|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ออบหลวง-ดอยอินทนนท์
ทริปฮอดต่อจากบล็อกที่แล้ว หลังแวะบ้านน้องสะใภ้และไปดูเมืองโบราณฮอด(ส่วนที่ยังเหลือให้ดูบนบก)แล้ววันต่อมาพวกเราก็ไปสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติยอดฮิตสองแห่งของเชียงใหม่ คือออบหลวงและดอยอินทนนท์ครับ
คนเที่ยวดอยอินทนนท์ส่วนใหญ่จะขึ้นจากอำเภอจอมทองขึ้นไป แต่บ้านผมตั้งต้นจากอำเภอฮอดก็ไปต่อเส้น 108 แวะเที่ยวออบหลวง แล้วค่อยขึ้นอินทนนท์จากอีกฝั่งดีกว่า ถึงจะไกลกว่ากันเยอะแต่ช่างมัน เพราะวันนี้ผมไม่ได้ขับรถครับ (น้องขับ 555) บล็อกนี้จะรวมเอาสองทริปเข้าด้วยกันคือทริปปลายเดือน ต.ค. ปี 2012 และทริปหน้าฝนที่เพิ่งจะไปกันช่วงวันแม่ปีนี้ครับ ตามมาชมบรรยากาศสองแบบกันเลยดีกว่าพวกเรา...
ออบหลวง แปลว่าช่องแคบขนาดใหญ่ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่สายน้ำแม่แจ่มเซาะผ่านร่องหินตามแนวรอยเลื่อน เกิดเป็นหุบเขาลึก หรือที่เมืองนอกเรียกว่า Gorge นั่นละครับ
ที่อุทยานแห่งชาติออบหลวงนี้ช่วงวันแม่เข้าฟรีครับ ข้อหาพาแม่มาเที่ยว ปกติก็เที่ยวกันทุกอาทิตย์อยู่แล้ว แต่หนนี้ได้เข้าอุทยานฟรีโดยไม่ได้ตั้งใจ
ที่นี่มีเส้นทางเดินเลาะหุบเขามีแนวไผ่สวยงาม เจ้าหน้าที่เล่าว่าปี 2554 ระดับน้ำขึ้นสูงมาถึงด้านบนนี้เลยครับ ...สูงกว่าระดับน้ำปกติตั้ง 30 เมตรนะ!
นี่คือจุดที่แคบที่สุด และเป็นจุดไฮไลท์ของออบหลวงด้วย ส่วนที่แคบที่สุดกว้างเพียง 2 เมตร มีสะพานเดินเชื่อมไปอีกฝั่งที่เรียกว่าดินแดนมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์
(ข้ามมาแล้วจ้า) ที่นี่มีร่องรอยของมนุษย์โบราณที่เคยมาปักหลักบริเวณนี้ตั้งแต่ยุคหินจนถึงยุคโลหะ โดยร่องรอยเก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบคือเมื่อ 28,000 ปีก่อน นับว่าเป็นสถานที่แรกๆที่มีมนุษย์มาตั้งรกรากในดินแดนประเทศไทยเลยครับ โครงกระดูกมนุษย์ยุคสำริดอายุ 2,500 - 3,500 ปีที่ขุดพบที่นี่เคยตั้งไว้ที่ทำการอุทยาน แต่ตอนนี้ย้ายไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่แล้ว ใครคิดถึงก็กดเข้าไปชมบล็อกนี้ได้ครับ
ส่วนในออบหลวงเหลือแต่หลุมฝังศพจ้า
หินแกรนิตที่มีทั่วพื้นที่แสดงความเป็นชั้นหินใต้พื้นโลกที่ดันตัวขึ้นมาเมื่อหลายล้านปีก่อน
อันนี้ภาพเขียนสียุคก่อนประวัติศาสตร์ เลือนจนมองแทบไม่เห็นอะไรแล้ว เขาเลยเอาสีขาวมาป้ายให้เห็นรอย -__-"
ลงจากออบหลวง แล้วขับขึ้นมาเส้น 1088 ทางขึ้นดอยอินทนนท์ แวะบ่อน้ำพุร้อนเทพพนมที่อยู่ข้างทางเสียหน่อยครับ เป็นบ่อน้ำพุเล็กๆหลายบ่อ ไม่ค่อยมีอะไรให้ดูนะ ไม่มีแช่ตัว ต้มไข่ หรือสาวๆออนเซ็นแบบในการ์ตูนฮาเร็มให้ดูแน่นอน
ขึ้นดอยอินทนนท์ต่อมีการทำเกษตรกรรมตลอดสองข้างทาง ส่วนใหญ่เป็นโครงการหลวงที่ยกที่ภูเขาให้ชาวไทยภูเขาทำมาหากิน จะได้เลิกรุกป่า หรือปลูกฝิ่นกันเสียที จากนั้นมูลนิธิโครงการหลวงก็จะเป็นพ่อค้าคนกลางรับพืชผลไปขายต่อในราคาสูง
แต่การเข้ามาทำการเกษตรบนภูเขาชาวบ้านก็เผาป่าทิ้งนั่นละครับ เมื่อก่อนเด็กเชียงใหม่จะถูกโรงเรียนเกณฑ์มาหิ้วน้ำขึ้นไปดับไฟป่าบนอินทนนท์เป็นเวรดับไฟ (ไม่รู้ว่าสมัยนี้ยังมีอยู่ไหม) แบกน้ำเดินเป็นสิบกิโลเมตรนี่ไม่ชิลนะครับ พอหลวงยกที่ให้ชาวเขาขึ้นมาเผาป่าที่ตัวเองปกป้องกันมาตั้งนาน แหม่ น้ำตามันแทบไหลปรี่
พูดถึงชาวบ้านชุมชนเกษตรในพื้นที่ห่างไกลก็ต่างเคยปลูกพืชเลี้ยงตัวเอง จนกระทั่งวิถีชีวิตถูกเปลี่ยนให้ปลูกพืชเศรษฐกิจที่ราคาถูกกำหนดมาจากส่วนกลาง ความสามารถในการพึ่งพาตนเองก็ด้อยลง และไร้อำนาจต่อรอง น่าเศร้าที่ความรู้สึกที่ว่าคนต่างจังหวัดไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ถูกปลูกฝังให้กับคนเมืองทั้งที่พวกแกเป็นคนยัดเยียดวิถีชีวิตแบบใหม่ไปให้พวกเขาไม่ใช่เรอะไง? นอกจากถูกควบคุมอาชีพเกษตรกรรมแล้ว พื้นที่ป่าในภาคเหนือยังโดนแจกสัมปทานให้คนภายนอกเข้ามาฉกฉวยทรัพยากรไปมาก โดยเฉพาะตั้งแต่ตั้งกรมป่าไม้ในสมัย ร.5 ไม้ในป่าสัมปทานถึง 85% ถูกส่งออกเมืองนอก และในทศวรรษ 2520+ ก็มีการใช้ป่าเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจทั้งทำรางรถไฟ เผาถ่าน ขุดเหมือง สร้างเขื่อน รวมถึงถางป่าเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจด้วย ในขณะที่คนท้องที่ไม่สามารถบุกรุกป่าได้ จนเกิดการรวมตัวคัดค้านสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือหลายกลุ่มก้อน มีแม้กระทั่งชาวบ้านยื่นขอลาออกจากความเป็นคนไทย ในที่สุดรัฐบาลต้องประกาศปิดป่าเลิกสัมปทานในปี พ.ศ.2531 ทำให้สามารถรักษาผืนป่าอุดมสมบูรณ์ไว้ได้ส่วนหนึ่ง
จุดสนใจที่คนแน่นที่สุดบนดอยอินทนนท์ก็ต้องที่นี่เลยครับ เจดีย์คู่ (ไม่ใช่ยี่ห้อถั่วลิสงอบแห้งนะ) พระธาตุนภเมทนีดล (สีน้ำตาล) และพระธาตุนภพลภูมิสิริ (สีฟ้า) ไปทีไรหาที่จอดรถยากมากๆ แต่ก็ช่างมันครับ น้องขับ 555
นภเมทนีดล = ยิ่งใหญ่เพียงฟ้าจดดิน
กองทัพอากาศสร้างพระธาตุนภเมทนีดลขึ้นในปี พ.ศ. 2530 เพื่อเฉลิมฉลองในหลวงครบ 60 พรรษา สูง 60 เมตร ค่าใช้จ่ายรวม 45 ล้านบาท ภายในมีพระบรมสารีริกธาตุ และพระพุทธรูปปางประธานพรทำจากหินแกรนิต แกะจากอินโดนีเซีย
นภพลภูมิสิริ = เป็นกำลังแห่งฟ้า เป็นสิริแห่งดิน
สำหรับพระธาตุนภพลภูมิสิริถูกกองทัพอากาศสร้างในอีก 5 ปีต่อมา เมื่อราชินีครบ 60 พรรษาเช่นกัน สูง 55 เมตร ค่าใช้จ่ายรวม 135 ล้านบาท ภายในมีพระบรมสารีริกธาตุ และพระพุทธรูปปางรำพึงทำจากหินหยกขาว แกะจากจีน
ที่ผมชอบที่สุดเกี่ยวกับถั่วลิสงอบ...เอ้ย! เจดีย์คู่นี้นอกจากชื่ออันไพเราะแล้วก็คือสวนรอบๆเจดีย์ที่จัดได้อย่างสวยงามครับ พันธุ์ไม้สวยงามตามสไตล์ภูเขาสูงภาคเหนือแบบที่ไม่ได้หาดูง่ายๆใน กทม. ก็มีให้เห็นมากมายที่นี่ พวกมอสก็ขึ้นหนาตึ้บ แสดงว่าแถวนี้อากาศดีจริงๆ
ทีนี้ไปชมพระธาตุในอีกบรรยากาศหนึ่งกันครับ อันนี้ที่ไปรอบเดือน ส.ค. นี้ เป็นหน้าฝนก็คิดว่าไม่น่าจะหนาว ที่ไหนได้ ละอองฝนพรำและลมพัดแรง ทำเอาหนาวแบบสุดๆไปเลยครับ
แต่บรรยากาศก็เหมือนเมืองนอกเลยนะ ดูสิๆ เหมือนไซเลนท์ฮิล เอ้ย! สวิสเซอร์แลนด์เลย
ขับรถขึ้นไปต่อจนถึงยอดดอยครับ ที่นี่คือจุดสูงสุดของดอยอินทนนท์ หรือก็คือจุดสูงสุดของประเทศไทย บริเวณนี้เรียกว่าอ่างกาหลวง มีที่ตั้งสถานีเรดาห์ของกองทัพอากาศ และศูนย์บริการนักท่องเที่ยวด้วย หลายๆคนมาส่องนกกันเพราะนกแถวนี้เชื่องคนมากครับ โพสต์ท่าให้ถ่ายน่าดูเลย (แต่ผมไม่ได้ถ่ายมา) บนนี้มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่งดงามครับ เป็นทางเดินสั้นๆ เพียง 300 เมตร แต่ทิวทัศน์ป่าอันอุดมสมบูรณ์ก็ช่วยรีเฟรชเราจากการทำงานมาทั้งสัปดาห์ได้เป็นอย่างดี
ดูสิครับ เหมือนป่าดึกดำบรรพ์เลย
จุดสูงสุดสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 2,565 เมตร บนนี้มีป้าย "สูงสุดแดนสยาม" ที่ต่อคิวถ่ายรูปกันยาวเหยียด แต่จุดที่สูงที่สุดจริงๆคือจุดนี้ครับ เลยจากป้ายมาอีกหน่อย ตรงนี้คือที่ฝังอัฐิเจ้าอินทวิชยานนท์ ผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 7 ซึ่งเจ้าดารารัศมีนำมาฝังไว้ในปี พ.ศ.2458 เดิมทีดอยอินทนนท์มีชื่อว่าดอยหลวง หรือดอยอ่างกา แต่หลังนำอัฐิขึ้นมาฝังก็เปลี่ยนชื่อเป็น "ดอยอินทนนท์" ตามชื่อของเจ้าอินทวิชยานนท์นั่นเอง
ขาลงผ่านสวนพลับที่เปิดให้เข้าชมก็เข้าไปถ่ายรูปกันนิดหน่อยครับ ด้านหน้ามีขายลูกพลับด้วย เขาเอาจากสวนไปคัดขนาดที่บ้านแล้วยกกลับมาขายหน้าสวนเหมือนเดิมน่ะ พวกพืชผักแปลกๆอยากชิมก็มาหาซื้อได้บนนี้เลยครับ มีสตอเบอรี่อบแห้ง กับเคพกุสเบอรี่ (ลูกสีเหลืองๆ รสชาติเหมือนมะเขือเทศสุก) ขายด้วย
แต่นแต๊น~ ก่อนถึงพื้นต้องมาที่นี่ครับ น้ำตกวชิรธาร เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ สูงถึง 80 เมตร น้ำแรงมากๆ ขึ้นไปยืนหน้าน้ำตกนี่โดนละอองเปียกกันถ้วนหน้า
ขับต่อมาพวกเราก็ลงมาแลนดิ้งที่อำเภอจอมทอง จากนั้นก็เข้าเมืองเชียงใหม่ไปหาความสนุกยามค่ำคืน ผมหลงสเน่ห์อีกอย่างของเชียงใหม่ตรงที่มีของอร่อยให้เลือกกินยามดึกนี่แหละ ไว้ไปอีกหลายๆรอบค่อยรวมสรุปลงบล็อกดีกว่า
Create Date : 02 ตุลาคม 2557 |
|
30 comments |
Last Update : 5 มีนาคม 2560 18:52:43 น. |
Counter : 2698 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: เนินน้ำ 3 ตุลาคม 2557 1:15:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: อุ้มสี 3 ตุลาคม 2557 21:52:38 น. |
|
|
|
| |
โดย: T-H-F-C 5 ตุลาคม 2557 0:10:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนินน้ำ 5 ตุลาคม 2557 8:17:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณต่อ (toor36 ) 5 ตุลาคม 2557 22:52:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: anigia 6 ตุลาคม 2557 23:39:26 น. |
|
|
|
|
|
|
|
คืนนี้ราตรีสวัสดิ์ ขอให้หลับฝันดีนะคะ
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
ชีริว Travel Blog ดู Blog