bloghead..................................................
Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
25 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 
ติสท์แดก

ติสท์แตก

เวลา 04:05 ในยามนี้ ท้องถนนในกรุงเทพว่างโล่งเหมือนเมืองร้าง ไฟนีออนเหลืองดวงเล็กสาดแสงส่องเป็นวงจุดๆบนทางเท้า ริมฟุตบาทท้องสนามหลวง ถ้ามองไปทั่วๆก็จะเห็นกิจกรรมยามดึก แปรเปลี่ยนกลับกลายแทนที่ด้วยกิจกรรมยามเช้า คาราโอเกะอึกทึกกับแสงสีเขียวแดงเริ่มเงียบเสียงลง คนเมากอดคอกันโซเซเดินผ่านไป รถเข็นน้ำเต้าหู้ร้อนๆ กลิ่นหอมควันฉุย กำลังเตรียมพร้อมทำหน้าที่เติมพลังให้เช้าวันใหม่

รถแท็กซี่มิเตอร์สีแดงกำลังวิ่งฉิว ผ่านอนุสาวรีย์ชัยฯและสี่แยกราชเทวี ด้วยความเร็วเดียวกับรถบนทางด่วน ผมนั่งมองทุกสิ่งรอบตัวด้วยความทึ่งระคนแปลกใจ ภาพบางภาพเราคงไม่อาจมีโอกาสเห็นได้เลยตลอดชีวิต ถ้าเราดำเนินชีวิตตามปกติ ในวิถีประจำวัน

เวลา 04:20 ผมถึงที่ทำงานแล้ว โดยใช้เวลาเดินทางเพียง 15 นาที ต่างจากเช้าเมื่อวานที่ออกจากบ้านหกโมงครึ่ง กลับใช้เวลาไป 1ชั่วโมง 45 นาที นี่คือตัวอย่างความแตกต่างของการเดินทางในกรุงเทพ กับช่วงเวลาที่ต่างกันไม่กี่ชั่วโมง ยังมีเวลาเหลืออีกมากกว่าจะถึงเวลาเริ่มงาน ผมจิบน้ำเต้าหู้อุ่นๆที่เพิ่งรินใส่แก้ว เปิดโน้ตบุ๊คตัวเก่ง แล้วเริ่มขีดเขียนบทความนี้....

เมื่อเย็นวาน ผมนัดพบเพื่อนเก่า เพื่อมอบหนังสือเล่มแรกของผม “สิบวันเปลี่ยนชีวิต” ให้เธอ เนื่องด้วยเธอเป็นคนแรกๆ ที่คอมเม้นท์งานเขียนของผม ตั้งแต่ยังโพสต์อยู่ในกระทู้วงน้ำชา เราอัพเดทชีวิตที่ผ่านมากันเล็กน้อย เนื่องจากไม่ได้เจอกันมาเกือบปี เธอเองก็เป็นคนชอบขีดเขียน เขียนไดอารี่ลงบล็อกอย่างต่อเนื่องมาหลายปี เขียนบทความไว้เยอะ อยากตีพิมพ์ แต่ยังไม่สำเร็จ เมื่อเห็นผมที่เพิ่งหัดเขียนบทความได้ไม่ถึงปี มีหนังสือเล่มน้อยวางแผงแผ่หราอยู่ในขณะนี้ เลยซักผมซะยกใหญ่ ถามว่าผมมีเส้นมีสายรึเปล่า หรือว่าพ่อทำโรงพิมพ์กันแน่

ผมยิ้มๆ ไม่ได้ตอบอะไร แต่สันนิษฐานกับตัวเองว่า อาจเป็นเพราะว่า ผมไม่ใช่นักเขียน ไม่มีหลักการเขียนตายตัว ไม่ค่อยอ่านหนังสือ ไม่รู้จักวงการนักเขียน ไม่รู้เรื่องการพิมพ์หนังสือ ไม่รู้เรื่องค่าตอบแทน ไม่รู้อะไรต่อมิอะไร ที่นักเขียนน่าจะรู้ ผมรู้แค่ว่า ผมอยากเขียน และอยากให้คนอ่านได้ประโยชน์จากสิ่งที่ผมเขียน

ตอนที่สำนักพิมพ์ติดต่อมา ผมบอกพี่ บก. ว่า ต้นฉบับนั้นให้ไปแล้ว คงหมดหน้าที่ผมแล้ว ที่เหลือพี่จัดการได้เลย ผมให้ตัดสินใจแทนเลยได้ทั้งหมด เพราะผมมั่นใจว่า พี่และสำนักพิมพ์ต้องรู้เรื่องหนังสือมากกว่าผมแน่ๆ

โดยที่ผมไม่เคยเห็นมันอีกเลย หลังจากนั้นราว 3 เดือน หนังสือเล่มน้อยกะทัดรัดรูปเล่มน่ารัก พร้อมภาพประกอบ พิมพ์ด้วยกระดาษถนอมสายตาอย่างดี ก็มาอยู่ในมือผม ผมลูบคลำและมองมันอย่างทะนุถนอม ความรู้สึกจะเหมือนกับพ่อที่เพิ่งได้อุ้มลูกเมื่อแรกเกิดรึเปล่าหนอ พ่อก็ไม่ได้เห็นหน้าลูกเลย จนกว่าจะคลอดเหมือนกันนี่นา

ผมสรุปกับตัวเองสั้นๆว่า ถ้าผมรู้มากกว่านี้ ผมอาจจะดูถูกงานเขียนตัวเอง จนกล้าไม่ส่งให้สำนักพิมพ์ หรือเขียนหนังสือแบบแห่ตามกระแส จนไม่น่าสนใจ หรือเรื่องมากลงรายละเอียดมาก จนหนังสือไม่คลอดซะที งานนี้เลยต้องขอบคุณตัวเอง หนังสือเล่มนี้ ออกมาได้เพราะความเดียงสาโดยแท้

ผมคุยกับเธอไปสักพัก เธอพูดบางประโยค สะดุดใจ ผมนึกอยากเอาปากกาขึ้นมาจด เนื่องด้วยเป็นคนขี้ลืม ผมจึงมักจะพกสมุดโน้ตเล็กๆกับปากกาติดตัวไว้เสมอ แต่ก็รู้สึกว่าจะทำตัวแปลกๆไปหน่อย ช่วงเวลาเสี้ยววินาทีถัดไป ผมนึกปรุงแต่งคำที่เธอพูด ได้ชื่อเรื่องโครงเรื่องคร่าวๆของบทความชิ้นใหม่ในบล็อก ก็ยิ่งดีใจ ผมยังลังเลไม่หยิบปากกา แต่ก็เอ่ยปากขอบคุณเธอ ที่ทำให้ผมได้บทความดีๆ

เธอหยุดชะงัก แล้วมองผมแปลกๆ แล้วเริ่มระวังตัวมากขึ้น พูดน้อยลง คงกลัวว่าผมจะเก็บรายละเอียดไปเขียน หรือกลัวว่าเรื่องส่วนตัวของเธอจะถูกเผยแพร่กระมัง แล้วเราก็ต่างแยกจากกันกลับบ้านนอน ผมคิดว่า ผมคงทำผิดอะไรสักอย่างเป็นแน่...

“พยุงศักดิ์” ชายหนุ่มร่างสูงและกำยำ ผิวกร้านเกรียมแดด เขาเป็นรุ่นน้องนายเรือ เพิ่งจบจากคอร์สรบพิเศษ “รีคอน” ของทหารนาวิกโยธิน ซึ่งเป็นการฝึกที่หนักทรหดเอาการ เขากำลังโชว์การควงปืน “เอชเค” ปืนกลยาวสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 น้ำหนักกว่า 4 กก. โดยใช้เพียงมือข้างเดียว เขาทำด้วยความชำนิชำนาญและคล่องแคล่ว น้อยคนนักที่จะทำแบบนี้ได้ คนรอบข้างจำนวนหนึ่งที่ดูอยู่ ปรบมือด้วยความชื่นชม ผมยืนมองยุงอยู่ดีๆแล้ว สะดุดใจ เกิดปิ๊งแว๊บในชื่อเรื่องของบทความใหม่อีกบท เอื้อมมือไปคลำหาสมุดปากกาที่กางเกง ไม่เจอ... ไม่เจอแม้แต่ก้นของตัวเอง...

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝัน ยังงงอยู่ว่าทำไมฝันถึงน้องคนนี้ มึนงงเล็กน้อย หันไปมองหานาฬิกา เลขดิจิตอลบอกเวลา 02:15 แต่ร่างกายกลับตื่นตัว สติแจ่มชัด หัวใจเต้นแรง ผมคงนอนต่อไม่หลับแน่ ตัดสินใจลุกขึ้นเปิดไฟ และสิ่งที่ลืมไม่ได้ เอาสมุดโน้ตกับปากกา จดไอเดียเมื่อสักครู่ที่ยังลอยค้างเติ่งอยู่ในห้วงความทรงจำ

ผมชักเริ่มกังวลซะแล้วสิ ก่อนหน้านี้ ผมไม่ได้เป็นคนแบบนี้นี่หว่า กว่าจะเขียนอะไรสักย่อหน้า นั่งบิวท์อารมณ์อยู่ตั้งนาน เข้าเนทหาข้อมูลไปเรื่อยเปื่อย ทำยังไงก็เขียนไม่ได้ จนกว่าจะถึงชั่วโมงสุดท้ายที่ขีดเส้นตายให้ส่ง แต่มาถึงวันนี้ ผมมีเรื่องจะเขียนแทบทุกเรื่องที่ได้ยิน ทุกอิริยาบถที่ได้ทำ หายใจเข้าออกยังอาจเอามาเขียนได้เป็นเรื่องเป็นราวเลย

ความคิดแรกสั่งให้ผมเปิดคอมพิวเตอร์ นั่งพิมพ์งานอัพเดทบล็อคไปเลยรู้แล้วรู้รอด อีกความคิดบอกว่า กิเลสเราชักจะไปกันใหญ่แล้ว บ้ารึเปล่า ตื่นมาพิมพ์งานตอนตีสอง ไม่ใช่ทางออกที่ดีแน่ คิดถึงอาจารย์ขึ้นมา อาจารย์เคยบอกว่า ผู้ฝึกปฏิบัติ ถ้าได้ตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วนอนไม่หลับ แสดงว่าถึงเวลาปฏิบัติแล้ว...

ผมลุกขึ้นไปทำภารกิจส่วนตัว สดชื่นแล้วกลับมาหาที่ทาง นั่งตัวตรงขัดสมาธิคู้บัลลังก์ ผ่อนลมหายใจออกยืดยาวผ่อนคลาย สูดลมหายใจเข้าเอาไอละอองความชุ่มชื้นของอากาศผ่านเข้าสู่ร่างกาย ค่อยทำความรู้สึกชุ่มๆ ซึมแทรกผ่านกะโหลกศีรษะ ผ่านลงไปยังเนื้อเยื่อสมอง ชโลมให้ชุ่มและค่อยสลายละลายความคิด นิมิต อารมณ์ ที่ฟุ้งกระจายและแขวนลอยอยู่ในสมอง สัมผัสว่ามันเป็นเพียงพลังงาน หาได้มีตัวตนเป็นสัตว์และบุคคลก็หาไม่ แล้วค่อยๆเปิดมิติเบื้องซ้าย ขวา หน้า หลัง ส่งผ่านระบายพลังงานส่วนเกินเหล่านี้ออกไป ดั่งกระแสน้ำที่พรั่งพรูจากที่สูงไปต่ำ ที่หนาแน่นมากไปสู่ที่เบาบางกว่า...

ราวเกือบหนึ่งชั่วโมง ผมแผ่เมตตาและค่อยดึงจิตกลับสู่สำนึกรู้ที่เต็มเปี่ยม ตีสามแล้ว ผมรู้สึกสดชื่นอยากบอกไม่ถูก อารมณ์ฟุ้งซ่านเมื่อสักครู่มลายหายไปสิ้น เหลือแต่อุเบกขาอารมณ์ ความเป็นกลาง ที่ไม่สุขไม่ทุกข์นัก ผมนึกขอบคุณอาจารย์ที่สอนเทคนิคนี้ ผู้ที่ชอบใช้ความคิดมากๆ มักจะมีความฟุ้งซ่านเยอะ เห็นได้ง่ายจากคนเมืองหลวง เหมือนอย่างผม วิธีนี้เป็นการเก็บกวาดทำความสะอาดขยะทางจิตที่สุมกองอยู่ ให้เคลียร์ออกไปได้ดีมาก

อาจารย์ยังแนะนำว่า ถ้าเป็นไปได้ให้ทำทุกๆวัน เพราะเราอาบน้ำชำระร่างกายทุกวัน ไม่อาบวันเดียวก็เหม็นแล้ว แล้วเราจะดูดาย ไม่ชำระล้างจิตของเราบ้างหรือ นี่ผ่านมานานแค่ไหนแล้ว จิตเราสดใสดีอยู่ หรือมัวหมองกองสุม เช็คดูให้ดี

มองนาฬิกาอย่างชั่งใจ ก่อนลุกไปอาบน้ำ แต่งตัว และออกเดินทางไปที่ทำงาน เนื่องจากยังเช้าเกินไป จึงไม่มีรถเมล์วิ่ง โบกแท็กซี่ได้ก็พอดีเวลา 04:05…

ขณะนี้เวลา 06:20 ฟ้าสางแล้ว เมื่อพิมพ์บรรทัดสุดท้ายเพื่อจบบทความนี้ ผมเองก็ยังสงสัยอยู่ครามครัน ว่าผมคงกลายเป็นนักเขียนติสท์แตกไปแล้วกระมัง...



Create Date : 25 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 5 ธันวาคม 2551 11:13:40 น. 4 comments
Counter : 468 Pageviews.

 
ช่วยระบุนิดนึงนะคะ คุณเรือรบ ว่าประโยคไหนที่โดน
ใจ จนทำให้เกิดไอเดียในการเขียนต่อ เพราะรู้สึกว่า อาจ
มีหลายประโยคก็เป็นได้..


โดย: lukjeab.. IP: 124.120.218.170 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2551 เวลา:10:41:27 น.  

 




โดย: ป้าตุ้ย (amornsri ) วันที่: 25 พฤศจิกายน 2551 เวลา:15:11:17 น.  

 
เยอะจิงๆด้วยครับเจี๊ยบ

เช่น บทเรียนแห่งความเหงา ฯลฯ

แต่ไม่เกี่ยวกับเรืองของคุณแน่นอน สบายใจได้จ้ะ



โดย: เรือรบ (navyob ) วันที่: 27 พฤศจิกายน 2551 เวลา:17:59:45 น.  

 
อืม อ่านแล้วไม่น่าเชื่อเลยเนอะ ว่าคนเขียนจะเป็นเพื่อนเราอ่ะ ขนาดว่าเป็นเรื่องธรรมดาๆ ในชีวิตยังมีสำนวนแบบว่าเห็นภาพ ได้บรรยากาศแบบบอกไม่ถูกเลยอ่ะ

อืม ชั้นว่าน้า "คุณเรือรบ" เนี่ย ต้องเป็นนักเขียนที่ดีแน่ๆ
ว่างๆ จะเข้ามาอ่านบ่อยๆ นะ รู้สึกว่าอ่านแล้วก้อสบายใจอย่างบอกไม่ถูกจ้า


โดย: แอ้เองจ้า IP: 58.137.81.212 วันที่: 19 ธันวาคม 2551 เวลา:14:26:45 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

navyob
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add navyob's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.