[[ บันทึกคร่าว ๆ จากการไปเสียมเรียบเที่ยวล่าสุดเมื่อวันที่ 9 - 12 มกรา... ]]
ไปเขมรคราวนี้ ไม่ได้ตั้งใจไป "เที่ยว & ดู" เหมือนทุกครั้ง เพราะจริง ๆ แล้วมีภารกิจคือการไปร่วมการสัมมนาวิชาการ Contemporary Pre-Angkorian Research ที่จัดโดย Center of Khmer Studies ในตัวเมืองเสียบเรียบ
แต่อย่างฉัน ไปแล้วมีหรือที่จะไม่มีอู้ ... อิอิอิ
ฉันไปกับอาจารย์ (ที่ไม่ค่อยรักแล้วล่ะ ตอนนี้) แค่สองคนค่ะ เราตั้งใจไปให้ถึงที่โน่นก่อนวันเริ่มสัมมนาหนึ่งวัน เพราะว่าจะหาเรื่องไป "เจาะ" บายนกันก่อน (อาจารย์ฉันกำลังมีโปรเจกท์อะไรซักอย่าง.. ทำให้ต้องไปดูอ่ะค่ะ)
สะใจมาก ไปกันสองคน เดินบายนปราสาทเดียวสามชั่วโมง (เดินจริง ๆ แค่สองชั่วโมงกว่านิด ๆ ... แต่ใช้เวลาตามหากันอีกครึ่งชั่วโมง ฮ่า ๆ) จริง ๆ ถ่ายรูปมาเยอะแหละค่ะ แต่มันจะซ้ำ ๆ กัน ... เลยเอาที่อยากอวดละกันนะ
(ที่เห็นเป็นขาวดำ หรือ ซีเปีย... เป็นการปรับด้วย Photoshop ค่ะ .. ไม่รู้เป็นไง ช่วงนี้ฉันชอบทำรูปอารมณ์ประมาณนี้อ่ะ)
มุมหนึ่งที่เตะตา
ไม่รู้เหมือนกันว่าจริง ๆ แล้วคุณลุงคนนี้เป็นใคร
แต่เห็นเขานั่งเสก๊ตช์ภาพบายนระหว่างที่ฉันเดินวนหาอาจารย์ไม่เจอ ... เลยขอเก็บไว้หน่อย
จากนั้นเราก็กลับมาที่ที่พักค่ะ คราวนี้ถือว่ามาแปลก เพราะกี่ครั้ง ๆ ฉันไปเขมรก็ไปพักโรงแรมที่ค่อนข้างดี สิ่งอำนวยความสะดวกพรักพร้อม มีครั้งนี้แหละที่ทาง Center of Khmer Studies เค้าจองให้เป็นเกสท์เฮาส์แถวใกล้ ๆ กับที่ประชุม
ตอนแรกที่เข้าไป แอบถอดใจค่ะ เพราะถนนทางเข้าจะเล็กขนาดที่รถที่ไปรับเราที่สนามบินเกือบจะเข้าไปไม่ได้ แถมเป็นลูกรัง ... น่ากลัวสุด ๆ แต่พอเห็นห้องพักเท่านั้นแหละ ...หลงรักเลย บรรยากาศข้างในก็น่ารักมาก ๆ เจ้าของเป็นคนเขมรที่ไปเรียนหนังสือที่ออสเตรเลียตั้งแต่ช่วงเขมรแดง แล้วเพิ่งกลับมาเปิดเกสท์เฮาส์ที่นี่ได้ไม่ถึงสองปี พนักงานก็ดูแลดีทุกคน ราคาสมคุณภาพ ค่อนข้างถูกด้วยซ้ำ ฉันว่า
ถ้าใครคิดจะไปเสียมเรียบแบบไม่อยากพักโรงแรมหรู ... แนะนำที่นี่นะคะ บ้านแขกกล้วยทอง (Golden Banana Guesthouse) เนี่ยแหละ
ห้องน้ำในห้องพักไม่มีประตูหรอกค่ะ มีแค่ม่านกั้นอย่างนี้แหละ อิอิ
ถ้าไปกับคนรักคงเซ็กซี่น่าดู ส่วนถ้าไปกับเพื่อนก็ต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจกันนิดนึง .. เอิ๊ก
ที่นั่งในสวนค่ะ เย็นสบายมาก ๆ ..
ฉันเอาหนังสือกับโน๊ตบุ๊คไปกางทำงานอยู่หนึ่งบ่ายแล้วทำให้อยากไปอยู่ซักเดือนนึงเลย .. จริง ๆ นะ
น้ำส้มในแก้วนั่นเป็นน้ำส้มเช้งที่คั้นสดจริง ๆ ค่ะ เพราะเมื่อสั่งปั๊บจะได้ยินเสียงเค้าคั้นให้เห็นตรงนั้นแหละ อิอิ
พักซักแป๊บ ฉันกับอาจารย์ก็ออกไปอีกรอบค่ะ คราวนี้เราไป "พนมกรม" ที่เป็นหนึ่งในสามยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณที่เป็นยโสธราปุระนี่.. เป็นอันสุดท้ายที่ฉันยังไม่ได้ไป
มันเป็นทางเดียวกันกับที่จะไปทะเลสาบเขมรอ่ะค่ะ ผิดแต่ครั้งที่แล้วเราไปช่วงน้ำในทะเลสาบเอ่อ แต่คราวนี้น้ำลดหายไปหมดแล้ว เหลือแต่ทุ่งนาเขียวไปปู๊นนนนน
บนพนมกรมก็มีปราสาทพนมกรมค่ะ เป็นปรางค์สามองค์รูปแบบใกล้เคียงกับพนมบก และพนมบาแค็ง แต่อยู่ในสภาพแย่กว่ามาก ๆ คาดว่าอาจจะเป็นเพราะเป็นอันที่อยู่ติดทะเลสาบและต้องรับลมมากกว่าที่อื่น ๆ .. รึเปล่าก็ไม่แน่ใจ (รูปไม่สวย ไม่แปะ อิอิ)
พนมกรมเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกอีกหนึ่งที่
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกที่พนมบาแค็งซะมากจนแทบจะขี่คอกัน
แต่วันนั้นบนพนมกรมมีคนไม่ถึงยี่สิบคนค่ะ ... เราโชคดีที่ฟ้าเปิด สวยมาก ๆ (รูปไม่ได้ครึ่งของของจริงค่ะ ฉันว่า)
วันที่สอง (10) เป็นวันที่ประชุมอยู่ที่วัดตำหนัก ที่ตั้งของ Center of Khmer Studies ทั้งวันค่ะ อันที่จริงนึกอยากควักกล้องออกมาถ่ายหลายครั้งเหมือนกัน อย่างน้อยก็ถ่ายอาหารที่เค้าเลี้ยงตลอดงาน...เป็น French Crusine แท้ ๆ อร่อยมาก ๆ ..
ประชุมวิชาการเกี่ยวกับเขมรที่จัดโดยองค์กรอิสระของฝรั่งนี่ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการเข้าประชุมที่เมืองไทยค่ะ เมืองไทย ยังไง ๆ ก็ต้องแต่งตัวดี ๆ ให้ภูมิฐาน (และแก่) ต้องทำท่าเป็นนักวิชาการเต็มตัว ซีเรียส แต่ที่นี่ บางคนใส่แค่เสื้อเชิ๊ตตัวกับยีนส์ก็พอแล้ว อาจจะเพราะว่าส่วนใหญ่คนที่มาประชุมก็ "นักขุด" เป็นนักโบราณคดีกัน ต้องใช้ชีวิตลุย ๆ อยู่แล้ว เค้าไม่ค่อยเรื่องมากเรื่องการแต่งตัวเท่าไหร่ บรรยากาศการประชุมก็จริงจัง แต่ไม่ซีเรียส เหมือนกับทุกคนไปพบปะสังสรรค์กันซะมากกว่า เค้าให้เวลาการประชุมกับการพัก coffee break/lunch break พอ ๆ กันเลย เรียกว่าคุยกันตายไปข้างนึง
นักวิชาการที่ทำเรื่องเขมรส่วนใหญ่ไม่เห็นมีใครถือตัวว่า "ข้าแน่" แล้วไม่ยอมเสวนากับคนที่ด้อยกว่ากันซักคน ฉันเจอลุง Micheal Vickery ที่เคยไปเนาแขมร์กับนิสิต TSSC เมื่อเมษาตั้งสองอาทิตย์อีกครั้ง จริง ๆ แล้วลุง Vickery นี่เค้าเป็นนักวิชาการตัวใหญ่เป้งของวงการ pre-angkorian เลยนะคะ ... แต่แบบว่า สองอาทิตย์เมื่อเมษาทำให้ฉันลืม ๆ ไปแล้วล่ะ ว่าเค้าเก่งโคตรแค่ไหน ฮ่า
เซฯ : *เลียบ ๆ เคียง ๆ ไปหาลุง* Remember me?
Vickery : How could I ever forget such bright eyes?
เข้าใจหยอดนะลุง ... ฮ่า ๆ
วันที่สาม (11) นี่แหละค่ะที่ฉันอู้อย่างเต็มรูปแบบ เนื่องจากดูตารางแล้วมันมีแต่พูดถึงเรื่องการขุด ๆๆๆๆ ซึ่งฉันไม่ได้อยากจะสนเท่าไหร่ ต่อให้วันนั้นดำเนินรายการโดย Dr.Dougle O'Reiley สุดเท่ที่ฉัน (และเพื่อนตุ๊กตา) แอบทำความสนิทสนมด้วยเมื่อคราวไปพนมเปญคราวที่แล้วก็เถอะ
ถ้าให้เลือก Dougle กับนครวัด ... ฉันก็เลือกนครวัดอยู่ดี ฮ่า
นัดให้รถมารับตั้งแต่เช้ามืดดดดด เพราะอยากไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัดค่ะ ไปมาหลายรอบยังไม่เคยตื่นทันซักที แถมครั้งนี้ไม่ได้นำทัวร์ ไปคนเดียว จะไปให้มันนานแค่ไหนก็ได้ อิอิ จริง ๆ ตอนแรกฉันว่าจะจ้างเป็นมอไซค์ แต่คุณพี่เจ้าของเกสท์เฮาส์บอกว่าเอาเป็นสามล้อดีกว่า เค้ามีขาประจำที่ไว้ใจได้ว่าไม่เอาเราไปฆ่าหมกป่า .. เอาวะ สามล้อก็สามล้อ
อากาศเย็น ๆ ตอนที่เดินออกมาจากห้องที่เกสท์เฮาส์นั่นกลายเป็นหนาวจับจิตเลยค่ะตอนที่อยู่บนสามล้อ (เอาเสื้อหนาวไปเขมร แต่ดันทำเก่งไม่เอาไปด้วย - -") แล้วพอไปถึงนครวัดก็ต้องตกใจค่ะ คนมารอดูพระอาทิตย์ขึ้นโคตรเยอะเลย.....
ไปถึงตั้งแต่ตีห้าสี่สิบห้า พอซักหกโมงก็เริ่มมีแสงเรือง ๆ .. ใคร ๆ ก็ยกกล้องค่ะ ฉันนึกเสียดายไม่ได้เอา tripod หรือ monopod ไปซักอัน (ก็ไม่ได้คิดว่าจะไปถ่ายอาทิตย์ขึ้นนี่นา) เลยกดแบบ กลั้นหายใจ.... กว่าจะได้ดั่งใจก็ล่อไปเป็นสิบรูป
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ พอพระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็กลับที่พักไปกินอาหารเช้ากันหมดค่ะ ที่ยังเหลืออยู่ส่วนใหญ่มีแต่ฝรั่งที่ไม่ได้มากับกรุ๊ปทัวร์ (แบบพวก backpacker อ่ะ) ... ข้าง ๆ นครวัดมีคนมาตั้งแผงขายอาหารเช้าด้วย ฉันเลยฉลองศรัทธา นั่งดิ่มโอวัลตินกินบรรยากาศไปด้วย ... ถ้าไปกับใคร ๆ คงไม่มีทางได้ไปทำอะไรอย่างหรอก ฮ่า
หลังจากนั้นฉันก็ไปเดินนครวัดยามเช้าค่ะ ครั้งก่อน ๆ ฉันไปเป็นตอนบ่ายที่คนเยอะโคตร ๆ แล้วทุกครั้ง เลยเพิ่งรู้สึกถึง "เสน่ห์" ที่แท้จริงของมันในตอนที่เดินทอดน่องสบาย ๆ ไม่ต้องรอใคร ไม่ต้องบรรยายให้ใครฟังเนี่ยแหละ
หลังจากนั้น (ฉันเดินอยู่ถึงเก้าโมงครึ่งแน่ะ... แหะ ๆ) ก็กางแผนที่ไปตามปราสาทเล็ก ๆ ที่ยังเก็บไม่หมดค่ะ โชคดีที่ 'คนขับรถ' ของฉันมีความรู้พอประมาณด้วย ก็เลยได้ไปตามเก็บสามสี่ปราสาทเล็ก ๆ ก่อนที่จะไปแวะกินข้าวเพิงข้างทางตรงหน้านาคพัน (น่าเป็นห่วงสวัสดิภาพของกระเพาะน้อย ๆ .. รอดมาได้ไงไม่รู้ ฮ่า)
แล้วฉันก็กางแผนที่ว่าจะไปไหนต่อดี ... ชี้ไปชี้มา คุณคนขับก็ชี้ "บันทายธม" ...
ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยได้ยินชื่อปราสาทนี้เลยค่ะ แม้แต่อาจารย์ก็ไม่เคยพูดถึง ... ฉันถามเค้าให้แน่ใจว่ามันไปได้แน่นะ แล้วเขารู้ทางไปแน่นะ .. คุณภาค (ชื่อคนขับ อิอิ) ก็ตอบอย่างมั่นใจว่าเขาเคยไปกับเพื่อนเขานะ แต่มันไกลหน่อยนะ แต่รับรองว่าไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวไปถึงแน่ ๆ
เอาวะ เพื่อของแปลก ไปก็ไป
ออกนอกทางหลักไปซักครึ่งชั่วโมงก็ต้องจอดแล้วเอาส่วนรถออก ให้ฉันนั่งซ้อนเฉพาะมอ'ไซค์ของคุณภาคเข้าไปอีกครึ่งชั่วโมง .... แล้วก็ต้องเอามอ'ไซค์ไปจอดฝากไว้บ้านชาวบ้านแถวนั้น... เดินเท้าเข้าไปอีก!! ตอนนั้นบ่ายสองได้แล้วมั้งคะ แดดกำลังงามมาก ... ฮ่า เราต้องเดินตัดทุ่งนาที่เขาเพิ่งเกี่ยวข้าวกันไป มันส์เจรง ๆ เดินได้ซักครึ่งชั่วโมงก็ไปเจอกระต๊อบของเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่เฝ้าบันทายธมนี่ ... เขาเดินเข้ามาบอกว่าถ้าจะเข้าต้องให้เขาพาเข้าไปเพราะเราเดินเองไม่ถูกหรอก คนขับบอกฉันเป็นภาษาอังกฤษว่าจริง ๆ เขาไปถูก แต่ให้เจ้าหน้าที่นำก็จะ "ปลอดภัย" กว่า (เอิ๊ก) ... หมายความว่าก็ต้องมีค่านำให้เขานิดหน่อยนั่นเอง
แต่เมื่อไปถึง... มันคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มค่ะ บันทายธมไม่ใช่ปราสาทเล็ก ๆ ... ดูเผิน ๆ แล้วน่าจะเป็นยุคของชัยวรมันที่เจ็ด แต่พอเข้าไปดูใกล้ ๆ ชักไม่แน่ใจ
สิ่งนึงที่แปลกค่ะ ปกติปราสาทยุคบายน (ชัยวรมันที่เจ็ด) จะมีบรรณาลัยที่สร้างด้วยศิลาแลง .. แต่บรรณาลัยทั้งสองอันของบันทายธมเป็นหินทราย...