bloghead..................................................
Group Blog
 
<<
มกราคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
28 มกราคม 2553
 
All Blogs
 
ลมปาก จินตนาการ และความเป็นจริง



ย่างเข้าสู่ฤดูหนาวในช่วงปลายปี จะเป็นเทศกาลคริสมาสต์ต่อด้วยวันปีใหม่ เป็นช่วงที่ชาวอังกฤษจะหยุดยาวและมีโอกาสได้กลับเมืองเกิดไปฉลองเทศกาลกับครอบครัว เปรียบกับช่วงสงกรานต์บ้านเรา ส่วนนักเรียนไทยก็จะเป็นช่วงปิดเทอมประมาณหนึ่งเดือน หลายคนหลบหลีกความเยือกเย็นของหิมะและความเงียบเหงาของหอพัก ก็เลือกที่จะบินกลับไทย ส่วนคนที่อยู่ที่นี่ก็จะถือโอกาสจับกลุ่มท่องเที่ยวกัน ถือเป็นการเปิดหูเปิดตาและพักผ่อนหลังจากเรียนมาทั้งเทอม

ผมได้รับการเชิญชวนจาก พี่ศร พี่สาวร่วมสถาบัน ที่เพิ่งจะมาเรียนปีนี้ด้วยกัน ไปเที่ยวยังเมืองหลวงที่ถือว่าน่าดึงดูดที่สุดแห่งหนึ่งในความรู้สึกของนักท่องเที่ยวทั่วโลก กรุงลอนดอน นั่นเอง ผมรู้สึกตื่นเต้นทันทีที่ตัดสินใจไปทริปนี้ รู้เลยว่า การไปเที่ยวลอนดอนระยะเวลาราวหนึ่งอาทิตย์นั้น ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ต้องวางแผนการเที่ยวและการเดินทางอย่างรอบคอบ เพราะค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นนั้นอาจทำให้ผมต้องใช้เงินออมอันน้อยนิดไปหมดเลยก็ได้ ที่ตัดสินใจไปเที่ยวนี้เกือบสัปดาห์ก็เพราะว่า เป็นโชคดีที่เราสามารถหาที่พักกับเพื่อนคนไทยที่เรียนและอาศัยอยู่ที่นั่นได้ในระหว่างเทศกาล หากมิฉะนั้นคงต้องรับภาระค่าโรงแรมที่พักอันแสนแพงในช่วงเทศกาลปีใหม่ไปอีก แค่่ค่าตั๋วรถไฟไปกลับจากเมืองยอร์คที่ผมอยู่ ใช้เวลาเดินทางสองชั่วโมงมาลอนดอน ก็แพงกว่าตั๋วเครื่องบินในประเทศของเราแล้ว

จริงๆแล้วผมยังมีเงินออมไม่มากนักที่จะท่องเที่ยวอย่างใจนึก เนื่องจากเพราะเพิ่งเดินทางมาไม่ถึงสองเดือน มีรายจ่ายทั้งค่ามัดจำที่พักล่วงหน้า ค่าเสื้อผ้าใหม่ที่ใช้ฤดูหนาว และอื่นๆที่ต้องจ่ายในช่วงเริ่มต้น แต่พี่ศร ได้โน้มน้าวให้ผมเห็นความอลังการยิ่งใหญ่ในการจะได้ไปเคาน์ดาวน์คืนวันสิ้นปีที่ลอนดอน ซึ่งคงไม่ได้มีโอกาสแบบนี้ง่ายๆ อย่างบางคนถ้ามาเรียนปริญญาโท ก็มาปีเดียว ถ้าพลาดแล้วก็พลาดเลย ต้องกลับไปซะก่อนจะถึงอีกปี แม้ว่าผมจะต้องอยู่อีกหลายปี แต่ก็คิดว่าไปเป็นเพื่อนกันก็ดี มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันไป และผมเองก็ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับลอนดอนด้วย ท่าทางพี่เค้าคงศึกษามาอย่างดีเพราะบรรยายมาได้ละเอียดมาก ว่าจะไปทำอะไร ถ่ายรูปที่ไหน กินอะไรบ้าง ไปกับเค้าอาจจะได้ฟังเรื่องราวต่างๆและเที่ยวได้ทั่วกว่าไปคนเดียว ผมจึงตอบตกลงไปด้วยเหตุผลฉะนี้ พี่ศรเสริมว่า เค้าว่ากันว่า ถ้ารู้สึกเบื่อ เหงา เศร้า คิดถึงบ้าน ให้มาลอนดอน เพราะจะมีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจให้ทำไม่ซำ้จนทำให้ลืมความทุกข์ไปสิ้น จริงๆแค่ได้ช้อปปิ้งก็หายเหงาแล้ว เพราะช่วงหลังวันคริสมาสต์ห้างดังต่างๆก็จะลดราคากันระเนระนาด ทำให้สาวๆต้องไปต่อคิวและแย่งกันซื้อไม่ต่างกับสงครามขนาดย่อมๆ

เราเดินทางถึงสถานีรถไฟ King's Cross กรุงลอนดอนในช่วงสายของวันที่ 29 ธันวาคม และต้องนำสัมภาระเข้าที่พัก แต่ก็พบกับสายรถไฟใต้ดินหรือ Tube ที่มีถึง11สายให้เลือก แค่ที่เชื่อมต่อกับสถานีนี้ก็ 5 สายแล้ว โยงเป็นใยขวักไขว่ไปยังจุดต่างๆในลอนดอนซึ่งแบ่งเป็นโซนถึง 7 โซนนับจากใจกลางเมืองออกไป หากนั่งTube ไปสุดสายอาจใช้เวลาถึงสองชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งชาวลอนดอนหรือLondoner จะใช้ Tube เป็นการเดินทางหลักในการมาทำงานและกลับที่พัก เพราะพอพ้นโซน 3ออกมาแล้วแต่ละจุดสามารถเชื่อมต่อกับรถไฟ รถเมล์ รถรางและเรือ เพื่อเดินทางออกนอกเมืองได้โดยสะดวกโดยหักค่าเดินทางจากบัตรOysterใบเดียว ดีกว่าจะขับรถและฝ่าการจราจรอันสุดคับคั่งเข้ามา ค่าน้ำมันในอังกฤษโดยประมาณก็ลิตรละ 60 บาทเลยทีเดียว ยังไม่รวมค่าที่จอดรถ ซึ่งหายากและแพงยิ่งขึ้นไปอีก

ถ้าจะอธิบายภาพของเมืองลอนดอนด้วยการมองโดยคร่าว จะพบความคล้ายคลึงหลายประการกับกรุงเทพมหานครของเรา ลอนดอนมีพื้นที่ราว 1,700 ตร.กม.ขนาดใหญ่กว่ากรุงเทพซึ่งมีขนาด 1,500 ตร.กม. เพียงเล็กน้อย เมืองแบ่งเป็นสองฟากฝั่งคั่นกลางด้วยแม่น้้ำ Thames ความกว้างประมาณเดียวกับแม่น้ำเจ้าพระยา มีประชากรราว 13.9 ล้านคนมากกว่ากรุงเทพที่มีประชากร 11.9 ล้านคน แต่ความแตกต่างอย่างชัดเจนก็คือ ถ้าวัดระดับเศรษฐกิจในปีที่แล้ว ประเทศอังกฤษมี GDP มากกว่าประเทศไทยถึง 10 เท่า ถ้ามาดูข้อมูลในด้านการท่องเที่ยว เฉพาะที่เมืองลอนดอนเมืองเดียว ปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวเข้ามาถึง 14 ล้านคน มีจำนวนพอๆกับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในไทยทั้งประเทศตลอดทั้งปี ทำรายได้เข้าประเทศอังกฤษมากถึง 8.16พันล้านปอนด์หรือ 4.3 แสนล้านบาทเลยทีเดียว เราจะเห็นได้ว่ามหานครลอนดอนนั้นเป็นที่นิยมมากขนาดไหนสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก

การมาเที่ยวเมืองสวยๆแปลกตาอย่างมหานครลอนดอน ทำให้ผมตื่นตาเป็นอย่างมาก ศิลปะของสถาปัตยกรรมสมัยเก่าแบบวิคตอเรียนในสมัยต้นคริสศตวรรษที่ 19 ผสมผสานอยู่กับตึกสูงระฟ้าสมัยใหม่ ก่อให้เกิดความงดงามที่แตกต่างจากเมืองหลวงอื่นๆ จุดดึงดูดนักท่องเที่ยวในกรุงลอนดอนมีมากมาย อาทิ Buckingham Palace, Westminster Abbey, House of Parliament, Big Ben, Tower Bridge, Tower of London, St. Paul's Cathedralพิพิธภัณฑ์ใหญ่โตก็มีมากแถมไม่เสียค่าเข้าชม อาทิ National History Museum, British Museum,Science Museum, Imperial War Museum ใครสนใจศิลปะก็มี National Gallery, National Portrait Gallery,Tate Modern Galleryใครอยากเดินพักผ่อนหย่อนใจไปปิคนิค เฉพาะโซนใจกลางเมืองมีสวนสาธารณะใหญ่เป็นปอดของเมืองถึง 4 แห่ง Hyde Park, Green Park, St. James's Park, Regent's Park

ได้มาเที่ยวที่สวยๆแบบนี้ เราชาวเอเชียก็ต้องอยากถ่ายรูปกลับไปเป็นที่ระลึก ที่พูดแบบนี้เพราะผมสังเกตมาหลายหนแล้ว ฝรั่งผมทองเห็นชัดๆอยู่ว่าเป็นนักท่องเที่ยวเหมือนเรา แต่น้อยนักที่จะพกกล้องถ่ายรูป เค้าจะเดินช้าๆเมื่อชมความงามของสถานที่หรือธรรมชาติ แต่่จะเดินเร็วมาก ถ้าจะเดินเท้าไปไหนต่อไหน หากแต่เราชาวเอเชีย ไทย จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น ถ้ามาท่องเที่ยวแล้ว ถ่ายรูปได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งอาหารที่กิน ที่สำคัญต้องมีหน้าเราอยู่ในรูปนั้นด้วยเสมอ จะได้พิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่า มาถึงจริงๆ แล้วเราก็เดินเอื่อยๆเสมอ ยกเว้นตอนช้อปปิ้ง

แต่อากาศในลอนดอนและประเทศอังกฤษนั้นอาจไม่เป็นใจในการถ่ายรูปเสมอไป เราอาจตกใจที่พบว่ามี 3 ฤดูในหนึ่งวัน เช้าหิมะตก สายๆมีแดดออก บ่ายอึมครึมฝนตก แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนบนเกาะอังกฤษ ที่อากาศมีความแปรปรวนอยู่เสมอ ในปีนี้หิมะตกในช่วงคริสมาสต์ พอเข้าใกล้ปีใหม่ เมฆครื้มฝนตกตลอดสามวัน ทำให้รูปที่ผมถ่ายมาต้องแต่งเปลี่ยนเป็นสีขาวดำหรือ Sepia ถึงจะดูสวย เหมาะกับความหม่นหมองของท้องฟ้า และความขุ่นใจที่ไม่ได้ภาพสีสันสดใสเหมือนถ่ายรูปในบ้านเรา

การเที่ยวยามค่ำคืน ไม่นับการเที่ยวกลางคืนแบบปกติตาม ผับ บาร์ หรือโรงหนังแล้ว ชาวลอนดอนผู้หรูหรา ก็มีการบันเทิงพักผ่อนหย่อนใจเป็นการดูละครเวทีหรือ Play ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมาก ทุกๆคืนมีละครเวทีเล่นถึงกว่า40 เรื่อง แต่ละเรื่องก็เล่นมาเป็นเวลาหลายปี บางเรื่องอยู่ได้เป็นสิบๆปีก็มี มีหลากหลายแนว โดยละครเพลงจะเป็นที่นิยมมากกว่า เรื่องดังๆก็ได้แก่ The Phantom of The Opera, Mamma Mia, The Lion King สนนราคาค่าตั๋วก็เริ่มตั้งแต่ 1,200 ไปจนถึง4,000 บาท แล้วก็เต็มเร็วมาก ต้องจองล่วงหน้าเท่านั้น ไม่งั้นไม่ได้ดู เพราะเค้าเล่าว่าใครมาถึงลอนดอนแล้วไม่ได้ดู Playก็เหมือนขาดอะไรไป คนงบน้อยก็จะไปต่อคิวซื้อตั๋วราคาถูกที่หลงเหลืออยู่แถวสถานี Leicester Square ซึ่งเป็นย่าน ChinaTown รวมร้านอาหารอร่อยๆถูกปากชาวเอเชียไว้ ซึ่งก็เป็นที่นิยมของฝรั่งไม่แพ้กัน

สิ่งที่คนไทยไม่เคยพลาด คือการเดินช้อปปิ้ง ซึ่งมีถนนสายดัง Oxford Street ต่อด้วย Regent Street ในย่าน Piccadilly Circusที่มีห้างสรรพสินค้าและร้านแบรนด์เนมเรียงรายตลอดเส้นยาวรวมกว่า 5 ก.ม. เดินทั่วทั้งวันยังไม่ถึงครึ่งทาง เพราะแวะร้านนู้นออกร้านนี้ แต่เค้าเล่าว่า ห้างดังอันเป็นที่รู้จักดีในหมู่คนไทยคงหนีไม่พ้น Harrods ซึ่งอยู่แยกห่างออกไปตรงสถานี Knightsbridge คนไทยมักจะซื้อ ถุงหิ้วพลาสติกลายHarrods กลับไปเป็นที่ระลึกหรือเป็นของฝาก จะเห็นวัยรุ่นไทยหิ้วถุงนี้ไปเรียนพิเศษอยู่ตามสยามเซ็นเตอร์ ใครหิ้วของแท้จากลอนดอนนับว่าดูดีมีชาติตระกูลมาก คนไทยที่มาลอนดอนต้องคอยมาแย่งกันซื้อในช่วงปีใหม่เพราะราคาจะลดถูกมากต่ำกว่าครึ่ง เนื่องจากทางห้างจะเปลี่ยนลายใหม่ในปีถัดไปนั่นเอง

แต่เมื่อมาแล้วจะถึงกับงงเดินหาของไม่ถูก ใครจะเดินในห้างนี้สมควรรับแผนที่จากประชาสัมพันธ์ติดตัวไปด้วย เพราะไม่เหมือนห้างอื่นที่จะวางร้านรวงเป็นแนวยาวเรื่อยไป สามารถเดินชมของไปตั้งแต่ต้นจนจบตลอดหนึ่งชั้น แต่สำหรับ Harrods จะแบ่งโซนเป็นห้องๆ ในหนึ่งห้องจะมีการตกแต่งต่างกันไป พอขึ้นมาหนึ่งชั้นและเราจะเดินไปได้ทั้งสี่ทิศ ไม่เหมือนห้างปกติที่เดินได้สองทิศเท่านั้น ทำให้ถึงกับงงและหลงได้ ที่สำคัญแต่ละชั้นก็มีพื้นที่ไม่เท่ากันและมีทางขึ้นลงไม่เหมือนกันด้วย เป็นเสมือนเขาวงกตสำหรับนักช้อป เข้าไปแล้วหาทางออกไม่ได้ เลยอาจทำให้กระเป๋าตังค์ตุงๆฉีกขาดไปได้โดยไม่รู้ตัว ผมพบความไม่มีเหตุผลมากมายในห้างแห่งนี้ ตั้งแต่กระเป๋าสตางค์หนังจระเข้ใบละสองแสนกว่าสำหรับคุณผู้หญิง ปากกาด้ามเงินแท่งละเจ็ดหมื่นห้าสำหรับคุณผู้ชาย จนชักเวียนหัวเลยต้องกลับออกมาสูดอากาศข้างนอกสักหน่อย

เดินเที่ยวมาพอแรง ท้องเริ่มหิว หลังจากเดินวิจัยสำรวจตลาดแล้ว เราก็พบว่าอาหารจานเดียวในลอนดอน เมืองหลวงที่นับว่าค่าครองชีพแพงอันดับต้นๆของโลกนั้น มีราคาเริ่มต้นก็ 7ปอนด์หรือประมาณเกือบ400บาท ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT 17.5% และบางร้านก็จะเก็บค่าบริการหรือ Service Chargeเพิ่มเข้าไปอีก10% ผมกิินข้าวมันไก่จานละ 450 บาทไปแล้วก็น้ำตาซึมไป อร่อยก็อร่อยอยู่หรอก ไม่ได้กินมานาน แต่นี่แค่มื้อแรกนะ ยังไม่ได้กินหรูอะไรเลย ยังแพงซะขนาดนี้ ส่วนพี่ศรก็บอกว่าอย่าไปกลัว เราไม่ควรจะเทียบราคากับเมืองไทย เพราะมันคนละที่กัน มัวเทียบราคาอยู่ก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี แต่สำหรับผมเองด้วยเพิ่งเดินทางมาถึง ยังอดคำนวณเปรียบเทียบไม่ได้ โดยส่วนใหญ่ก็ทำอาหารกินเองตลอด ก็ไม่เท่าไหร่ พออยู่ได้มีเงินเก็บบ้าง แต่มาท่องเที่่ยวแบบนี้ ก็จำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นอกจากช้อปปิ้งแล้ว ความไม่มีเหตุผลอีกอย่างหนึ่งของมนุษย์คือการแสวงหาของกิน ร้านที่มีชื่อเสียง รำ่ลือว่าอร่อยนักอร่อยหนา ผู้คนจะยืนรอคอยต่อแถวออกมาจนล้น แม้อากาศหนาวเย็นหรือฝนตก ก็ทนรอบากบั่นเพื่อที่จะได้ลิ้มรสล้ำอันล่ำลือ หนึ่งในร้านอันเป็นตำนานในหมู่คนไทยคือ เป็ดย่าง Four Seasonsต้นตำรับเป็นร้านเล็กๆตั้งอยู่ย่าน Queensway เค้าว่ากันว่า คนไทยที่มากินถึงกับซื้อขึ้นเครื่องบินกลับไปฝากคนที่บ้านเลยทีเดียว ผมไม่รู้เรื่องร่ำลือนี้จริงเท็จประการใด แต่เมื่อได้กินแล้ว ก็ยอมรับว่าอร่อยดี เป็ดหนานุ่ม แต่มันค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าขายราคาตัวละพันกว่าแบบนี้ที่เมืองไทยอาจจะเจ๊งได้ เพราะรสชาติไม่ได้ต่างกันขนาดนั้น ขนาดก็พอๆกัน แต่คงเป็นเพราะคำบอกเล่าปากต่อปาก ทำให้ขายดี คนเข้าเยอะ แต่ก็ทำให้พนักงานเหนื่อย ทั้งร้านจ้างแค่สามคน เลยบริการแย่มาก ไม่ยิ้มแย้ม ไม่ดูแล ทุกคนที่ไปก็บ่น มีคอมเม้นท์วิจารณ์ตามเวบบอร์ดก็มาก ถ้าไม่อยากกินเป็ดจริงๆก็คงไม่ไปกินอีก เพราะรอนานราคาก็ไม่ดึงดูดและบริการก็ไม่ดี

มีอยู่มื้อหนึ่ง ผมอยากลองกิน Fish and Chips อันรู้กันว่าเป็นอาหารประจำชาติของชาวอังกฤษ กำลังหิวๆ พอดีเดินผ่านเห็นวางจานโชว์หน้าร้าน มีปลาทอดตัวใหญ่มาก ส่วนมันฝรั่งทอดก็พูนจนล้น ราคาที่ป้ายแค่ £6 ก็ดีใจมากรีบเข้าไปสั่งทันที พอนั่งกินอิ่มเสร็จคิดเงิน ปรากฎว่าราคาจากบิลขึ้นไปที่ £7.7 ผมนึกว่าคิดผิด เพราะแม้จะลองบวกค่าบริการ10%แล้ว ก็ยังไม่น่าจะถึง ก็เลยถามพนักงาน เค้าบอกว่าราคาหน้าร้าน เป็นราคา Take away หรือห่อกลับบ้าน แต่ถ้ากินในร้านจะแพงกว่า เป็นอีกราคาหนึ่ง ผมรู้สึกเหมือนโดนหลอก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ คิดโทษตัวเองที่ไม่ได้ขอดูราคาจากเมนูในร้านอีกทีให้แน่ใจ มันทำให้ผมย้อนไประลึกถึง ฝรั่งที่มาเที่ยวในประเทศไทย ที่มักจะต้องโดนชาร์จคิดค่าอาหารหรือค่าโดยสารที่แพงกว่าราคาปกติอยู่เสมอ ด้วยเหตุผลเดียวว่า คุณเป็นนักท่องเที่ยว ไม่ใช่คนท้องถิ่น เลยนึกให้อภัยไป พอๆกับที่นึกว่าทีใครก็ทีมันแล้วกันนะ เอ๊ะ แล้วนี่เรียกว่าเราให้อภัยหรืออาฆาตกันแน่ล่ะเนี่ย

ชาวอังกฤษมีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ เช่นนิยมการดื่มชาในช่วงบ่ายแก่ๆ ที่เรียกว่า Afternoon Tea ซึ่งเมื่อเรามาถึงถิ่น ก็อยากจะลองเลียนแบบชาวเมืองผู้ดีกับเค้าบ้าง ครั้งนี้เรามากัน3คนจะสั่งชา 3 ชุดก็คงจะเยอะไป เลยคิดจะสั่ง 2 ชุดแล้วขอแก้วเพิ่ม ปรากฎว่าไม่ได้ ต้องสั่งครบตามจำนวนคน ซึ่งก็ยังพอรับได้ แต่เมื่อน้ำชาหมด เราก็ขอน้ำร้อนใส่เพิ่ม พนักงานรีบๆก็หยิบไปเติมให้ พักเดียวก็เอากลับมา แต่ตอนคิดเงิน กลับเป็นราคาชา6ชุด ผมก็คิดว่ามีอะไรผิดพลาดแน่นอน พอถามไป ก็พบกับคำตอบหน้าตายว่า ที่ร้านเราไม่ขาย "น้ำร้อน" มีแต่ขาย "น้ำชาอีกชุด" พวกเราถึงกับอึ้ง ทั้งๆที่รู้ว่าไปเติมแป๊บเดียวแบบนี้เป็นน้ำร้อนแน่นอน ถ้าเป็นภัตตาคารจีน ก็มีแต่จะเติมให้ไม่อั้น แต่่ที่นี่เราก็ไม่รู้จะโวยยังไง แล้วก็คงเถียงไม่ทันเค้าอยู่ดี จำต้องจ่ายเงินไปอีกครั้ง ประสบการณ์นี้สอนให้ผมเริ่มระวังการสั่งอาหารในครั้งต่อไป อย่ากลัวเสียหน้า ถามไปเลยว่่า บริการนี้คิดเงินมั้ย เราจะได้มีสิทธิ์เลือกได้และไม่เสียความรู้สึกภายหลัง

หัวค่ำวันสิ้นปี พี่ศรนัดผมกับเพื่อนอีกสองคนให้มาเตรียมตัว Countdown ตั้งแต่หกโมงเย็น บริเวณถนน Victoria Embankment ริมแม่น้ำ Thames ซึ่งในคืนนี้จะมีการเฉลิมฉลองปีใหม่โดยการจุดพลุที่บริเวณ London Eye ชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามแม่น้ำ บริเวณนี้จะเป็นจุดที่่ชมวิวได้ดีที่สุด ผมแปลกใจที่พี่ศรนัดเร็วขนาดนั้น เพราะวันนี้เป็นวันแรกตั้งแต่มาถึงที่ฝนไม่ตก ผมเลยอยากเดินถ่ายรูปเก็บภาพอยู่ แต่พอมาถึงจุดนัดก็แปลกใจยิ่งขึ้น ที่มีผู้คนไม่ต่ำกว่าครึ่งพัน มารวมตัวจับจองที่นั่งชมพลุอยู่แล้ว อากาศก็หนาวราว 5 องศาจะนั่งรอเฉยๆไปอีกหลายชั่วโมงกว่าจะเที่ยงคืน คงไม่สนุกแน่ ผมเลยขอตัวเดินเรื่อยเอื่อยไปเก็บภาพสวยๆยามเย็น บริเวณWestminster Bridge ซึ่งจะได้ภาพอันเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวของลอนดอน คือภาพBig Ben คู่กับHouses of Parliament สวยงามมาก ผมเดินถ่ายรูปเรื่อยมาจนถึงกลางสะพาน ก็พบผู้คนเดินสวนมาจากฝั่ง Waterlooเพื่อจะมาชมพลุทางฝั่งที่เราอยู่เช่นเดียวกัน

พอผมจะเดินย้อนกลับไปหาพี่ศร ปรากฎว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจเอาแผงเหล็กมากั้นไม่ให้ลงสะพาน ผู้คนก็ยืนออกันอยู่เต็ม พยายามตะโกนถาม เจ้าหน้าที่อึกอักไม่ตอบ ทำเป็นพูดวิทยุ แล้วบอกว่า สะพานนี้ปิดแล้วให้ไปเดินข้ามที่สะพานถัดไป พวกเราถามเหตุผล เค้าบอกว่าจะถามหัวหน้าให้ รอตั้งนานก็ไม่ได้คำตอบ สักพักมีชายหญิงคู่หนึ่งเดินมาจะขอข้ามไป พอเจ้าหน้าที่บอกว่าให้ไปข้ามที่สะพาน Waterlooซึ่งอยู่ถัดไป เค้าก็เถียงว่า เพิ่งเดินมาจากสะพานนั้น จนท. เค้าก็กัั้นเหมือนกันและบอกให้มาข้ามสะพานนี้ เจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นไปไม่ได้ แล้วก็พยายามพูดวิทยุอยู่ แล้วก็กลับมายืนกรานเหมือนเดิม ว่าให้ไปหาสะพานถัดไปเอา อันนั้นไม่ได้ก็ไปอีกอัน ซึ่งคนก็ไม่พอใจกัน เพราะสะพานแต่ละแห่งก็ไม่ใช่ใกล้ๆ ให้เดินไปข้าม ถ้าปิดอีกก็คงเสียเที่ยวเสียเวลา ต่างคนก็พยายามโวยวาย ร้องขอให้เจ้าหน้าที่เปิดแผงกั้นให้ได้ แต่ก็ไม่เป็นผล

ผมรู้สึกถึงความมั่ว แล้วคนก็เริ่มแน่นมากขึ้น มาออกันเต็ม ผมอยู่แถวหน้าสุดกลัวจลาจลคนเหยียบกัน เลยปลีกตัวเดินย้อนสวนทางออกมาทางฝั่งวอเตอร์ลู พอเจอเจ้าหน้าที่ตำรวจทางฝั่งนี้ก็เลยถามไปว่าทำไมปิดสะพาน เค้าตอบหน้านิ่งมาก บอกว่า ทางฝั่งนู้นมีการระบาดของ Swine flu เราจำเป็นต้องปิดกั้นไม่ให้เกิดการติดต่อลุกลาม อยู่ฝั่งนี้แหละปลอดภัยดีแล้ว ผมมองหน้าเค้าแล้วรู้สึกว่า จนท.ไม่ควรเล่นมุขแบบนี้กับนักท่องเที่ยวเลย แต่เพื่อความแน่ใจเลยเดินไปถาม จนท.อีกคน ได้รับคำตอบว่า อ้าว ปิดสะพานด้วยเหรอ ผมไม่เห็นเรื่องรู้เลย แล้วก็ยักไหล่ไม่สนใจ โอ้ เจ้าหน้าที่ตำรวจในลอนดอน เมืองหลวงอันดับต้นๆของโลก เป็นเช่นนี้กันหนอ เลยโทรรายงานพี่ศรว่า ติดอยู่อีกฝั่ง ยังหาทางกลับไม่ได้ สะพานใกล้เคียงก็น่าจะถูกปิดแล้วเช่นกัน พี่ศรตอบมาว่า ตอนนี้ ฝั่งนี้คนเยอะมาก มีการปิดสถานี Westminsterแล้ว และร้านค้าแถวนี้ก็ปิดหมด จะหาอะไรรองท้องก็ไม่ได้ จะหาห้องน้ำก็ไม่มี ก็ได้แต่นั่งรอเฉยๆ นี่คงเป็นเหตุผลที่เค้าเล่าว่า ต้องมาถึงงานแต่เนิ่นๆก่อนที่คนเต็มแล้วจะเข้าไม่ได้

ผมยังคงสบายใจอยู่ เพิ่งสองทุ่มเอง ก็เดินมาเรื่อยๆ จนถึงสถานี Waterloo นั่งกินช็อคโกแล็ตร้อนรอเวลาอีกสักพัก แวะซื้อของขนมขบเคี้ยวและนำ้อัดลมไว้เผื่อเพื่อนๆที่ป่านนี้คงหิวโซ คิดว่าถ้าขึ้นสะพานไม่ได้ จะลงรถไฟใต้ดินลอดแม่น้ำไปโผล่สถานี Embankment แล้วเดินไปอีกสักครึ่งกม.ก็จะถึงจุดชมพลุได้ไม่ยาก ที่ออกกว้างขวางคงพอเบียดๆเข้าไปหาเพื่อนๆได้ หากแต่คนอีกจำนวนมากก็คงคิดเหมือนกันกับผม เพราะทางเดินลงรถไฟใต้ดินคนแน่นมากๆ ขณะนั้นเป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว พอขึ้นมาฝั่งนี้ได้ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากยืนขวางทางออกที่ไปทางแม่น้ำ บังคับให้เราเดินไปออกอีกฝั่ง คนเป็นพันก็ค่อยๆไหลตามกันไป หยุดเดินก็ไม่ได้ โดนดันจากข้างหลัง พอออกมานอกสถานี ผมตกใจมาก เพราะมี จนท.อีกหลายร้อยคน ยืนปิดกั้นอยู่สองฝั่งถนน ขวางบีบไม่ให้เราแตกแถว ให้เราเดินได้ทิศเดียวคือตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว ร้านรวงบริเวณนั้นก็ปิดไฟหมดแล้ว ถนนก็มืด ผมเริ่มสับสนไม่รู้ว่าอยู่จุดไหนในลอนดอน ได้แต่เดิินตามๆกันไปเรื่อยๆ สักพักก็ไปเจอกลุ่มคนที่ออกมาจากสถานีอื่น ถูกต้อนบีบให้ออกมาทางเดียวกัน ผมเห็นแสงไฟสะท้อนแม่น้ำอยู่รำไรทางขวามือใกล้นิดเดียว แต่ จนท.ตำรวจถือกระบองยืืนขวางอยู่ทุกช่องว่างระหว่างตึก และบอกให้เราเดินต่อไปอย่าหยุด ห้ามออกนอกแถว ผมรู้สึกว่าตัวเองเหมือนหมูหรือวัวที่ถูกล้อมคอกแล้วบังคับให้เดินตามช่องทางเล็กๆไปสู่ลานประหารรอถูกเชือดอย่างไรอย่างนั้น

เวลาผ่านไปแล้วเกือบชั่วโมง ผมและคนอีกนับหมื่นก็ถูกบังคับให้เดินเรื่อยๆอยู่แบบนี้ เดินบนถนนที่ขนานไปกับแม่น้ำ ไม่สามารถเข้าใกล้แม่น้ำได้ และไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปอีกไกลแค่ไหน ยิ่งใกล้เวลาเที่ยงคืน นักท่องเที่ยวและคนหนุ่มสาว ต่างก็อยากมุ่งหน้ามาสมทบบริเวณที่จัดงานทำให้คนยิ่งแน่นขึ้นไปอีก ถนนอันกว้างใหญ่ใจกลางลอนดอนก็เบียดเสียดคับแคบไปถนัดตา แม้จะเมื่อยแล้ว แต่จะหยุดเดินก็ไม่ได้เพราะคนข้างหลังดันมาตลอดเวลา สิ่งที่เกิดขึ้นคือ วัยรุ่นและคนเมาเริ่มตะโกนโวยวายไม่พอใจ มีการโห่ร้องต่อๆกัน และโยนขยะข้าวของในมือทิ้ง เตะถังขยะกระจัดกระจาย เนื่องจากอากาศเย็น ร้านค้าใกล้เคียงปิดหมด จะเข้าผับก็ต้องเสียค่าผ่านประตู จึงเห็นผู้ชายยืนปัสสาวะตามมุมมืดกลางเมืองลอนดอน ไม่ต่างกับบ้านป่าเมืองเถื่อน ตอนนั้นเป็นภาพเหมือนเรารวมตัวมาเดินประท้วงอะไรสักอย่าง และตอนนี้ใครจะทำอะไรบ้าบอยังไง ก็จับมือใครดมไม่ได้ ทั้งนักท่องเที่ยวหลากเชื้อชาติ คนเมา กลุ่มวัยรุ่น ต่างออกลวดลายกันเต็มที่ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ยังดีที่ผมเป็นผู้ชาย แม้จะหลงมาเดินคนเดียว แต่ถ้ามีอะไรก็น่าจะพอวิ่งหนีได้ทัน

ผมเริ่มเข้าใจสถานการณ์แบบนี้ทันที ทำไมรัฐบาลถึงใช้ จนท.จำนวนนับพัน ทำเหมือนจะมาปราบม็อบ เพราะตอนนี้พวกเราก็เปรียบเหมือนม็อบวันปีใหม่ ม็อบผู้มาทีหลังและไม่พอใจที่ไม่ได้เข้าร่วมงาน แต่ถ้าดูปริมาณคนขนาดนี้ ป่านนี้ถนนสายเลียบแม่น้ำคงเต็มจนล้นแล้ว ถ้าไม่กั้นเอาไว้ คนนับแสนแห่มาทีหลังจากทุกทิศทางก็จะกรูกันเข้าไปบริเวณนั้น อาจทำให้เกิดการเบียดเสียดดันกันจนตกแม่น้ำได้ พอสถานที่จัดงานเต็ม จนท.จึงต้องปิดกั้นทางเข้าออกทั้งหมด เพื่อรักษาความปลอดภัยให้คนที่มาก่อนในบริเวณงาน เวลาห้าทุ่มครึ่ง ผมเดินมาจนถึงกลางสะพานBlackfriars Bridge ซึ่งตรงจุดนั้นเป็นช่วงโค้งของแม่น้ำพอดี มองไม่เห็น London Eyeแล้ว แต่มองเห็นคนนับแสนเบียดเสียดกันอยู่บนถนนเลียบแม่น้ำเทมส์ เต็มเหยียดยาวตลอดสายกว่า 3 กม. มาจนถึงตีนสะพานที่ผมยืนอยู่ และมองไปทางฝั่ง Waterlooยังมีคนอีกจำนวนมากกำลังเดินเข้ามาสมทบคิดจะข้ามฝั่งมาเขตWestminsterอีกเรื่อยๆ เพราะว่าสะพานนี้ยังไม่ได้ปิด ตอนนี้โทรศัพท์มือถือก็ใช้การไม่ได้ซะแล้ว สัญญาณมีเต็มแต่ผมโทรหาพี่ศรไม่ได้ เพราะเครือข่ายคงไม่สามารถรองรับการโทรออกจากคนหลายแสนคนพร้อมๆกันในช่วงนี้ได้

ผมตัดสินใจเดินเรื่อยๆเอื่อยๆโดยไม่มีจุดหมาย สวนทางกับผู้คนมากมายเพิ่งออกจากที่พักทางฝั่ง Waterlooต่างคนแต่งตัวสวยงาม มีสีหน้ายิ้มแย้ม หัวเราะเฮฮา ในมือถือเบียร์และถุงขนม มากันเป็นกลุ่มเล็กบ้างใหญ่บ้าง บ้างก็มากันเป็นคู่ เดินกอดเอวเกี่ยวกันมา ทุกคนช่างไม่รู้เลยว่า จะไม่มีโอกาสเห็นพลุสวยงามตามที่ตนคิดไว้ เพราะจะพบกับกำแพงคนอีกนับแสนที่เบียดเสียดแน่นขนัดอยู่ในฝั่งWestminster แต่ยิ่งใกล้เวลาเที่ยงคืน คนก็ต่างออกมามากขึ้น บางคนเริ่มวิ่งเพื่อจะไปหาทำเลดูพลุ ผมเดินช้าๆอยู่คนเดียวกลางถนนสวนทางกับคนนับพันที่กำลังวิ่งผ่านตัวผมไป เป็นภาพที่แปลกตาดี อย่างน้อยวันนี้ผมก็ได้ประสบการณ์ที่พี่ศรกับเพื่อนๆไม่มีทางได้พบและจินตนาการไม่ได้ว่าเป็นอย่างไร

นาทีแรกของปี 2010 เสียงพลุดังสนั่นไม่ขาดสาย คนที่อยู่รอบตัวผมขณะนั้นคอตกอย่างผิดหวัง ผมฉลองวันปีใหม่กลางถนนกับคนแปลกหน้านับพันรอบกาย แม้จะต่างชาติ ต่างภาษา พอได้สบตา เราก็ยิ้มน้อยๆให้แก่กันเพื่อปลอบใจ เพื่อนร่วมโลกเหล่านี้ที่ได้รับการบอกเล่าเหมือนกับผม ว่าเคาน์ดาวน์ที่่ลอนดอนอายสวยงามเพียงไร แต่เคยรู้ว่ามันวุ่นวายโกลาหลอลหม่านและอันตรายเพียงไหน ภายหลังผมได้สนทนากับเพื่อนที่เรียนอยู่ลอนดอน เค้าเลือกที่จะไปฉลองในร้านอาหารใกล้บ้านแล้วดูถ่ายทอดการจุดพลุทางสถานีโทรทัศน์ BBC มากกว่า ถามใครก็ไม่มีใครคิดจะมาเคาน์ดาวน์อีกเป็นครั้งที่สองเลย

อย่างไรก็ตามการเดินทางในวันปีใหม่ของผมยังไม่จบ เพราะว่าผมต้องกลับมาหาพี่ศรและเพื่อนเพื่อกลับที่พักด้วยกัน จึงเดินมาลงรถไฟที่สถานี Waterlooอีกครั้ง พอขึ้นมาถึงLeicester Squareก็พบกับฝูงชนที่เลิกจากงานเดินเบียดตามกันมาเพื่อจะลงรถไฟกลับบ้าน ขณะนั้นตีหนี่งแล้ว พี่ศรบอกว่าแม้คนทยอยออกแต่พี่ยังอยู่ใจกลางงานไม่สามารถออกไปได้ สถานีที่ผมอยู่เป็นสถานีที่ใกล้ที่สุดที่เปิดใช้ เค้าจะปล่อยคนไปทางนั้น กว่าจะไปถึงคงอีกนาน ดังนั้นให้เราไปเจอกันที่พักเลย พอวางสาย ผมก็มองหาทางกลับเข้าสถานี ซึ่งบัดนี้มีคนยืนรอลงรถไฟล้นขึ้นมาจากสถานี แถวยาวออกไปตามถนน และยังมีคนมาสบทบอีกไม่ขาดสาย จนท.ตำรวจก็ป่าวประกาศให้คนนอกแถวไปเข้าคิวต่อท้าย ผมเห็นจำนวนคนแล้วคิดว่าคงไม่ได้กลับง่ายๆแน่ เลยตัดสินใจเดินเท้าสวนทางกับผู้คนอีกครั้ง เพื่อไปลงสถานีถัดไปซึ่งน่าจะอยู่ห่างออกไปอีกอย่างน้อย 2 กม.

เนื่องจากเป็นเวลากลางคืน และผมก็ไม่มีแผนที่ติดตัว ทำให้ผมเดินผิดทิศ และหลงไปท่ามกลางตึกสูงใหญ่มืดทะมึน ผมเดินไกลออกมาเรื่อยๆ มีคนเดินอยู่รอบตัวน้อยมาก เห็นคนเมาและคนจรจัดนั่งขดหนาวอยู่ตามมุมมืดของตึก บรรยากาศเริ่มวังเวง พร้อมกับมีลมหนาวพัดโกรกเป็นระยะ ในความคิดของตัวเอง คนเยอะไปก็น่ากลัว คนน้อยไปก็น่ากลัวไปอีกแบบ ถ้าตอนนี้มีใครมาเข้าทำร้าย คงไม่มี จนท.ตำรวจมาช่วยผมแน่ๆ เมื่อหลายชั่วโมงก่อนยังเหม็นหน้าตำรวจอยู่ แต่ตอนนี้ชักเริ่มอยากเห็นหน้าตำรวจขี้นมาตะหงิดๆ อย่างน้อยก็อุ่นใจและพอถามทางกลับที่พักได้ คืนนี้คืนเดียวผมได้ความรู้สึกมากมายหลายแบบจริงๆ ผมนึกปลอบใจตัวเองว่า ลอนดอนมีสถานี Tube มากมาย เดินตามถนนใหญ่ไปเรื่อยๆก็คงเจอ ในที่สุดผมก็ได้ลงรถไฟตอนตีสามของวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งพี่ศรก็กลับมาถึงบ้านในช่วงเวลาไล่ๆกัน

นับตั้งแต่หกโมงเย็นมาจนถึงเวลานี้ ผมเดินอยู่ถึง9 ชั่วโมงโดยไม่ได้พัก ไม่นับเวลาเดินเที่ยวถ่ายรูปมาตั้งแต่ตอนเที่ยงๆอีก ส่วนพี่ศร วันรุ่งขึ้นก็จับไข้ แม้ไม่ได้เดินไปไหนแต่นั่งตากลมหนาวอยู่ถึง 9 ชั่วโมงเช่นกัน ผมประมวลความคิดย้อนหลัง แต่ไหนแต่ไรมา นิสัยอย่างผมและพี่ศร ไม่มีทางยอมไปแออัดยัดเยียดแบบนี้ แม้แต่ที่เมืองไทย พวกเราก็ไม่เคยไปงานเคาน์ดาวน์ใหญ่ๆที่แยกราชประสงค์ สนามศุภฯ หรือที่ใดๆเลย นอนตีพุงในชุดนอนอยู่หน้าทีวีที่บ้านมากกว่า ที่มาลำบากลำบนขนาดนี้ ดั้นด้นไปกิน ไปเที่ยว ก็เพราะเชื่อคำ "เค้าเล่าว่า" ซึ่งก็ไม่รู้เป็นใครมาจากไหน ไม่มีตัวตน เหมือนกระแสลมที่จับต้องไม่ได้ แต่ทำให้เราหนาวเย็นได้ เพราะที่สุดแล้วประสบการณ์โดยส่วนใหญ่ที่เราเจอ ไม่ได้สอดคล้องไปกับความสุข สนุกสนานที่ได้ยินมาเลย

หากแต่ผมก็ได้ข้อสรุปสำหรับตัวเอง ว่าการท่องเที่ยวในโลกนี้มีอิทธิพลอยู่ได้ด้วย Word of Mouthหรือลมปากบอกต่อของผู้คน เมื่อคนเราดั้นด้นข้ามทวีปมาไกลเพื่อมาเที่ยวถึงลอนดอนแล้ว ไฉนเลยจะกลับไปแล้วบอกว่า ไม่คุ้ม ไม่สนุก เหนื่อยมาก อย่ามา เราคงเล่าแต่สิ่งที่ดีๆ ความหรูหราอลังการและสิ่งที่จะทำให้ผู้ฟังอิจฉาจนหูร้อน น้ำลายหก ยังดูดีซะกว่า

ผมจึงเขียนบทความนี้ เพื่อสะท้อนความเห็นจากประสบการณ์ตรงที่พบเจอ ณ ช่วงเวลาหนึ่งให้ผู้อ่านได้เห็นภาพและเปรียบเทียบกับเรื่องเล่าที่เคยได้ยินมา อันเป็นตำนานเล่าขานของคนที่มาเยือนกรุงลอนดอน ไม่จำเป็นว่าทุกคนที่มาเที่ยวจะได้รับประสบการณ์เหมือนกันหมด ต่างมีแง่มุมทั้งดีและร้ายต่างกันไป ผมเลือกที่จะเสนอมุมมองของลอนดอนในแง่มุมที่ต่างออกไปจากที่เราเคยรู้กันมา ประสบการณ์ของผมเป็นเพียงมุมเล็กน้อย มิอาจถือเป็นตัวแทนประสบการณ์ของคนนับสิบล้านที่มาเยี่ยมลอนดอนแต่ละปีได้ หากแต่เป็นเรื่องจริงในมุมที่ต่างไป ที่จะทำให้เราได้คิดใคร่ครวญถึงคำ "เค้าเล่าว่า" ในแง่การเปรียบเทียบกันระหว่าง ลมปาก จินตนาการ และความเป็นจริงได้ดียิ่งขึ้น เพราะหากไม่รู้ ไม่เคยได้ยิน ก็ไม่ต้องมีความคาดหวัง ซึ่งจะตามมาด้วย ความสมหวัง หรือผิดหวัง แล้วเราก็จะอยู่กับประสบการณ์ตรงที่เป็นจริงได้มากยิ่งขึ้น






Create Date : 28 มกราคม 2553
Last Update : 28 มกราคม 2553 7:10:52 น. 0 comments
Counter : 668 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

navyob
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add navyob's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.