ร้อยฝันเกี่ยวใจ... มาใส่รัก บทที่ 7 ขวัญเซ็งพ่อ ?! อาทิตย์นี้ไปโบสถ์กับบ้านตาเดชมั้ยจ๊ะ ?




ขวัญชีวาจอดรถหน้าบ้านตากับยาย แล้วเริ่มหงุดหงิดทันทีที่เห็นรถยุโรปสีดำของใครบางคน แม่เธอคงโทรชวนคนที่เธอไม่ค่อยอยากพบมาอีกแล้ว


“สุขสันต์วันเกิดจ้ะลูก” แม่แต่งหน้างามพร้อมสวมชุดราตรีสวยเรียบหรู หน้าตาสดใสอิ่มเอิบเหมือนดอกทานตะวันโดนแสง


เธอรู้ว่าแม่ทำตัวให้สวยเพื่อพ่อ เมื่อพ่อไม่สนแม่จะนั่งเศร้าอยู่หน้ากระจกไปทั้งคืน


“แม่ชวนพ่อมาทำไม ลูกไม่อยากพบ”


“ขวัญจ๋า แม่ไม่ได้ชวน พ่อเขาอยากมาเอง ตั้งแต่พ่อหายป่วย พ่อโทรมาคุยเรื่องลูกตลอด”


ขวัญชีวาจำต้องเดินตามแม่เข้าไปในบ้าน เธอพบพ่อครั้งสุดท้ายเมื่อสามปีที่แล้ว


“สวัสดี... ค่ะ” เธอยกมือไหว้แล้วนั่งนิ่งๆ


ม.จ. ภัสกร ภานุกุลรังษิยา รับไหว้ธิดาสาวแล้วตรัสถามเรื่องงาน “การงานดีมั้ยล่ะ ทำไมไม่เปิดคลีนิค”


“ทำสองโรงพยาบาลแบบนี้ก็ได้แล้ว ขี้เกียจเปิดคลีนิค ต้องรับผิดชอบอะไรหลายอย่าง”


“พ่อให้คนช่วยได้ หรือจะไปเรียนต่อเฉพาะทางที่เมืองนอก ?”


“ไม่... ขวัญอยากรออีกสักพัก”


เธอแทนตัวเองกับแม่ว่าลูก แต่ไม่เคยใช้คำนี้กับพ่อ


ท่านชายทอดเนตรมองธิดาสาวหัวจรดเท้า “มีฟงมีแฟนบ้างหรือยัง ไม่มีหมอหนุ่มๆ มาเวียนบ้างรึ”


“ขวัญชอบผู้หญิง พ่อจะให้แต่งเป็นงานเป็นการมั้ยล่ะ”


“เลิกเรียกร้องความสนใจแบบนั้นได้แล้ว อายุก็มาก ยังทำตัวให้อายคนอยู่ได้”


ขวัญชีวาไม่ควบคุมอารมณ์ตามเคย “พ่ออายก็ลืมขวัญซะ ขวัญเคยอยากเป็นลูกพ่อเมื่อไหร่กันอายจะตายไปไหนมาไหนก็มีคนรู้หมดว่าลูกเมียน้อย”



แม่ก็เริ่มทำสีหน้าเหมือนทุกอย่างเป็นความผิดตัวเอง “ขวัญจ๋า ใจเย็นๆ อย่าพูดกับพ่อแบบนั้นสิลูก ท่านน้อยขา... เตยว่าเราไปรับอาหารเย็นกันได้แล้วมังคะ”


“อืม ไป ไหนแม่เตยพาฉันไปดูซิ มีอะไรกินบ้าง”


ขวัญชีวาไม่นึกหิวขึ้นมาทันควัน แต่มองหน้าแหยๆ ของแม่แล้วเริ่มสงสาร ถ้าเธอไม่นั่งอยู่แม่จะใช้คำราชาศัพท์ที่เหมาะสมกับพ่อเสมอ แต่หากแม่พูดด้วยคำพวกนั้นต่อหน้าเมื่อไหร่เธอจะหนีกลับทันที ไม่มีแม้แต่คำว่าคุณ


ท่านชายประทับยืนเองยังไม่คล่อง แต่ธิดากลับมองอย่างเฉยชา ปล่อยให้แม่เข้าไปประคองเองด้วยความยินดีและรอยยิ้มเต็มใจพาไปห้องอาหารที่ยายกับตานั่งรออยู่ ตายายไม่เคยยุ่งหรือออกความคิดเห็นเรื่องลูกเขย น้าสาวเธอช่วยแกะยาให้ แม่ก็จัดที่ให้นั่งเหมือนพ่อเป็นพระราชา แม่เป็นข้าทาส และพ่อมักวิจารณ์รูปร่างหน้าตาเธอมาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้


“กินเข้าไปให้มันเยอะๆ เป็นผู้หญิงประสาอะไรเนื้อหนังไม่มี สูงโด่ ขาวซูบซีดแล้วยังผอมอีกเหมือนตัวอะไร”


ขวัญชีวาตอบอย่างท้าทาย “ก็ถึงไม่อยากเป็นหญิงไง เป็นผู้หญิงยากตายห่า”


น้ำเสียงกระชากและคำหยาบจนตายายมองหน้ากันอย่างไม่ตั้งใจ
แม่พยายามหนักที่จะเปลี่ยนเรื่อง “แต่ขวัญแข็งแรงนะคะท่านน้อย”


“แม่เตยจะอ้างแข็งแรงเพราะลูกไปเดินท่องป่าท่องดงได้อีกละสิ ไม่รู้หรือว่าลูกสาวเรา ไปขับรถตกเขาเมื่อสามสี่เดือนที่แล้วที่มาเลเซียน่ะ”


แม่หน้าซีดเผือดหันขวับมาถามทันที “จริงเหรอลูก”


“ก็มันเรื่องของขวัญ ! มันเป็นอุบัติเหตุ ทำไมพ่อต้องเอาเรื่องนี้มาฟ้องให้แม่ไม่สบายใจ...!? เอาล่ะๆ ขวัญกลับก็ได้ ลืมๆ ไปซะว่าวันนี้วันนี้วันเกิดขวัญ แก่ป่านนี้แล้วไม่รู้ทำไมต้องจัดวันเกิด ไปเที่ยวกับเพื่อนดีกว่า”


ขวัญชีวาวางช้อน แล้วลุกขึ้นยืน เดินออกจากห้องอาหารท่ามกลางความเครียดทุกคน



“ขวัญชีวา กลับมา !” สุรเสียงตะโกนของท่านชายดังขึ้น แต่เธอไม่หยุด ก้าวยาวๆ สองสามทีไม่กี่ทีก็ถึงรถ


แม่ต้องวิ่งมายื้อไว้ทั้งน้ำตา “ขวัญจ๋า อยู่ให้เสร็จอาหารมื้อค่ำแล้วเป่าเค้กก่อน นะลูกนะ”


“แม่... แม่ให้ขวัญกลับเถอะ ขวัญไม่ชอบพ่อ ! คุยกับพ่อแล้วลูกยิ่งเกลียด แม่ดูสิ เขาไม่เคยมาใยดีกับลูกคนนี้สักครั้ง เจอกันก็ไม่เคยพูดดีๆ กับลูก ว่าลูกผอมเหมือนตัวเปรต ว่าลูกทำตัวประหลาด พ่อที่ไหนเขาติลูกสาวตัวเองแบบนั้น เขาไม่ได้รักขวัญสักนิด”


“พ่อคงไม่ได้หมายความอย่างนั้น พ่อ... ชอบพูดเล่นจ้ะ”


“เราไม่สนิทขนาดพูดเล่นกันได้” ขวัญชีวาเถียงแม่ “ถ้าลูกกับเขาอยู่ห่างๆ กัน ลูกอาจรู้สึกดีกับเขาก็ได้นะแม่ ชีวิตแม่ก็เหมือนกัน แม่ถอยห่างมาแล้วมีชีวิตใหม่กับคนทีดีๆ ที่รักและเอาใจใส่มากกว่านี้ไม่ดีกว่าเหรอแม่ ปีนึงแม่ได้พบพ่อกี่ครั้งเองเราอยู่กันได้โดยไม่ต้องมีเขา”


แต่ไม่ทันที่แม่จะพูดอะไร เสียงพ่อมายืนแอบฟังตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ดังขึ้น
“ขอคุยกับลูกหน่อยสิ แม่เตย”


แต่ขวัญชีวาปฏิเสธ “ไม่คุย ขวัญไม่ชอบพ่อ พ่อก็ไม่ชอบขวัญ เราอยู่ห่างๆ กันดีแล้ว”


เธอจะขึ้นรถท่าเดียว แต่ท่านชายชราเขยกไม้เท้าไปยืนหน้ารถ


“งั้นก็ชนให้พ่อตายก่อนแล้วค่อยไป”


เธอถึงยอมสงบ แต่เสียงพ่อเธอไล่แม่เข้าบ้านชวนให้เธออยากเป็นโสดจนตาย มันยุคไหนแล้วถึงยังมีผู้หญิงยอมผู้ชายได้อย่างแม่เธอ แต่พ่อก็ยังยืนอยู่ตรงนั้น


“เกลียดพ่อนักเอาตอนไหน”
“อย่าไปสนใจอดีต เอาเป็นว่าเมื่อกี๊ขวัญขอโทษแล้วกัน แต่ต่อไปไม่จำเป็นเราก็อย่าพบกันเลย”


“บอกมา ว่าเริ่มเกลียดเอาตอนไหน”


“พ่อนี่ติดนิสัยบังคับชาวบ้านนะ แต่อยากรู้ก็จะบอก ก็ตั้งแต่จำความได้ มีอยู่สองครั้งที่ทำให้ขวัญหาข้อดีของพ่อไม่เจอคือตอนก่อนเข้าอนุบาล ไม่รู้วันเกิดแม่หรือวันเกิดขวัญ เราสองคนแต่งตัวสวยรอพ่อตั้งแต่เช้า ขวัญไม่เล่นทั้งวันเพราะกลัวชุดสกปรก แต่พ่อก็ไม่มาแม้แต่เงา... ตอนดึกๆ แม่นั่งร้องไห้เหมือนคนบ้า”



“ความจำดีเยี่ยม... แล้ว... อีกครั้งตอนไหน”


“ตอนงานบ้าบออะไรไม่รู้ที่บ้านย่า เราสองคนอุตส่าห์ทำตัวลีบๆ ไม่ให้ใครเห็น แต่พ่อก็เรียกขวัญไปให้ใครดูไม่รู้แล้วบอกว่าขวัญผอมแห้งเหมือนลูกแมววัดอดอยาก ญาติพ่อก็หันมาว่าแม่เลี้ยงขวัญไม่ดี แม่ก็กลับมานั่งหน้าเศร้าโทษตัวเอง”



เธอพูดไปแล้วถึงคิดได้ว่าเสียท่าแค่ไหนที่เอาเรื่องในอดีตมาตั้งแง่ แต่ยังหวังริบหรี่ว่าพ่อจะขอโทษต่อสิ่งที่เคยทำร้ายจิตใจกัน แต่เขากลับไม่ทำเช่นนั้น



พ่อแค่ทำเสียงปลงๆ “เรื่องมันกี่ชาติมาแล้ว แต่คนเราถ้ามัวอยู่กับอดีต ก็ไปไม่ถึงไหน”


“ครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาพ่อก็เพิ่งว่าขวัญผอมเหมือน... นั่นมันก็อดีตเหรอพ่อ งั้นขวัญก็ทำถูกแล้วที่ตัดพ่อไปเลยตั้งแต่ตอนนั้น จะได้ไม่เอาอดีตมาบั่นทอนจิตใจ”



“ลูกพ่อเก่งเสมอ งั้นพ่อขอมาอยู่ที่นี่ด้วยคนแล้วกัน”
“ไม่ให้อยู่ !”
“จะอยู่ !”


แต่เสียงแม่มาขัดการโต้เถียง “ขวัญจ๋า ไปเป่าเค้กเถอะนะ ตายายอุตส่าห์ทำไว้ให้ นะลูกนะ...”


“ก็ได้ค่ะ ลูกนี่แย่จัง ลืมเกรงใจตายาย หนูไปขอโทษตายายหน่อยดีกว่า”


เธอวิ่งเข้าบ้านปล่อยให้แม่ประคองพ่อตามหลัง ตายายยืนยิ้มรออยู่ข้างโต๊ะขนมเค้ก น้าสาวไปชวนเด็กข้างบ้านมาสามคน คงหวังช่วยลดสถานการณ์ร้อนภายในบ้าน พอจุดเทียนเสร็จเด็กสามคนก็ร้องเพลงสนั่นหวั่นไหว เธออดหมั่นไส้พ่อไม่ได้ที่ร้องเสียงดังแข่งกับเด็กเหมือนประชดเธอ



และเพลงจบพ่อก็ยอมรับว่าประชด “ร้องดังๆ ให้สมกับที่ไม่เคยร้องมา 27 ปี !”


เธอเป่าเค้กเสร็จแม่มากอดและหอมแก้ม แล้วช่วยตัดเค้กให้ตายายก่อนใครแล้วตามด้วยแม่ แต่เหมือนพ่อคงรู้ว่าลูกไม่ยกให้แน่จึงเขยกมาหยิบเค้กไปเอง


“ขวัญนอนนี่นะลูก พ่ออยู่ แม่อยากให้ลูกอยู่ด้วย”


ขวัญชีวาไม่เข้าใจแม่เลยสักนิด เพราะตั้งแต่จำความได้ แม่ได้แต่ยิ้มเศร้าเคล้าน้ำตากับพ่อตลอดมา ตายายก็ปล่อยเลยตามเลยทั้งที่เคยรู้ดีว่าลูกเขยผู้ดีคนนี้ทำให้ลูกสาวช้ำใจมาขนาดไหน เธออยากไล่พ่อกลับ แต่เมื่อพิศหน้าแม่อีกครั้งด้วยความสนเท่ห์กับใบหน้าแม่ที่กำลังมีความสุขเหมือนต้นไม้ได้ปุ๋ยและนั่งกอดแขนพ่อไม่ยอมห่างห่าง แล้วเธอเริ่มอ่อนเสียง


“ก็ได้ค่ะแม่ แต่พรุ่งนี้หนูมีนัดคนไข้ตั้งแต่เช้า ต้องออกจากบ้านเร็ว”


“จ้ะ งั้น... แกะของขวัญเลยนะลูก แม่อยากรู้ลูกถูกใจหรือเปล่า”


สายตาเปี่ยมไปด้วยความสุขของแม่ ชวนให้เธอยอมตามใจ แกะของขวัญต่อหน้าทุกคน เธอได้หมวกแก๊บจากน้าสาว กางเกงเดินป่าจากตายาย แม่ให้นาฬิกาข้อมือที่ใช้ได้ทั้งผู้หญิงผู้ชาย


ขวัญชีวากอดแม่ “ถูกใจลูกหมดเลย”


“แล้ว... ของพ่อล่ะลูก” แม่ยื่นกล่องให้พร้อมรอยยิ้มอ้อนลูกสาว


ขวัญชีวาแกะดูอย่างเสียไม่ได้ เธอทายว่ามันต้องเป็นของดีมีราคาแต่ไม่น่าประทับใจตามเคย และมันก็จริง มันเป็นแหวนเพชรวงเล็กๆ พ่อเอาของแพงให้ลูกสาวเสมอ แต่เธอเคยสวมแหวนซะที่ไหน น้าสาวร้องอู้หูเมื่อเห็นแสงวิบวับ


แม่รีบคว้าไปดูด้วยความชื่นชม


“ท่านน้อยซื้อแหวนได้เหมาะกับมือเรียวๆ ของลูกสาวเรามาก มา... ลูกขวัญ... แม่สวมให้”


ขวัญชีวาหดมือหนี “พวกหมอฟันเขาไม่สวมกันหรอกแม่ มันเกะกะมือ เกิดหล่นเข้าปากคนไข้แล้วทำไง”


ท่านชายทรงขัดคอทันทีเช่นกัน “เขาไม่สวมถุงมือกทำงานกันรึไง”


“ไม่เอาล่ะ ฝากแม่เก็บแล้วกัน หนูยากจนเมื่อไหร่จะมาขอไปขาย เฮ่อ ทอมที่ไหนสวมแหวนเพชรกัน ? หนูไปนอนแล้วค่ะ” เธอประนมมือไหว้ทุกคน แล้วหอบของขวัญทุกคนขึ้นมาแนบอก ยกเว้นแหวนเพชร ! “เอาของไปเก็บที่รถก่อนดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ลืม”


แม่ยังตามมากระซิบอ้อนวอน “ลูกขวัญไปกอดพ่อหน่อยสิ นะๆ ลูกเคยอยากกอดพ่อนี่นา”


“โอ๊ย นั่นมันสิบชาติที่แล้ว ตอนนี่ไม่แล้ว”


เสียงพ่อเอ่ยขึ้นเหมือนรู้ว่าแม่ลูกคุยอะไรกัน “พอเถอะแม่เตย ใครมันจะอยากกอดคนแก่”


เธอตอบแม่แต่มองหน้าพ่อ “ไม่ค่ะ ลูกไม่กล้ากอดผู้ชายคนไหนหรอกชาตินี้ ผอมสูงโด่ มีแต่กระดูกแบบนี้ กอดไปก็โดนว่า”



นอกบ้านอากาศเย็น... ขวัญชีวายืนรอ... จนใจสงบลงจึงเดินไปหารถที่จอดอยู่ใต้โคนลั่นทม ดอกสีขาวๆ ที่ระร่วงลงบนหลังคารถดึงดูสายตาให้แตะต้องมัน คว้ามาดูดอกหนึ่งลูบกลีบหอมอ่อนๆ อยู่ครู่เดียวก็วางลงด้วยความงุนงงว่าตัวเองนึกชอบดอกลั่นทมเอาตอนไหน เธอเปิดประตูรถเอาของขวัญวางเบาะหลัง แล้วหยิบ ‘ขวัญชีวา’ กับ ‘ซิลเวีย’ ที่ตั้งใจอ่านต่อคืนนี้ติดมือมา



ปัดๆ ดอกลั่นทมบนหลังคารถออกแล้วเดินกลับเข้าบ้าน ทุกคนคงแยกย้ายกันเข้านอนแล้ว แต่มีแสงเทียนวอมแวมมาจากห้องนั่งเล่น เธอเดาว่าคงเป็นแม่ผู้แสนโรแมนติกและบางทีก็ช่างเพ้อฝันจนแทบไม่อยู่บนความจริง แม่หลงรักท่านชายภัสกรตั้งแต่ได้ยินชื่อ เธอจะเดินหันหลังกลับแต่เสียงหัวเราะดังๆ ของพ่อทำให้เธออยากรู้



เธอไปยืนหน้าประตู ภาวนาว่าให้พวกเขาคุยอะไรกันก็ได้ที่ไม่ใช่เรื่องลูก เห็นแม่กำลังถอดถุงเท้าให้พ่อแล้วนวดขาให้อย่างมีความสุข ในขณะที่พ่อแม้จะลูบผมแม่ แต่ก็ไม่พ้นบ่น


“เฮ่อ มีลูกสาวเป็นตั้งทันตแพทย์ แต่มันยังคิดเหมือนเด็กสิบขวบ พูดเรื่องงานวันเกิด เมื่อชาติไหนไม่รู้”


“เตยขอโทษค่ะ เตยเลี้ยงลูกไม่เก่ง”


“โอ๊ย แม่เตยเลี้ยงจนเก่งเกินสิไม่ว่า”


แม่ถึงกับซบหัวเข่าพ่อด้วยความปลื้มใจ “ท่านอย่าว่าลูกนักสิคะ เมื่อหัวค่ำลูกน้อยใจที่โดนว่าผอมเหมือน... เอ่อ... เหมือน...”


“เหมือนเปรต !? ฉันไม่ได้ว่ามันสักหน่อย มันนั่นแหละคิดไปเอง แต่จะว่าไป... มันก็สูงเหมือนตัวเปรตจริงๆ ฮ่าๆ เห็นแขนมันมั้ยล่ะ ข้างเดียวยาวสองวา ฉันเกือบแกล้งใช้ให้มันหยิบมะนาว ฮ่าๆ”


ขวัญชีวากอดอก ข่มอารมณ์ฟังพ่อกำลังว่าเธอเหมือนแม่นาคพระโขนงยื่นมือหยิบมะนาวใต้ถุนเรือนได้ รอฟังแม่ติพ่อให้ แต่แม่กลับแค่หัวเราะแล้วตีหัวเข่าพ่อเบาๆ แถมพ่อยังบ่นไปถึงผู้หญิงคนอื่นๆ


“สมัยนี้สาวๆ ก็ผอมกันเหลือเกิน นางสาวไทยงี้ไหงปลาร้าโผล่สองคืบ”


แม่เธอหัวเราะขำ “ลูกขวัญไม่ได้สนใจเรื่องอ้วนผอมสักหน่อยค่ะ เห็นบ่นอยากอ้วนเพราะอยากแบกเป้หนักๆ เดินป่า”


“เฮ่อ ดูเหตุผลมัน แต่มันคงไม่อ้วน มันก็ผอมเหมือนย่ามัน”


พ่อเงียบไปอึดใจหนึ่ง แล้วบ่นต่อเรื่องย่า


“พูดถึงแม่ ฉันยังเจ็บใจมัน วันเกิดมันมีอีกตั้งหลายสิบปี เราขาดหน่อยมันเก็บมาแค้น แต่แม่ฉันตายครั้งเดียวในชีวิต มันไม่โผล่หัวไป ฉันยังไม่เคยว่ามันเลย ตอนแม่ป่วยก็ถามถึงแต่หมอขวัญๆ ยัยหลานเอาแต่ใจไม่เคยหันแล แหวนเพชรนั่นน่ะ ของย่ามัน แม่เตยไปบอกด้วย แต่ระวังมันจะโยนทิ้งล่ะ”


ขวัญชีวาถึงเริ่มรู้ตัวว่าเคยทำตัวแย่ได้สะใจจริง ตอนนั้นเธอนึกว่าไม่มีใครสนใจใครเป็นใครในงานพิธีพระราชทานเพลิงศพเท่านั้นเอง เธอน่าจะไปขอโทษสักนิด แต่ความถือดียังคงอยู่ และรู้ว่าแม่จะขอโทษแทนชาวโลกทุกคนตามเคย


“เตยขอโทษค่ะ เตยพูดกับลูกไม่เป็นเอง”


“เฮ่อ เราเลิกพูดถึงคนไม่รักเราดีกว่า แม่เตยขึ้นมานั่งนี่ เกิดหมอฟันที่ไหนมาเห็นเข้า ก็มาเฉ่งว่าฉันทำเหมือนแม่เตยเป็นทาสอีก”


แม่เธอไม่ยอมขยับ กลับฟุบลงบนตักพ่อ “ก็เตยชอบนั่งอย่างนี้นี่คะ”


“เฮ่อ ทำไมลูกสาวเราไม่เหมือนแม่มันซะเลย”


ขวัญชีวายื่นจ้องพ่อที่นั่งเขี่ยเส้นผมของแม่บนหน้าตัก แต่หูยังเงี่ยฟัง


“ลูกขวัญนิสัยเหมือนใครไม่รู้ค่ะ มักพูดหรือทำอะไรโดยไม่คิดถึงจิตใจคนอื่น”


“แม่เตยแขวะฉันนี่ ฮ่าๆ แล้วยังยอมให้คนแก่คนนี้มาอยู่ด้วยแน่จริงรึ”


แม่ขยับขึ้นไปนั่งตักแล้วโอบกอดพ่ออย่างระวัง “ยินดีสิคะ เตยรักและอยากอยู่ใกล้ๆ ท่านน้อย”


ขวัญชีวาเห็นกริยาแม่แล้วหวนคิดถึงต้นหลิวกับใบตาล พวกเขาสวยอ่อนหวานช่างออดอ้อนเหมือนๆ กัน เธอเคยคิดว่าผู้หญิงทุกคนไม่ควรเป็นแบบนี้ แต่บ่อยครั้งที่นึกอิจฉาที่เธอทำกริยาแบบนี้ไม่ลง เธอรีบถอยออกมาจากประตูห้องนั่งเล่นแล้วเดินกลับห้อง... ดูเตียงนอนเล็กๆ ที่นอนมาตั้งแต่ห้าขวบ เธอไม่ยอมเปลี่ยนเตียงแม้ขาจะยาวเลยพ้น จนตายายต้องให้ช่างไม้มาต่อเตียงให้ยาวขึ้น เธอไปยืนหน้ากระจก ดูหน้าผู้หญิงที่แม้แต่แม่ก็เห็นด้วยว่า


‘มักพูดหรือทำอะไรโดยไม่คิดถึงจิตใจคนอื่น’


มันคงจะจริง...



เธอจะอาบน้ำแต่เห็นรูปร่างผู้หญิงบนขวดสบู่อาบน้ำแล้วชวนให้พิจารณาตัวเอง เธอถอดเสื้อผ้าดูหน้ากระจก เหมือนที่เคยทำตอนแอบสำรวจตัวเองตอนอายุสิบหก แต่วันนี้เธอจ้องรูปร่างของตัวเองนานกว่าเดิมแล้วหวนคิดไปถึงคืนนั้น คืนที่เธอทำไม่สนใจ แล้วปล่อยให้ผู้ชายแปลกหน้ากอด เธอนึกอยากรู้ว่าเขากอดแก้หนาวไปงั้นๆ หรือว่าเผลอกอดเพราะเห็นเธอเป็นผู้หญิง


“เฮ่อ หนาวขนาดนั้น กับหมาขี้เรื้อน ใครๆ ก็ยอมกอด ฮ่าฮ่า”


ขวัญชีวาสลัดความคิดทุกอย่างวิ่งไปอาบน้ำ แล้วกลับมานอนอ่านหนังสือ หยิบ ‘ขวัญชีวา’ ขึ้นมาดู บางทีอาจมีใครบางคนเห็นเธอและเขียนหนังสือเล่มนี้เพื่อเธอจริงๆ ก็ได้


“ขวัญเอย ขวัญชีวา...”


เธอหาวหวอด มั่นใจว่าหิ่งห้อยคงไปเจอเด็กสาวอายุน้อยจนจีบไม่ได้มาแน่ๆ หยิบซิลเวียมาดูแทนด้วยความขบขันเพราะคนเขียนคนเดียวกัน แต่อารมณ์และการพรรณนาช่างต่างกันลิบลับ


“โอ้ย หิ่งห้อยเอ๊ย ทีกะยัยซิลเวีย ไม่กี่วันก็โจนใส่ กะขวัญชีวาได้พร่ำเพ้อบ้าบอ อย่างนี้ก็อดสิเอ็ง ฮ่าๆ”



ขวัญชีวาจะเดินไปถึงรถอยู่แล้ว ถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าโทรศัพท์มีข้อความจากหมายเลขใหม่ตั้งแต่เมื่อคืนกลางดึก “หายชาแล้ว ไม่ค่อยเจ็บ แต่มันเหมือนมีเสียงตึงๆ ในหู จาก... เดช”


เธออยากโทรหาเขาขึ้นมาทันที แต่พอจะโทรก็สับสนว่าทำไมต้องทำแบบนี้ เธอไม่เห็นต้องโทรหาคนไข้คนไหนสักราย เลยเลิกใส่ใจแล้วเดินไปที่รถ


“ขวัญจ๋า ดื่มอะไรก่อนหน่อยมั้ย”


เสียงแม่ทักทายยามเช้ามาจากซุ้มดอกไม้หลังบ้าน แม่คงประคองพ่อมาเดินออกกำลังกายตอนเช้า ยิ้มแย้มเหมือนเด็กเพิ่งพลัดหลงพ่อแม่แล้วมาพบเจอกันใหม่ พ่อคงจะมาอยู่ที่นี่แล้วจริงๆ ขวัญชีวาปฏิเสธอาหารเช้า


“ลูกไปหาอะไรกินแถวโรงพยาบาลเลยดีกว่า ออกช้ารถติด”
“ขวัญจ๋า พูดกับพ่อหน่อย”
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “สวัสดี ท่านชายภัสกร”


“สวัสดี คุณหญิงขวัญชีวา ตั้งใจทำงานนะ”


แม่หัวเราะอย่างมีความสุขที่เห็นพ่อล้อเลียนเธอ ขวัญชีวารีบไหว้แล้วเดินขึ้นรถทันที ตอนผ่านอาคารก่อสร้างก่อนขึ้นถนนสายหลัก เธอยอมคว้าโทรศัพท์อีกครั้งเพื่อโทรหาเดช ถึงมันจะยังไม่หกโมง แต่เขาก็น่าจะตื่นแล้ว


“สวัสดี มิสเตอร์ปีเตอร์สัน ยังมีคนตีกลองในหูหรือเปล่า ?”
“เอ่อ เสียงมันเริ่มแผ่วๆ แล้วล่ะ ขอบคุณครับที่โทรมา”


“ไม่เป็นไร ครบสองอาทิตย์ก็แวะไปอ้าปากให้ดูหน่อยแล้วกัน อ่อ... แต่หากไม่เป็นอะไรก็ไม่ต้องไป”


เธอไม่รู้จะคุยอะไรต่อเลยวาง คิดว่าตัวเองคงเป็นหมอฟันหน้าเลือดที่อยากได้เงินคนไข้ไปแล้วแน่ๆ เพราะจู่ๆ ก็นึกอยากให้เดชปวดแผลแล้วมาหาเธอก่อนสองอาทิตย์นั้น



ครบสองสัปดาห์ฟันเดชเริ่มหายและกลับสู่สภาพปกติ ตามที่ขวัญชีวาบอกไว้หากไม่มีปัญหาอะไรเขาไม่จำเป็นต้องไปตามนัด แต่ร่องรอยเป็นหลุมของฟันซี่ที่ถอนไปชวนกังวล ไม่รู้ว่ามันจะปกติหรือไม่ เขาหยิบบัตรนัดพบหมอฟันอย่างไม่แน่ใจ แต่เหลือบมองปกหนังสือที่เธอให้มาแล้วตัดสินใจทันควันว่าจะต้องไปตามนัดให้ได้


เขาต้องไปตามนัดวันศุกร์ แต่เพราะติดธุระเลยเลื่อนไปวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันที่เขาเพิ่งรู้ว่าแผนกทันตกรรมยังเต็มไปด้วยคนไข้ เขายื่นบัตรนัดแล้วมานั่งรอ ป้ายชื่อหน้าห้องไม่เป็นขวัญชีวา คงมีการแลกเปลี่ยนเวรกัน เขาเสียดายที่อดพบเธออีก


“พี่หิ่งห้อย มาทำอะไรที่นี่” เสียงสาวๆ ในชุดนักศึกษาซึ่งคงมาฝึกงานในโรงพยาบาลสี่ห้าคนทักขึ้นดังๆ ด้วยความตื่นเต้นจนคนหันมองกันเป็นแถบ


“มาหาหมอฟันครับ”
“ทำไมพี่ไม่เขียนนิยายเล่มใหม่ล่ะคะ กลอนนั่นก็บางนิดเดียว พวกหนูรออยู่ อิอิ”
“พี่ยุ่งน่ะ ทั้งทำงานประจำ งานบริษัทเอง”
“พี่หิ่งห้อยเก่งจัง” สาวทำท่าปลื้มอกปลื้มใจ จะถามโน่นถามนี่อีกเสียงดังขรม โชคดีที่เจ้าหน้าที่เรียกเขา


เขาเดินเข้าห้องตรวจ และเป็นดังคาด เขาพบทันตแพทย์สมภพ ไม่ใช่ขวัญชีวา แต่เจ้าหน้าที่จำหน้าและนามสกุลฝรั่งของเขาได้จึงถามพร้อมรอยยิ้ม


“อ้าว คนนี้ของหมอขวัญนี่นา”
“ผมเลื่อนนัดเองครับ เมื่อวานไม่ว่าง”


“อ่อๆ” หมอสมภพอ่านชาร์ทและดูฟันเขาแป๊บเดียวก็ไขข้อข้องใจเขา “อ่า แผลเรียบรอยดี ส่วนไอ้หลุมจากแผลถอนนั่น ปกติ คงอีกสักพักกว่ามันจะตื้นลง ส่วนใหญ่เราถึงแนะนำให้ผ่ามากกว่าถอนไงครับ แผลสวยกว่า... แล้วจะนัดถอนฟันกรามอีกด้านเลยมั้ยล่ะ”



เดชปฏิเสธทันที ลุกออกจากเก้าอี้ทำฟันขาสั่นๆ เพราะดูมือหมอสมภพจะไม่เบามือเท่าขวัญชีวา หมอยังมีน้ำใจแนะนำอาจเพราะคิดว่าเขาเป็นญาติเธอจริงๆ


“จะไปหาหมอขวัญหรือเปล่า อยู่ห้องประชุมน่ะ เดินออกไปเลี้ยวซ้ายและซ้ายอีกที ตรงไปก็เจอ”


เดชออกมาจากห้องแล้ว ตัดสินใจเดินตามที่ได้ยิน เขาเดินดูด้านข้าง จนเกือบชนกับขวัญชีวาที่เดินอ่านเอกสารออกมาหน้ามุ่ย


“อ้าว นึกว่าไม่เป็นไร เลยไม่มาตามนัดแล้ว ฟันเป็นอะไรหรือเปล่า”


“ก็นิดหน่อยน่ะ แต่หมอสมภพบอกว่าปกติ คุณประชุมเครียดเหรอ”


“อืม แต่ไม่ใช่เรื่องงานหรอก ทะเลาะกับหมอยิ่งยศน่ะ มันแซวขวัญต่อหน้าคนอื่นอยู่ได้ ทำจีบกันเหมือนเด็กๆ แน่ะ”


“โดนหมอผู้ชาย... จีบ ?”


“ใช่ ตลกตายห่า”


เขาสงสัยว่าขวัญชีวาจะติดคำว่า ‘ตายห่า’ เพราะได้ยินเธอพูดหลายครั้งเต็มที


“คุณน่า... จะภูมิใจ ไม่ใช่รึ” แต่ที่แน่ๆ เขาหัวเราะไม่ออก


“โอ๊ย ก็อยากภูมิใจหรอก แต่ตาหมอยิ่งยศนั่นมันเต็มบาทซะเมื่อไหร่” ขวัญชีวาถามเรื่องฟันเขาอีกที และยังให้เขาอ้าปากให้ดูเหมือนตอนอยู่ในป่าไม่ผิดเพี้ยน “อืม เดี๋ยวอีกสักพัก มันก็หายดี แล้วก็หาเวลามาถอนฟันกรามอีกด้านทิ้งซะด้วย หรือพรุ่งนี้เลย ? มาสิ... ขูดหินปูนให้ฟรี ฮ่าๆ”



“มะ...ไม่ครับ ผมไม่ว่าง”


“แหม ตาขาวจริงๆ แล้วนี่ว่างหรือเปล่า ไปดื่มกาแฟกันมั้ย” เมื่อเขาพยักหน้า เธอชี้ให้เขาเดินไปมุมร้านกาแฟเล็กๆ ของโรงพยาบาล สั่งกาแฟให้เขาและตัวเอง “เมื่อวานไปไหน ทำไม่มา”


“ก็มีเรื่องที่บลูเอิร์ธน่ะ”


“เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่งานยืดเยื้อเกือบสี่เดือน”


“เฮ้ย แล้วมันความผิดคุณเหรอ ฝนตกหนักนี่นา โครงการหมอธเนศต้องเลื่อนไปตั้งอีกปี”


“ก็ทำเขาเปลืองเงินก้อนใหญ่น่ะ แล้ว...มันมีเรื่องอื่นด้วย มีคนกล่าวหาว่าผมแย่งลูกค้าของบลูเอิร์ธไปเข้าบริษัทตัวเอง นายใหญ่เรียกไปคุย”


“แล้ว... คุณทำจริงรึเปล่า” ขวัญชีวากระซิบถามตื่นเต้น


เดชส่ายหน้า ปฏิเสธเสียงดังพอตัว “ไม่มีทางครับ บลูเอิร์ธเขามีแต่งานช้าง ผมทำบ้านให้ปลวกให้มดเท่านั้นเอง แย่งได้ยังล่ะ คุณขวัญก็...”


“อ๊าว ก็ถามไปงั้น สมัยนี้เงินไม่เข้าใครออกใคร” ขวัญชีวาจิ้มขนมเค้กเข้าปากเคี้ยวหยับๆ “แล้ว... คุณทำไง”


“ลาออกละ...”


“เฮ้ย ยังงี้ก็เข้าทางพวกกลั่นแกล้งสิ เหมือนคุณหนีปัญหา”


“แล้วแต่พวกเขาจะคิด ผมไม่แคร์ พระเจ้ารู้ดีใครเป็นเช่นไร” เขาบอกอย่างมั่นใจในความดีของตนเอง “ผมออกมาทำงานของตัวเองให้สิ้นเรื่องไปเลยดีกว่า”



“เห็นด้วยๆ ถ้ามีความสามารถก็ทำอะไรของตัวเองดีกว่า แต่ไม่เป็นโล้เป็นพายอย่างขวัญ คงเป็นได้แค่ลูกจ้าง” แล้วเธอก็แกล้งแหย่เขาทีเล่นทีจริงเพื่อเปลี่ยนเรื่อง “งั้นพรุ่งนี้ว่างแล้วล่ะสิ มาถอนกรามอีกข้างออกมั้ย มันทำความสะอาดยากนะ”



“กลัวใครไม่รู้ว่าเป็นหมอฟันหรือไงครับ ?!!? คุณหญิงขวัญชีวา ถึงชวนชาวบ้านถอนฟันเอาง่ายๆ” เขายกมือกุมปาก “แปรงยากยังไงผมก็ทำได้ ไม่ต้องถอนหรอก และ...ผมก็ไม่ว่างด้วย”


“แหม... วันอาทิตย์ก็ไม่ว่าง ขี้ขลาดมากกว่ามั้ง เอ๋... หรือว่านัดสาวละซี้ พาแฟนมาให้ดูหน่อยซิ


“แฟนเฟินอาไร้ ผมต้องไปโบสถ์ครับ ไม่ได้ไปโบสถ์เป็นเดือนแล้ว บลูเอิร์ธให้ผมทำงานทั้งกลางวันกลางคืน วันอาทิตย์ก็ไม่เว้น นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ผมยินดีลาออก ไม่เชื่อไปโบสถ์กับผมสิ” เขาชวนเอาดุ่มๆ


“หูย เป็นคริสเตียนเหรอ แม๊ ท่าทางเคร่งเชียว”


“ก็พอสมควรครับ ตายายผมก็เป็นคริสเตียน ปู่ผมเป็นศิษยาภิบาล”


“...แล้วโบสถ์คุณร้องเพลงเพราะหรือเปล่า” ขวัญชีวาทำท่าสนใจขึ้นมา


“แน่นอน” เขารีบยืนยัน “คุณชอบ ?”


“ใช่ๆ แต่ถ้ามีแค่เทศน์กางเขนจ๊ะ กางเกงจ๋า แล้วอ่านไบเบิ้ล ไม่เอานะ เอ... คนนอกไปฟังได้มั้ย น่าเกลียดมั้ย”


“ฮ่าๆ ไม่ห้ามหรอก มีแต่จะหาคนไปโบสถ์ แสดงว่าพระเจ้าเรียกคุณผ่านเสียงเพลง... ”


ขวัญชีวารีบยกมือห้ามเขาพูดต่อ “อย่าๆ อย่าเพิ่งชวนเชื่อ... เรารู้ว่าพระเจ้าคุณเป็นความจริง และได้ตายไปเพื่อไถ่บาปเรามานาน แต่เราไม่อาจสัมผัส เราไปเพื่อฟังเพลงอย่างเดียวได้มั้ย ? เหมือนไปดูคอนเสิร์ตน่ะ”


“ฮ่าๆ ด้วยความยินดี ไปกับบ้านผมก็ได้นะ เข้าไปคนเดียวคุณอาจเขิน”


เดชชวนไปโดยไม่หวังคำตอบรับ คิดว่าเธอน่าจะถามที่อยู่โบสถ์แล้วขับรถไปเอง แต่ขวัญชีวาตกลงเอาหน้าตาเฉย


“เอาสิๆ เคยไปโบสถ์สุ่มๆ เอาเอง ชาวคริสต์กรูมาต้อนรับเป็นสิบ เขินตายห่า ไอ้เราก็จะไปแค่ฟังเพลง”



เขาดีใจไม่น้อยที่จู่ๆ ก็จะมีคนไปโบสถ์เพิ่ม แต่ต้องเกาหูโดยไม่ได้ตั้งใจเมื่อได้ยินคำว่า ‘ตายห่า’ อีกรอบ และคนพูดคงเดาออก ว่าเขาคิดอะไร


“โทษที ขวัญติดคำว่า ‘ตายห่า’ น่ะ วันก่อนพูดกับพ่อ แม่เกือบเป็นลมแน่ะ ฮ่าๆ”
ขวัญชีวาเล่าหน้าระรื่น แต่เดชต้องจิบกาแฟก่อนพูดต่อ


“ถ้าเป็นน้องชายผมพูดกับพ่อ ผมฟาดสลบแน่ๆ”


ไม่รู้หน้าตาเขาจริงจังไปหรืออย่างไร แต่ขวัญชีวาเหลือบดูมือหนาๆ เขา ก่อนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูแล้วขอตัวไปทำงานทันที




โปรดติดตามตอนต่อไป (ถ้ายังอยากติดตาม x_x)





Create Date : 20 กันยายน 2553
Last Update : 20 กันยายน 2553 12:41:41 น. 3 comments
Counter : 362 Pageviews.

 
พระเอกเป็นนักเขียน*0*
นางเอกเป็นทอม
55555

โดย: Dewii
.
ตอบ ,,,รู้แล้ว อย่าเพิ่งบอกหมอขวัญนะจ๊ะ


love it, love it...
come again soon naka

โดย: Olathe

ตอบ ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ ตามอ่านกันให้จบนะจร้า


โดย: ปลายเดือน กันยา วันที่: 20 กันยายน 2553 เวลา:12:47:17 น.  

 
อยากติดตาม Ka


โดย: O IP: 86.17.189.29 วันที่: 20 กันยายน 2553 เวลา:22:06:17 น.  

 
555, come again soon and often naka.


โดย: Olathe IP: 71.199.69.216 วันที่: 21 กันยายน 2553 เวลา:7:53:04 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ปลายเดือน กันยา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




นามปากกา ปลายเดือน กันยา
นิเทศศาสตร์ มสธ.

เขียนไปเรื่อยๆ เรื่องจริง เรื่องโกหก เขียนได้หมด
อ่านไปเรื่อยๆ เรื่องชาวบ้าน เรื่องจริง เรื่องโกหก ชอบหมด

อยู่ไปเรื่อยๆ ด้วย
Group Blog
 
<<
กันยายน 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
20 กันยายน 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ปลายเดือน กันยา's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.