Group Blog |
so Sweet...zerland 2011 ทริปยุโรปนี้เป็นการตะลุยต่างประเทศแบบกึ่ง backpack ทั้งหมด 4 ประเทศ โดยเริ่มจาก สวิส ปารีส อังกฤษ และ สก๊อตแลนด์ เป็นเวลา 23 วัน :) ตั้งแต่วันที่ 29/4 - 22/5 '11 โดยทริปนี้เริ่มจาก จองทริปกับพี่มด (ModX) เป็นคนไทยอยู่ที่สวิสฯ จะเที่ยวในสวิสทั้งหมด 9 วัน ไปทั่วสวิสเลย มาทั้งทีก้อต้องเอาให้คุ้มอ่ะเน๊อะ :) วันแรก 29/4/2011 เดินทางจากกรุงเทพ - ซูริค - บานวิว(บ้านพี่มด) - บาเซิล แวะเอากระเป๋าใบใหญ่มาทิ้งไว้ที่บ้านพี่มด .. บ้านพี่มดน่าอยู่ม๊ากกกกกก สะดวกครบครันทุกสิ่งอย่าง แถมหลังบ้านยังมีทุ่งเขียวๆดูแล้วสดชื่นมากเลย จากนั้นเราสองคนเริ่มวางแผนว่าวันนี้จะเที่ยวกันเอง ว่าแล้วตัดสินใจจะไปเที่ยวเมืองบาเซิลกัน ห่างจากบ้านพี่มดเกือบๆ ชั่วโมง ไปถึงบาเซิลก็ประมาณเที่ยงละ เราสองคนตั้งใจว่าจะอยู่บาเซิลถึงเย็นเลยค่อยกลับ ไคลเเมกซ์ของบาเซิลคือ ตึกสีแดงๆ หรือเป็นอันเข้าใจว่าเป็นศาลากลางของบาเซิลละกัน เราเดินกันมั่วๆแบบไม่มีแผนที่อะไรทั้งสิ้น ถามทางเค้าไปเรื่อยๆ จนพอจะกลับนี่ล่ะ ยืนเก้ๆกังๆอยู่แถวๆสี่แยก ไม่รู้จะไปทิศไหนดี หาสถานีรถไฟก้อไม่เจอ อยู่ๆก้อมีป้าใจดีขี่จักรยานมาถามว่ามีไรให้ช่วยมั๊ย :) รอดตายแล้วเรา ประสบการณ์ backpack วันแรกของเราสองคนทั้งหลงทาง ทั้งเจอผู้คนมีน้ำใจ แถมได้เห็นอะไรสวยๆงาม ซึ่งน่าจะให้เห็นมุมอื่นๆของบาเซิลมากกว่าคนอื่นๆเพราะเราหลง :P แค่วันแรกก้อเริ่มทำให้หลงรักสวิสซะแล้วสิเรา 30/4/2011 เช้าวันที่สองของการเที่ยว ยังคงออก backpack เองเหมือนเดิม ดูพยากรณ์อากาศวันนี้แจ่มใสมากๆ เราสองคนเลยคิดว่าไป trekking เบาๆกันดีกว่าที่ Ballenberg musuem แล้วต่อด้วยล่องเรือทะเลสาบ Brienz ที่เค้าว่ากันว่าสีน้ำเป็นสีเทอคอยซ์ :) วันนี้ออกบ้านกันแต่เช้า 6.45น. พร้อมทั้งแพ๊คข้าวกล่อง น้ำเปล่าแบกใส่เป้ไป มาถึงบัลเลนแบรกตอน 9 โมงครึ่ง เราตั้งใจว่าจะเดินเล่นชมธรรมชาติจนถึงบ่ายสองโมง :) เราสองคนมี Swisspass เลยเข้าชมได้ฟรี :P บัลเลนแบรกเป็นพิพิธภัณฑ์กลางเเจ้ง ที่ยกเอาบ้านแต่ละภูมิภาคของสวิส อายุแต่ละหลังขึ้นหลักร้อยปี มาตั้งท่ามกลางธรรมชาติ แต่ละบ้านจะแตกต่างกันไป บ้านนี้ช่างไม้ บ้านนี้ช่างทำรองเท้า บ้านนี้ทำชีส บ้านนี้ทอผ้า :) เดินเล่นๆข้ามเขาเล็กๆสองสามลูกอยู่นานถึง 4 ชั่วโมง ไม่รู้สึกเบื่อหรือเหนื่อยเลย ภูมิประเทศของสวิสมันสวยงามมากจิงๆ พอบ่ายสองโมงเราเดินมารอรถบัส เพื่อที่จะไป Brienz แอบทึ่งความตรงต่อเวลาของคมนาคมสวิส ขนาดรถบัสยังมาถึงเวลาเป๊ะๆเลยแฮะ นั่งรถบัสมาที่ Brienz ประมาณ 17 นาทีได้ Brienz เป็นเมืองเล็กๆ ติดทะเลสาบ รอเรือจนถึงบ่ายสี่โมง .. ไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าขนาดเรือเองก้อยังมาถึงท่าแบบเวลาเป๊ะมาก มันอะไรกันนี่ประเทศนี้ ตรงต่อเวลาที่สุด :) แล้วเราก้อได้นั่งเรือฟรีอีกแล้ว เพราะเรามี Swisspass แถมได้ upgrade เป็น 1st class อีกด้วย ซึ่ง 1st class จะได้นั่งเรือชั้นสองซึ่งเป็นดาดฟ้าเรือ หรือจะนั่งห้องกระจกก้อได้ :) ที่ Brienz ได้เจอคนไทยเยอะมาก แล้วคนไทยที่มา backpack ที่สวิสที่อ้อเจอ ทุกคนล้วนน่ารักมาก แบ่งส้มอร่อยๆให้ทานด้วย (แพงมากนะนั่น :P ) ล่องเรือใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งถึง Interlaken ost. ก้อได้เวลาบ๊ายบายพี่ๆคนไทยที่เจอกันบนเรือ อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว และจาก Interlaken ost นั่งรถไฟกลับบ้านพี่มดอีกสองชั่วโมง หลับปุ๋ยกันบนรถไฟเลย :) 1/5/2011 วันที่สามของการท่องเที่ยว .. วันนี้พี่มดเริ่มพาเที่ยวละ ดูจากพยากรณ์อากาศแล้วน่าจะขึ้นเขาหิมะซักลูกได้ :0 วันนี้เราจะขึ้น Jungfraujoch ที่ขึ้นชื่อว่า top of Europe ยอมรับเลยว่าตื่นเต้นมากๆ ให้นั่งรถไฟนานเเค่ไหนก้อไม่ง่วงเลยทีเดียว เราเปลี่ยนรถไฟหลายต่อมาๆ เราคุยกันว่าจะขึ้นจุงเฟราทางด้าน Grindelwald แล้วตอนขาลง เราจะลงทาง Lauterbrunnen ซึ่งจะมีวิวน้ำตกเป็นสายตกลงมาจากหน้าผาสูง พอรถไฟถึงสถานีจุงเฟรา...เราต้องเดินช้าๆ เพราะสูงกว่า 3 พันเมตรและอากาศก็น้อยมาก :) กรุ๊ปเราเริ่มตะลุย Ice palace กันก่อนเลย เป็นอุโมงค์น้ำแข็งซึ่งจะมีตลอดทั้งปี พอเข้าไปหนาวมากๆ จำไม่ได้ว่าอุณหภูมิเท่าไหร่ หมวกไหมพรมและถุงมือเป็นสิ่งสำคัญขาดไม่ได้นะจ๊ะ ออกจาก Ice palace เราก้อออกไปจุดชมวิว ว้า.. อากาศไม่ดีเลย ลมแรง ทุกอย่างขาวไปหมด แต่ก็ไม่ได้ผิดหวังแต่อย่างใด สนุกสนานกันไป หนาวมากๆก้อวิ่งเข้าด้านใน รวบรวมพลังฮึดออกมาสู้หิมะใหม่ สนุกดี ;) จากนั้นเราก้อเติมพลังด้วยอาหารที่ภัตตาคาร top of Europe เชียวนะ พออิ่มแล้วเราก้อออกไปสู้หิมะกันอีกรอบที่ฝั่งสฟิงซ์ ที่ฝั่งนี้ไม่มีลมเลยแฮะ เลยทำให้ไม่หนาวมาก เราสองคนถอดเสื้อโค้ทออก ถ่ายรูปกันสนุกสนาน แล้วอยู่ดีดีก้อมีหิมะโปรยปรายลงมา ซึ่งเป็นไปได้ยากในฤดูนี้ ถือว่าเป็นความโชคดีของเรา ประทับใจจังเลย :) ถ่ายรูปกันเต็มที่ ได้เวลาซื้อของที่ระลึกและไม่พลาดที่จะส่งไปรษณีย์กลับไทยหาตัวเอง ส่งหาพ่อแม่อ้อและพ่อแม่ป้อม :) ลงจากจุงเฟรามาก้อบ่ายเย็นๆละ นั่งรถไฟมาลงที่ Interlaken Ost. เราตัดสินใจกันว่ามื้อเย็นจะหาไรกินจากที่นี่เลยแล้วกัน ระหว่างนั้นก้อเดินชมเมือง Interlaken ก้อเป็นเมืองที่คนไทยนิยมมาพักเหมือนกัน มองไปทางไหนก้อสวยงาม เราเลือกที่จะนั่งร้านอาหารอิตาเลียน สั่งพิซซ่าถาดนึงแบ่งกันทาน 4 คน และสั่งสปาเกตตี้ 2 จาน เอ่อ.. จิงๆแล้ว ฝรั่งเค้ากินพิซซ่าคนละถาดเลยนะ แต่เราแบ่งกันได้ 4 คน ไม่รู้เค้าทำได้ยังไง :P ทานเสร็จเราก้อเดินเที่ยวๆซักพักก้อไปรอเจอพี่ๆที่เหลือที่ Interlaken West จากนั้นก้อนั่งรถไฟกลับบ้านพี่มดตามเดิม พักผ่อนออมแรงไว้ วันนี้ไม่ลืมกินพารา และ โวลทาเรน เพราะใช้ร่างกายสมบุกสมบันมาก ไม่อยากจะมาป่วยที่สวิสอ่ะเน๊อะ 2/5/2011 วันที่สี่ของการเที่ยวเเล้วสินะ วันนี้พยากรณ์อากาศแจ่มใสมาก เราเลยจะไปลูเซิร์นกัน นั่งรถไฟจากบ้านพี่มดไปลูเซิร์นประมาณหนึ่งชั่วโมง เราก้อพุ่งไปล่องเรือที่ทะเลสาบลูเซิร์นกันเลย จุดมุ่งหมายจะไปขึ้นที่ท่าเรือ แล้วนั่งรถไฟขึ้นเขาริกิ ระหว่างล่องเรืออยู่บรรยากาศรอบๆสวยงามมาก มีภูเขาหิมะเด่นๆสวยๆไกลๆ พี่มดบอกว่าชื่อพิลาทุส แต่ก่อนเวลาพี่มดทำทริป ก้อมีพาขึ้นพิลาทุส แต่ช่วงที่อ้อไปมีการก่อสร้างอาคาร เราเลยเปลี่ยนแผนมาขึ้นเขาริกิแทน มี Swisspass ทำให้ขึ้นเขาริกิฟรีอีกแล้ว :) เราล่องเรือมาจากลูเซิร์นแล้วขึ้นท่า Vitznau แล้วนั่งรถไฟไต่เขาขึ้นมา เสียดายไม่ได้นั่งริมหน้าต่าง แต่ก้อไม่เป็นไรพอมองเห็นวิวทะเลสาบลูเซิร์นอยู่บ้าง พอช่วงไหนที่เห็นวิวทะเล คนในโบกี้รถไฟจะทำเสียงฮือ แล้วลุกขึ้นถ่ายภาพกัน ไม่รู้จะอธิบายความสวยได้อย่างไรเหมือนกัน บอกได้คำเดียวว่าสุดยอดมาก :) ริกิสูงน้อยกว่าภูเขาหิมะทั่วๆไป สูงประมาณ 1,700 เมตร ในเดือน พ.ค. ที่อ้อไปเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ เลยไม่มีโอกาสได้เห็นหิมะ แต่ไม่เป็นไร แค่นี้ก้อสวยจะแย่อยู่แล้วเน๊อะ เวลาเดินชมเขาริกิ จะมีทางเดินทางสองทางมาบรรจบกัน เรียกสั้นๆว่า ทางคนหนุ่ม กับ คนแก่ :P คนส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวจะเลือกขึ้นทางคนหนุ่มทั้งนั้น แต่เราคิดว่าลองกลับกันดูมั๊ย ลองขึ้นทางคนแก่ดีกว่า เก๋ไปอีกแบบ ไม่เหนื่อยดีด้วย ลงจากเขาริกิมา ที่นี้ก้อถึงเวลาที่เราจะเที่ยวชมเมืองลูเซิร์นกันเเล้ว .. เมื่อตอนเช้ามาถึงลูเซิร์น เรารีบขึ้นเรือทันที เลยไม่ทันได้เดินชมเมือง :) เป้าหมายต่อไปคืออนุสรณ์สิงโต ถ้าให้เล่าประวัติก้อคงยาวพอสมควร งั้นตัดสั้นๆเลยดีกว่าเน๊อะ สมัยก่อนคนสวิสที่เป็นผู้ชายจะไปทำงานเป็นทหารรับจ้างให้กับฝรั่งเศส แล้วช่วงปฎิวัติฝรั่งเศสทำให้ทหารสวิสล้มตายจำนวนมาก แต่มีทหารผู้หนึ่งเค้าเสียใจมาก เพราะไม่ได้ร่วมรบกับเพื่อนๆ ด้วยเหตุผลอะไรอ้อก้อจำไม่ได้แฮะ เค้าเลยตั้งใจสร้างให้เป็นอนุสรณ์ให้ทหารสวิสที่ถูกสังหาร โดยสลักสิงโตตัวนี้ให้ร้องไห้ ถูกหอกปัก โดนมีดแทง และที่สำคัญยังไม่ลืมที่จะกอดโล่ห์ที่เป็นสัญลักษณ์พระเจ้าหลุยส์ แสดงให้เห็นถึงทหารสวิสมีความซื่อสัตย์ นี่เล่าแบบสั้นๆแล้วเหรอ o_o ตอนที่มาถึงอนุสรณ์สิงโต คนเยอะมาก ทัวร์จีนทัวร์แขกมาลง ไอเราก้อกลุ้มใจเพราะหามุมถ่ายรูปไม่ได้เลย แล้วเสียงก้อดังอื้ออึ้งไปหมด .. พี่มดก้อบอกกับเราว่ารอแป๊บเดียว ไม่ต้องรีบร้อน เดี๋ยวญาติเราก้อไปกันแล้ว เท่านั้นแหล่ะ ไม่ถึงสิบนาที คณะทัวร์หายเรียบ บรรยากาศสงบคืนกลับมา ว่าแล้วก้อเป็นอย่างที่พี่มดบอกจิงๆด้วย นี่เลยเป็นเหตุผลนึงที่อ้อคิดว่าถ้าไปเที่ยวต่างประเทศยังไงก้อจะ backpack เรานั่งเครื่องมาไกลเป็นสิบชั่วโมง แต่มีเวลาดูสิ่งสวยงามแค่สิบนาที มันแปลกๆไงชอบกลว่ามั๊ย ออกจากอนุสรณ์สิงโตก้อเดินช๊อปปิ้งไปเรื่อยๆ ก้อมาเจอไคลเเมกซ์ของเมืองนี้คือสะพานไม้ชาเปลนั่นเอง สะพานนี้เคยถูกไฟไหม้มาแล้ว แต่เค้าก้อบูรณะให้เหมือนเดิม สะพานไม้นี้ขึ้นชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดในยุโรปเลยนะ ประมาณ 600 ปีเห็นจะได้ :) 3/5/2011 วันที่ห้าแล้วสินะ .. วันนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตกไปทั่วเลย เลยลงความเห็นว่าเที่ยวชมเมืองแล้วกัน พกร่มสีชมพูแปร๊ดติดตัวไว้ด้วยก้อดี วันนี้เราไปเมืองซังก์ กัลเล่น เป็นเมืองที่เข้มแข็งทางศาสนา เป็นที่ตั้งของโบสถ์ st. Gallen สไตล์บาร็อก เข้าชมได้ฟรีสวยงามมากๆ ไม่เพียงเท่านี้เมืองนี้ยังเป็นที่ตั้งของห้องสมุด Stiftsbibliothek เก็บหนังสือเก่าแก่อายุเป็นร้อยปี มีต้นฉบับที่เป็นลายมือของพระสมัยนั้น แต่น่าเสียดายเค้าห้ามถ่ายรูป เสียค่าเช้าชมอีกตังหาก :P ซังก์ กัลเลน .. มีของกินเด็ดๆอย่างนึงคือ ไส้กรอกลูกวัว ของร้าน Metzgerei Gemperli อร่อยมากๆ แล้วจะติดใจ :) เดินเล่นในเมืองซังก์ กัลเลน ซักพัก แล้วเราก้อต่อรถไฟไปซูริค เมืองที่ใครๆต่างคิดว่าเป็นเมืองหลวงแหงๆ จิงๆเรามาซูริคแบบแว้บๆครั้งนึงแล้วจำได้มั๊ย ก้อวันแรกงัยที่เรานั่งเครื่องมาลงซูริค :) ซูริคต่างจากเมืองซังก์ กัลเลนมากๆ เมื่อกี้เราเที่ยวเมืองที่สงบเงียบ แต่ซูริคไม่เป็นแบบนั้น เป็นเมืองที่เจริญมากและเต็มไปด้วยแหล่งช๊อปปิ้งแบรนด์เนมมากมาย สถานีรถไฟคึกคักเต็มไปด้วยผู้คน เราเดินไปเรื่อยๆจนถึงทะเลสาบซูริค เป็นทะเลสาบที่สวยเหมือนกันนะ ริมทะเลสาบมีนาฬิกาดอกไม้ด้วย ไม่ต้องไปไกลถึงเจนีวาก้อมีนาฬิกาดอกไม้สวยๆเหมือนกัน เราเดินข้ามถนนกลับมารอรถบัส .. นั่งรถบัสประมาณ 5นาทีก้อถึงโรงงานช๊อคโกแลตยี่ห้อ Lindt ชอบตรงที่ช๊อปของโรงงานให้เราชิมช๊อคโกแลตได้ไม่อั้น ใครชอบกินช๊อคโกแลตถือว่าเป็นสวรรค์เลยล่ะ จากจุดนี้เราช๊อปช๊อคโกแลตน้ำหนักหลายกิโลเหมือนกัน เอาไปฝากที่ไทย แต่ว่าอ้อยังต้องเดินทางอีกหลายประเทศ ไม่เป็นไร...อ้อกับป้อมสามารถอยู่แล้ว ช๊อคโกแลตที่เอาไปฝากผ่านถึง 3 ประเทศเลยน้า จำได้ว่าด้วยอากาศที่หนาวสิบกว่าองศา ทำให้ช๊อคโกแลตอยู่ในสภาพดีมาก แต่พอกลับไทยถึงบ้านชั่วโมงเดียวเท่านั้นเริ่มนิ่ม เอาเข้าตู้เย็นแทบไม่ทัน :P 4/5/2555 เช้าวันที่หกในสวิส...เราต้องออกจากบ้านพี่มดพร้อมทั้งแพ็คกระเป๋าไปค้างคืนข้างนอกหนึ่งวัน จุดมุ่งหมายคือเมือง Zermatt หรือแซร์มัท เป็นเมืองในหุบเขาอากาศหนาวเย็น เป็นเมืองที่ตั้งสถานีกอร์เนอร์กราท เป็นสถานีสำหรับชมวิว Matterhorn หรือภูเขาหิมะสามเหลี่ยม (เป็นโลโก้ของช๊อคโกแลต Toblerone) ตอนที่ไปแซร์มัท เช้าๆนี่ 0 องศา เลยนะ เมืองนี้เป็นสวรรค์ของนักเล่นสกี พอมาถึงแซร์มัท เราฝากกระเป๋าที่สถานีรถไฟทันที แล้วก้อนั่งรถไฟขึ้นไปที่สถานีกอร์เนอร์กราท ซึ่งความสูงประมาณ 3,100 เมตร Matterhorn ฉายาเค้าคือจอมขี้อาย คือบางวันจะไม่เห็นยอดบ้าง บางวันโดนเมฆบังจนมิดบ้าง แต่สำหรับวันนี้ Matterhorn ไม่ขี้อายเลย น่ารักมาก ไม่เสียเเรงที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกล :) จากนั้นก้อเป็นเวลาที่เราจะถอดโค้ทอีกแล้ว เผยให้เห็นธาตุแท้ว่าป้อมเป็นแฟนปืนใหญ่ อาร์เซนอล ส่วนอ้อแฟนปิศาจแดง แมนยูฯ บรรยากาศไม่หนาวเลย อากาศดีมาก เพราะว่าไม่มีลม ลมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อากาศหนาวเย็น ในเมื่ออากาศดีแบบนี้ เราสองคนจัดเต็ม ส่วนป้อมโดนยุให้ถอดเสื้อ ซึ่งก้อยุขึ้นซะด้วย :) ก้อเป็นอะไรที่เป็นความประทับใจที่สุดของที่สุด ไม่ว่าจะหันถ่ายรูปไปทางไหนก้อสวยทุกมุมจิงๆ ฉันรักเธอนะ Matterhorn แซร์มัท ... เป็นเมืองที่มีคนไทยมาเยอะม๊ากกก ถึงขั้นที่ว่า ที่สถานีรถไฟมีคำว่า "ยินดีต้อนรับ" ตัวเบ้อเริ่มเลย เห็นแล้วอมยิ้มได้เลย :) สำหรับคืนนี้เราพักที่ Youth hostel ซึ่งต้องจองล่วงหน้า ที่พักต้องเดินขึ้นๆๆและก้อขึ้นเขา หอบกันแฮกๆ แถมมาถึงเค้าให้เราเบิกผ้าปู หมอน ผ้าห่มกันเอง แล้วปูผ้าเอง พอตอนเช้าเก็บให้ครบแล้วหอบมาทิ้งไว้ที่หน้าเคาเตอร์ ทุกอย่างบริการตัวเอง ตั้งแต่มาสวิสยังไม่ได้กินอาหารพื้นเมืองของสวิสเลย เพราะปกติพักบ้านพี่มดจะได้กินอาหารไทยตลอด ซึ่งก้อถูกปากมาก พี่มดทำอาหารอร่อยสุด :) แล้วถ้าเราไม่ได้กินอาหารพื้นเมือง เค้าจะเรียกว่ามาไม่ถึงสวิสรึป่าวนะ แต่ที่นี่ทำให้เรามาถึงสวิสจิงๆ ถือว่าเป็นโชคดีอีกละ ที่ได้ชิมอาหารพื้นเมือง พี่มดบอกว่า นานๆเค้าจะทำนะ โชคดีม๊ากกกก 5/5/2011 วันที่เจ็ด โอ้โห อาทิตย์นึงแล้วเหรอเนี่ย เราออกจากแซร์มัทเพื่อที่จะไป Montreax หรือมองเทรอ ด้วยอากาศที่แจ่มใสม๊ากกก ประกอบกับดอกทิวลิปที่บานเต็มที่ และทะเลสาบเจนีวา และบรรยากาศคล้ายๆฝรั่งเศส ทำให้เมืองนี้เป็นเมืองตากอากาศที่ยอดฮิตและไฮโซเมืองหนึ่งของสวิสทีเดียว มาถึงก้อเที่ยงละ หิวๆ พี่มดก้อแนะนำร้านนั้นนี้มากมาย หนึ่งในร้านที่แนะนำคือร้านขาย เคบับ ... ตอนที่ไปซื้อก้อขอเค้าถ่ายคลิปวิดีโอวิธีการทำ และลุงคนขายก้อชวนคุยไปเรื่อย เห็นหน้าอ้อกับป้อมก้อถามว่ามาจาก China ? มาทำไรกัน ? เอ่อ ไม่ใช่ค่ะ ไทยเเลนด์ค่ะ มาเที่ยวค่ะ (คิดในใจ) คุณลุงคะ กรุณามองหน้าป้อมนิดนุง ดวงตาของป้อมกลมโตม๊าก ลุงถามมาจากจีนเร๊อะ มันน่าใช่มั๊ยล่า แถมพอบอกไทยเเลนด์ ลุงแกจะเข้าใจว่าไต้หวันอีก เพลียกะลุงจิงๆ แต่เรื่องรสชาดของเคบับ สุดยอดเลยลุง อร่อยสมคำร่ำลือ :) อิ่มแล้วเราก้อเดินสำรวจเมืองอีกละ เดินเข้าซุปเปอร์มาร์เกต สำรวจราคาผลไม้ ขอบอกว่าแพงม๊าก ยกเว้นสตรอเบอรี่ เมืองไทยนี่โชคดีละ ที่มีผลไม้กินตลอดปี ถูกบ้างแพงบ้างเคล้ากันไป จากนั้นเราก้อมารวมกลุ่มจะนั่งรถบัสไปเที่ยวปราสาทชิยง ถูกสร้างไว้เป็นที่เก็บส่วย สำหรับเรือที่ผ่านสัญจรไปมา พอได้มาเห็นปราสาทจิงๆ รู้สึกได้ถึงความขลัง ลึกลับ บอกไม่ถูกแฮะ :) เต็มอิ่มกับมองเทรอ .. เราก้อนั่งรถไฟต่อไปเมืองเบิร์น ซึ่งเมืองนี้แหล่ะที่เป็นเมืองหลวง เป็นเมืองที่อนุรักษ์ตึกเก่าๆมากมาย ......... ........... ......... ชมคลิปเที่ยวสวิสเพลินๆ :P
แวะมาเยี่ยม รูปสวยจังเลยต่ะ ^^
โดย: Amonamode วันที่: 16 กรกฎาคม 2555 เวลา:12:59:26 น.
|
บังเอิญ..มารักกัน
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Link |