ร้อยฝันเกี่ยวใจ... มาใส่รัก บทที่ 9 ชาย และ หญิงนั้น ไม่เหมือนกัน



เดชเดินตามหลังชายชราไปที่ลานข้างบ้าน ที่ตอนนี้ถูกขุดเป็นรูปวงรีลึกครึ่งเมตรเตรียมไว้แล้ว ข้าวของวางอยู่ริมศาลาใกล้ๆ ชายชราที่รู้เรื่องราวเขาจากปากหลานสาวแล้ว มองไปที่กระบะที่เต็มไปด้วยเครื่องมือเครื่องไม้


“มาคนเดียวรึ นึกว่าจะมีคนช่วย”


“พอดีน้องไปโรงเรียน เดี๋ยวพามาวันอื่น แต่ผมทำคนเดียวก่อนได้ครับ”


“งั้นเดี๋ยวตาช่วยเอง ความจริงก็อยากจะทำเองนี่แหละ อะไรๆ ในบ้านนี่ตาทำมาเองทั้งนั้น แต่เดี๋ยวนี้ขวัญมันไม่อยากให้ทำ ตาขอไปเปลี่ยนเสื้อหน่อยนะ”


ชายชราแต่ยังร่างกายแข็งแรงกระฉับกระเฉงกลับมาอีกครั้งในชุดคลุกดินคลุกฝุ่นได้ เริ่มเทวัสดุผสมปูนเองอย่างคล่องแคล่ว พลางชวนเขาคุยเรื่องงานรับเหมาในปัจจุบัน เรื่องวัสดุก่อสร้างราคาแพงขึ้น และเรื่องสมัยยังหนุ่ม


“เมื่อก่อนตาเคยทำงานกรมป่าไม้ ตอนขวัญเกิด ก็เกษียณพอดี เลยมีเวลาว่างพาเที่ยว มันติดป่ามาตั้งแต่ตอนนั้น แต่มานึกเรียนทันตแพทย์เอาตอนไหนไม่รู้”


“คุณหญิงขวัญคงอยู่แต่ที่คอนโด”


“อืม ปกติก็มาบ้านบ่อย แต่หลังๆ นี้ท่านชายภัสกรย้ายมาอยู่ที่นี่ ขวัญเลยไม่ค่อยกลับแล้ว จะกลับแต่ละทีก็ต้องโทรมาถามว่าพ่ออยู่หรือเปล่า เฮ่อ ตาไม่ค่อยยุ่งหรอก แต่เห็นแล้วขำๆ พ่อลูกไม่ถูกกัน แต่นิสัยเหมือนกัน ทะเลาะกันเหมือนเด็กสิบขวบ ฮ่าๆ”


“เหรอฮะ” เดชเริ่มขำ เขาพอนึกภาพหม่อมราชวงศ์ขวัญชีวาสนทนาพาทีกับหม่อมเจ้าออก


“ฮื่อ เขาเถียงกันทุกเรื่อง แต่ตากลัวมันเป็นพวกหญิงรักหญิงจริงๆ ไม่รู้มันทำเล่นหรือจริง เห็นน้าสาวบอกว่าที่คอนโดมีแต่รูปผู้หญิง เคยพาเพื่อนสาวมาบ้านก็ไปคุยกันเงียบกริบในห้อง เฮ้อ”


ชายชราทำท่าหนักใจประสาคนห่วงลูกหลาน เดชก็กลัว แต่ไม่กล้าบอกใคร บอกแต่พระเจ้าเท่านั้น เขาหวังว่าทุกค่ำคืนที่อธิษฐานเผื่อจะทำให้ขวัญชีวากลับมาเดินบนทางชีวิตที่ปกติ


ทั้งสองคนทำงานกันจนเหงื่อชุ่ม ชายชราสัมภาษณ์น่าดูเมื่อรู้ว่าเขาเป็นคริสเตียน และคุยเลยไปถึงปัญหาขัดแย้งทางศาสนา และการอ้างศาสนามารบรากัน


สักพักก็มีสาวใหญ่เอากระติกน้ำมาให้ เขานึกว่าน้าสาวหรือลูกพี่ลูกน้องของขวัญชีวา แต่ชายชรากลับบอกว่าเป็นแม่ของขวัญชีวา เขาอดเปรียบเทียบแม่ลูกไม่ได้ ขวัญชีวาไม่เหมือนแม่สักอย่าง หม่อมเตยอายุสี่สิบกว่าแต่สวยไม่มีที่ติ เพียงแต่ตัวเล็กเท่านั้นเอง


“คุณหญิงขวัญไม่เหมือนคุณแม่เลยครับ”


“หญิงขวัญเหมือนพ่อ แต่เดชอย่าไปทักนะจ๊ะ โกรธสิบวันเลยล่ะจ้ะ”


นอกจากเหมือนพ่อแล้วคงอายุยืนด้วย เพราะคุยถึงได้แป๊บเดียว รถเธอก็เข้ามาในบ้าน วิ่งลงมาจากรถทั้งเท้าเปล่า ตะโกนโหวกเหวก


“เริ่มทำกันแล้วเหรอ ดูหน่อยๆ”


ขวัญชีวามาชะโงกดูอิฐที่เริ่มก่อเพื่อทำธารเทียมได้ไม่นาน แล้วนั่งลงกับสนามหญ้าดูตากับเดชทำงานด้วยความสนใจ แต่โดนแม่ดุเสียงขรม


“ลูกขวัญไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน นุ่งกระโปรงแบบนี้ นั่งอย่างนี้ได้ไง”


“โอ๊ยแม่ ขอยืดขาหน่อย ลูกนั่งห้อยขาทั้งวันเลย แล้วลูกนุ่งกางเกงไว้ข้างใน นี่เห็นมั้ย”


ขวัญชีวาถลกกระโปรงสีเข้มๆ ต่อหน้าทุกคน ชายชรากับเดชพากันหัวเราะลั่น กางเกงที่ขวัญชีวาสวมไว้ข้างในไม่ใช่กางเกงธรรมดา แต่เป็นถึงกางเกงยีนส์หนาๆ ขายาวถึงเข่าทีเดียว


“ถ้าต้องสวมขายาวไว้ข้างในแบบนี้ จะนุ่งกระโปรงทำไมล่ะขวัญเอ๊ย” ชายชราถามด้วยความสงสัย


“ไม่รู้สิตา เห็นคนอื่นเขาใส่ก็อยากใส่มั่ง อิอิ”


แต่เตยกลับไม่เห็นทุบไหล่ลูกสาวด้วยความตกใจ “แล้วลูกมาเปิดกระโปรงต่อหน้าคนอย่างนี้ได้ไง ไม่อายเดชเขาเหรอลูก”


“โธ่แม่ อายยังไง ก็นี่มันกางเกงยีนส์หนาเตอะ ลูกใส่ไว้จะได้ดูอ้วนๆ ไง งั้นถอดกระโปรงฝากแม่ไปเก็บเลยแล้วกัน ฮ่าๆ” เธอทำท่าจะถอดกระโปรงจริงๆ


“ลูกขวัญ แม่โกรธนะ น่าเกลียด” เตยเอ่ยอย่างหมดความอดทน


“โอเคๆ ลูกล้อเล่น” ขวัญชีวานั่งพับเพียบอย่างตั้งใจดูอิฐที่เริ่มสูงขึ้น จนเตยวางใจแล้วเดินเข้าบ้านไป เธอเริ่มกระโดดลงบ่อทันที


“ตาๆ มาๆ ขวัญลองก่ออิฐโชว์คุณเดชมั่ง”


“อ้าว ทำเป็นด้วยเหรอ” เดชดูท่าทางทะมัดทะแมงอย่างทึ่ง


“เป็นสิคู้ณ ตานี่แหละสอน เฮ้ย... แต่กลัวปูนกัดว่ะ ไม่ทำดีกว่า มือเราไว้ทำมาหากิน เอาเท้าทำแทนก็ไม่ได้ ไม่ใช่เลน่า มาเรีย นี่นา”


เธอเปลี่ยนใจกลับกระโดดขึ้นนั่งขอบบ่อ ชายชราหัวเราะแนะให้ทำอย่างอื่น


“ขวัญไปดูพวกอีเหลืองหลังบ้านดีกว่ามั้ง พาพวกมาทำรังใหญ่เชียว”
“เหรอ งั้นไปดูดีกว่า ไปมั้ยคุณเดช”


“ผมทำงานอยู่” เขาสงสัยว่าอีเหลืองคงเป็นนก ไม่น่าจะเป็นหมา เพราะหมาทำรังเองไม่ได้
“ไปสิเดช เดี๋ยวตาทำต่อเอง” ชายชราเชื้อเชิญ


ขวัญชีวาสวมรองเท้าแตะของตาแล้วลากแขนเสื้อเขาขึ้นจากหลุม


“มาๆ แป๊บเดียวๆ”


หลังบ้านมีรั้วหนาม และประตูขยับออกได้เป็นทุ่งหญ้าสูงแค่เข่า สลับพุ่มเตี้ยๆ ของดอกกระดุมทองสีเหลืองใบสีเขียวอื๋อ แต่เจ้าของบ้านที่เดินนำคว้ากิ่งไม้ได้อันหนึ่งก็แหงนคอชะเง้อขึ้นบนฟ้าหาหมู่ไม้ตามเคย เดชเดินตามหลังเงียบเชียบและช้าๆ จนเธอเดินนำไปเกือบสิบเมตร


เดชมัวแต่ก้มดูทางที่มีหนาม เงยดูข้างหน้าอีกที ถึงกับประหลาดใจว่าเขาเคยฝันเห็นภาพตรงหน้ามาแล้ว... ผู้หญิงสวมเสื้อสีอ่อนแขนยาวเหนือข้อมือ นุ่งกระโปรงสีเข้มแกว่งกิ่งไม้ไปมา ลมอ่อนๆ พัดมาจนกระโปรงพลิ้วไหวไปตามทิศทางเดียวกับสายลม


“ปกหนังสือนั่นไม่ผิดนี่หว่า... ไอ้คนออกแบบปกมันรู้ดีกว่าเราเว่ย !” เขาพึมพำ นึกอยากทำมงกุฏเถาวัลย์ให้เธอสวมเล่นสักอัน


“บ่นอะไรจ๊ะ กรรมกร นี่มาดูนี่” เธอชี้ไม้ไปที่รังนกบนต้นตะขบ ลูกสุกสีแดงเข้มเต็มต้น
“จะให้ผมเอาตะขบกลับบ้าน ขอบคุณ แต่ไม่เอาครับ กินแล้วติดฟัน เสียบุคลิก !”


“แม๊ ไม่ให้ใครมากินของในบ้านง่ายๆ หรอกย่ะ”
“แล้วให้ดูอะไร อีเหลืองคืออะไร”


“อีเหลืองเป็นนกกินปลีตัวเหลืองๆ แถวนี้เต็มไปหมด ดูรังสิ... ต้นนี้มีตั้งกี่รัง”


ตะขบหลายต้นยืนแถวเรียงกัน ใบเขียวอื๋อ ก้านมีหนามอ่อนๆ เต็มต้นบนเรือนยอดเต็มไปด้วยรังเล็กๆ กระจัดกระจาย


“เอ... นกกินปลี มันก็กินปลีกล้วย หรือดูดน้ำหวานไม่ใช่เหรอคุณขวัญ แล้วทำไมมันไม่ทำรังบนต้นไม้ที่มีดอกเยอะๆ มาอยู่บนต้นที่มีลูกไม้ทำไมละคุณขวัญ”


“อย่าเอาขีดจำกัดของนกไปจำกัดความสามารถของพระเจ้าสิ... คริสเตียน โฮะๆ”


ขวัญชีวาทำเสียงใหญ่ๆ ล้อเลียนเขา พลางชะเง้อดูนกพวกนั้น แล้วยังปีนขึ้นบนขอนไม้ดึงกิ่งไม้ที่ใกล้ๆ มาตรวจดูแล้วทักทายนกในรัง


“ไงพวกแก มีพี่น้องแฝดสี่หรือแฝดห้า ไม่ต้องกินนมแม่นี่หนา”


เดชคงต้องกลับไปอธิษฐานสารภาพบาปกันทั้งคืน เพราะเขาไม่ได้ดูรังนก แต่กำลังจ้องน่องเรียวๆ ของผู้หญิงที่อวดสายตาอยู่ตรงหน้า เพราะชายกระโปรงไปเกี่ยวกับหนามตะขบเจ้าตัวจึงรวบไว้จนขากางเกงยีนส์โผล่ ท่าทางเธอคงสักแต่นุ่งกระโปรงโดยไม่ศึกษาวัฒนธรรมการสวมกระโปรง จึงไม่รู้ว่าการทำแบบนั้นทำให้บุรุษหายใจติดขัด


“คุณขวัญ” เขาเค้นเสียงเรียกอย่างยากลำบาก
“เรียกทำไม มีอะไรพูดมา”
“คุณอย่าเปิดกระโปรงต่อหน้าใครๆ อีกเป็นอันขาด”
“ทำไม ?”


“เพราะมันชวนให้อยากรู้ว่าอะไรอยู่ในกระโปรง !”
“ก็เห็นอยู่ว่ามันเป็นกางเกงยีนส์ !”
“แต่มันยิ่งทำให้อยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ในกางเกงยีนส์ !”
“เฮ้ย !!!” ขวัญชีวาเหยียบขอนไม้พลาดจนล้มมานั่งก้นกระแทก “พูดจริงเหรอ ?”
“ครับ คุณเป็นหมอ คุณก็รู้นี่ว่าผู้ชายเรา... ไม่มีขีดจำกัด”


“พอๆ เข้าใจแล้ว นี่กับขวัญ คุณก็ไม่เว้นเหรอ นุ่งซะหนาเตอะยังจะมาจินตนาการถึงกันอีก โลกนี้ผู้หญิงจะอยู่รอดปลอดมือชายได้ไงวะ” ขวัญชีวาเอามือกุมขมับบ่นเหมือนคนท้อแท้ “เฮ่อ เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก”


เขารีบต่อกลอนให้ยาวๆ หวังเธอเข้าใจบุรุษขึ้น


“เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก แต่เป็นชายก็ยาก... ไม่น้อยหนา
แค่ผิวทอมวอมแวม ยั่วสายตา ทำหัวใจโหยหา ก็บ่อยไป”


“ไอ้บ้า กลอนผีอะไร ไปขุดดินต่อ ไป๊” ขวัญชีวาเด็ดลูกตะขบปาใส่หัวเขา มันโดนเข้าจังๆ ที่ปลายคางเจ็บแปล๊บ แต่เขาแค่หัวเราะขบขันแล้ววิ่งหนีกลับไปทำงาน




แต่ครู่เดียวขวัญชีวาก็ตามกลับมาอยู่ดี ชายชราหายไปเอาอุปกรณ์บางอย่างในบ้าน เหลือเขาทำงานอยู่คนเดียว


ขวัญชีวาจ้องมองไหล่กว้างๆ และเสื้อเปียกเหงื่อที่ลู่แนบไปกับผิวหนังแล้วคิดถึงต้นหลิวที่เคยพูดถึงผู้ชายในฝันให้ฟัง


‘อุ๊ย ถ้าหนูมีแฟนเป็นผู้ชายนะ ต้องไหล่กว้างๆ ไว้ก่อน’



ขวัญชีวาสงสัยว่าทำไมต้นหลิวต้องชอบผู้ชายไหล่กว้าง มันมีประโยชน์ต่อชีวิตรักหรือการครองเรือนตรงไหน


“คุณขวัญ” เขาโบกมือขึ้นลงๆ ต่อหน้าเธอ “คุณดูอะไร กระดูกผมผิดส่วนหรือไง”
“ดูไหล่คุณ คุณสูงกว่าขวัญนิดเดียว แต่ไหล่คุณกว้างกว่าตั้งเยอะ แปลกมั้ยล่ะ”


“ก็พระเจ้าสร้างชายหญิงให้ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว”
“นี่ๆ แฟนคุณชอบไหล่คุณมั้ย” ขวัญชีวาถามเสียงจริงจัง


“ผมไม่มีแฟนสักหน่อย” เดชอุบอิบ
“หมายถึงที่เคยมีน่ะ อย่ามาโกหกว่าไม่เคยมี !”


“เฮ่อ คุณนี่ถามแปลก... คนเป็นแฟนกัน เขาก็ต้องชื่นชอบทุกอย่างกันอยู่แล้ว ผมขี้เหร่หรือไม่ขี้เหร่ อ้วนหรือผอม เขาก็ต้องชอบ คุณขวัญถามทำไม จะหลอกถามเคล็ดลับเป็นผู้ชาย ?”



“ไม่รู้สิ” ขวัญชีวาจ้องแขนหนาๆ เขา “นี่ๆ งัดข้อแข่งกันมั้ย ตอนเรียนมหาวิทยาลัยขวัญเคยชนะเพื่อนผู้ชายตั้งหลายคน แต่ตอนนั้นอ้วนกว่าตอนนี้หน่อยหนึ่ง”


“เรื่องอะไรจะงัดข้อกับผู้หญิง ชนะก็เสมอตัว แพ้ก็เสียเชิงชาย”
“ขี้ขลาด ! และไม่ให้โอกาสเพศตรงข้ามนี่หว่า”


“อ้าว ! กล่าวหากันนี่ครับ งั้นลองก็ได้ แต่คุณไปถอดกระโปรงออกก่อน ผมไม่งัดข้อกับคนนุ่งกระโปรง”


“ได้ๆ”


ขวัญชีวาหายลับไปในบ้าน กลับมาอีกทีในกางเกงขายาวถึงหัวเข่าตัวเดิม ตาและน้าสาวมาเป็นกรรมการแข่งขันงัดข้อให้ชั่วคราวด้วยความขบขัน เดชวางแขนลงบนโต๊ะรอคู่แข่งที่ยืดแขนสะบัดไหล่เหมือนอุ่นเครื่องก่อนนั่งลงยิ้มกริ่มให้เขา น้าสาวกับตายืนหัวเราะหลานสาวที่ดูตั้งใจเอาชนะจริงจัง


“เดชจ๊ะ ขวัญเคยชนะคุณตานะ บอกไว้ก่อน อย่าประมาทกำลังว่าแขนเล็กกว่า”


น้าสาวเตือนนักแข่งฝ่ายชาย  เดชไม่คิดประมาทและจำได้ดีว่าขวัญชีวาเคยแบกเป้เดินปีนขึ้นเนินได้นานและคล่องแคล่วกว่าเขา แต่ขนาดแขนที่เล็กกว่าของเขาเกือบเท่าตัวไม่น่าจะทำให้เธอล้มเขาได้


“ฮ่าๆ เอาล่ะ นักสู้ทั้งสอง เตรียมพร้อมนะ หนึ่ง-สอง-สาม...”


เสียงชายชรานับให้สัญญาณพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ


ขวัญชีวาคงมีประสบการณ์งัดข้อมาแล้วจริงๆ เธอจึงไม่รีบออกแรงเสียทีเดียว และดูจะแกร่งไม่น้อยเมื่อเขาไม่สามารถทำให้แขนเธอเขยื้อนได้ แต่เสียงน้าสาวที่ยืนเชียร์ส่งเสียงเรียกชื่อเธอเบาๆ และสายลมพัดกลิ่นดอกไม้กลิ่นคุ้นเคยที่จมูกเขาเคยสูดดมครั้งหนึ่งในเต็นท์คืนนั้นโชยมา ไรเส้นผมอ่อนๆ ปรกใบหน้าและแก้มเรื่อๆ ของคู่แข่ง... ทำให้แขนเขาอ่อนแรง


เขาพลาด... ขวัญชีวากดแขนเขาฮวบเดียว แขนเขาราบติดโต๊ะ


“ฮ่าฮ่า ทันตแพทย์หญิงขวัญชีวา ชนะ” ขวัญชีวาชูแขนสะใจ


“อ้าว... เดช ทำไมเป็นงี้” กรรมการเพศเดียวกับผู้แพ้ผิดหวังเล็กน้อย ถึงกับยื่นเงื่อนไขต่อฝ่ายตรงกันข้ามใหม่ “ตาว่า... ต้องงัดสามครั้งสิขวัญ ต้องชนะสองในสาม”


“โอ๊ย ไม่เอาค่ะ ตาก็... ยังไงขวัญเป็นผู้หญิงนะ งัดข้อกันสามครั้ง แขนขวัญก็พังสิตา” ผู้ชนะค้าน คลำแขนอย่างไม่มั่นใจ “ชนะแต่เจ็บแฮะ หนเดียวนี่แหละ ชนะแล้วชนะเลย”


เดชดูแขนขวัญชีวาแล้วเอ่ยเบาๆ “ครับ หนเดียวพอ”
เขาลุกกลับไปที่บ่อปลาเงียบเชียบ


“อาไร้ แพ้แล้วเศร้าเลยเหรอ แหม... ก็คุณถนัดซ้ายนี่นา อิอิ” ขวัญชีวาตะโกนเย้าแหย่



เขาไม่ได้เศร้า แต่ต้องรีบลุกจากศาลานั้นก่อนที่ใครๆ จะเห็นว่าเขากำลังแอบยิ้มหน้าระรื่นต่างหาก เขารู้ซึ้งแล้วว่ากลิ่นเส้นผมของขวัญชีวาอยู่ที่ไหนๆ ก็หอมชวนดมไม่ต่างกัน เจ้าตัวไม่มีทีท่าจะรู้อะไรสักอย่างว่าทำให้ในอกผู้ชายบางคนป่วนปั่นจนบอกไม่ถูก



เสียงขวัญชีวาเดินเข้าบ้านบ่นหิวอย่างสบายใจ แต่เดชอยากบอกเธอเหลือเกินว่านอกจากอย่าเปิดกระโปรงต่อหน้าใครๆ แล้วเธอไม่ควรงัดข้อกับผู้ชายคนไหนอีก 


  


“ไอ้หนุ่มนั่นเป็นใคร หญิงขวัญถึงได้ไปคุยด้วยสนิทกันเชียว ตั้งแต่ทำบ่อปลาก็กลับบ้านทุกวัน” ท่านชายภัสกรถามเตย เมื่อเห็นขวัญชีวาในเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ขายาวนั่งเหยียดขาสบายอารมณ์ดูผู้ชายสี่คนกำลังทำงานกัน


“ลูกเล่าว่าเคยรู้จักกันตอนไปคินาบาลูน่ะค่ะ เดชกับน้องชายเลยมาช่วยเราทำบ่อปลานี่ได้”


“ทำไมไม่จ้างบริษัทให้เป็นเรื่องๆ ไป”


“ก็... ตากับลูกขวัญเขาอยากมีส่วนร่วมเอง แล้วท่านน้อยไม่โปรดเหรอคะ เดชเขาสุภาพนะคะ ดูลูกขวัญจะไม่เออะเมิ่งเทิ่งกับเขาเท่าไหร่ บางทีก็เหมือนเกรงใจแน่ะ”


“ลูกคุณเกรงใจคนเป็นรึ แม่เตยรู้หรือเปล่าตาหมอสมภพน่ะบอกว่าลูกเราเรียกคนไข้ชายว่าสากกระเบือ เพื่อนๆ หมอด้วยกันเขาระอาทั้งนั้น”


“ต๊าย จริงเหรอคะ ท่านน้อย” เตยยกมือกุมอก “ลูกขวัญไปเอาคำพวกนั้นมาจากไหน”


“ไม่ใช่จากแม่เตยหรือฉันแน่ๆ มันเรียกมาตั้งแต่สมัยเรียน”


“ทำไมลูกเราเป็นอย่างนี้ละคะ”
“ไม่รู้” ท่านชายตอบอย่างไม่ใส่ใจ “พูดก็ไม่มีหางเสียง”


“ท่านน้อย” ดวงตาเตยฉายแววบางอย่าง “ท่านหาแฟนให้ลูกสาวเราสักคนสิคะ บางทีลูกเราอาจดีขึ้นก็ได้”


“หาให้ได้ แต่ฉันไม่ทำหรอก แต่งกันเพราะพ่อแม่หาให้ เดี๋ยวก็เป็นแบบฉันกับเมียเก่า พอมีเรื่องกันก็ไม่วายกลับไปติบุพการี ให้มันหาเองเถอะ มันเพี้ยนๆ แบบนี้ก็ไม่ได้แย่มากมายอะไร”


เตยนั่งท้อใจจนท่านชายอดเวทนาไม่ได้ เลยชวนออกไปดูที่ผู้คนเขาทำบ่อปลากัน เตยรีบคว้าไม้เท้าและพยุงไปดูด้วยความยินดี ลูกสาวขยับตัวจากนั่งสบายมากอดอกใส่ทันที
เตยเป็นคนแนะนำให้เดชทำความเคารพแทน


“เดช นี่ท่านชายภัสกร พ่อของหญิงขวัญ”


เดชกับน้องชายฝาแฝดแค่ยกมือไหว้ไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใด ขวัญชีวาประกาศเสียงกร้าว


“ใครเอ่ยคำราชาศัพท์ในบ้านนี้ จะถูกไล่ออกไปทันที เขตปลอดยศ ปลอดฐานันดรศักดิ์”


ท่านชายรีบขัด “ยังกะใครอยากได้ยินงั้นแหละ กลับจากทำงานไม่ไปอาบน้ำอาบท่ารึ”


“ขวัญมาดูเพื่อนกับน้องช่วยตาทำงาน งานของสุภาพบุรุษคือทำบ้านให้น่าอยู่ ทำให้ทุกคนอยากกลับบ้าน ไม่ใช่ทำบ้านให้คนไม่อยากอยู่”


“ลูกขวัญอายเดชกับน้องชายบ้างสิลูก” เตยเตือนลูกสาวอย่างกลัดกลุ้ม นางไม่เข้าใจว่าไฉนคนที่เรียนเก่งอย่างลูกสาวนางจึงไม่รู้เลยว่าการนั่งกอดอกเถียงพ่อฉอดๆ ต่อหน้าคนนั้นเหมือนเด็กหกขวบ


แต่ขวัญชีวาก็คงนึกได้เมื่อทุกคนเงียบลง “ขอโทษนะคุณเดช เมฆ หมอก อิอิ รีบๆ ทำสิ วันนี้ไม่เอารถมาไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวขวัญไปส่งเอง คืนนี้ขอนอนคอนโดดีกว่า ไม่ค่อยอยากอยู่บ้านเท่าไหร่”


ท่านชายไม่สนคำประชดประชันลูกสาว ได้แต่แปลกใจที่ขวัญชีวาดูจะสนิทชายหนุ่มตรงหน้า เขาพิศดูใบหน้าชุ่มเหงื่อแล้วเห็นรอยแผลเป็นของเดช


“จมูกนายไปโดนอะไรมา”


หนุ่มกุมจมูกแล้วลังเลจะพูด เสียงขวัญชีวาตอบเสียเองคล่องแคล่ว
“ศิษย์เก่าช่างกล ยกพวกตีกัน ได้แผลและประสบการณ์ตามวัย !!!”


“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ครับท่าน !” เดชรีบปฏิเสธ


“ไม่ต้องอายน่า พ่อขวัญไม่ถือหรอกคุณเดช” ขวัญชีวารีบให้กำลังใจ “คุณรู้หรือเปล่าตอนพ่อขวัญอายุเท่าคุณ มีเมียมีลูกไปกี่คน ดังนั้นมีอะไรแมนๆ คุณต้องรีบอวด เดี๋ยวโดนข่มเสียงเชิงชายนา”


“คุณหญิงขวัญ !”
เดชหันไปทำหน้าดุๆ ใส่ ขวัญชีวาเลยทำหน้าเบื่อ ลุกขึ้นเดินหนีทุกคน
เมื่อธิดาสาวลับหายไป ท่านชายกลับมาพิศหน้าชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง



“ตกลงไปโดนอะไรมา ?”


เดชแน่ใจว่าขวัญชีวาไม่อยู่ให้เขาอายแล้วก็ยอมเล่าความจริง
“เอ่อ เมื่อสิบปีที่แล้ว มีปัญหาทะเลาะแย่งผู้หญิงกันครับ”


“อืม นายคงชนะสินะ”
“ครับ แต่กระผมได้แผลครับ”


“แผลน่าเกลียด ยังกะโดนหมอแกล้ง”
“ไม่ทราบว่าโดนแกล้งหรือไม่ แต่... คู่ชกผมกับหมอที่ทำแผลเป็นคนๆ เดียวกันครับ”


“นั่นปะไร ถึงว่า... มันคงกะให้เสียโฉม”


เตยรีบปลอบใจชายหนุ่ม เมื่อเห็นถูกท่านชายจ้องหน้าจนประหม่า “ไม่น่าเกลียดหรอกจ้ะเดช มันดึงดูดสายตาหน่อยเท่านั้นเอง จมูกเดชสวยจนหมออิจฉากระมัง ว่าแต่หมอคนนั้นทำงานที่ไหน จะได้บอกให้ผู้คนระวังไม่ไปเหยียบหางเขา”


“คง... อเมริกาครับ” เดชตอบอย่างไม่แน่ใจ


“เออ ดี สงสัยถูกยึดใบอนุญาตที่เมืองไทยแล้วแน่ๆ ป่านนี่อาจถูกฝรั่งกระทืบตายแล้วก็ได้” ท่านชายภัสกรเปรยเสร็จก็หันไปทอดเนตรพี่น้องฝาแฝดหน้าเหมือนกันยังกับแกะ ที่ยืนแอบหลังพี่ชาย “สองคนนี้ชื่ออะไร”


“ผมเป็นพี่ชื่อหมอก น้องชื่อเมฆ แม่ว่าห่างกัน 12 นาทีครับ เพราะหมอควานหาหัวเจ้าเมฆไม่เจอครับ”


“แล้วคนนอกแยกเราออกยังไงว่าคนไหนหมอกคนไหนเมฆ เหมือนกันขนาดนี้”


“ถามเราตรงๆ ง่ายที่สุดครับ เราจะบอก เราไม่โกหกครับ”


แฝดคนน้องตอบแล้วก้มหน้า
เตยหัวเราะ แต่ท่านชายโคลงเศียรอ่อนใจกับเรื่องใหม่ ที่ทั้งสามพี่น้องจับอุปกรณ์ทำงานด้วยมือซ้าย


“เฮ่อ แล้วนี่ทำไมถึงถนัดซ้ายกันทั้งสามพี่น้อง พ่อแม่ไม่ลองให้ใช้มือขวาบ้างหรือไง”


“พ่อกับแม่ก็... ถนัดซ้ายครับ” แฝดคนหนึ่งตอบอายๆ


เตยหัวเราะหนักกว่าเดิมประคองท่านชายเดินออกจากบ่อปลากลับเข้าบ้าน


ปล่อยให้ชายหนุ่มทรุดลงนั่งบนสนามอ่อนแรง เดชไม่อยากพูดถึงแผลเป็นบนจมูก แต่มันชัดเจนจนใครๆ ก็พากันถามเขาทั้งนั้น ส่วนน้องชายฝาแฝดมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมผู้คนถึงว่าพวกเขาเหมือนกันนัก พวกเขาดูกันเองกี่ทีๆ ก็ไม่เหมือนกันสักนิด



บ่อปลาสวยงามที่ออกแบบมาเป็นลำธารเทียมเล็กๆ ไหลคดเคี้ยว ตรงกลางเกาะมีน้ำพุและพุ่มไม้น้ำก็สำเร็จลุล่วง คนที่เคยมาช่วยก็หายไปกับหน้าที่การงาน ขวัญชีวาที่ไม่เคยนึกอยากค้างบ้านนักกลับเริ่มอยากกลับมายืนดูปลาตัวเล็กๆ ว่ายวนไปมาหลังเลิกงานทุกวัน


“ดูอะไร ยิ้มคนเดียว”
ตายายรู้ว่าหลานสาวชอบมาพักผ่อนหย่อนใจตรงนี้มากขึ้น


“สวยนะตา กลางคืนมีเสียงน้ำไหลเหมือนนอนอยู่ริมน้ำตก”


“ตายายก็ชอบใจ ต้องชมฝีมือเดช ทำไมขวัญไม่ชวนเขามาเลี้ยงขอบคุณสักครั้งล่ะ”


“คงไม่กล้ามาแล้วหรอก” เธอบุ้ยใบ้ไปทางบนเรือน “กลัวท่านชายภัสกรมั้ง”


“ฮ่าๆ ก็ขวัญไปแสดงออกชัดเจนว่าไม่ถูกกับพ่อ ถึงเดชไม่กลัวท่านชาย เดชก็อึดอัดไม่กล้ามาหรอก แต่ยังไงเราน่าจะเลี้ยงขอบใจเขากับน้องชายนะลูก ลองโทรชวนไปนัดดู ตากับยายพาไปเลี้ยงข้างนอกเองก็ได้ เผื่อมีงานอื่นต่อไปได้ไหว้วานกันอีก”


“คุณตาว่างั้นเหรอคะ แต่ไม่รู้เขากลับมาหรือยัง เห็นว่ามีรับเหมาต่างจังหวัดตั้งเดือนหนึ่ง”
“อ๋อ เดชก็เคยเล่าตา แต่ป่านนี้กลับมาแล้วมั้ง ก็ลองโทรดูสิ” ตาแนะนำง่ายๆ



ขวัญชีวารีบคว้าโทรศัพท์ เดินไปนั่งที่เก้าอี้ไม้บนศาลาที่แข่งงัดข้อกับเขาวันก่อน เสียงรับโทรศัพท์เป็นผู้หญิงเสียงหวานแหววชวนเธอเขม่นมองเบอร์ครั้งใหม่ แต่เสียงรับเรียกชื่อเธอ พร้อมอธิบายยาวเฟื้อยถึงเข้าใจว่าเบอร์ถูกต้อง


“สวัสดีค่ะ คุณขวัญชีวา ดิฉันอรนันท์ พนักงานของบริษัทณรงค์เดชการก่อสร้างค่ะ”


“เอ่อ... เบอร์นี้ เบอร์สำนักงาน ?”


“อ๋อ เบอร์ส่วนตัวค่ะ แต่คุณเดชติดธุระ เลยโอนมาให้ดิฉันรับแทนชั่วคราวหนึ่งสัปดาห์เพราะยังมีลูกค้าที่ติดต่องานผ่านเบอร์นี้ แต่หากเรื่องส่วนตัวรบกวนคุณขวัญชีวาโทรไปยังหมายเลขใหม่ ตอนนี้คุณดาราคงถือให้ค่ะ ไม่ทราบว่ามีเบอร์ใหม่คุณเดชหรือเปล่าคะ”


“แล้ว... คุณเดช เขาไปไหน ยังไม่กลับจากอยุธยาเหรอ”


“อ๋อ กลับจากอยุธยาหลายวันแล้วค่ะ แต่ติดงานเข้าพิธีพระราชทานปริญญาบัตรค่ะ”


“เหรอ ?” ขวัญชีวาเผลอขมวดคิ้วหน้ายุ่งโดยไม่ตั้งใจ


“ค่ะ กลับจากอยุธยาวันก่อนคุณเดชยังไม่ได้เข้าบริษัทเลยค่ะ หรือคุณขวัญชีวาจะฝากข้อความไว้ที่นี่ก็ได้ค่ะ”


ขวัญชีวาคงกลายเป็นคนมารยาทแย่ไปในสายตาของอรนันท์แน่ๆ เพราะเธอกดวางโทรศัพท์เอาเฉยๆ ไม่มีแม้แต่คำขอบคุณ เธอดูพื้นโต๊ะที่เคยงัดข้อกับเขาและมองไปยังบ่อปลานั่นอีกครั้ง แล้วพาลนึกไปถึงตัวเองวันรับปริญญามีเพื่อนมาแสดงความยินดีมากมาย ญาติห่างๆ ของแม่ยังเดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อแสดงความยินดีกับเธอพร้อมดอกไม้หรือไม่ก็ของขวัญ ยังเคยคิดว่าทำให้ญาติสิ้นเปลือง แต่ตอนนี้กลับสงสัยว่าทำไมเดชไม่บอกกันบ้างกับเรื่องแบบนี้



“... มีอะไร ติดต่อเดชไม่ได้เหรอลูก” ยายเดินเข้ามาถาม
“เลขาฯ เขา...บอกว่าเขาติด... ธุระ”


“ก็... ไว้ติดต่อวันอื่นสิจ๊ะ แล้วขวัญเป็นอะไร หน้าตาไม่ดี” ยายยกมือแตะหน้าผากหลานสาว “ว่าจะชวนไปเที่ยวร้านขายต้นไม้หน่อย จะซื้อพวกไม้น้ำกระถางมาปลูกเพิ่ม จะไปไหวมั้ยเนี่ย”


“ไม่เป็นไรค่ะ ขวัญไปได้ เดี๋ยวขวัญพาไปเอง”



ขวัญชีวาเก็บโทรศัพท์งงๆ กับเรื่องที่ได้ยินจากอรนันท์ แต่ครู่ต่อมาสองยายหลานไปช่วยเลือกต้นไม้กันอย่างเพลิดเพลิน  เดินชมพันธุ์ไม้แปลกๆ จนไปถึงพวกกระถางดอกไม้สวยงาม พบกลุ่มนักศึกษาคุยกันเรื่องงานรับปริญญาจากมหาวิทยาลัยเปิดใกล้ๆ เธอเกือบเดินผ่านแล้วแต่ได้ยินชื่อที่สาวๆ พวกนั้นพูดถึงเลยต้องทำทียืนชมกล้วยไม้แต่แอบเงี่ยหูฟัง


“วันนี้ได้ไปงานรับปริญญาเพื่อน เลยได้ถ่ายรูปกับพี่หิ่งห้อยด้วย อิอิ หล่อแต่ตัวดำเชียว ตอนพบที่งานหนังสือปีที่แล้วยังขาวๆ อยู่เลย แกบอกว่าทำงานกลางแดดน่ะ”


อีกคนรีบถามเร็วปรื๋อ “เออๆ แล้วแกมีเมียหรือยังล่ะ”


“ไม่นี่ หรือมีก็คงไม่มา เห็นแต่น้องชายกับพ่อแม่ ชั้นถามแกด้วยว่าทำไมไม่ค่อยเขียนนิยายอีก แกว่าศิษยาภิบาลไม่ปลื้มงานแกเท่าไหร่ แกเลยคงไม่กล้าเขียนแนวหื่นๆ อีก ฮ่าๆ พวกเราเลยอดอ่าน”


“อ้าว พี่แกเป็นคริสเตียนเหรอ แหม... เราก็ว่าไม่เห็นน่าเกลียดเลย มันนิยายโรแมนติกก็ต้องมีฉากพวกนั้น...”



สาวพวกนั้นเลยผ่านไปแล้ว ขวัญชีวาถึงเริ่มเข้าใจว่าหิ่งห้อยกลางวันคงเป็นเด็กหนุ่มคริสเตียนเพิ่งจบปริญญาตรี แต่แล้วเธอก็เริ่มหงุดหงิดอีกเมื่อคิดไปถึงคริสเตียนอีกคน งานรับปริญญาเป็นเรื่องน่ายินดี แต่กลับเก็บงำที่จะบอก ทั้งที่เขาเคยท้วงว่าเธอไม่เห็นเขาเป็นเพื่อน



โปรดติดตามตอนต่อไป :)









Create Date : 27 กันยายน 2553
Last Update : 27 กันยายน 2553 13:41:52 น. 1 comments
Counter : 485 Pageviews.

 
been waiting ka, come more often, could you please?


โดย: Olathe IP: 71.199.69.216 วันที่: 28 กันยายน 2553 เวลา:5:04:36 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ปลายเดือน กันยา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




นามปากกา ปลายเดือน กันยา
นิเทศศาสตร์ มสธ.

เขียนไปเรื่อยๆ เรื่องจริง เรื่องโกหก เขียนได้หมด
อ่านไปเรื่อยๆ เรื่องชาวบ้าน เรื่องจริง เรื่องโกหก ชอบหมด

อยู่ไปเรื่อยๆ ด้วย
Group Blog
 
<<
กันยายน 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
27 กันยายน 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ปลายเดือน กันยา's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.