ดนตรีของวงนี้ได้อิทธิพลจากวง Progressive Rock รุ่นบุกเบิกอย่าง King Crimson รวมถึงอาวุธสำคัญของวงคือ Mellotron (เครื่องดนตรีจำพวกคีย์บอร์ดชนิดหนึ่ง ให้เสียงลากยาวได้แบบเครื่องสาย) ก็ถูกนำมาใช้ อย่างที่บางคนถึงขั้นบอกว่า Anekdoten เข้าใจใช้มันได้ฉลาดกว่า King Crimson ด้วยซ้ำ (King Crimson ยุคหลังปี 1980 มานี้เริ่มหันมาเล่นกับซาวน์ลูปกีต้าร์ แล้วก็ Soundscape แทน-ตา Robert Fripp นี่แหละตัวดี)
ในอัลบั้มนี้ผมขอยกให้เป็นแนว Heavy prog แล้วกัน ดนตรีที่มีความหนักหน่วง แต่เต็มไปด้วยมิติ เช่น In for a Ride แม้แต่เพลงช้าที่ทรงพลังอย่าง A Sky about to Rain ก็เรียบเรียงได้อย่างวิจิตร ซึ่งซาวน์จาก Mellotron เป้นตัวช่วยอย่างดี ที่ชอบอีกอย่างหนึ่งคือโซโล่กึ่งอิมโพรไวซ์ฟลุ๊ตใน 30 Pieces
หนักแน่นและงดงามคือ A Time of Day
Recommended Track - 30 Pieces - A Sky About to Rain - Stardust and Sand - In For a Ride
"Don't act so surprised. When you knew it all along. Each and every lies. Burn a hole into my soul A Sky about to rain"
9.) Allbum : Rise of the Tyrant Artist : Arch Enemy [Genre : Melodic Death Metal]
Blood on Your Hands
วง "ศัตรูคู่อาฆาต" ออกมากระแทกโสตประสาททุกท่านอีกครั้ง ขออภัย ผมไม่ใช่ Metalhead ที่ไหน แต่ชอบอ่ะ มีปัญหาหรือเปล่า ดนตรีในอัลบั้มนี้หนักขึ้น และบางเพลงมันหนักขึ้นแบบไม่ค่อยเข้ากับเนื้อที่ต้องการสื่อซะเลย (พวกหัวขี้เลื่อยบางคนเหยียดเพลง I will live again ไว้อย่างสั่ว ๆ)
7.) Album : Snakes and Arrows Artist : Rush [Genre : Heavy Prog]
Spindrift
ปล่อยแก่อีกหนึ่งวง Rush เป็นวง Progressive Rock รุ่นเก๋าวงหนึ่งที่ทำดนตรี Prog ได้สนุกสนานรอง ๆ จากวง Yes เลยทีเดียว เพียงแต่วง Rush ออกจะขับเคลื่อนมาจากความเป็น Rock ที่หนักแน่น จนได้ชื่อว่าเป็น Heavy Prog
Snakes and Arrows พิสูจน์ว่า แม้เวลาจะผ่านมายาวนานแต่ Heavy Prog สามชิ้นวงนี้ ก็ยังเปี่ยมด้วยพลังไม่ว่าจะในพาร์ทกลอง กีต้าร์ แม้แต่เสียงร้อง เพลงบรรเลงอย่าง The Main Monkey Business กับ Malignant Narcissism ก็อัดแน่นไปด้วยรสชาด Spinedrift และ Far Cry ก็ชวนให้หายคิดถึงเพลง Hard Rock มีกึ๋นในแบบ Rush
Neil Peart บอกไว้ว่า เนื้อหาของ Snakes and Arrows เกิดมาจากการพยายามสำรวจสิ่งที่เรียกว่า "ศรัทธา" ซึ่งมาจากประสบการณ์ของตัวเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นความศรัทธาในความเชื่อ แนวคิด วิถีชีวิต รวมถึงการย้อนตั้งคำถาม ความเสื่อมศรัทธา ความรู้สึกแปลกแยก จากการเดินทางสำรวจ "ศรัทธา" ของเขาเองด้วย
Recommended Tracks - Far Cry - Spindrift - The Main Monkey Business - The Way the Wind Blow - Malignant Narcissism
6.) Album : The Sum of No Evil Artist : The Flower Kings [Genre : Symphonic Prog]
Flight 999 (Brimstone Air)
ไม่น่าเชื่อว่าวง Symphonic Prog ในยุคปัจจุบันยังทำดนตรีได้สดใสสนุกหูขนาดนี้ ด้วยท่วงทำนองแบบ Yes การประสานซาวน์ดนตรีที่บางครั้งก็ไพล่ให้นึกถึง Genesis แต่ขณะเดียวกันพาร์ทกีตาร์ที่บางครั้งก็เจือสไตล์ของ King Crimson ลงไป โดยเฉพาะในเพลง The Sum of No Reason
Recommended Tracks - Love is the Only Answer - The Sum of no Reason - Flight 999 (Brimstone Air)
"I'm here beside you when you dream alone."
5.) Album : Dark Passion Play Artist : Nightwish [Genre : Power Metal]
Bye Bye Beautiful
สภาพ Nightwish หลังจากที่นักร้องนำคนเดิม Tarja Turunen ออกไปแล้ว คงต้องปรับเปลี่ยนอะไรกันพอดู เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเสียงเมสโซ่โซปราโน่ของ Tarja เป็นเอกลักษณ์หนึ่งของวงนี้ไปในช่วงที่ผ่านมา Nightwish ที่ได้นักร้องใหม่คือ Anette Olzen ซึ่งออกจะเป้นนักร้องแบบร็อค มากกว่าแบบ Classic ของ Tarja เลยต้องปรับแนวดนตรีเพื่อสร้าง Nightwish ในยุค Post-Tarja ให้ได้
แต่กลายเป็นว่าผมกลับชอบเสียง Anette เสียนี้ เธอมีเสียงร้องแบบอบอุ่น ขณะที่เสียงของ Tarja จะเย็นเยียบ ขณะเดียวกัน Range เสียงของ Anette ก็กว้างกว่า Tarja มากทำให้ร้องเพลงได้หลากหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นสำเนียงดุเดือดปนมืดหม่นใน Whoever Bring the Night หรือเพลงบัลลาดหวาน ๆ Eva เธอก็แสดงพลังของเพลงนี้ออกมาได้ดีมาก และเชื่อได้ว่า Tarja จะไม่มีวันร้องเพลงอย่าง For the heart I Once Had ได้แน่ ๆ เพลงนี้นอกจากเสียงร้องสวย ๆ ในท่อน Verse ของ Anette แล้ว ซาวน์ริฟฟ์กีต้าร์สุดเมโลดิกของมันก็ชวนให้นึกถึงเพลง Heavy Metal ยุคก่อน ๆ สมกับเนื้อหาเพลงที่พูดถึงความเสียดายหัวใจแบบเด็ก ๆ ที่ถูกวันคืนฉีกกระชากออกไป
อัลบั้มนี้ หลายเพลงดี แต่บางเพลงก็ฟังดูเฉย ๆ เพลง Epic อย่าง The Poet and the Pendulum (13:52) ฟังแล้วเซ็ง มันเปลี่ยนท่อนได้ไม่เนียนเลยแม้แต่น้อย ดนตรีก็เฉย ๆ ไม่ใช่ว่า Nightwish จะไม่เคยทำเพลงยาว ๆ แต่เพลงยาว ๆ ที่เปลี่ยนท่อนเนียน ๆ ก็เคยทำมาแล้วนี่นา เพลง The Islander ก็ฟังดูเฉย ๆ อีกเหมือนกัน ไม่นับสองเพลงสุดท้ายที่ไม่มีอะไรมากเท่าไหร่ Cadence of Her last Breath นี้มันก็ฟังดู Evanescence ยังไงไม่รู้ (ไม่ได้เกลียด Evanescence แต่หมั่นไส้ Amy Lee อยากให้มันโดน Bye Bye Beautiful แบบ Tarja มั่ง แต่ Tarja โดนแล้วผมสงสารง่ะ)
พูดถึง Bye Bye Beautiful ผมว่าเป็น ไฮไลท์ของอัลบั้ม (ที่ช่วยกลบความเลวร้ายของ The Poet and the Pendulum ได้ เปิดมาทีไรผมข้าม Track นี้ไปฟัง Bye Bye Beautiful ทุกที ฮ่า ๆๆๆ) นำซาวน์เทคโนมิวสิกมาผสมแบบเพลง Wish I Had an Angel (ในอัลบั้มที่แล้ว) ท่อนเปิดทรงพลัง ท่อนฮุกทั้งติดหูและเต็มไปด้วยอารมณ์ ได้ปลดปล่อย ! Master Passion Greed ที่เหมือนจงใจเล่นให้หนักและแรงขึ้น แต่ก็ไม่ได้มืดไปหมดเสียทีเดียว เพลงที่ยังสว่าง ๆ และสุดเมโลดิกก็มีคือ Amaranth
และที่ชอบสุด ๆ อีกเพลงคือ Last of the Wilds เพลง Instrumental Track ซึ่งนำดนตรี Celtic Folk มาผสมผสานกับเมทัลได้กลมกล่อม หนักแน่น และไพเราะ
Recommended Tracks - Bye Bye Beautiful - Master Passion Greed - Whoever Bring the Night - For the Heart I Once Had - Last of the Wilds
"It's not the tree that forsake the flower But the flower that forsake the tree"
4.) Album : Systematic Chaos Artist : Dream Theater [Genre : Progressive Metal]
Constant Motion
Dream Theater อัลบั้มนี้กลับมากระหน่ำความเป็น Metal ลงไปในตัวดนตรีอีกครั้งหลังจากที่เก้ ๆ กัง ๆ ในอัลบั้มที่แล้ว Octavarium เพลงที่เด่นในความเป็นเมทัลเลยคือ Constant Motion ที่ควบตะบึงกีต้าร์เล่นล้อกับความเร็ว เบสของเมียงก็ไหลไปด้วยกันได้ดี เป็นเพลงที่ฟังเอารายละเอียดก็พอได้ แต่สำหรับผมแล้วคงรู้สึกเมามันส์เอาไว้บรรเทามะเร็งในอารมณ์มากกว่า The Dark Eternal Night ก็ชอบเหวี่ยงจังหวะไปมาในท่อนโซโล่ แต่กับท่อนร้องอาจจะยังฟังขัด ๆ
ใครอาจจะบอกว่า Prophet of War มันคือดนตรีแบบวง Muse ๆ (Dream Theater บอกว่าชอบวงนี้มาก) ที่เอามาทำให้เป้น DT ซึ่งผมก็ชอบ และคิดว่าทำได้ดีทีเดียว In the Presence of enemies ทำได้ดีทั้งสองภาค แต่จะรู้สึกทิ้งน้ำหนักที่ภาคสองมากกว่าในแง่การเรียบเรียง และพลัง Epic ของมัน จะน่าเบื่อหน่อยก็เพลง Repentance ซึ่งเข้าใจว่าอยากจะให้มีเพลงช้า ๆ ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศบ้าง แต่ขอบอกว่า DT ไม่เก่งในเรื่องบรรยากาศ Soundscapes หรืออะไรพวกนี้เอาซะเลย เพลงนี้เลยฟังดูด้อย ๆ ลงไป
Recommended Tracks - Gothic Kabbalah - The Perennial Sophia - Son of the Staves of Time - Tuna 1813 - Three Treasures - Adulruna Rediviva
2.) Album : Neon Bible Artist : Arcade Fire [Genre : Indie Rock/Baroque Pop]
No Cars go
วงจากแคนาดาวงนี้เป็นวงร็อคที่น่าจับตามองของทศวรรษ แม้ดนตรีจะมีรสชาดเจือจางลงกว่าอัลบั้มที่แล้ว (Funeral) นิด ๆ แต่มันก็แสนสละสลวย และเป็นเอกภาพมากกว่า (แม้เพลงอย่าง No cars go ที่ดีแค่ไหนก็สู้ Wake Up ไม่ได้ก็ตามที) บางเพลงก็มีด้านสว่างไสวแบบของ U2 (ไม่มีอันไหนสว่างเท่าตอนท้าย ๆ ของ Wake Up) บางเพลงก็ออกหม่น ๆ ถูกรสนิยมคนชอบอะไรมืด ๆ (Wake Up ไม่มืด แต่เจ๋ง) บางเพลงก็มีจังหวะสนุก ๆ พอโยกตามได้ ขณะเดียวกันดูเหมือนเสียงร้องของนิชเช่ เอ้ย ! Win Butler ดูจะผ่อนคลายลง และไม่ค่อยคล้าย David Bowie อีก (ก็แหงล่ะ ใน Wake up สิฟังแล้วนึกถึง Five Years ของ Bowie เลยทีเดียว) ขณะที่เสียงร้องประสานที่เอามาใช้ทำได้เข้ากับอารมณ์ดีทีเดียว (เสียงประสานใน Wake Up ก็เข้ากันได้ดีเหมือนกัน จริง ๆ นะ)
Recommended Tracks - Wake Up (ไม่มี! นั่นมันของอัลบั้มที่แล้ว!) - ทุกเพลง ยกเว้น Black Mirror กับ Neon Bible
"My Body is a Cage That keep me from dancing with the one I love But my mind got a keys"
1.) Album : Fear of a Blank Planet Artist : Porcupine Tree [Genre : Psychedelic/Space Prog]
Fear of a Blank Planet
ถึงแม้ว่าวง Porcupine Tree จะไม่ได้รับอิทธิพลจาก Pink Floyd มาโดยตรง แต่นักวิจารณ์บางที่ก็ถึงขั้น บอกว่ามันคือ "Dark Side of The Moon" ของทศวรรษนี้ บ้างก็เปรียบอัลบั้มนี้กับ "The Wall" (คงในแง่เนื้อหา) ขณะที่ Civil Report (คนเขียนลง Blog แบบผมเนี่ยแหละ) บางคนเรียกมันว่า "Dark Side of The Wall" -_-'
Fear of a Blank Planet มีดนตรีที่เริ่มเอียงมาทาง ไซคีเดลิคมากขึ้น จากที่อัลบั้มก่อนหน้าดนตรีจะเน้นความหนักหน่วง (ด้วยอิทธิพลของ Alternative Metal) เสียมากกว่า และทั้ง 6 เพลงต่างก็มีจุดเด่นในแบบของตัวเอง My Ashes ที่แสนไพเราะ เหน็บหนาวและอบอุ่นในเวลาเดียวกัน , Sentimental ที่ให้อารมณ์เหมือนเด็กหลงทาง , Way Out of Here ที่ทั้งซึมเซาและเจ็บปวด , Sleep Together ที่ประสานเสียงสังเคราะห์เข้ากับ Soundscapes หม่น ๆ , Anesthetize ที่เหมือนเขาวงกตของความมืดมิด และ Fear of a Blank Planet ที่ทั้งเร้าอารมณ์ ผสมผสานความกร้าวกับโลกอันอับแสง
Best Singles / EPs of 2007 1.) Nil Rucurring (EP) / Porcupine Tree * ดูท่าว่าจะเป็นเพลงที่เหลือใช้จาก Fear of a Blank Planet แต่เจ๋งเกินกว่าจะเรียกว่าเศษเพลง 2.) Eramaan Viimeinen (Single) / Nightwish feat. Jonsu * เป็นเพลง Last of the Wilds เวอร์ชั่นที่มีเสียงร้องเป็นภาษาฟินแลนด์บ้านเกิดของวงนี้เอง โดยที่คนร้องคือ Jonsu ไม่ใช่ Anette 3.) -
Best Thai Artists of 2007 1.) g6pd จากอัลบั้ม Grandmurder 2.) Samurai Loud 3.) Desktop Error
Best songs of 2007 1.) Adulruna Rediviva / Therion 2.) Fear of a Blank Planet / Porcupine Tree 3.) Last of the Wilds / Nightwish
Best Music Video of 2007 1.) Fear of a Blank Planet / Porcupine Tree 2.) Peacebone / Animal Collective 3.) Long Road to Ruin / Foo Fighters * ฮา ๆ ตามสไตล์ Dave Grohl
Worst Music Video of 2007 1.) Top Ranking / Blonde Redhead * Miranda July ดูเฟค ๆ ใน MV นี้ไม่ชอบเลย 2.) Bye Bye Beautiful / Nightwish * Anette ในเพลงนี้ดูเสียลุคยังไงไม่รู้ 3.) Your love alone is not enough / Manic Street Preachers
Worst song of 2007! เพลงที่ถูกยัดเยียดให้ฟังเพลงนั้นแหละ ! อัก-คะ-ระ-สิน-ละ-ปิน อะไรของมันสักอย่าง
สำหรับสิบอันดับฝั่งนี้ มีตรงกันหนึ่งเองคือ the arcade fire แล้วก็เลือกเพลงที่แนะนำแบบใช่เลย เพราะชอบ no cars go มากๆ ตอนที่ได้อัลบั้มมาใหม่ๆ มีช่วงที่เปิดฟังแต่เพลงนี้ซ้ำไปมา
สรุปในสิบอันดับหลังมีได้ฟังสามอัลบั้มคือ หัวแดงบลอนด์ อาร์เคดไฟร์ แล้วก็ Porcupine Tree << ซึ่งวงหลังนี้ก็ชอบเพลงชื่อเดียวกับอัลบั้มกับชอบหน้าปก แบบว่ามองทีไรต้องขอมองซ้ำ
1.) Nil Rucurring (EP) / Porcupine Tree
* ดูท่าว่าจะเป็นเพลงที่เหลือใช้จาก Fear of a Blank Planet แต่เจ๋งเกินกว่าจะเรียกว่าเศษเพลง
2.) Eramaan Viimeinen (Single) / Nightwish feat. Jonsu
* เป็นเพลง Last of the Wilds เวอร์ชั่นที่มีเสียงร้องเป็นภาษาฟินแลนด์บ้านเกิดของวงนี้เอง โดยที่คนร้องคือ Jonsu ไม่ใช่ Anette
3.) -
Best Thai Artists of 2007
1.) g6pd จากอัลบั้ม Grandmurder
2.) Samurai Loud
3.) Desktop Error
Best songs of 2007
1.) Adulruna Rediviva / Therion
2.) Fear of a Blank Planet / Porcupine Tree
3.) Last of the Wilds / Nightwish
Best Music Video of 2007
1.) Fear of a Blank Planet / Porcupine Tree
2.) Peacebone / Animal Collective
3.) Long Road to Ruin / Foo Fighters
* ฮา ๆ ตามสไตล์ Dave Grohl
Worst Music Video of 2007
1.) Top Ranking / Blonde Redhead
* Miranda July ดูเฟค ๆ ใน MV นี้ไม่ชอบเลย
2.) Bye Bye Beautiful / Nightwish
* Anette ในเพลงนี้ดูเสียลุคยังไงไม่รู้
3.) Your love alone is not enough / Manic Street Preachers
Worst song of 2007!
เพลงที่ถูกยัดเยียดให้ฟังเพลงนั้นแหละ !
อัก-คะ-ระ-สิน-ละ-ปิน อะไรของมันสักอย่าง
ศิลปินที่มีแต่คนชมแต่ผมฟังยังไงก็รู้สึกเฉย ๆ (แห่งปี 2007)
Arctic Monkeys