Group Blog
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •   
  •  
  •  
  •  
  •  
กรกฏาคม 2552

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
12
13
14
17
18
19
20
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
สูตรสำเร็จการตั้งครรภ์ของคุณแม่มือใหม่


การปฏิบัติตนเองให้ถูกต้องระหว่างที่ตั้งครรภ์สำคัญมากที่สุดต่อสุขภาพของทารกถ้าคุณแม่ตั้งครรภ์มีความสุข มีสุขภาพอนามัยที่ดี ร่างกายจะแข็งแรงสมบูรณ์ ทารกที่คลอดออกมาจะมีสุขภาพอนามัยที่สมบูรณ์สมดังปรารถนาของผู้เป็นพ่อและแม่


รู้ได้อย่างไรว่าตัวเองตั้งครรภ์ สังเกตตัวเองได้ด้วยวิธีง่ายๆ


1. ประจำเดือนขาดหายไป เมื่อถึงกำหนดเวลามาก็ไม่มา นับว่าเป็นอาการเบื้องต้นของสตรีที่ตั้งครรภ์ จุดนี้สังเกตเอาไว้ก่อน

2. มีอาการแพ้ท้องเกิดขึ้น คือมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศรีษะ น้ำลายก็ออกมามากกกว่าปกติ อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นในเช้าหรือตื่นนอนใหม่ๆ บางรายมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เกี่ยวกับอาการทางประสาท เป็นต้นว่า โกรธง่าย ใจน้อย หงุดหงิด คิดมาก

3. มีอาการเปลี่ยนแปลงของเต้านม เพราะหัวนมจะมีสีคล้ำเกิดขึ้น เต้านมโตขึ้น

4. ปัสสาวะบ่อยครั้งขึ้นจนผิดปกติ ปัสสาวะบ่อยๆ แต่ไม่มีอาการปวดแสบหรือเกิดอาการขัดเบา ถือว่าเป็นอาการที่เป็นปกติของสตรีมีครรภ์ทั่วไป ไม่ผิดปกติอย่างไร อาการนี้พบได้เสมอ เกิดจากมดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นแล้วไปเบียดเอากระเพาะปัสสาวะ

5. มดลูกจะบีบตัวเป็นบางครั้ง มักจะสังเกตพบเมื่อครรภ์ผ่านไป 4 เดือนแล้ว จะรู้สึกมีก้อนนูนบริเวณหัวหน่าว มักพบในตอนเช้า

6. ทารกจะดิ้นได้ เพราะทารกในครรภ์เป็นสิ่งมีชีวิต มีลักษณะลอยอยู่ในถุงน้ำในมดลูก ทารกจะมีอาการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา โดยทั่วไปแล้วครรภ์แรกนั้นผู้เป็นมารดาจะรู้สึกว่าเด็กดิ้นเมื่อตั้งครรภ์ไปได้ประมาณ 4 เดือนครึ่ง ถึง 5 เดือน ส่วนครรภ์หลังๆ เนื่องจากมารดามีความเคยชินแล้ว อาจจะสังเกตว่าทารกในครรภ์ดิ้นในการตั้งครรภ์เดือนที่ 4 เท่านั้น ในระหว่างที่ทารกในครรภ์ดิ้นครั้งแรกนั้นก็มีความสำคัญในการช่วยกำหนดระยะเวลาคลอดของท่านได้ โดยเฉพาะในรายที่จำเดือนแรกที่หมดประจำเดือนครั้งสุดท้ายไม่ได้

ควรฝากครรภ์เมื่อไร ? ที่ไหน ? ทำไมจึงจะต้องฝากครรภ์ ?

การฝากครรภ์เป็นประโยชน์แก่แม่และลูกในครรภ์มาก แล้วเมื่อไรควรไปฝากครรภ์ โดยทั่วไปแล้วแพทย์แนะนำให้ฝากครรภ์ทันทีที่คิดหรือว่าสงสัยว่าตนเองตั้งครรภ์ บางท่านอาจจะคิดว่าทำไมจะต้องรีบร้อนไปฝากครรภ์อะไรกันนักหนา เพิ่งเริ่มต้น เพิ่งจะทราบ เพราะเป็นระยะแรกเริ่มแท้ๆ น่าจะไปฝากครรภ์ทีหลังก็ได้ หรือไปฝากเวลาที่จะคลอดก็ไม่น่าเกิดปัญหาอะไรเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปหลายครั้งหลายหนด้วย การคิดเช่นนี้เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง ที่เป็นแบบนี้เพราะยังไม่ทราบถึงประโยชน์ของการฝากครรภ์อย่างแท้จริง

ความสำคัญของการฝากครรภ์

เรื่องนี้จะต้องให้ผู้เป็นแม่ทราบไว้ เพราะมีความสำคัญจริงๆ คือ ...

1. แพทย์จะตรวจเพื่อหาการตั้งครรภ์ของท่านนั้นปกติหรือผิดปกติ นอกจากนี้เพื่อให้ผู้ที่เป็นแม่ได้รับคำแนะนำ การดูแลรักษาสุขภาพอนามัยของตนเองให้ดี ถูกต้อง ให้มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อลดอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากโรคแทรกซ้อนต่างๆ ในขณะที่ตั้งครรภ์ ให้ความรู้เกี่ยวกับการเตรียมตัวคลอด ตลอดจนการรู้จักดูแลรักษาตัวเองภายหลังคลอดอีกด้วย นอกจากนี้ยังทำให้แม่ใกล้ชิดกับแพทย์ พยาบาล เชื่อมั่น และมีโอกาสจะสอบถามขอคำแนะนำในสิ่งที่ตนเองสงสัยข้องใจจากแพทย์และพยาบาลหรือผดุงครรภ์ที่ดูแล

2. ในการตรวจครรภ์ครั้งแรก แพทย์จะตรวจร่างกายโดยทั่วไป เพื่อค้นหาโรคที่เป็นอันตรายต่อแม่หรือต่อทารกในครรภ์ และทำการรักษาตั้งแต่ในระยะแรก เป็นต้นว่า บางทีก็ตรวจพบว่าเป็นโรคหัวใจแต่ทว่า คนไข้ก็ยังไม่มีอาการอะไรออกมาให้เห็น โรคพวกนี้ถ้าปล่อยเอาไว้ไม่รักษาเสียแต่ในระยะแรกอาจจะเกิดหัวใจวายได้เมื่อครรภ์แก่ใกล้คลอดในระยะคลอดหรือหลังคลอดก็ได้

3. การตรวจทางห้องทดลองเป็นสิ่งจำเป็นมาก จำเป็นอย่างไรโปรดพิจารณาดูได้ดังต่อไปนี้
การตรวจเลือด เพื่อหาโรคโลหิตจาง ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกส่วน หรือมีสาเหตุมาจากโรคเลือดอย่างอื่นๆ หากพบเสียแต่แรกก็จะได้ทำการรักษาผุ้ที่จะเป็นแม่ได้ทันเวลาก่อนที่จะย่างเข้าสู่ระยะคลอด และเพื่อดูว่าเป็นกามโรคหรือไม่ ชนิดใด เช่น ซิฟิลิส โกโนเรีย ก็จะได้ทำการรักษา ป้องกันโรคมิให้แพร่เข้าไปสู่ทารกในครรภ์ได้


การตรวจปัสสาวะ อาการผิดปกติของการตั้งครรภ์บางอย่างก็ตรวจพบได้ด้วยการหา “ไข่ขาว” ในปัสสาวะนอกจากนั้นการตรวจปัสสาวะก็จะทราบได้ว่ามีอาการผิดปกติในทางเดินปัสสาวะด้วยหรือไม่ เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กรวยไตอักเสบ ซึ่งมักพบได้บ่อยๆ ในระยะตั้งครรภ์การตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะก็เป็นสิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะต้องตรวจให้แน่ใจว่า ผู้ที่จะเป็นมารดานี้ป่วยเป็นเบาหวานหรือไม่ ถ้าป่วยก็จะต้องได้รับการเยียวยารักษาต่อไปอีก

หลังจากการตรวจครั้งแรกผ่านไปแล้ว แพทย์ก็จะนัดให้ผู้ที่จะเป็นมารดาไปตรวจอีกเป็นระยะๆ ไป ในรายที่ครรภ์อ่อนๆ ก็จะต้องได้รับการตรวจทุกๆ 4-6 สัปดาห์ ในระยะหลังๆ ของการตั้งครรภ์ก็จะนัดให้ไปตรวจทุก 1-3 สัปดาห์ แล้วแต่ความจำเป็นที่แพทย์จะพิจารณาเป็นรายๆ ไปการไปตรวจครรภ์ตามนัด มีความจำเป็นอย่างมาก ถ้าไม่สามารถไปตามนัดได้ก็รีบไปในทันทีที่มีเวลา ในการตรวจครรภ์ในระยะนี้ก็เพื่อจะได้ทราบถึงภาวะของการตั้งครรภ์ เช่น ทารกมีความเจริญเติบโตตามกำหนดหรือไม่ อย่างไร ทารกอยู่ในท่าที่เป็นปกติหรือเปล่า หรือมีอาการของโรคแทรกซ้อนอะไรบ้าง โรคแทรกซ้อนบางอย่างนั้นบางชนิดก็เกิดในระยะหลังของการตั้งครรภ์ ซึ่งหากได้รับการรักษาป้องกัน ก็จะทำให้การคลอดดำเนินไปได้อย่างปลอดภัยทั้งมารดาและทารกด้วย

ฝากครรภ์ที่ไหนดี ?

ในการฝากครรภ์นั้น ผู้ที่จะเป็นมารดาควรจะไปฝากที่โรงพยาบาลหรือสถานีอนามัย แพทย์จะได้ทำประวัติ แนะนำวิธีปฏิบัติตนเองและตรวจวินิจฉัยดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ระหว่างการตั้งครรภ์นั้นควรทำอย่างไร หรือไม่ควรทำอะไร อะไรที่ควรงดเว้นเด็ดขาดอีกประการหนึ่งแพทย์ก็จะได้ทำการฉีดวัคซีนป้องกันหรือสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้ด้วย และมีการกำหนดวันคลอดให้อีก


การคลอดบุตรที่โรงพยาบาล หรือที่สถานีอนามัยดีอย่างไร ?

การคลอดที่ถูกวิธีนั้นโรงพยาบาลหรือสถานีอนามัย จะเป็นสถานที่ช่วยให้ท่านคลอดบุตรได้โดยปลอดภัยที่สุด ถ้าการคลอดไม่เป็นไปตามปกติ ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ แพทย์ก็ยังมีเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยตลอดจนเทคนิคต่างๆ ช่วยเหลือผู้ที่จะเป็นมารดาและทารกได้อีก เป็นต้นว่า

1. การใช้เครื่องมือช่วยการคลอด มีคีมหรือเครื่องดูด
2. วิธีการผ่าตัดเอาทารกออกทางหน้าท้อง

อย่าลืมว่า ในปัจจุบันนี้ นานๆ ครั้งจะมีผู้เสียชีวิตจากการคลอดสักรายหนึ่ง ส่วนมากแล้วมักจะเป็นผู้ที่มิได้มาฝากครรภ์กับทางโรงพยาบาลหรือสถานีอนามัยหรือบางทีก็มาโรงพยาบาลหรือมาสถานีอนามัยก็มีอาการเพียบหนักมาแล้ว แพทย์สุดที่จะเยียวยาแก้ไขได้ความจำเป็นในการฝากครรภ์จึงมีความสำคัญมากทีเดียว

อาหารจำเป็นของผู้เป็นแม่ จะต้องมีอะไรบ้าง ?

เรื่องอาหารนั้นสำคัญมากไม่ว่าใครก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่กำลังจะเป็นมารดานั้น พึงระมัดระวังเป็นพิเศษที่จะต้องมีอาหารที่ดีมีประโยชน์ และควรงดอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์และมีโทษแก่ตนเองและทารกในครรภ์ด้วย กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขได้แนะนำว่า ผู้ที่จะเป็นมารดานั้นจำเป็นจะต้องรับประทานอาหารเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ สำหรับตัวเองและทารก

ผู้ที่ตั้งครรภ์จะต้องรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ทุกๆ วัน เพื่อไปบำรุงร่างกายให้แข็งแรง สุขภาพดี การคลอดก็จะง่ายขึ้น อีกประการหนึ่งเพื่อบำรุงทารกให้สมบูรณ์ และเพื่อสร้างน้ำนมให้เพียงพอสำหรับทากที่จะเกิดมา คราวนี้มาลองพิจารณาดูอาหารของสตรีมีครรภ์กันต่อไปบ้างว่ามีอะไร

ชนิดของอาหารที่ต้องรับประทาน

อาหารหมู่ที่ 1 น้ำนม ไข่ เนื้อสัตว์ ปลา ตับ ถั่วเหลือง ถั่วเขียว อาหารพวกนี้จะเข้าเสริมสร้างและซ่อมแซมร่างกายได้เป็นอย่างดี
อาหารหมู่ที่ 2 ข้าวสวย ขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว เผือก มัน น้ำตาล อาหารพวกนี้จะเข้าไปสร้างพลังงานแก่ร่างกาย
อาหารหมู่ที่ 3 ผักใบเขียวทุกชนิด มะเขือเทศ ฟักทอง และผักชนิดต่างๆ อาหารพวกนี้จะเข้าไปควบคุมการทำงานของร่างกายให้เป็นปกติ
อาหารหมู่ที่ 4 ผลไม้ทุกชนิด เช่น กล้วย ส้ม มะละกอ ฝรั่ง อาหารพวกนี้จะเข้าไปควบคุมการทำงานของร่างกายให้เป็นปกติ
อาหารหมู่ที่ 5 น้ำมันจากพืชและสัตว์ เช่น น้ำมันหมู น้ำกะทิ อาหารพวกนี้จะให้กำลังงานแก่ร่างกาย
นอกจากนี้ผู้ที่กำลังจะเป็นมารดาจะต้องดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6 แก้ว ยกเว้นกรณีที่แพทย์แนะนำเป็นอย่างอื่น มีการขับถ่ายทุกวันโดยเฉพาะเวลาเช้า เพื่อสุขภาพร่างกายที่เป็นปกติเสมอ

อาหารและสิ่งที่ควรงดเว้นเด็ดขาด

ควรดื่มน้ำเปล่า น้ำผลไม้สดจะดีที่สุด งดเว้นเด็ดขาดในการดื่มสุรา เบียร์ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ด้วย เป็นผลเสียแก่ร่างกายของแม่และทารกในครรภ์

น้ำชา กาแฟ ก็ไม่สมควรดื่ม เพราะไม่มีประโยชน์ต่อมารดา ไม่ควรสูบบุหรี่ เพราะเกิดโทษทั้งแม่และทารกในครรภ์พิษของบุหรี่นั้นมีมากมาย จะเข้าไปยับยั้งความเจริญเติบโตของทารกให้ช้าลง เซลล์ต่างๆ จะไม่สมบูรณ์เต็มที่ ทารกคลอดออกมาตัวก็เล็กผิดปกติ

สตรีมีครรภ์ควรรับประทานอย่างไร ?

ให้รับประทานอาหารตามปกติ ในกรณีที่ไม่แพ้ท้องเพิ่มปริมาณอาหารในระยะหลัง 3 เดือนแรก จะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน หรือที่เรียกว่าแพ้ท้อง ระยะนี้ไม่ควร รับประทานอาหารพวกไขมัน เพราะจะทำให้คลื่นไส้อาเจียน ปกติตอนกลางวันอาการคลื่นไส้มักจะหายไป ดังนั้น อาจจะกินอาหารได้ตอนบ่ายๆ ตอนเย็น และก่อนนอน หากกรณีแม่กินอาหารคาวไม่ได้ในระยะแพ้ท้องให้กินนมถั่วเหลืองหรือเต้าหู้แทนถ้ากินนมได้ยิ่งดี

ควรบริโภคให้เหมาะกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มคือ เดือนที่ 4 เพิ่ม 10% เดือนที่ 5 เพิ่ม 18% และเป็น 23% เมื่อคลอด โปรตีนควรเพิ่มมากกว่า 40% ของที่เคยได้รับปกติ คาร์โบไฮเดรตและไขมันจัดให้พอเหมาะกับแรงงาน และควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย

วิตามิน เอ บี ซี ดี เกลือแร่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และไอโอดีน เพิ่มขึ้นตามส่วนควรได้จากอาหาร ยกเว้นแต่ถ้าไม่สามารถกินอาหารได้ ก็จำต้องกินวิตามินและเกลือแร่เสริมหญิงมีครรภ์ในสตรีที่เป็นแม่นม ต้องใช้เพิ่มในการหลั่งน้ำนม ดังนั้นจึงควรเพิ่มอาหารให้อีกไม่น้อยกว่า 600 แคลอรี และโปรตีนต้องไม่ต่ำกว่า 15%

อาการแบบนี้ ต้องปรึกษาแพทย์ด่วน !
1. คลื่นไส้ อาเจียนรุนแรง และเป็นอยู่นาน
2. มีเลือดออกทางช่องคลอด แม้เพียงเล็กน้อยก็ต้องรีบปรึกษาแพทย์ด่วน
3. ปวดท้องอย่างรุนแรง เป็นอยู่นาน
4. ปวดบวมตามใบหน้า มือ เท้า รวมทั้งข้อเท้า ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเกลือคั่งอยู่ในร่างกาย เมื่อแพทย์แนะนำให้ลดอาหารที่มีรสเค็มลง เช่น ลดน้ำปลา เกลือ ซีอิ้ว ซอสต่างๆ ก็จะต้องลดลงตามคำแนะนำ ไม่เช่นนั้นก็เกิดผลเสียตามมาอีก เป็นอันตรายได้ ความดันโลหิตจะสูงขึ้นได้ ไตก็ทำงานผิดปกติได้แพทย์เรียกว่า “ครรภ์เป็นพิษ” เรื่องนี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่สตรีตั้งครรภ์เสียชีวิตลงได้ รวมทั้งในระยะคลอดหรือหลังคลอดด้วย
5. มีอาการปวดศรีษะมาก ปวดอยู่นานๆ
6. ตามัวมองอะไรก็เป็นจุดเป็นดวงไปหมด
7. ปัสสาวะน้อยลง หรือเวลาขับถ่ายปัสสาวะ เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนหรือขัดเวลาถ่ายปัสสาวะ
8. มีอาการไข้ หนาวสั่น
9. ทารกในครรภ์ดิ้นน้อยลง หรือเฉยไม่ดิ้นเอาเลย
10. เกิดอาการถุงน้ำแตก มีน้ำไหลออกมาทางช่องคลอดสิ่งเหล่านี้จะต้องรีบไปพบแพทย์โดยรีบด่วนทั้งนั้น เพราะบางทีอาจจะเกิดอันตรายรุนแรงได้

วัคซีนป้องกันบาดทะยัก ต้องฉีดกี่ครั้ง

ผู้ที่จะเป็นมารดาทั้งหลายนั้น จำเป็นจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนบางอย่างเพื่อความปลอดภัยของท่านเสมอ วัคซีนที่จะฉีดนั้นแพทย์จะฉีดให้ท่าน รวม 2 ครั้ง เป็นวัคซีนป้องกันบาดทะยัก ฉีดครั้งแรกในตอนที่ท่านไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลหรือสถานีอนามัย และฉีดครั้งที่ 2 เมื่อก่อนกำหนดคลอด 1 เดือน เป็นอันว่าครบถ้วน เพื่อป้องกันบาดทะยักที่อาจจะเกิดขึ้นได้

ยาบำรุงเลือด จำเป็นสำหรับสตรีมีครรภ์

แนะนำให้สตรีมีครรภ์รับประทานยาบำรุงเลือด สม่ำเสมอเพื่อเพิ่มปริมาณในการสร้างเม็ดเลือดสำหรับทั้งแม่และทารกในครรภ์เนื่องจากสภาวะร่างกายของมารดามีการเปลี่ยนแปลง สะสมน้ำเพิ่มปริมาณเลือดให้เพียงพอต่อการสูญเสียเลือดจากการคลอดอีกด้วย

การรับประทานยาบำรุงเลือดให้รับประทานยา 1-2 เม็ด หลังอาหารเช้าหรือก่อนนอนทุกวัน ร่วมกับการพักผ่อนให้เพียงพอ ไปพบแพทย์ตามนัด ท่านก็มั่นใจได้ว่า การคลอดของท่านนั้นสมบูรณ์และปลอดภัย

โรคต่างๆ ที่เป็นมาก่อนตั้งครรภ์…ต้องระวัง !

หากเคยเจ็บป่วยเป็นโรคต่างๆ ที่สำคัญมาก่อน นับว่าเป็นอันตรายแก่การตั้งครรภ์มาก ทั้งกับตัวเองและทารกในครรภ์อีกด้วยโรคที่สำคัญและมีอันตรายมากได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคซีด โรควัณโรค โรคปอด โรคไตเรื้อรัง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหืด โรคหัดเยอรมัน โรคเหล่านี้จะมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ได้ ในขณะที่คลอดก็ได้ หรือหลังคลอดก็ได้อีก ซึ่งอาจจะมีผลเสียต่อทารกในครรภ์ด้วย

โรคที่สตรีมีครรภ์เคยเป็นในการตั้งครรภ์ที่ผ่านมา

หากมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแก่สตรีมีครรภ์มาก่อน เช่น แท้งมาก่อน มีลูกยาก คลอดด้วยการผ่าท้องเอาทารกออก เจ็บท้องนานมากกว่า 24 ชั่วโมง คลอดยาก ทารกตายในครรภ์ ทารกคลอดก่อนกำหนดทารกคลอดเลยกำหนด ตกเลือดหลังคลอด เป็นต้น หากมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแก่สตรีมีครรภ์มาก่อน ต้องแจ้งแพทย์ให้ทราบรายละเอียดเพื่อตรวจประเมินมารดาและทารกอย่างใกล้ชิด

โรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์

โรคแทรกซ้อนเหล่านี้ คือ อาการตกเลือด โรคพิษแห่งครรภ์ ท้องแฝด เจ็บท้องก่อนกำหนด น้ำเดินก่อนเจ็บท้อง ทารกในครรภ์อยู่ในท่าที่ผิดปกติ ทารกดิ้นน้อยลงหรือไม่ดิ้นเลย ใช้ยารักษาโรคบางอย่างในระหว่างตั้งครรภ์ โรคซีด ตรวจพบว่าเป็นซิฟิลิส เมื่อแพทย์พบว่าสตรีมีครรภ์เป็นโรคพวกนี้แล้วก็จะรีบทำการเยียวยารักษาทันที แพทย์อาจจะนัดมาพบเพื่อตรวจรักษาในทุกๆ 1 หรือ 2 อาทิตย์

สูตรสำเร็จของแม่ตั้งครรภ์ เพื่อครรภ์ที่มีคุณภาพของทั้งคุณแม่และคุณลูก หลายๆ อย่างที่หมอแนะนำเป็นเรื่องที่ต้องทำตามค่ะ ไม่ใช่เรื่องที่แม่ต้องลังเล ทำตามที่หมอแนะนำปลอดภัยที่สุด

ข้อมูล : //www.elib-online.com













Create Date : 11 กรกฎาคม 2552
Last Update : 21 เมษายน 2553 2:06:29 น.
Counter : 1421 Pageviews.

1 comments
  
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีดีค่ะ
โดย: narm (narm_joker ) วันที่: 14 กรกฎาคม 2552 เวลา:17:12:05 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

she-sweet
Location :
CA,  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]