น้ำส้มสายชู-มะนาวช่วยรักษาวิตามินซี
ตรวจภายในสุภาพสตรีหลายคนอาจมีประสบการณ์ ในการตรวจภายในมาบ้างแล้ว แต่เชื่อว่ายังมีสุภาพสตรีอีกจำนวนมากที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์เลยในชีวิต เพราะไม่รู้ว่าการตรวจภายในคืออะไร ทำไมต้องไปตรวจด้วย
ดังนั้นเพื่อให้ผู้อ่านได้รับทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ “X-RAY สุขภาพ” จึงมาพูดคุยกับ ศ.น.พ.อภิชาติ จิตต์เจริญ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ศ.น.พ.อภิชาติ อธิบายว่า การตรวจภายในคือการตรวจอวัยวะสืบพันธุ์ของสตรีและรูเปิดของท่อปัสสาวะของสตรี โดยใช้วิธีการดูและการคลำนั่นเอง สำหรับการตรวจภายในนั้นเริ่มแรกเลยแพทย์จะให้สตรีที่มาตรวจภายในถ่ายปัสสาวะออกให้หมดก่อน เพื่อให้กระเพาะปัสสาวะว่าง เพราะถ้ากระเพาะปัสสาวะยังเต็มอยู่จะไปดันมดลูกหรือรังไข่ของสตรีให้ลอยขึ้นไป ทำให้การตรวจลำบากหรืออาจทำให้ตรวจผิดพลาดไปได้ จากนั้นจะเริ่มทำการตรวจภายใน โดยให้ผู้รับการตรวจนอนในท่าขึ้นขาหยั่ง โดยจะมีผู้ช่วยในการตรวจเป็นพยาบาล (เพศหญิง) อยู่ด้วยในขณะตรวจ การตรวจภายในนั้นแพทย์จะเริ่มตรวจจากภายนอก โดยการดูและคลำ อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกก่อน เพื่อดูว่าบริเวณปากช่องคลอดหรืออวัยวะเพศภายนอกมีลักษณะผิดปกติ มีก้อน มีตุ่ม มีแผลหรือไม่ และจะตรวจดูรูเปิดของท่อปัสสาวะว่าปกติหรือไม่ โดยการรีดท่อปัสสาวะว่ามีน้ำหนองหรือสารคัดหลั่งที่ผิดปกติออกมาหรือไม่ ต่อมาจะทำการสอดเครื่องมือที่เรียกว่า สเปคคูลัม (speculum) ซึ่งมีลักษณะเหมือนปากเป็ดเข้าไปในช่องคลอด เพื่อถ่างเปิดช่องคลอดทำให้เห็นผนังของช่องคลอด ตกขาวภายในช่องคลอดและปากมดลูก แพทย์จะพิจารณาดูว่ามีตกขาวลักษณะผิดปกติหรือไม่ มีเลือดออกผิดปกติหรือไม่ มีบาดแผลที่ช่องคลอดหรือไม่ ปากมดลูกปิดหรือเปิด มีความผิดปกติมีแผลหรือมีการอักเสบหรือไม่ ในรายที่จะตรวจหามะเร็งของปากมดลูก โดยวิธี แป๊ป สเมียร์ (pap smear) แพทย์จะใช้ไม้สอดเข้าไปป้ายเซลล์ของปากมดลูกทั้งด้านนอกและด้านในของปากมดลูก เพื่อนำลงมาป้ายในแผ่นกระจก (แผ่นสไลด์) เพื่อนำไปตรวจหาเซลล์มะเร็งต่อไป ซึ่งจะทราบผลภายใน 1 สัปดาห์ เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการนี้แล้ว แพทย์จะค่อย ๆ ดึงสเปคคูลัมออกมาจากช่องคลอด จากนั้นแพทย์จะทำการตรวจโดยการคลำผ่านทางช่องคลอดโดยการสอดนิ้วมือข้างที่ถนัดเข้าไปในช่องคลอด โดยทั่วไปจะสอดนิ้วชี้และนิ้วกลางเข้าไป ส่วนมืออีกข้างหนึ่งจะคลำ และกดบริเวณท้องน้อยเพื่อตรวจดูว่าขนาดของมดลูก และปีกมดลูก ว่าปกติหรือไม่ ลักษณะของมดลูกคว่ำมาด้านหน้า หรือ คว่ำไปด้านหลัง หรืออยู่ตรงกลาง กดเจ็บหรือไม่ ถ้ามดลูกผิดปกติ เวลาคลำหรือกดอาจรู้สึกเจ็บหรือมดลูกอาจมีลักษณะโตผิดปกติได้ หรือมดลูกลักษณะมีก้อนนูนผิดปกติหรือไม่ การใช้มือคลำผ่านทางช่องคลอด ยังสามารถตรวจรังไข่ ท่อนำไข่ ได้ด้วยว่าปกติ หรือผิดปกติ โดยทั่วไปรังไข่ที่คลำได้อาจจะมีขนาดประมาณ 2-3 เซนติเมตร แต่ถ้าคลำแล้วรังไข่โตกว่าขนาดปกติ อาจมีความผิดปกติของรังไข่ได้ ดังนั้นเพื่อให้การตรวจวินิจฉัยรังไข่ได้แม่นยำยิ่งขึ้น แพทย์อาจจะทำการตรวจด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์ร่วมด้วยเพื่อช่วยในการวินิจฉัย นอกจากนี้แพทย์จะใช้มือโยกหรือเคลื่อนไหวมดลูกหรือรังไข่ว่ามีการเคลื่อนไหวดีหรือไม่ โดยปกติมดลูกและรังไข่จะเคลื่อนไหวได้ดี ขณะโยกจะไม่เจ็บปวดแต่อย่างใด ดังนั้นถ้าโยก หรือ คลำแล้วรู้สึกเจ็บมาก แสดงว่าอาจมีการอักเสบ หรือมีความผิดปกติของมดลูกท่อนำไข่ หรือรังไข่ข้างที่เจ็บก็เป็นได้ ซึ่งกระบวนการตรวจทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่นานประมาณ 10-15 นาที ก็เสร็จสิ้นแล้ว โดยทั่วไปการตรวจภายในถ้าให้สมบูรณ์แบบ โดยหลักแล้วจะต้องมีการตรวจทางทวารหนักร่วมด้วย โดยการใช้นิ้วสอดเข้าไปตรวจในทวารหนัก เพื่อดูพยาธิสภาพหรือความผิดปกติ เนื่องจากทางทวารหนักและช่องคลอดอยู่ใกล้กันความผิดปกติที่เกิดขึ้นอาจสัมพันธ์กันได้ แต่บางครั้งสตรีที่มาตรวจอาจไม่สะดวก ดังนั้นการตรวจทางทวารหนักจะไม่ทำทุกราย ในรายที่ตรวจภายในแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติ อาจจะไม่ต้องตรวจทางทวารหนักร่วมด้วย แต่ถ้าพบสิ่งผิดปกติ หรือสงสัยว่าอาจมีความผิดปกติแพทย์อาจตรวจทางทวารหนักร่วมด้วย โดยสอดนิ้วกลางเข้าไปในทวารหนัก ขณะเดียวกันก็สอดนิ้วชี้เข้าไปในช่องคลอดพร้อมกันในขณะตรวจภายใน สตรีที่ควรจะมาตรวจภายใน คือ สตรีที่เคยมีเพศสัมพันธ์มาแล้ว ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ตาม ควรมาตรวจอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อตรวจหามะเร็งปากมดลูกหรือความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ตรวจหารอยโรคของไวรัสหูดหงอนไก่ ซึ่งพบว่าไวรัสหูดหงอนไก่บางชนิดทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ เพราะการมีเพศสัมพันธ์เราไม่รู้ว่ามีการติดเชื้อไวรัสหรือไม่ แต่ในสตรีที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์เลยที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไปควรมาตรวจภายในหามะเร็งปากมดลูก หรือดูว่ามีพยาธิสภาพอะไรผิดปกติหรือไม่ สตรีอีกกลุ่มหนึ่งที่ควรมาตรวจภายใน คือ สตรีที่มีความผิดปกติเกิดขึ้นบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น มีตกขาวมากผิดปกติ ตกขาวมีสีเหลือง สีเขียว หรือ มีกลิ่นเหม็น แสบคันช่องคลอด ถ่ายปัสสาวะแสบคัน หรือมีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติเช่น มีเลือดไหลกะปริดกะปรอย ประจำเดือนออกมามากผิดปกติ มีก้อนเลือดออกมามาก หรือประจำเดือนมาน้อยผิดปกติ มีการขาดประจำเดือนโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือปวดท้องมากเวลามีประจำเดือน ควรมาพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยว่ามีความผิดปกติหรือไม่ สำหรับการเตรียมตัวเพื่อมาตรวจภายในนั้น ศ.น.พ.อภิชาติ กล่าวว่า ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก ไม่ต้องอดข้าว อดอาหาร ให้เตรียมใจอย่างเดียว เพราะส่วนใหญ่จะอายและกลัวมากกว่า อีกอย่างคือ อยากให้ใส่กระโปรงมา เพราะสะดวกกว่าไม่ต้องเปลี่ยนชุดให้ยุ่งยาก นอกจากนี้ควรรอให้ประจำเดือนหมดไปแล้วสัก 2-3 วัน จึงค่อยมาตรวจ แต่ในกรณีมีเลือดออกมากผิดปกติสามารถมาตรวจได้เลยไม่ต้องรอให้เลือดหยุดไหล เพราะแพทย์จะได้ตรวจหาพยาธิสภาพในขณะนั้นว่ามีความผิดปกติจริงได้เลย.
| ""ที่มาข้อมูล :