|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
อีกหน่อยจะเอาอะไรมาผลิตไฟฟ้าให้ประเทศไทยดี?
ช่วงนี้ร้อนนะครับ เดือน เม.ย. เป็นเดือนที่มีการใช้ไฟฟ้ามากที่สุดในรอบปีของทุกๆปี เพราะมันร้อนตับแตกแบบนี้ไง ประจวบกับวันที่ 5-14 เม.ย. พม่าจะหยุดซ่อมแท่นผลิตก๊าซ ทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าบ้านเราตกลงไปอีกมากมายจนรัฐบาลต้องขอให้หน่วยงานรัฐลดการใช้พลังงานในช่วงเวลาดังกล่าว (เดี๋ยววันที่ 5 ผมจะโดดงานไปเที่ยวครับ)
ในปี 52 แหล่งผลิตก๊าซที่พม่าก็เคยมีปัญหาจนบ้านเราขาดไฟฟ้าใช้ ต้องปล่อยน้ำจากเขื่อนเพื่อปั่นไฟจนน้ำท่วมกาญจนบุรี อำนาจต่อรองของไทยช่างต่ำเตี้ยน่าอนาถใจสุดๆเลยนะครับ ที่เป็นแบบนี้ก็ตรงกับที่หลายๆท่านอาจได้ยินนักวิชาการพูดกันบ่อยๆว่าประเทศไทยยังไม่มีความมั่นคงด้านพลังงาน (Energy Security) เพราะอะไร? เพราะเราไม่มีทรัพยากรเพียงพอ เราใช้ไฟเยอะกว่าประเทศรอบๆทั้งหมด แถมเรายังผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงประเภทใดประเภทหนึ่ง "ด้วยสัดส่วนมากเกินไป" หากเกิดปัญหากับการซัพพลายเชื้อเพลิงนั้นแล้วจะกระทบต่อการผลิตไฟฟ้าภาพใหญ่เป็นอย่างมาก
จากข้อมูลปริมาณการผลิตกระแสไฟฟ้าในโลกพบว่าโรงไฟฟ้าส่วนใหญ่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง แม้แต่สหรัฐก็ใช้ถ่านหินเป็นแหล่งพลังงานหลักในการผลิตไฟฟ้าครับ รองมาก็คือก๊าซธรรมชาติ พลังงานน้ำ นิวเคลียร์ และน้ำมันเตา ส่วนพลังงานหมุนเวียนอย่างสายลมแสงแดดนั้นยังเป็นเพียงสัดส่วนเล็กจิ๋ว
ในปี 2552 ทั้งโลกมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 20 ล้าน GWh เป็นกำลังผลิตของสหรัฐซะ 4 ล้าน (ไอ้ตัวเปลืองไฟ) ในขณะที่ประเทศไทยมีกำลังผลิต 1.48 แสน GWh
มาดูข้อมูลของไทยบ้าง ข้อมูลล่าสุดคือรายงานประจำปี 54 ซึ่งตัวเลขต่างๆไม่ได้สะท้อนสถานการณ์ปกติเท่าไหร่ เพราะปี 54 มีทั้งสึนามิที่ญี่ปุ่นช่วงต้นปี กระทบต่อภาคการผลิตของไทย ไหนจะมีมหาอุทกภัยปลายปีทำให้การใช้ไฟฟ้าลดลงมากมายมหาศาลอีก เพราะฉะนั้นขอใช้ตัวเลขปี 53 ดีกว่าครับ ภาพนี้คือแหล่งพลังงานที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าของไทยในปี 2553
ใช่แล้วครับ แหล่งพลังงานที่กินสัดส่วนมากเกินไปที่ว่าก็คือก๊าซธรรมชาตินี่เอง การผลิตกระแสไฟฟ้าบ้านเราส่วนใหญ่เป็นโรงไฟฟ้าความร้อนและความร้อนร่วมที่ผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ แถมยังกินสัดส่วนสูงถึงประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ด้วย ทั้งที่ภาพการผลิตไฟฟ้าเราก็เป็นแบบนี้และมีนโยบายในการลดสัดส่วนก๊าซธรรมชาติมาหลายปี แต่มันก็ยังคง 70 เปอร์เซ็นต์อยู่
จากตัวเลขการผลิตไฟฟ้าต้นปี 2556 ในบรรดากระแสไฟฟ้าที่ใช้ในบ้านเราทั้งหมดผลิตจากโรงไฟฟ้าของ กฟผ. 45.91% ซื้อจากผู้ผลิตอื่นๆภายในประเทศ 46.72% และนำเข้าจากต่างประเทศ 7.35% (เฮ้ย!!) และสัดส่วนที่นำเข้าก็ยังมีแนวโน้มจะสูงขึ้นๆ.... สาเหตุก็ไม่ใช่อะไรอื่น เพราะบ้านเราใช้ไฟมาก แต่แหล่งพลังงานที่จะเอามาผลิตไฟฟ้ามันน้อยไงครับ และสาเหตุที่เราหาแหล่งพลังงานอื่นๆมาแทนก๊าซธรรมชาติไม่ได้เสียที ก็ดังจะกล่าวดังต่อไปนี้...
ประเทศไทยมีแผนแม่บทการผลิตไฟฟ้าเรียกว่าแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของไทย (PDP) ซึ่งฉบับล่าสุดคือ PDP2010 ปรับปรุงครั้งที่ 3 เมื่อราวๆกลางปี 2555 นี่เอง
จากการประมาณการความต้องการใช้ไฟฟ้าใน PDP2010 แสดงดังกราฟเส้นสีน้ำเงินครับ ในปี 2555 - 2567 จะประมาณการความต้องการจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหลังปี 2567 จะใช้อัตราการเติบโต GDP เท่ากับปี 2567 แต่ในแผน PDP2010 rev3 ล่าสุดประมาณความต้องการจากแผนพลังงานทดแทนและแบบจำลองของมูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมด้วย
การไฟฟ้าต้องสำรองไฟไว้อย่างน้อย 15% จากความต้องการ นั่นคือเส้นสีแดง และกำลังผลิตไฟฟ้าจะต้องสูงกว่าเส้นสีแดง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาไฟตกไฟดับทั่วประเทศ และจากแผนการติดตั้งและรื้อถอนโรงไฟฟ้าทั่วประเทศแล้วพบว่าในปีต่างๆ ไทยจะมีกำลังผลิตไฟฟ้าตามเส้นเขียวครับ
ในปี 2555 มีความต้องการไฟฟ้าสูงสุดวันที่ 26 เม.ย. 2555 เวลา 14.30 น. อยู่ที่ระดับ 26,121 MW ภาระอันใหญ่หลวงของการไฟฟ้าคือประเทศไทยจะต้องเพิ่มกำลังติดตั้งโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้ไฟฟ้าที่นับวันมีแต่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันก็ต้องมองหาแหล่งพลังงานอื่นๆเพื่อลดสัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติไปด้วย
เมื่อพูดถึงโรงไฟฟ้าที่จะเอามาแทนโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซ-น้ำมัน หลายคนจะนึกถึงพลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลมที่แสนสะอาดสวยงามบริสุทธิ์ ปิ๊งๆ ...คือจะบอกว่ามันแทนกันไม่ได้นะครับ ไม่มีประเทศที่ผลิตไฟฟ้าแบบรวมศูนย์ที่ไหนผลิตพลังงานจากแหล่งพลังงานที่ไม่สามารถเป็น base load ได้อย่างสายลม-แสงแดดที่มีปริมาณไม่สม่ำเสมอ ขึ้นกับธรรมชาติ หากต้องการผลิตไฟฟ้าจากลมหรือแสงอาทิตย์ให้ได้ปริมาณมากพอที่จะเป็น base load ของการไฟฟ้าบ้านเราได้จะต้องใช้ตัวเก็บพลังงานขนาดมหึมา แบบเอาแบตลิเทียมมากองเป็นภูเขาหลายๆลูกเลยครับ แสงอาทิตย์และลมในบ้านเรายังมีประสิทธิภาพน้อย บ้านเราแสงกระเจิงมาก แถมลมก็ไม่ได้แรงแบบประเทศตอนเหนือ แหล่งที่มีศักยภาพลมมากที่สุดคือลำตะคลอง ซึ่ง กฟผ. ไปติดตั้งกังหันลมใหญ่ที่สุดในประเทศไทยนั่นละครับ แล้วไหนต้นทุนการผลิตพลังงานทดแทนพวกนี้ยังจะแพงลิบลิ่วอีก ตอนนี้เอกชนหลายแห่งผลิตพลังงานพวกนี้เป็นเชิง CSR แล้วขายไฟเข้าสายส่ง กฟผ. เอาค่า adder (ต้นทุนส่วนต่างที่ให้กับไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน) ตัวเองได้หน้า แต่ กฟผ. ต้องจ่ายเงินให้ครับ ทำให้ค่าไฟแพงขึ้นมาเล่นๆไปแบบนั้นเอง พลังงานหมุนเวียนตัวเดียวที่มีปริมาณมากพอที่จะผลิตไฟฟ้าจำนวนมากและต้นทุนต่ำคือพลังงานน้ำครับ แต่บ้านเราก็ใช้ศักยภาพพลังงานน้ำเกือบเต็มที่แล้ว
ปัจจุบันพลังงานที่มีศักยภาพในการเป็น base load ทดแทนก๊าซธรรมชาติ และมีต้นทุนไม่แตกต่างจากก๊าซธรรมชาติมากนักมีเพียงถ่านหิน และนิวเคลียร์ ซึ่งทั้งสองตัวฟังแล้วหลายๆคนก็ทำหน้ายี้ทันที สำหรับถ่านหินนั้นเราติดภาพลักษณ์ว่ามันปลดปล่อยมลพิษในขณะที่นิวเคลียร์ก็ฟังดูน่ากลัว
พลังงานนิวเคลียร์เป็นพลังงานสะอาดและมีราคาถูก พลังงานจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ทำให้ได้พลังงานมาต้มน้ำเพื่อปั่นไฟเหมือนเชื่อเพลิงฟอสซิลครับ ที่สำคัญคือมันให้พลังงานมหาศาลเมื่อเทียบกับปริมาณเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่ใช้ แถมไม่ก่อให้เกิด CO2 หรือพวกมลพิษทางอากาศอื่นๆด้วย ข้อเสียก็คือต้องใช้น้ำปริมาณมากในการหล่อเย็น หรือหากเป็นโรงงานนิวเคลียร์รุ่นหลังๆก็ใช้น้ำอัดความดัน น้ำโมเลกุลหนัก หรือเกลือหลอมเหลวในการหล่อเย็นแทนน้ำ แต่ก็ต้องมีการทิ้งน้ำร้อนปริมาณมหาศาลด้วย ทำให้โรงงานนิวเคลียร์จำเป็นต้องตั้งติดแหล่งน้ำ การกำจัดกากนิวเคลียร์ก็ช่างทำยากเย็น แถมผู้คนก็หวาดกลัวกรณีรั่วไหลด้วย นั่นทำให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกิดยาก แม้จะมีหน่วยงานสากลอย่าง IAEA ทำหน้าที่ตรวจสอบการก่อสร้างและบำรุงรักษาอย่างละเอียดทุกขั้นตอน ไม่ต้องกลัวเรื่องทุจริตลดสเป็ค เพราะใครๆก็รู้ว่าถ้าเกิดอุบัติการณ์กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เรื่องมันไม่จิ๊บแบบบ้านพังเพราะรับเหมาห่วยแน่ๆ
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบ PWR (น้ำอัดความดัน) ที่ทั่วโลกใช้กันมากที่สุด
คนเห็นข้อดีของนิวเคลียร์นะครับ แต่ก็ยังไม่วางใจกันเท่าไหร่ จากการสำรวจของ กฟผ. ช่วงปลายปี 2552 พบว่าประชาชน 64% ต้องการให้มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทย แต่เมื่อถามว่าเอาไปตั้งหลังบ้านท่านยอมไหม? ประชาชน 66% ไม่เอาครับ (ซะงั้น)
กระทรวงพลังงาน, กฟผ. และหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องได้ศึกษาเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทยมาหลายปี ศึกษาตั้งแต่ก่อนมุ่งผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติด้วยซ้ำ ไม่นานมานี้ กฟผ. ได้จ้าง Burns and Roe Asia, Ltd. มาประเมินจัดทำแผนการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2551-2553 จนกระทั่งปี 2553 ไทยก็ได้รับการประเมินจาก IAEA ว่า "มีความพร้อมมากกว่าเวียดนามและอินโดนีเซีย แต่ต้องทำความเข้าใจกับประชาชน" ตอนนั้นเราใกล้เคียงจะเดินหน้าแผนการใช้พลังงานนิวเคลียร์ผลิตไฟฟ้าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยมากที่สุดแล้วครับ โดยเล็งตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไว้ 5 ที่คือท่าตะโก, คลองใหญ่, ท่าชนะ, สิชล และขนอม กำลังผลิตไฟฟ้ารวม 5,000 MW จะสร้างโรงแรกเสร็จพร้อมใช้งานในปี 2563
บ้านใครบ้างจ๊ะ?
แต่แล้วในปี 2554 ก็เกิดอุบัติการณ์ฟุกุชิม่าขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่นตามที่เราทราบข่าวกันดีครับ แม้แต่ประเทศที่สร้างโรงไฟฟ้าด้วย safety factor หลายเท่าแบบญี่ปุ่นก็ยังมีเหตุการณ์รุนแรงขนาดนี้ขึ้นได้ ยังดีว่าชาวญี่ปุ่นเป็นคนประเภทที่ไม่ว่าจะเผชิญสถานการณ์เลวร้ายขนาดไหนพวกเขาก็จะใช้เวลาไม่นานในการฟื้นตัวกลับมาได้ โลกเราสมัยนี้ก็ถูกจับตาว่าชักออกอาการแปลกๆ ใครจะรู้ว่าประเทศตัวเองจะมีแผ่นดินเลื่อนมหึมาแบบนี้อีกหรือเปล่า ช่วงนั้นประชาชนเลยพากันหวาดกลัวนิวเคลียร์ หลายๆประเทศมีการรณรงค์ต่อต้านนิวเคลียร์อย่างรุนแรงมากจนแผนด้านนิวเคลียร์หลายอย่างต้องพับไป รวมทั้งในประเทศไทยที่เลื่อนกำหนดการก่อสร้างออกไปอีก 6 ปี และเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจาก LNG แทน (ต้องทำใจว่าค่าไฟในอนาคตจะแพงขึ้นเรื่อยๆนะครับ) ABAC Poll ทำการสำรวจความเห็นประชาชนไทยในเดือน มี.ค. 2554 (เอามันช่วงนิวเคลียร์รั่วใหม่ๆนี่แหละ) พบว่า 83% ไม่เห็นด้วยกับการสร้างโรงไฟ้านิวเคลียร์ในประเทศ หลังจากนั้นก็แทบไม่มีคนพูดถึงนิวเคลียร์อีกเลย...
สำหรับถ่านหินนั้นเป็นพลังงานหลักที่ทั่วโลกใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า แต่โชคร้ายที่บ้านเรามีแต่ลิกไนต์คุณภาพห่วยแตก ถ้าจะทำโรงไฟฟ้าถ่านหินสะอาดได้ค่าความร้อนสูงมลพิษน้อยต้องบิทูมินัสหรือซับบิทูมินัส ซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศ กระบวนการในการผลิตพลังงานแบบถ่านหินสะอาด หรือที่ได้ยินกันบ่อยๆว่า Clean Coal Technology นั้นมีหลากหลาย ตั้งแต่การทำ pre-combustion (เติม O2 ในกระบวนการ gasify ถ่านหิน), post-combustion (เอา flue gas จากกระบวนการเผาไหม้ไปทำความสะอาด), oxy-fuel combustion (ป้อน O2 และ CO2 ในกระบวนการเผาไหม้) และอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีการทำระบบดักจับและกักเก็บ CO2 จากโรงไฟฟ้า แต่ก็ยังไม่คุ้มทุนในเชิงพาณิชย์ครับ
การทำแผนพลังงานได้ผ่านประชาพิจารณ์และการประชุมส่วนภูมิภาคหลายครั้ง ปรับแก้ข้อมูลกันก็หลายหน มีหลายๆประเด็นที่ชาวบ้านไม่เห็นด้วย เช่น กฟผ. ประมาณปริมาณการสำรองไฟฟ้ามากเกินไป ทำให้สร้างโรงไฟฟ้าเผื่อขาดไว้มาก ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจึงแพงขึ้น
สิ่งที่แผนล่าสุดเปลี่ยนไปจาก PDP 2010 ฉบับเดิมนอกจากการปรับค่าประมาณการคือลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากต่างประเทศ จากเดิมตั้งเป้าว่าปี 2573 อาจต้องมีการนำเข้าไฟฟ้าถึง 19% ก็ลดเหลือเพียง 0.3% แต่ที่น่ากลุ้มก็คือเชื้อเพลิงหลักยังคงเป็นก๊าซธรรมชาติ ที่แม้สัดส่วนจะไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ แต่ปริมาณผลิตไฟฟ้าที่สูงขึ้นมากทำให้ก๊าซธรรมชาติผลิตไฟฟ้าเพิ่มจาก 113,013 ล้านหน่วย เป็น 201,161 ล้านหน่วย นั่นคือใช้ก๊าซมากขึ้นไปกว่าปัจุบันอีกเกือบสองเท่า!! (แล้ว ปตท. จะไปหาก๊าซมาจากไหนครับคู้ณ...) ในอนาคตก๊าซธรรมชาติรวมทั้งเชื้อเพลิงอื่นๆจะเน้นพวก unconventional reservoir มากขึ้น ซึ่งพวกนี้มีต้นทุนในการผลิตสูง ทำให้ราคามันแข่งขันไม่ได้ แต่เมื่อมีความจำเป็นก็ต้องใช้ ทำให้ราคาเชื้อเพลิงในอนาคตสูงขึ้นเรื่อยๆด้วย และแน่นอนว่ามันจะกระทบกับค่าไฟที่สูงขึ้นด้วยครับ ตราบใดที่ยังหาพลังงานอื่นๆที่มีราคาถูกมาใช้ไม่ได้ และยังใช้ไฟเพิ่มขึ้นแบบหยุดไม่อยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ
สถานะของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใน PDP2010 rev3 เป็นไงบ้างแล้ว? ตอนนี้ในแผนระบุไว้แค่ให้มีสัดส่วนไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ไม่เกินร้อยละ 5 และเลื่อนวันเปิดโรงไฟฟ้าจากปี 2563 เป็น 2569 ส่วนถ่านหินนั้นเขียนไว้ว่าให้มีสัดส่วนที่เหมาะสม และต้องเป็นเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด (แน่นอนว่าแพงกว่าก๊าซ)
ทีนี้ก็มาถึงภาระในส่วนของการจัดหาก๊าซธรรมชาติเพื่อป้อนให้กับการไฟฟ้าในปัจจุบันบ้าง ปตท. จะต้องหาก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามความต้องการที่สูงขึ้นแบบไม่มีทีท่าที่จะดันโรงไฟฟ้าแบบอื่นมาเป็นตัวเอกแทนซะที จากเดิมขุดเจาะในประเทศก็ต้องขยายไปซื้อก๊าซจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งในรูปแบบต่อท่อก๊าซเข้ามา หรือแม้แต่ขนก๊าซธรรมชาติเหลวใส่เรือมาในรูปแบบ LNG นั่นคือ ปตท. ก็มีหน้าที่จัดหาก๊าซธรรมชาติให้เพียงพอในฐานะที่เป็นแหล่งพลังงานใหญ่ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ในขณะที่การไฟฟ้าก็มีหน้าที่ผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการ และในขณะเดียวกันก็ต้องหาทางแนะนำโรงไฟฟ้าประเภทใหม่ๆให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนด้วย ขอแค่ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดครับ
อันนี้คือหนังสือจากสหภาพการไฟฟ้า นำโดยนายศิริชัย ไม้งาม แกนนำพันธมิตรที่คัดค้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจทุกรูปแบบ และออกมาด่า ปตท. เป็นระยะๆ
วัตถุประสงค์เหมือนจะดี แต่จริงๆมันก็เนียนโทษ ปตท. อยู่ดีนั่นแหละ แล้วคนที่ขยันลากการเมืองมายุ่งกับพลังงานวันละสามเวลามันแกนั่นแหละ! ดีว่าพนักงาน กฟผ. ก็ไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับสหภาพไปซะทุกอย่าง แม้แต่ตอนประท้วงเรื่องแปรรูปมีการสั่งให้พนักงานหยุดทำงาน ดับไฟประท้วงด้วย โชคดีที่ฝ่ายผลิตยังมีสติดีพอและรู้ดีว่าการบ้าไปกับเกมการเมืองจะส่งผลกระทบกับประเทศและองค์กรขนาดไหน ไม่เหมือน สร.รฟท. ปี 52 ที่นัดกันหยุดเดินรถไฟทิ้งผู้โดยสารลงกลางทางเพื่อประท้วงรัฐบาลพี่มาร์คที่ให้ รฟท. ตั้งบริษัทลูกปรับโครงสร้างการบริหารเพื่อแก้ไขปัญหาขาดทุนสะสม พวกก็เล่นตีความไปว่าจะเป็นการแปรรูปรถไฟซะงั้น
แต่ผมเชื่อว่าตอนนี้รถไฟกำลังมีแผนการเติบโตที่น่าจับตามองมากครับ
เดิมทีไม่ว่าจะเป็นแผนพัฒนาตัวไหนๆหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องทำความเข้าใจกับประชาชนและพัฒนาไปในทางที่ผู้เชี่ยวชาญได้หารือกลั่นกรองกันมาเป็นอย่างดีแล้ว แต่เดี๋ยวนี้การเมืองมันปนไปกับทุกสิ่งและแข่งกันปั่นข้อมูลปลอมเพื่อผลประโยชน์ของฝั่งตัวเองจนแยกแยะยากครับ ผมจึงคิดว่าเราจำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานก่อนจะจัดหนักกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพื่อลดความขัดแย้งและจัดการกับพวกประสงค์สร้างข้อมูลเท็จ (แล้วยังช่วยป้องกันอาการเงิบของตัวเราเองได้ด้วยครับ) นอกจากข้อมูลจากหน่วยราชการแล้ว ท่านที่สนใจสามารถหาอ่านความคิดเห็นของผู้รู้ในเรื่องต่างๆได้ตามเว็บวิชาการ เอาที่ใกล้ๆตัวหน่อยก็อย่างเช่นห้องหว้ากอของพันทิปหรือเว็บวิชาการดอทคอม เมื่อเข้าใจว่าสังคมของเรากำลังเผชิญหน้ากับอะไรก็จะทำให้เราไม่โดนสื่อหลากสีลากไปลากมาครับ
อย่างเรื่องรถไฟรางคู่-รถไฟความเร็วสูงที่มีประเด็นร้อนแรงอยู่ตอนนี้ก็เป็นสิ่งที่ห้องหว้ากอพูดกันมานานมากแล้วครับ คราวหน้าอาจมีโอกาสได้เล่าถึงความจำเป็นในการพัฒนาระบบรางเพื่อการขนส่งของประเทศไทย หรือไม่ก็จัด basic finance สำหรับคนนอกสายการเงินเพื่อความเข้าใจเรื่องหนี้ที่ถูกต้องดีกว่า
บทบาทของประชาชนอย่างเราๆที่ควรทำมากกว่าการกดแชร์กดไลค์ hate speech ไร้สาระ (ถึงจะแค่กดไลค์มันก็ขึ้นโชว์ให้เพื่อนๆท่านเห็นนะครับ) คือการทำความเข้าใจและร่วมกันตรวจสอบให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างถูกต้อง รวมทั้งตระหนักและมีส่วนร่วมในการบรรเทาปัญหาครับ เช่นเดือน เม.ย. สุดร้อนนี้เรามาแข่งกันประหยัดไฟดีกว่า ค่าไฟเดือน มี.ค. ของผม 932 บาท เดือน เม.ย. จะพยายามทำให้ต่ำกว่านี้ด้วยวิธีการต่างๆ เช่นประหยัดแอร์ด้วยการเข้าไปนอนในตู้เย็น
Create Date : 03 เมษายน 2556 |
Last Update : 27 สิงหาคม 2560 21:29:02 น. |
|
62 comments
|
Counter : 7579 Pageviews. |
|
|
|
โดย: oa (rosebay ) วันที่: 3 เมษายน 2556 เวลา:20:53:26 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 3 เมษายน 2556 เวลา:21:13:15 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 3 เมษายน 2556 เวลา:21:32:26 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 3 เมษายน 2556 เวลา:21:32:27 น. |
|
|
|
โดย: ชีริว วันที่: 3 เมษายน 2556 เวลา:21:38:15 น. |
|
|
|
โดย: คมไผ่ วันที่: 3 เมษายน 2556 เวลา:23:03:06 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 3 เมษายน 2556 เวลา:23:27:24 น. |
|
|
|
โดย: lovereason วันที่: 4 เมษายน 2556 เวลา:0:00:20 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 เมษายน 2556 เวลา:9:31:35 น. |
|
|
|
โดย: ประกายพรึก วันที่: 4 เมษายน 2556 เวลา:9:40:24 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 4 เมษายน 2556 เวลา:10:03:33 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 4 เมษายน 2556 เวลา:10:07:04 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 4 เมษายน 2556 เวลา:13:10:37 น. |
|
|
|
โดย: ประกายพรึก วันที่: 4 เมษายน 2556 เวลา:13:22:46 น. |
|
|
|
โดย: tifun วันที่: 4 เมษายน 2556 เวลา:13:42:53 น. |
|
|
|
โดย: ประกายพรึก วันที่: 4 เมษายน 2556 เวลา:15:05:37 น. |
|
|
|
โดย: ประกายพรึก วันที่: 4 เมษายน 2556 เวลา:16:37:32 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 4 เมษายน 2556 เวลา:21:47:28 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 5 เมษายน 2556 เวลา:0:05:17 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 5 เมษายน 2556 เวลา:8:28:10 น. |
|
|
|
โดย: NENE77 วันที่: 5 เมษายน 2556 เวลา:15:06:43 น. |
|
|
|
โดย: วนารักษ์ วันที่: 5 เมษายน 2556 เวลา:16:35:41 น. |
|
|
|
โดย: schnuggy วันที่: 6 เมษายน 2556 เวลา:0:58:47 น. |
|
|
|
โดย: ตาลเหลือง วันที่: 6 เมษายน 2556 เวลา:10:49:36 น. |
|
|
|
โดย: พี่สาวคนโต.. (เริงฤดีนะ ) วันที่: 6 เมษายน 2556 เวลา:11:21:27 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 6 เมษายน 2556 เวลา:22:51:40 น. |
|
|
|
โดย: mastana วันที่: 7 เมษายน 2556 เวลา:16:07:16 น. |
|
|
|
โดย: schnuggy วันที่: 8 เมษายน 2556 เวลา:1:34:01 น. |
|
|
|
โดย: ประกายพรึก วันที่: 8 เมษายน 2556 เวลา:8:03:13 น. |
|
|
|
โดย: ดอกแก้ว เจ้าค่ะ (tanh2o) IP: 115.67.195.56 วันที่: 9 เมษายน 2556 เวลา:0:15:37 น. |
|
|
|
โดย: เป็ดสวรรค์ วันที่: 9 เมษายน 2556 เวลา:1:03:56 น. |
|
|
|
โดย: คมไผ่ วันที่: 9 เมษายน 2556 เวลา:11:00:05 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 9 เมษายน 2556 เวลา:11:52:36 น. |
|
|
|
โดย: ประกายพรึก วันที่: 9 เมษายน 2556 เวลา:14:02:37 น. |
|
|
|
โดย: คมไผ่ วันที่: 9 เมษายน 2556 เวลา:14:48:22 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 9 เมษายน 2556 เวลา:16:08:37 น. |
|
|
|
โดย: ดอกแก้ว เจ้าค่ะ (tanh2o) IP: 115.67.6.169 วันที่: 9 เมษายน 2556 เวลา:17:43:40 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 9 เมษายน 2556 เวลา:23:26:24 น. |
|
|
|
โดย: mastana วันที่: 10 เมษายน 2556 เวลา:11:18:45 น. |
|
|
|
โดย: rommunee วันที่: 10 เมษายน 2556 เวลา:21:11:00 น. |
|
|
|
โดย: maeboon IP: 85.201.1.191 วันที่: 10 เมษายน 2556 เวลา:21:11:13 น. |
|
|
|
โดย: ชีริว วันที่: 11 เมษายน 2556 เวลา:0:02:27 น. |
|
|
|
โดย: วนารักษ์ วันที่: 11 เมษายน 2556 เวลา:14:19:10 น. |
|
|
|
|
|
|
|
พี่ก็พยายามลดค่าไฟทุกเดือนค่ะ เพราะพี่เป็นคนถือเงิน ปกติเราก็จะไปสุมหัวที่ห้องลูกอยู่แล้ว จนใกล้จะหลับถึงกลับมาห้องตัวเอง ไม่ใช่กระหน่ำเปิดแอร์สองห้องพร้อมกัน แถมตั้งเวลาปิดตี 3 แล้วลุกมาเปิดพัดลมต่อ...
เมฆถามว่า ห้องข้างล่าง (ไม่ใช่ห้องนอน) แม่ติดแอร์ไว้ทำไมไม่เปิด...คือเป็นแอร์ตัวใหญ่ ไม่ใช่แอร์ประหยัดไฟน่ะค่ะ ก็เลยเปิดนับครั้งได้