา
มินซอกหวังให้มีคพพูดตลกๆที่คุ้นเคย อย่างน้อยก็น่าจะทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น
แต่ก็ไม่มี......
ใบหน้าเรียวมีเพียงสีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ต้องการการเติมเต็ม ตอบสนอง กับอารมณ์ที่พวยพุ่งขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม
มินซอกเริ่มจะบังคับอาการสั่นของตัวเองไม่ได้ เมื่อใบหน้าของคนบนตัวใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนริมฝีปากที่เผยอออกเพราะต้องการอากาศมากกว่าปกติถูกปิดทางด้วยริมฝีปากของอีกคน
ริมฝีปากอุ่นจัดค่อยๆขบเม้มเป็นจังหวะพร้อมลงน้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จนคนที่เอาแต่เกร็งยอมเผยอปากกว้างขึ้นและมีปฏิกิริยาตอบรับ
ความร้อนที่มากขึ้นแบบฉับพลันเพราะลิ้นที่ล่วงเข้ามาสัมผัสอย่างรวดเร็ว ทำให้คนที่เพิ่งค่อยๆเริ่มปรับตัวตามชะงักไป
มินซอกรีบดันอกคนบนร่างออกห่าง
"แบค...แบคฮยอน" เสียงเรียกชื่อแผ่วราวกระซิบ ทั้งเครื่อและสั่น
แบคฮยอนละสายตาจากริมฝีปากฉ่ำแดงมองตาที่มีแววแคลงใจ
"เราเป็นแฟนกันอย่างเป็นทางการแล้วนะ" น้ำเสียงทั้งท้วงติงและร้องขอ
มินซอกหลบตา จริงอยู่ที่ตอนนี้ผู้ใหญ่ก็รับรู้และอนุญาตแล้ว แต่ก็เป็นตัวเขาเองนั่นแหละที่ยังไม่มั่นใจที่จะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง เขากลัววที่จะเอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้
เหมือนแบคฮยอนจะพออ่านออก
"มินซอกเชื่อใจเรามั๊ย"
รอจนอีกฝ่ายพยักหน้า ชายหนุ่มจึงพูดต่อ
"เรารักมินซอก หัวใจของมินซอกเราจะดูแล ร่างกายของมินซอกเราจะทะนุถนอม ไม่มีอะไรต้องกลัวนะ"
แววตาที่เริ่มอ่อนลงทำให้ชายหนุ่มทดลองกดริมฝีปากลงไปอีครั้ง รอจนอีกฝ่ายยอมเปิดช่องว่างพอจะสอดลิ้นกลับเข้าไป เขาสัมผัสกับลิ้นที่รออยู่อย่างอ่อนโยน ความร้อนที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นไม่โหมแรงในคราวเดียวแบบตอนแรก ทำให้มินซอกเริ่มปรับตัวสอดรับกับสัมผัสที่คนรักส่งมาทั้งทางร่างกายและความรู้สึกภายใน
สองร่างสวมกอดจนทุกส่วนของร่างกายแนบชิด แบคฮยอนขยับท่อนล่างบดเบียดหนักเบาเป็นจังหวะ เหมือนเป็นการตระเตรียมและเตือนให้อีกฝ่ายรู้ถึงขั้นตอนที่จะเกิดขึ้นต่อไป
ความรู้สึกที่เหมือนการขึ้นชิงช้าสวรรค์ที่ค่อยๆเคลื่อนที่สูงขึ้นเรื่อยๆรับกับลมแรงที่ทำให้กระเช้าไหวคลอน
ยิ่งใกล้ท้องฟ้าก็ยิ่งสวย
แต่ก็ยิ่งสูงจนน่าหวั่นใจ
สัญญาณทางร่างกายของคนรักทำให้แบคฮยอนไม่สามารถเก็บกลั้นความรู้สึกวูบไหวที่มีมีอำนาจขับเคลื่อนทั้งการกระทำและความรู้สึกในตอนนี้
เขาวางมือไล้ร่างกายผ่านเนื้อผ้าลูบลงไปถึงชายเสื้อจั้มเปอร์แล้วถลกขึ้น ผ่ามือสัมผัสผิวเนื้ออุ่นราวกับมีความคิดเป็นของตัวเองและกำลังหิวกระหาย ทุกสัมผัสเร้าความรู้สึกจนคนใต้ร่างกระตุกสั่นเสียงหอบหายใจเริ่มมีเสียงครางแทรกในยามที่เจ้าตัวกลั้นความปั่นป่วนไว้ไม่ไหว
ฝ่ามือที่ยังเคลื่อนไหวไม่หยุดหย่อนลากลึกเข้าไปในกาวเกงวอร์ม เอวยางยืดทำให้สามารถเคลื่อนไหวมือได้อย่างต่อเนื่องง่ายดาย
มินซอกกดหน้าลงกับไหล่คนรัก มือเล็กจิกผ้าฝ้ายนุ่มบางของเสื้อเชิตจนยับย่น
แบคฮยอนขยับร่างกายส่วนล่างเปิดทางให้มือทำงานได้อย่างถนัดถนี่ มินซอกเผลอทุบที่หลังเขาในบางครั้งและจิกผ่านเสื้อโดนเนื้อเขาในบางที แต่เสียงแห่งความสุขสมที่ร้องคลอตลอดเวลาทำให้เขาไม่อยากหยุด
ดวงตารูปเมล็ดอัลมอนด์ที่ปิดสนิทเปลือกตายับย่นจากอารมณ์ปั่นป่วนที่แทบจะเกินรับ
ในความมืดของความคิดจู่ๆก็ปรากฏเค้าโครงหน้าที่คลับคล้ายคลับคลากับในคำคืนที่เมามาย รายละเอียดที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆทำให้คิ้วขมวดมุ่นและน้ำตาเอ่อท้นขึ้นมา
เขาไม่อาจสลัดภาพนั้นออกไปได้และอารมณ์ที่ถูกปลุกเร้าจนสติสัมปชัญญะเหลือเพียงเลือนลางก็ถูกความปราถนาเข้าครอบครองอย่างสมบูรณ์แบบ
คนที่อยู่ด้วยกันตอนนี้กับคนในคืนนั้นปนเปสับสนจนไม่รู้ว่าที่ปั่นป่วนแทบขาดใจเป็นเพราะใครกันแน่
จนในที่สุดที่ปลายของอวัยวะที่ถูกปลุกเร้าก็ปลดปล่อยของเหลวที่คั่งอยู่ราวจุกไม้คอร์กถูกดึงออกจากปากขวดแชมเปญ
ร่างเล็กเกร็งสั่น ไหล่กดลงกับเบาะโซฟาแต่สะโพกยกค้างและกระตุกอยู่หลายจังหวะกว่าจะสงบลง
ในความเงียบมีเพียงเสียงหอบหายใจ
แบคฮยอนจูบเบาๆที่ซอกคอชื้นเหงื่อ พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นน้ำตาซึมออกมาจากปลายตา
"...คนดีร้องไห้ทำไมครับ"
เจ้าของน้ำตาส่ายหัวช้าๆ แล้วกอดคนรักไว้แน่น
"มินซอกรักแบคฮยอนนะ"
แบคฮยอนยิ้มแล้วกอดตอบ รู้สึกเหมือนน้ำตาพาลจะไหลออกมาอีกคน แต่ริมฝีปากอิ่มที่กดลงตรงหลังใบหูทำให้เขาต้องคลายอ้อมกอดหลวมๆเพื่อมองหน้าคนรักชัดๆ
มินซอกเม้มปากแน่น จ้องตากลับแบบกล้าๆกลัวๆแต่เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าพร้อมยกคิ้วเป็นเชิงขอความแน่ใจ เขาก็รีบพยักหน้าตอบแล้วหลบตา
รอยยิ้มปรากฏขึ้นอีกครั้งชายหนุ่มองแก้มแดงจัดและปากที่ยังเม้มแน่นด้วยความรักและหลงใหลอย่างที่สุด เขาก้มลงกระซิบแผ่วที่ข้างหู
"จะกินให้อร่อยเลยนะครับ"
ถ้อยคำขี้เล่นทะเล้นที่มินซอกเคยขำมาตลอด
กลับไม่รู้สึกขำสักนิด
หัวใจเหมือนพองขึ้นจนคับอก ตรงท้องน้อยก็ปั่นป่วนไปหมด
เนื้อตัวก็เหมือนจะรับความรู้สึกได้ไวกว่าปกติ ตรงที่เคยโดนสัมผัสก็ยังไม่ชิน ตรงที่โดนรุกล้ำรับสัมผัสเป็นครั้งแรกก็ทำให้รู้สึกเหมือนพลั้งตกไปในหลุมลึก ช้า เร็วสลับไปมาแต่ไม่ถึงก้นหลุมเสียที.....
.....ความสุขที่ทำให้รู้สึก แทบขาดใจ
รถยนต์หน้าใหม่ออกจะน่าสงสาร ที่ต้องจอดนิ่งรวมกับเจ้าถิ่นเป็นสิบคันจนกระทั่งฟ้ามืดสนิท และคงต้องพยายามปรับตัวให้ได้เพราะคงต้องอยู่ที่นี่ทั้งคืน
..........................................
......................
"สบายดีใช่มั๊ย"
"ขอบคุณที่เป็นห่วงค่ะ ฉันสบายดี"
"สบายดีก็ดีแล้ว ถึงเวลาที่ต้องตอบแทนบุญคุณกันจะได้ไม่มีอะไรติดขัด"
"ค่ะ"
เยจีตอบรับและฟัง "งาน" ที่เป็นไปเพื่อตอบแทนบุญคุณคนที่ทำให้ตนอยู่อย่างสุขสบายกับลูกสาวตัวน้อยรวมไปถึงครอบครัวญาติพี่น้องด้วย
.........................................
"มีอะไร...เดี๋ยวฉันต้องเข้าประชุมอีก"
"คุณพ่อรู้เรื่องแบคฮยอนรึยังครับ" จงอินขยับเสื้อสูทให้เข้าที่แล้วนั่งลงที่เก้าอี้บุหนังสีน้ำตาลเข้มตรงข้ามโต๊ะทำงานตัวยาว ที่จัดไว้เป็นที่รับแขกในห้องทำงาน
"ไม่มีเรื่องไหนที่ฉันไม่รู้หรอกนะ" ประธานบริษัทวางปึกเอกสารรวมไว้กับกองข้างๆตัว แล้วทิ้งตัวลงกับพนักพิง
"เรื่องแฟน..ที่"
"เด็กนั้นก็ลูกชายเมียของแกไม่ใช่รึไง"
"ครับ แต่..."
"ไม่ดีรึไงล่ะ มีแฟนเป็นผู้ชาย มันจะได้ไม่ทำลูกเขาท้องให้แกต้องคอยมาตามล้างตามเช็ดอีก"
แม้น้ำเสียงจะทั้งประชดประชันและเอือมระอา แต่ก็เหมือนจะยอมปล่อยไปเลยตามเลย ซึ่งไม่ใช่จุดประสงค์ที่จงอินขับรถเป็นชั่วโมงมาหาผู้เป็นพ่อในวันนี้
"ถ้าพวกนักข่าวรู้เข้า ตระกูลเราจะเสื่อมเสียนะครับ"
"ยังมีอะไรให้เสียมากไปกว่านี้เหรอ ตั้งหน้าตั้งตาทำงานไปเถอะ ถ้ามีเงินก็ปิดปากทุกคนได้ เรื่องเน่าๆกลิ่นเงินมันกลบได้หมดทุกเรื่องนั่นแหละ"
ลูกชายคนโตอึกอักได้แต่ขยับตัวอยู่ในเก้าอี้รับแขก เพราะเรื่องเน่าๆที่ผู้เป็นพ่อหมายถึง มันไม่ได้มีแต่เรื่องของแบคฮยอน แต่ทั้งตัวเขาและตัวพ่อเองด้วย
เงินปิดปากทุกคนได้ก็จริง แต่ความร้อนรุ่มในใจของเขาความรำรวยเงินทองไม่อาจปัดเป่าให้เย็นลงได้เลย
ลูกติดโสเภนีแต่พ่อกลับเป็นห่วงเป็นใยรักใคร่ไม่ต่างจากตัวเขาที่เป็นลูกแท้ๆ ต่อให้ทำเป็นแสดงออกว่าโกรธและคาดโทษเอาไว้ถึงขั้นแทบไม่ได้พูดคุยกัน พ่อกลับฝากฝังให้แบคฮยอนเป็นภาระของเขาต้องคอยดูแลให้น้องอยู่อย่างสุขสบาย พวกนักข่าวที่คอยแต่จะมาขุดคุ้ยเอาไปแฉก็เป็นเขาที่ต้องรับหน้าแล้วใช้เงินซื้อข่าวไว้ ซ้ำร้ายพินัยกรรมที่แอบสืบมา สมบัตินอกจากบริจากการกุศลส่วนหนึ่ง ที่เหลือเขาต้องแบ่งกับแบคฮยอนครึ่งๆ มันสมเหตุสมผลเสียที่ไหน
จงอินขับรถออกจากบริษัทของพ่อโดยที่ต้องพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่เร่งความเร็วเกินกว่ากฏหมายกำหนด ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าพ่อต้องรู้เรื่องก่อนที่เขาจะมาบอก แต่การไม่ตำหนิติติงแถมยังชื่นชมว่าอย่างน้อยแบคฮยอนก็ตาถึงเลือกคบเด็กดี เพราะตนสืบมาแล้วว่าเด็กมินซอกไม่มีประวัติเสื่อมเสีย ทั้งงานที่บริษัทก็ตั้งใจทำอย่างดีมันออกจะกระตุกอารมณ์ให้หงุดหงิดงุ่นงานจนเกือบจะเกินกลั้น
จงอินปลอบโยนหัวใจที่รุ่มร้อนของตัวเองด้วยการคิดทบทวนถึงแผนการณ์และผลอันน่าพึงพอใจที่จะตามมา
รอยยิ้มค่อยๆปรากฎขึ้นที่มุมปากและกลายเป็นยิ้มกว้างพร้อมเสียงหัวเราะผ่านไรฟัน
".....หึ"
"เด็กดีอย่างงั้นเหรอ...."
..............................................
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
............................................................
สวัสดีค่ะ
อยากลงยาวกว่านี้แต่มันจะตัดจบตอนไม่ได้ มันจะยาวไปไกลมาก
ตอนนี้เลยอาจจะดูสั้นไปหน่อยนะคะ
เรื่องมันเริ่มขมวดปมแล้ว บางทีหาจังหวะตัดจบตอนยากเหมือนกัน "."
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ เม้นท์ในบล็อก หรือแท็กในทวิตเตอร์ #ficDS
ขอบคุณมากๆสำหรับกำลังใจค่ะ =>.<=