|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
เที่ยวคันไซตามใจฉัน (2): เกียวโตฝั่งตะวันออก
มาต่อวันที่สองสำหรับทริปคันไซ วันนี้ก็ยังคงอยู่ในเกียวโตครับ แต่จะเที่ยวฝั่งตะวันออกของเกียวโต หลังจากเมื่อวานเที่ยวฝั่งตะวันตกไปแล้ว
หลังจากเอาอาหารแช่เย็นที่ซื้อจากลอว์สันเมื่อวานไปอุ่นกินเป็นมื้อเช้าแล้วเราก็ออกเดินทางจากที่พัก ตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงเช้าวันอาทิตย์ (30 ต.ค. 59) แต่ก็เห็นยังมีเด็กๆ แต่งชุดไปโรงเรียนอยู่แฮะ
มาที่สถานีรถบัสเกียวโต จะเห็นเกียวโตทาวเวอร์ตั้งเด่นเป็นสง่า เดี๋ยวคืนนี้จะขึ้นไปชมวิวข้างบนกันครับ แต่ช่วงเช้านี้ขอเที่ยววัดก่อน
ขึ้นรถสาย 100 ไปที่ Gojo-zaka จากนั้นเดินขึ้นเนินไปอีก 20 นาที จะถึง วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu-dera Temple) หรือที่คนไทยเรียกกันว่าวัดน้ำใส เป็นวัดของศาสนาพุทธ สร้างในปี 778 และเช่นเดิมครับ... ถูกไฟไหม้ ที่เห็นนี้สร้างขึ้นใหม่ในปี 1633 โดยโชกุนโตกุกาวะ อิเอมิสึ
| ประตูไม้สีส้มด้านหน้าเป็นสัญลักษณ์ที่ใครมาถึงก็ต้องมาถ่ายรูปไว้ อันนี้คณะทัศนศึกษาของเด็กๆลงพอดี ค่าเข้าวัดนี้ 400 เยนครับ | กระบองเหล็กและเกี๊ยะของเบ็งเค นักรบในยุคสงครามเก็นเป (เดี๋ยวตอนเย็นจะพาไปชมสะพานโกะโจที่เบ็งเคสู้กับโยชิสึเนะครับ) นิยมมาเสี่ยงทายกันโดยผู้ชายยกกระบองใหญ่ ผู้หญิงให้ใช้มือที่ไม่ถนัดยกกระบองเล็ก ถ้ายกขึ้นแสดงว่าคำอธิษฐานจะประสบความสำเร็จ |
| เทพไดโกคุเทน เป็น 1 ใน 7 เทพแห่งโชคลาภของญี่ปุ่นองค์ที่เห็นบ่อยที่สุด เอกลักษณ์คือถือค้อนและถุงข้าวสาร เป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์และความร่ำรวยครับ
ระเบียงไม้ของวัดนี้เป็นเสาไม้ซุงขัดกันโดยไม่ใช้ตะปูเลยครับ ด้วยความมหัศจรรย์งานช่างนี้ทำให้วัดนี้ได้เข้ารอบ 20 สถานที่สุดท้ายในการโหวต สิ่งมหัศจรรย์ของโลกชุดใหม่ปี 2007 ด้วยนะ จากพื้นถึงตัวระเบียงสูง 15 เมตร เป็นความสูงที่ตกไปไม่ค่อยจะตายกันนะครับ คนญี่ปุ่นที่คิดแผลงๆจะนิยมมากระโดดลงไปตรงนี้โดยเชื่อว่าถ้าไม่ตายสิ่งที่อธิษฐานไว้จะประสบผล แล้วก็มีคนรอดถึง 85% แน่ะ แต่อย่าไปลองเลยครับ เขาห้ามโดดแล้ว
ใช้ระเบียงเป็นจุดถ่ายรูปสวยๆดีกว่าครับ ระเบียงวัดนี้อยู่บนเนินสูงอยู่แล้ว ชมวิวเกียวโตได้ทั่วเลย
ถ้าใบไม้แดงจะสวยกว่านี้เยอะเลยครับ เสียดายมาเร็วไปหน่อย ที่เห็นสูงโดดเด่นนั่นละเกียวโตทาวเวอร์ล่ะ
ภายในวัดมีน้ำตกเขาโอโตวะ แยกเป็นสามสาย ถ้าได้ดื่มน้ำจะได้รับพรตามน้ำตกที่ดื่มเข้าไปครับ สายที่ 1 - ด้านการศึกษา, สายที่ 2 - ด้านความรัก, สายที่ 3 - ด้านสุขภาพ ต่อคิวกันยาวเหยียดเลยครับ เลยไม่ได้ลอง รู้สึกคนส่วนใหญ่จะไปรองกินแต่อันซ้ายสุด (สุขภาพ) นะครับ รองมาก็ความรัก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เรียนจบกันหมดแล้วหละ เลยไม่สนพรเรื่องการศึกษาเท่าไหร่
อ้อ ตอนนี้วัดนี้ปิดปรับปรุงไปแล้วนะครับ (โชคดีผมไปเที่ยวทัน) เปิดอีกทีก็ปี 2020 โน่นเลยจ้า~
ขาลงจะต้องผ่านถนนคิโยมิสึซากะ ที่เต็มไปด้วยของฝากน่าจับจ่ายใช้สอยมากมาย วันนี้ก็ยังคงพยายามอดกลั้นหักห้ามใจไม่ซื้อนะครับ ขี้เกียจแบกของใส่กระเป๋าไปอีก 5 วันแน่ะ ไว้วันท้ายๆค่อยซื้อ
นั่งรถมาที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเกียวโต (Kyoto National Museum) เปิด 9.30 - 17.00 น. ครับ (ปิดวันจันทร์) เลยไปเที่ยววัดคิโยมิสึก่อนแล้วค่อยกลับมาตอนพิพิธภัณฑ์เปิด ค่าเข้า 1,300 เยน ถ้ามาเป็นกลุ่มเกิน 20 คน ลดเหลือคนละ 1,100 เยน ที่นี่สร้างพร้อมๆกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่โตเกียวและนาราครับ เปิดในปี 1897
ตัวพิพิธภัณฑ์สร้างบนรากฐานของวัดโฮโกจิที่สร้างในสมัยโทโยโทมิ ฮิเดโยชิ แบ่งการจัดแสดงเป็นสามโซนคือ Fine Arts (งานปั้น, ภาพเขียน), Handicrafts (บทกวี, สิ่งทอ, งานโลหะ, ถ้วยชาม) และ Archeology (โบราณคดี) ของจัดแสดงทั้งหมดอยู่ในอาคาร Heisei Chishinkan Building ส่วนตัวตึกสวยๆที่เป็นตัวพิพิธภัณฑ์เก่านี้ไม่ได้เปิดให้เข้านะ
อาคารจัดแสดงแบ่งเป็น 3 ชั้น ด้านในมีของจัดแสดงกว่า 6,000 รายการ และมีที่เก็บไว้แต่ไม่ได้นำมาแสดงอีก 6,000 กว่ารายการ แต่อนิจจา... ไม่ให้ถ่ายรูปครับ (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)
ช่วงนี้มีนิทรรศการครบรอบ 150 ปีการเสียชีวิตของของ ซาคาโมโตะ เรียวมะ (1836-1867) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของขายในช้อปของพิพิธภัณฑ์มากกว่าจะมีอะไรมาจัดแสดง เรียวมะเป็นนักดาบดังของญี่ปุ่น ผู้มีบทบาทสำคัญในการล้มล้างรัฐบาลโชกุนโทกุกาวะ และนำไปสู่การปฏิรูปเมจิ พาญี่ปุ่นไปสู่ยุคใหม่ในเวลาต่อมา
ขึ้นรถเมล์สาย 100 ไปสถานที่ถัดไป ศาลเจ้าเฮฮัน (Heian Shrine) ครับ ที่นี่สร้างขึ้นในปี 1895 ฉลองครบรอบ 1,100 ปีการก่อตั้งเฮฮันเคียวหรือเมืองเกียวโตเป็นเมืองหลวง ถวายให้แก่จักพรรดิคัมมุจักพรรดิองค์แรกของยุคเฮฮัน และจักรพรรดิโคเมย์จักพรรดิองค์สุดท้ายของยุคเอโดะ ที่นี่จำลองพระราชวังโชโดอิน (Chodoin) ที่ประทับของจักรพรรดิคัมมุสมัยแรกสร้างเมืองเฮอันขึ้นมาใหม่ด้วย แต่มีขนาดเหลือแค่ 5/8 ของของเดิมนะครับ
เสาโทริอิเป็นที่กำหนดเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ครับ ส่วนมากเห็นตามศาลเจ้าของศาสนาชินโต และหน้าศาลเจ้าเฮฮันนี้เป็นเสาโทริอิขนาดใหญ่ที่สูงถึง 24 เมตร (เสาโทริอิใหญ่ที่สุดอยู่ที่ศาลเจ้า Kumano Hongū Taisha ในวาคายามะ สูง 34 เมตร)
ที่นี่เข้าฟรีจ้า (แม่เจ้าโว้ย! ฟรีที่แรกตั้งแต่มาถึงญี่ปุ่น!!) ประตู Ōtenmon ทางเข้าศาลเจ้าทำเป็นสองชั้นทรงจีน
และนี่คือตัวศาลเจ้าครับ ด้านซ้าย-ขวาคือหอเซย์ริวและหอเบี๊ยกโกะ ซึ่งเป็นสัตว์ประจำทิศของญี่ปุ่น (เซย์ริว-มังกรทิศตะวันออก, เบี๊ยกโกะ-เสือขาวทิศตะวันตก, ซูซาคุ-หงส์ทิศใต้, เก็นบุ-เต่างูทิศเหนือ) วังเดิมถูกไฟไหม้ทำลายไปตั้งแต่ปี 1177 สวนด้านหลังจะเข้าไปต้องจ่ายเงินนะครับ แต่ผมไม่ได้เข้า
ใกล้ๆศาลเจ้ามีสนามกีฬา เบสบอลเป็นกีฬาที่บ้านเราไม่คุ้น แต่เป็นที่นิยมในญี่ปุ่นมากนะ
จากศาลเจ้าเฮฮันเดินมาทางตะวันออก 1.1 กม. จะถึงวัดเอคันโดะครับ แต่ก่อนหน้านั้นแวะหาข้าวกินระหว่างทาง มาเจอเอาร้าน Yamagen ซึ่งดูจากข้างนอกไม่แน่ใจว่าใช่ร้านอาหารหรือเปล่า กลัวเปิดเข้าไปแล้วเป็นบ้านตาลุง แต่ด้วยควมเชื่อมั่นว่ามีผ้าคลุมประตูแบบนี้ไม่ร้านอาหารก็โรงอาบน้ำละฟะ ก็เปิดเข้าไป มันเป็นร้านอาหารจริงๆครับ เน้นเมนูมังสวิรัติอย่างข้าวหน้าเต้าหู้หรือโซบะผัก ชามนึง 700-800 เยน ความอร่อยยังไงก็สู้จานเนื้อเต็มๆไม่ได้อยู่แล้วอะนะ เหมาะสำหรับคนชอบอาหารแนวชีวจิต แต่ถือเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวสำหรับแถวนี้ที่หาร้านอาหารยากหน่อย มื้อนี้ 2,400 เยนครับ
วัดเอคันโดะ (Eikando Temple) หรือวัดเซนรินจิ (Zenrinji Temple) เป็นวัดในพุทธศาสนานิกายโจโดและมีชื่อเสียงในการเป็นสถานที่ชมใบไม้แดงมาก ซึ่งผมก็ได้เห็นต้นที่แดงที่สุดในทริปนี้แล้ว!! ....ต้นเดียว มาเร็วเกินไปสองอาทิตย์ก็แบบนี้แหละ
วัดนี้สร้างในยุคเฮฮันซึ่งไม่สามารถระบุปีได้ เดิมชื่อวัดเซนรินจิ แต่ภายหลังเปลี่ยนชื่อตามหลวงพ่อเอคัน (1033-1111) ที่ปฏิสังขรณ์วัดนี้ขึ้นมา มีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งพระพุทธรูปในวิหารได้หันมาคุยกับหลวงพ่อเอคันเกิดเป็นตำนานพระเหลียวหลังด้วยนะ ตัววัดสร้างบนเนินเขา ด้านในห้องห้ามถ่ายรูป แต่ตามสวนนี่ถ่ายตามสะดวกเลย ค่าเช้าชม 600 เยนครับ แต่ถ้าช่วงฤดูใบไม้ร่วง 1,000 เยน ตอนใบไม้แดงช่วงกลางคืนเข้าชมได้ด้วยนะ เขาจะเปิดไฟให้
เดินขึ้นไปทางเหนืออีก 1.5 กม. เป็นวัดกินคาคุจิ หรือวัดเงิน สร้างตามแบบวัดทองที่แนะนำไปในเอนทรี่ก่อนหน้า จะมีเส้นทางเดินเท้าเลียบคลองบิวาโกะยาวตั้งแต่หน้าวัดกินคาคุจิไปจนถึงวัดนันเซนจิที่อยู่เลยวัดเอคันโดะไปอีกครับ เรียกว่า "ถนนนักปราชญ์" (Philosopher's Path) มีซากุระสองฝั่งคลองสวยงาม ...ซึ่งก็ต้องเป็นหน้าฤดูใบไม้ผลิอะนะ มาตอนนี้ไม่เห็นอะไร ในอดีตนักปราชญ์ Nishida Kitaro มักมาเดินบนถนนเส้นนี้เพื่อให้ใจสงบ หลายๆองค์กรเวลาแต่งภูมิทัศน์ก็พยายามจะทำถนนนักปราชญ์ไว้สำหรับพนักงานหรือนักเรียนได้เดินให้สมองโล่งนะครับ ไหนๆก็มาถึงถนนต้นแบบแล้วก็ลองเดินพลางทำหน้าตามีความรู้กันดู
...ซึ่งก็ไม่ได้รู้สึกมีความรู้ขึ้นมาแต่อย่างใด เดินแล้วหิวมากกว่าครับ ตลอดถนนจนถึงวัดกินคาคุจิมีของกินหลอกล่อสารพัด ไว้เที่ยววัดเสร็จจะออกมาล้างแค้นครับ ตอนนี้ขอเข้าวัดก่อน
วัดกินคาคุจิ (Ginkaku-ji Temple) หรือวัดเงิน เป็นที่พำนักหลังเกษียณของโชกุนอาชิคากะ โยชิมาสะ หลานของโชกุนโยชิมิตสึที่ชอบทะเลาะกับอิคคิวซัง โดยจำลองแบบวัดทองของโชกุนโยชิมิตสึมาในปี 1482 หลังโชกุนโยชิมาสะเสียชีวิตก็ถูกเปลี่ยนเป็นวัดเซนในปี 1490 ครับ ค่าเข้าชม 500 เยน จุดเด่นของวัดคือสวนที่สวยงาม ทั้งสวนหิน สวนมอส และบ่อน้ำ แท่งหินที่กอบมากองกันเป็นกรวยนั่นเรียกว่าแท่นชมจันทร์
ตัววัดเงินไม่ได้มีสีเงินส่องประกายแบบวัดทองที่เป็นสีทองนะครับ สีแบบนี้ตั้งแต่ต้นจนปัจจุบันเลย ว่ากันว่าตอนสร้างเกิดสงครามเสียก่อนเลยไม่ได้ปิดแผ่นเงิน บ้างก็ว่ายามต้องแสงจันทร์วัดนี้จะสว่างจนดูเป็นสีเงิน ตัววัดเพิ่งบูรณะล่าสุดในปี 2010 หลังโดนแผ่นดินไหว
ออกจากวัดกินคาคุจิได้เวลาหาของกินละครับ ซื้อขนมกินรัวๆ สงสัยเต้าหู้เมื่อเที่ยงมันไม่อยู่ท้อง
ไหนๆก็มาเกียวโตที่ขึ้นชื่อเรื่องชาเขียวก็ต้งจัดไปสักโคนนึง ซอฟท์ครีมชาเขียว (400 เยน) กลิ่นชาเขียวหอมเข้ม |
ถั่วแผ่นอันนี้ก็อร่อยครับ (ถุงละ 430 เยน) มีให้ลองชิมก่อนซื้อด้วย คนสนใจต่อคิวกันตลอดตั้งแต่ขาเข้ายันขากลับ
|
ครีมพัฟ (300 เยน) ไส้ทะลักสุดๆ มีให้เลือกใส้วานิลลา คาราเมล และชาเขียว อันนี้วานิลลา |
โมจิถั่วแดง (200 เยน) มีสองลูก เหนียวนุ่มหนึบหนับ
| บ่ายสามเข้าช่วงเย็น ผ่อนคลายอารมณ์จากเที่ยววัดครับ ขอไปเดินช้อปชิลๆในย่านตลาดของเกียวโตที่มีตลาดนิชิกิเป็นที่ขายอาหารขนาดใหญ่ของเกียวโต นั่งรถบัสสาย 5 หรือ 46 มาลงป้าย Shijokawaramachi เดินผ่านย่านกิองย่านบันเทิงยามค่ำคืนที่โด่งดัง แต่ตอนนี้ยังสว่างไม่ได้เห็นอะไรหรอกครับ ถ้าอยากดูเกอิชาก็เข้าไปตามร้านน้ำชาอะ ซึ่งผมก็ไม่ได้เข้า ตรงดิ่งไปตลาดนิชิกิเลย
ตลาดนิชิกิ (Nishiki Market) เป็นตลาดเก่าแก่ใจกลางเมืองเกียวโตที่เปิดมานานกว่า 700 ปี มีร้านค้าขายอยู่สองข้างตลอดทางเดินยาว 400 เมตร มีอาหารทั้งปลาสด ปลาแห้ง อาหารทะเลสดและแปรรูป เนื้อสัตว์ ผัก ข้าวสาร ฯลฯ
ร้านนี้ขายเนื้อมัทสึซากะ ว่ากันว่าถ้ากินเนื้อต้องมาคันไซแหล่งเนื้อชั้นดีที่สุดของโลกครับ และเนื้อที่ร้านนี้ขายก็มีถึงเกรด A-5 เนื้อที่ว่าดีที่สุดในบรรดาเนื้อทั้งหมด เนื้อระดับนี้ต้องมีใบรับประกันด้วยนะ เนื่องจากได้ยินคำร่ำลือถึงรสชาติมันมาก็มาก วันนี้ขอลองสักหนในชีวิต เนื้อ A-5 บาร์บีคิวไม้ละ 1,000 เยน (ถูกกว่าอีเห็ดเมื่อวานเยอะน่า) ขอเชิญประธานชมรมข้าวจากเรื่องโซมะมาบรรยายความยอดเยี่ยมของเนื้อ A-5 ครับ *อ่านจากขวาไปซ้ายแบบญี่ปุ่น*
ขอบคุณภาพแสกนจากเว็บไป่คิง (ขี้เกียจแสกนเองง่ะ)
รอเขาย่างแป๊บนึงแล้วค่อยหม่ำครับ .....น...นี่มัน!! ไขมันแทรกไปกับชั้นเนื้อจนนุ่มลื่นทั้งชิ้น เมื่อกัดลงไปแล้วเนื้อนั้นก็ราวกับจะละลายบนลิ้น ส่งกลิ่นเนื้อหอมฟุ้งไปทั่วทั้งปาก!! ถึงจะว่างั้นก็เหอะ มันก็ยังมีส่วนที่เคี้ยวไม่เข้าเหลืออยู่ก้อนเล็กๆในปากอะนะ จะไปคายก็หาถังขยะยากชิบเป๋ง มันเป็นความน่าพิศวงของญี่ปุ่นที่หาถังขยะยากมากแต่บนพื้นกลับไม่มีขยะแม้แต่ชิ้นเดียว
หลังซื้อของจุกจิกกินจนปากเลอะแล้ว วัดต่อไปคือวัดที่แวะเข้าห้องน้ำครับ ระหว่างทางเดินไปสะพานโกะโจมี วัดบุคโคจิ (Bukko-ji Temple) หรืออีกชื่อคือ โกโชจิ เป็นวัดในศาสนาพุทธนิกายโจโด บริเวณนี้เป็นบริเวณที่ชินรันเจ้านิกายโจโดเคยมาสร้างอาศรม จากนั้นสาวกของนิกายจึงสร้างเป็นวัดขึ้นในปี 1324
เดินจากตลาดนิชิกิมาทางใต้ประมาณ 1.3 กม. จะถึง สะพานโกะโจ (Gojo Bridge) ข้ามแม่น้ำคาโมะ ในอดีตที่นี่เป็นสะพานที่เบ็งเคนักสู้ร่างยักษ์ยืนเฝ้าและคอยท้าประลองกับซามูไรที่ผ่านไปมาเพื่อสะสมดาบ เบ็งเคชนะรวดจนสะสมดาบได้ถึง 999 เล่ม แต่ในการดวลครั้งที่ 1,000 เขาพ่ายแพ้ให้กับโยชิสึเนะ นักดาบหนุ่มที่มีอายุเพียง 14 ปี เบ็งเคได้ขอติดตามโยชิสึเนะด้วยความรักและภักดีจากหัวใจเข้าร่วมกับตระกูลมินาโมโตะสู้ศึกสงครามเก็นเป ที่เป็นการต่อสู้ระหว่างตระกูลไทระและตระกูลมินาโมโตะช่วงต้นยุคคามาคุระ สงครามจบลงด้วยชัยชนะของฝั่งมินาโมโตะ แต่โยชิสึเนะก็ถูกโยริโทโมะพี่ชายทรยศ เบ็งเคได้ปกป้องโยชิสึเนะจากทหารของโยริโทโมะจนเสียชีวิตไปทั้งคู่ แม้จะถูกธนูยิงพรุนไปทั้งร่างแต่เบ็งเคก็ตายโดยที่ยังยืนหยัดอยู่ กลายเป็น "ท่ายืนตายแบบเบ็งเค" ที่เป็นตำนานมาจนทุกวันนี้...
(รูปบน) รูปปั้นเบ็งเคต่อสู้กับโยชิสึเนะที่สะพานโกะโจ (รูปล่าง) สะพานโกะโจในปัจจุบันสร้างขึ้นใหม่กว้างใหญ่ไพศาล คราวนี้เบ็งเคยืนขวางยังไงก็ไม่มิดแล้วครับ
ภาพของอุชิวากะมารุ (ชื่อเดิมของมินาโมโตะ โยชิสึเนะ) ต่อสู้กับมุซาชิโบ เบ็งเค บนสะพานโกะโจ จากภาพวาดชีวประวัติโยชิสึเนะปี 1832-1834
กลับมาที่ท่ารถบัสตอนนี้ห้าโมงครึ่ง ได้เวลาขึ้น เกียวโตทาวเวอร์ (Kyoto Tower) ไปชมทิวทัศน์เมืองเกียวโตยามค่ำคืนกันครับ เกียวโตทาวเวอร์สร้างในปี 1964 เป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในเกียวโต โดยมีความสูง 131 เมตร แต่จุดที่ชมวิวสูง 100 เมตรครับ (ตึกมหานครบ้านเราสูง 314 เมตร)
ค่าขึ้นชมวิว 770 เยน เปิดเวลา 9.00 - 21.00 น. ซื้อตั๋วแล้วขึ้นลิฟต์ไปครับ จะมีพนักงานคอยจัดคิวให้ ไม่ให้คนขึ้นไปแน่นมากเกินไป รอชุดก่อนๆทยอยลงมาแล้วค่อยให้ชุดใหม่ขึ้นไป |
| ด้านบนมีกล้องส่องทางไกลใช้ฟรีด้วยนะ และนี่คือวิวจากด้านบนครับ
ชั้นล่างๆเป็นโรงแรมและร้านค้า มีของที่ระลึกน่ารักๆขาย ขาออกซื้อขนมกลับไปเยอะเหมือนกันครับ ของที่ระลึกก็ไม่แพงนะ มีกระทั่งมาสคอตของตัวตึก ชื่อทาวาวะจัง (ญี่ปุ่นก็ช่างมีความสามารถในการทำให้ทุกอย่างมันน่ารัก ♥) มีบริการถ่ายรูปสติ๊กเกอร์ หรือกระทั่งศาลเจ้าสักการะทาวาวะจังด้วยแหละ
มื้อเย็นวันนี้กินร้านที่เมื่อวานเฉี่ยวมาแล้วอย่างโยชิโนยะนี่แหละ ที่พึ่งพาของนักเที่ยวทุนน้อยเลย ไปเปิดสาขามากมายที่เมืองไทยรับประกันรสชาติกินได้แน่ๆ แถมราคายังถูกแบบไม่เกรงใจร้านอื่น ข้าวหน้าเนื้อไซส์เล็ก 380 เยนเอง! มีข้าวหน้าปลาไหลด้วยนะ มื้อนี้ 2,140 เยนครับ เป็นมื้อที่ถูกที่สุดในทริปไปเลย (ไม่นับมื้อที่ซื้ออาหารเซเว่นมาอุ่นกินนะ)
จากนั้นก็เดินกลับที่พักครับ Sunrich Kyoto Station พักที่นี่อีกหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นก็แพ็คของออกเดินทางไปนาราต่อ แต่ก็เก็บที่เที่ยวในเกียวโตอีกสักหน่อยก่อนนั่งรถไฟยาวครับ
วันต่อมาอุณหภูมิช่วงเช้า 14 องศา ชอบอากาศแบบนี้ชะมัด หลังจากคืนกุญแจลงกล่องแบบไม่ต้องคุยกับเจ้าของที่พักสักคำ (ย้ำว่าผมชอบวิธีการเช็คอิน-เช็คเอ้าท์โรงแรมนี้มาก) แล้วเราก็ออกเดินทางไปเก็บวัดสุดท้ายก่อนออกจากเมืองเกียวโตครับ นั่นคือศาลเจ้าอินาริที่โด่งดัง
สถานีเกียวโตที่คุ้นเคย คงได้ใช้บริการที่นี่หนสุดท้ายแล้ว ขึ้นรถไฟสาย JR Nara Line แต่ยังไม่ต้องไปถึงนารานะครับ มาลงที่สถานี Inari สองป้ายจากสถานีเกียวโต เนื่องจากวันนี้เราลากกระเป๋าไปด้วย+แวะเที่ยวตามทางจนถึงนารา ค่าล็อคเกอร์ฝากกระเป๋าบานตะไทเลยครับ แต่ก็แลกกับการประหยัดเวลาเดินทาง
ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari-taisha) ตั้งอยู่เชิงเขาอินาริ มีทางเดินวนรอบเขาเป็นระยะทางถึง 4 กม. และมีจุดขายคือเสาโทริอิที่มีอยู่มากมายหลายพันต้น ที่นี่สร้างขึ้นช่วงต้นยุคเฮฮันในสมัยของจักรพรรดิมุราคามิเพื่อถวายแก่เทพอินาริ เทพแห่งกสิกรรม
| รูปปั้นหมาจิ้งจอกคาบฟ่อนข้าวที่หน้าวัด โดยมีความเชื่อว่าหมาจิ้งจอก (ภาษาญี่ปุ่นคือคิทสึเนะ) เป็นผู้นำสาส์นจากเทพอินาริ และสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ | หน้าทางเข้ามีรูปหมาจิ้งจอกสองข้างบันได ตัวหนึ่งยืนคาบกุญแจ อีกตัวหนึ่งยืนคาบอัญมณี
ป้ายขอพรมีทั้งรูปเสาโทริอิและรูปหมาจิ้งจอกให้เอาไปวาดเติมหน้าเอง วัดนี้มีจุดขายคือสองอย่างนี้แหละ
อุโมงค์โทริอิเป็นทางเดินลอดเสาโทริอิที่สปอนเซอร์มากมายต่างมาสร้างไว้ที่วัดนี้ จนมีเสาโทริอิมากหลายพันต้น เป็นระยะทางยาว 4 กม. พันได้รอบภูเขาเลย
ผมก็เดินไม่ครบหรอกครับ ได้ภาพประมาณนี้ก็ตายตาหลับละ
ตรงทางออกวัดมีร้านขายของเดินกินที่น่าสนใจมากมาย มื้อเช้ากินอาหารเวฟยังไม่อิ่ม ก็ขอมาแก้มือที่นี่ต่อครับ
หมูก้อน มีหลายรสให้เลือกทั้งรสดั้งเดิม, รสชีส, รสหอมใหญ่และมายองเนส, รสขิง ฯลฯ ขายดีเหมือนกัน แต่ไม่ได้ลองเลยครับ ก้อนมันใหญ่กลัวไม่มีแรงไปกินเจ้าอื่น |
หมูย่าง ไม้ละ 500 เยน ไม่เหมือนหมูปิ้งบ้านเรานะครับ เป็นเนื้อหมูสามชั้นชิ้นโตๆหมักแล้วย่าง หอมมากแต่ก็อ้วนมาก (เอาไซส์คนขายเป็นประกัน)
|
ร้านนี้มีอาหารทะเลเผาให้เลือกมากมายทั้งหอยเชลล์ (2 ตัว 600 เยน) ลูกปลาหมึกยักษ์ (2 ตัว 500 เยน) หอยปากกระจาด (4 ตัว 500 เยน) แต่อันที่เราซื้อมาลองคืออันนี้ครับ หอยตาวัว (2 ตัว 600 เยน) ไม่ได้น่ากินอะไรหรอก อันนี้อยากลองล้วนๆ เขาจะเทน้ำซุปใส่ฝาหอยแล้วเผาทั้งเปลือก เวลากินเอาไม้แคะมันออกมายาวๆเลยครับ ตรงตีนหอยมันกรุบๆดี แต่ส่วนที่อยู่ด้านในจะขมเพราะเป็นเครื่องในมัน
|
เกาลัดจ้ะ ถุงเล็กสุด 270 กรัม 1,080 เยน ลองกินเกาลัดที่ญี่ปุ่นแท้ๆดูอร่อยครับ หยิบมากินได้เรื่อยๆช่วงหิวๆ เป็นอาหารเลี้ยงท้องเราได้ตลอดการเดินทางวันนี้เลย
| ....
หมดธุระกับเกียวโตแล้วครับ ต่อไปจะเดินทางลงไปเมืองอุจิที่อยู่ตอนใต้ของจังหวัดเกียวโต ก่อนจะไปเมืองนารากัน แล้วเจอกันเอนทรี่หน้าที่อุจิ เป็นเมืองคั่นเวลาสั้นๆครับผม
ขอขยายความนิด เผื่อใครยังสับสนเมืองเกียวโตกับจังหวัดเกียวโต คือที่เราเที่ยวกันในทริปนี้อยู่ใน "ภูมิภาคคันไซ" จังหวัดที่เที่ยวมีสามจังหวัดคือเกียวโต-นารา-โอซาก้า และเมืองเกียวโตที่เที่ยวกันในสองเอนทรี่แรกนี้ก็คือเมืองหลวงของจังหวัดเกียวโตครับ แผนที่จังหวัดเกียวโตตามด้านล่างเลย
และเอนทรี่หน้าก็จะพาไปเที่ยวเมืองอุจิ ยังคงอยู่ในเขต "จังหวัดเกียวโต" เช่นกัน แต่ออกนอก "เมืองเกียวโต" ไปแล้วนะ ให้เทียบกับภูมิศาสตร์ไทยแล้วก็เหมือนคนละอำเภอนั่นแหละ
Create Date : 23 มีนาคม 2560 |
|
63 comments |
Last Update : 26 มีนาคม 2560 20:38:08 น. |
Counter : 3475 Pageviews. |
|
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณtuk-tuk@korat, คุณTristy, คุณบ้านต้นคูน, คุณสองแผ่นดิน, คุณcomicclubs, คุณกะว่าก๋า, คุณClose To Heaven, คุณเรียวรุ้ง, คุณmariabamboo, คุณmambymam, คุณtoor36, คุณThe Kop Civil, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณTui Laksi, คุณข้ามขอบฟ้า, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณอุ้มสี, คุณบาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน, คุณทุเรียนกวน ป่วนรัก, คุณnewyorknurse, คุณสาวไกด์ใจซื่อ, คุณInsignia_Museum, คุณhaiku, คุณphunsud, คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณเจ้าการะเกด, คุณkae+aoe, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณผู้ชายในสายลมหนาว, คุณกาบริเอล, คุณอาคุงกล่อง, คุณRinsa Yoyolive, คุณALDI, คุณซองขาวเบอร์ 9 |
| |
โดย: Tristy 23 มีนาคม 2560 22:41:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: จี๊ดจ๊าด (บ้านต้นคูน ) 23 มีนาคม 2560 22:59:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: mambymam 24 มีนาคม 2560 10:41:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณต่อ (toor36 ) 24 มีนาคม 2560 12:06:04 น. |
|
|
|
| |
โดย: mambymam 24 มีนาคม 2560 14:17:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: อุ้มสี 25 มีนาคม 2560 8:57:53 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 25 มีนาคม 2560 10:02:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: mambymam 25 มีนาคม 2560 11:13:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: phunsud 26 มีนาคม 2560 13:00:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) 26 มีนาคม 2560 17:12:43 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชีริว 26 มีนาคม 2560 20:40:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณต่อ (toor36 ) 27 มีนาคม 2560 0:13:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 27 มีนาคม 2560 10:03:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: kae+aoe 27 มีนาคม 2560 13:31:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: กาบริเอล 27 มีนาคม 2560 21:42:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: จี๊ดจ๊าด (บ้านต้นคูน ) 27 มีนาคม 2560 22:03:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณต่อ (toor36 ) 28 มีนาคม 2560 0:47:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 28 มีนาคม 2560 23:07:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: ALDI 30 มีนาคม 2560 1:52:32 น. |
|
|
|
|
|
|
|
มาเกือบทัน (ก็มาไม่ทันนั่นแหละ) เดี๋ยวขออ่านตอน 1 ก่อนนะ ^^"