กรรม เกิดจาก เจตนา เจตนา คือ ตัวกรรม
Group Blog
 
<<
กันยายน 2555
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
7 กันยายน 2555
 
All Blogs
 
ใครจักรู้แจ้งแผ่นดินนี้ ใครจักรู้แจ้งยมโลกและมนุษยโลกนี้ พร้อมกับเทวโลก


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต



คาถาธรรมบท ปุปผวรรคที่ ๔
[๑๔] ใครจักรู้แจ้งแผ่นดินนี้ ใครจักรู้แจ้งยมโลกและมนุษยโลกนี้
พร้อมกับเทวโลก ใครจักเลือกสรรบทธรรมที่เราแสดงดีแล้ว
ดุจนายมาลาการผู้ฉลาด เลือกสรรดอกไม้ ฉะนั้น พระเสขะ
จักรู้แจ้งแผ่นดิน พระเสขะจักรู้แจ้งยมโลกและมนุษยโลกนี้
พร้อมกับเทวโลก พระเสขะจักเลือกสรรบทธรรมที่เรา
แสดงดีแล้วดุจนายมาลาการผู้ฉลาดเลือกสรรดอกไม้ ฉะนั้น
ภิกษุทราบกายนี้ว่า เปรียบด้วยฟองน้ำ ตรัสรู้พร้อมเฉพาะ
กายนี้ว่ามีพยับแดดเป็นธรรม ตัดดอกไม้อันเป็นประธาน
ของมารแล้ว พึงไปสู่ที่ที่มัจจุราชไม่เห็น มัจจุย่อมจับนระ
ผู้มีใจอันซ่านไปแล้วในอารมณ์ต่างๆ กำลังเลือกเก็บดอกไม้
ทั้งหลายนั่นเทียวไป เหมือนห้วงน้ำใหญ่พัดบ้านอันหลับแล้ว
ไป ฉะนั้น มัจจุผู้ทำซึ่งที่สุด ย่อมทำนระผู้มีใจอันซ่าน
ไปแล้วในอารมณ์ต่างๆ กำลังเลือกเก็บดอกไม้ทั้งหลาย ไม่อิ่ม
แล้วในกามคุณนั่นแล ไว้ในอำนาจ ภมรไม่ยังดอกไม้
อันมีสีให้ชอกช้ำ ลิ้มเอาแต่รสแล้วย่อมบินไป แม้ฉันใด
มุนีพึงเที่ยวไปในบ้าน ฉันนั้น บุคคลไม่พึงใส่ใจคำแสลงหู
ของชนเหล่าอื่น ไม่พึงแลดูกิจที่ทำแล้วและยังไม่ได้ทำ
ของชนเหล่าอื่น พึงพิจารณากิจที่ทำแล้วและยังไม่ได้ทำของ
ตนเท่านั้น ดอกไม้งามมีสีแต่ไม่มีกลิ่นแม้ฉันใด วาจาสุภาษิต
ย่อมไม่มีผลแก่บุคคลผู้ไม่ทำ ฉันนั้น ดอกไม้งามมีสีมีกลิ่น
แม้ฉันใด วาจาสุภาษิตย่อมมีผลแก่บุคคลผู้ทำดี ฉันนั้น
นายมาลาการพึงทำกลุ่มดอกไม้ให้มาก แต่กองแห่งดอกไม้
แม้ฉันใด สัตว์ [ผู้มีอันจะพึงตายเป็นสภาพ] ผู้เกิดแล้ว
พึงทำกุศลให้มาก ฉันนั้น กลิ่นดอกไม้ย่อมฟุ้งทวนลมไป
ไม่ได้ กลิ่นจันทน์หรือกฤษณา และกระลำพัก ย่อมฟุ้งทวน
ลมไปไม่ได้ ส่วนกลิ่นของสัตบุรุษย่อมฟุ้งทวนลมไปได้
เพราะสัตบุรุษฟุ้งไปทั่วทิศ กลิ่นคือศีลเป็นเยี่ยมกว่าคันธชาติ
เหล่านี้ คือจันทน์ กฤษณา ดอกบัว และมะลิ กลิ่นกฤษณา
และจันทน์นี้ เป็นกลิ่นมีประมาณน้อย ส่วนกลิ่นของผู้
มีศีลทั้งหลายเป็นกลิ่นสูงสุด ย่อมฟุ้งไปในเทวดาและมนุษย์
ทั้งหลาย มารย่อมไม่พบทางของท่านผู้มีศีลถึงพร้อมแล้ว
มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท ผู้พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้
โดยชอบ ดอกปทุมมีกลิ่นหอม พึงเกิดในกองแห่งหยากเยื่อ
อันเขาทิ้งแล้วในใกล้ทางใหญ่นั้น ย่อมเป็นที่รื่นรมย์ใจ
ฉันใด พระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อปุถุชน
ทั้งหลายผู้เป็นเพียงดั่งกองหยากเยื่อ ย่อมไพโรจน์ล่วงปุถุชน
ทั้งหลายผู้เป็นดังคนบอดด้วยปัญญา ฉันนั้น ฯ
จบปุปผวรรคที่ ๔

อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปุปผวรรคที่ ๔
หน้าต่างที่ ๒ / ๑๒.


๒. เรื่องพระเถระผู้เจริญมรีจิกัมมัฏฐาน [๓๔]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภภิกษูรูปใดรูปหนึ่ง ผู้เจริญมรีจิกัมมัฏฐาน๑- ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " เผณูปมํ " เป็นต้น.
____________________________
๑- กัมมัฏฐานมีอันพิจารณาพยับแดดเป็นอารมณ์.

พระเถระเจริญมรีจิกัมมัฏฐาน
ดังได้สดับมา พระเถระนั้นเรียนกัมมัฏฐานในสำนักพระศาสดา แล้วคิดว่า "เราจักทำสมณธรรม" ดังนี้แล้ว เข้าไปสู่ป่า พากเพียรพยายามแล้ว ก็ไม่อาจบรรลุพระอรหัตได้ จึงกลับมายังสำนักพระศาสดา ด้วยตั้งใจว่า "จักทูลอาราธนาให้ตรัสบอกพระกัมมัฏฐานให้วิเศษ", เห็นพยับแดดในระหว่างทาง เจริญมรีจิกัมมัฏฐานว่า "พยับแดดนี้ตั้งขึ้นแล้วในฤดูร้อน ย่อมปรากฏแก่บุคคลทั้งหลายผู้ยืนอยู่ ณ ที่ไกล ดุจมีรูปร่าง, แต่ไม่ปรากฏเลย แก่บุคคลผู้มาสู่ที่ใกล้ฉันใด; แม้อัตภาพนี้ก็มีรูปเหมือนอย่างนั้น เพราะอรรถว่า เกิดขึ้นและเสื่อมไป" เดินมาแล้ว เมื่อยล้าในหนทาง อาบน้ำในแม่น้ำอจิรวดี นั่งที่ร่ม (ไม้) ริมฝั่งแม่น้ำมีกระแสอันเชี่ยวแห่งหนึ่ง เห็นฟองน้ำใหญ่ ตั้งขึ้นด้วยกำลังแห่งน้ำกระทบกันแล้วแตกไป ได้ถือเอาเป็นอารมณ์ว่า "แม้อัตภาพนี้ ก็มีรูปร่างอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะอรรถว่า เกิดขึ้นแล้วก็แตกไป."

ทรงเปรียบกายด้วยฟองน้ำและพยับแดด
พระศาสดาประทับอยู่ที่พระคันธกุฎีนั่นแล ทอดพระเนตรเห็นพระเถระนั้นแล้ว จึงตรัสว่า " อย่างนั้นนั่นแหละ ภิกษุ อัตภาพนี้มีรูปอย่างนั้นแล มีอันเกิดขึ้นและแตกไปเป็นสภาพแน่แท้ เหมือนฟองน้ำ (และ) พยับแดด"
ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
๒. เผณูปมํ กายมิมํ วิทิตฺวา
มรีจิธมฺมํ อภิสมฺพุธาโน
เฉตฺวาน มารสฺส ปปุปฺผกานิ
อทสฺสนํ มจฺจุราชสฺส คจฺเฉ.
ภิกษุรู้แจ้งกายนี้ว่า มีฟองน้ำเป็นเครื่องเปรียบ,
รู้ชัดกายนี้ว่า มีพยับแดดเป็นธรรม ตัดพวงดอกไม้
ของมารเสียแล้ว พึงถึงสถานที่มัจจุราชไม่เห็น.


แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เผณูปมํ ความว่า รู้แจ้งกายนี้ คืออันนับว่าเป็นที่ประชุมแห่งส่วนต่างๆ มีผมเป็นต้น ว่า "เห็นสมด้วยฟองน้ำ เพราะอรรถว่า ไม่มีกำลัง มีกำลังทราม ไม่ตั้งอยู่นานและเป็นไปชั่วกาล."
บทว่า มรีจิธมฺมํ เป็นต้น ความว่า รู้ชัด คือรู้ ได้แก่ทราบว่า "แม้กายนี้ ชื่อว่ามีพยับแดดเป็นธรรม เพราะอรรถว่า เป็นไปชั่วขณะและปรากฏนิดหน่อย เหมือนอย่างพยับแดด เป็นดุจมีรูปร่าง (และ) เป็นดุจเข้าถึงความเป็นของที่ควรถือเอาได้ แก่บุคคลทั้งหลายผู้ยืนอยู่ ณ ที่ไกล, (แต่) เมื่อบุคคลเข้าไปใกล้ ย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า เข้าถึงความเป็นของถือเอาไม่ได้ฉะนั้น."
สองบทว่า มารสฺส ปปุปฺผกานิ เป็นต้น ความว่า ภิกษุผู้ขีณาสพ๑- ตัดวัฏฏะอันเป็นไปในไตรภูมิ๒- กล่าวคือพวงดอกไม้ของมารเสียได้ ด้วยอริยมรรคแล้ว พึงถึงสถานที่ไม่เห็น คือที่อันไม่เห็น คือที่อันไม่เป็นวิสัยของมัจจุราช ได้แก่พระอมตมหานิพพาน.
____________________________
๑- ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว.
๒- ไตรภูมิ = ภูมิ ๓ คือ กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ.

ในกาลจบคาถา พระเถระบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลายแล้ว ชมเชย สรรเสริญ ถวายบังคมพระสรีระของพระศาสดา ซึ่งมีพรรณดุจทองคำ มาแล้ว ดังนี้แล.

เรื่องพระเถระผู้เจริญมรีจิกัมมัฏฐาน จบ.
----------------------



Create Date : 07 กันยายน 2555
Last Update : 7 กันยายน 2555 21:10:07 น. 1 comments
Counter : 985 Pageviews.

 
ท่านทำไมออกบวชครับ
กลัวจะต้องเป็นจอมทัพ ฆ่าคน และถูกฆ่า
ท่านได้ประโยชน์ใดจากการบวชครับ
เราได้เพียรร้องขอจากผู้ที่ให้ออกซิเจนเราและพ่อแม่เราเสพ ว่าขอทางนำในการให้มนุษย์สงบสุข
แล้วท่านก็ได้มัน
ใช่ ได้อริยะสัจ โดยมีผู้ตรัสให้เรารู้
ใครครับ
ไม่ทราบ แต่เราไม่เนรคุณ อวดอ้าง หรือ สวมรอยยหรอกเป็นเอาว่ามีแล้วกัน
แล้วท่านใช้สิ่งที่ๆด้มานั้นก่อกุศลใด
อ๋อ ปน่นอน เราได้จาริกไปบอกกล่าวในสิ่งที่เราได้มามิได้นั่งนิ่งๆเฉยๆแม้สักวันเดียว
ท่านไม่เคยนั่งสมาธิ
ไม่เคย นั่งทำไม่เสียเวลาแทนคุณแผ่นดินเกิด
แล้วที่ท่านว่าทุกสิ่งมีนามและรูปประกอบกัน แล้วนามพระเจ้าสร้างโลก รูปอยู่ไหนเป็นอย่างไรครับ
รูปคือ อจิตไตย ที่ต้องเพียรค้นคว่าแสวงปัญญา และต้องอดทน อยู่กับปัจจุบัน
อยู่กับปัจจุบันแล้วก็ยังไม่เห็นพบเลยครับ รูปอยู่ไหน
อดทนไม่พอล่ะซิ. แต่เจ้าเสพคุณค่าที่มีศาสดาหลังจากฉันได้กล่าวในคุณค่าที่ท่านมอบไว้ให้มนุษย์ระลึกแล้วว่าเสพ มิใช่หรือ เจ้าอยู่กับปัจจุบันอย่างไรนี่
พระเจ้าที่เขาใส่นาม รูปคือยังจินตนาการไม่ได้ ความเมตตา คือสิ่งสร้างที่เราเสพประโยชน์หรือครับ
ถูกแล้ว
เราจำิป็นต้องกตัญญูตอบใช่ไหม
ถามได้ผู้มีพระคุณต่อพระพุทธเจ้าเจ้า เจ้าควรกตัญญูหรือเนรคุณต่อจากพระพุทธเจ้าเช่นเราล่ะ
อืมม ครับควรครับ

ท่านถูกวางยาตายใช่ไหมครับ
ใช่
ใครเฝ้าท่าตอนตาย
ก็พวกเดียวกับที่นัดกันมาตั้ง1250คน มันนัดกันมา ไม่นัดจะมาได้เรอะ โทรศัพท์ก็ไม่มีคนไทยนี่งมงายจนโง่ถูกเขาหลอกง่ายๆ
ก็ในบทเรียนมันว่างั้นนิครับ ผมก็ต้องตอบไปก่อนเพื่อจะได้คะแนน แต่ผมก็ไม่เชื่อหรอกครับ อภินิหารไม่มีหรอกครับ มีแต่เบื้องหลัง
ดีแล้วที่มีปัญญาสว่างขึ้น
แล้วนัดกันมาทำไมหรือครับ
ก็มาขู่ให้ฉันแตกหุ้นที่ฉันได้มาเต็มร้อยจากผู้ตรัสให้ฉันรู้ เป็นสามกอง แล้วพวกนั้นก็เอาไป1กอง 1ใน3.เชียวนะ และปัจจุบันนี้ พวกหุ้นนั้นก็ทำลายบริษัทฉันซะพินาจ
ทำลายอย่างไรครับ
ก็มันอ้างว่าฉันอยู่ในรูปปั้นดินหิน มันนำพาฉันไปให้เขาสาธุ แตามันคือผู้รับกินอาหารดีดี รับซอง นั่งรถดีดี มีลาภยศสรรเสริญ มีการพยากรณ์แลกข้าวกิน มีการกล่าวว่าฉันอนุญาติให้เนรคุณต่อผู้ให้ออกซิเจนฉันหายใจได้ และเขียนตำราที่มีผลประโยชน์ในนั้นเพียบขึ้นมาโดยแปะชื่อเราไว้ที่หน้าปก
ตำราไตรปิฏกหรือครับ
ใช่ มันคือวรรณกรรมจากอานนท์ เราไม่รู้ว่าอานนท์ทันเขาหรือไม่นะ. แต่มีวลีที่ปิดคดีที่เราถูกวางยาตาย ที่อานนท์ออกไปบอกผู้คนว่าเรารู้ว่าถูกวางยา แต่ไม่ให้เอาผิดกับจุนทะ เพราะเป็นกรรมของฉันเอง หากเป็นปัจจุบัน พนักงานสอบสวนย่อมไม่ยอมแน่ที่คนตายเพราะกรรม. คดีฉันถึงถูกกดไว้ว่ากรรม ซึ่งในวรรณกรรมที่อันตรายนั้นว่าเป็นสิ่งสูงสุดของมนุษย์
แล้วหลุดพ้นรืออะไร พิพพานคืออะไร
ก็ให้หลุดพ้นจากทุจริตทีมใหญ่อย่างพวกที่เขียนตำรานั้นขึ้นมาไง ก่อนตายเราก็รู้แล้วจึงบอกเป็นนัยๆไว้ พูดตรงๆก็ตายไปนานแล้วไม่รอดมาถูกวางยาตอน60 กว่าหรอก. ต้องป้องปากตอนเทศเสมอว่า"อย่าพึ่งเชื่อฉัน" ถ้าใีครมีปัญญาหน่อยจะเข้าใจ
แล้วสรุปพระเจ้ามีจริงซิครับ
อ้าว ก็บอกแล้วไงว่ารูปคือ อจินไตย มิใช่บอกว่าไม่มี ถ้าไม่มีธรรมของเราที่ว่านามและรูปย่อมประกอบกันมันจะเป็นสิ่งอนุมัติให้เราพูดจากผู้มอบความรู้ อริยสัจสี่ กับอิถะปัจยะตาให้เราเรอะ คุณค่าก็เสพอยู่ทุกวินาที ไม่ต้องสงสัยแล้ว โง่จริง
ครับผมจะกตัญญูต่อผู้ที่ท่านกตัญญู พบผู้ใดจะะแจ้งว่าอย่าแต้มท่านให้ด่างพร้อยเลย
เออดีทเพราะวันหนึ่งในปรโลก หน้าที่เราจะต้องนั่งเป็นพยานดั่ง1ในคณะลูกขุนเพื่อพิจารณาหมู่ชนผู้ติดตามเรา. วันนั้นหากเราด่างพร้อยมาก จะลาออกจากตำแหน่งนะ อย่าใส่ร้ายให้ดราด่างพร้อยนะ. จะจ๋อย หน้าหมากันหมด แม้แค่300ล้านแต่ก็อดสูนะที่ไม่ได้พิจารณาคดี และไม่ต้องหนีคดี หนีภพ ไปตามวรรณกรรมว่าอรหันต์หรอก มันคือการปั้นกิเลสอยากให้เป็นตัวเท่านั้น มันหนีคดีคือสิ่งสุจริตหรือ มอบตัวซิ ศาลคุ้มครอง ทนายไม่ต้องใช้ รอลงโทษสั่งคดี ไม่ต่อรองจักสานตามคดี การอภัยโทษก็มาถึงได้ สำเร็จในการจักสานก็สำเร็จได้ เสร็จแล้วก็จะจักสานเก่งด้วย ประเสริฐกว่าหนีคดีอีก พยากรณ์ทั้งนั้น
สาธุครับ(นี่แหละสุจริตที่ควรสาธุ)


โดย: สาธุแท้ IP: 27.55.10.165 วันที่: 11 กันยายน 2555 เวลา:1:24:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

shadee829
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add shadee829's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.