ร้อยฝันเกี่ยวใจ... มาใส่รัก บทที่ 3 ชายมีเสน่ห์มักไม่อวดแมนพร่ำเพรื่อ โง่ก็บอกโง่

เสียงนกน้อยใหญ่ร้องระงมรับอรุณเหนือพุ่มไม้ริมลำธารน้ำใสแจ๋วที่ส่งเสียงไหลรินเอื่อยไม่เคยขาดสาย ดอกกล้วยไม้ป่าสีขาวเล็กๆ ห้อยระย้าลงมาจากกิ่งคาคบไม้ผุๆ ส่งกลิ่นอบอวล บอนสวยหลากสีแต่กลับดูกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับพฤษาเขียวๆ ริมน้ำใบไหวเอนไปมาตามแรงลมอ่อนๆ


ขวัญชีวาเริ่มรู้สึกตัวตื่นเมื่อแสงแดดส่องเข้ามาในเต็นท์ แต่งงงวยไม่น้อยเมื่อต้นหลิวแฟนสาวเธอคนล่าสุดที่ห่างหายไปแล้วกลับมานอนซุกอยู่ข้างตัวด้วย ต้นหลิวไม่ชอบเข้าป่า...


“ต้นหลิว... หลิว ตื่นๆ ทำไมตัวร้อนอย่างนี้ แขนก็หนัก...” เธองัวเงียปลุก แต่มือคลำสัมผัสพบกล้ามแขนแข็งๆ มีขนอ่อนๆ ของคนที่เธอคิดว่าเป็นต้นหลิวเข้า สติถึงพุ่งพรวดทันใด

“เฮ้ย...!!!” เธอปัดแขนผู้ชายออกจากเอว

“เฮ้ย...!!!” เขาก็ตกใจเสียงตะโกนเธอ รีบลุกขึ้นยืนจนหัวโขกโครงเหล็กเจ็บหน้าแหย “ผมมานอนนี่ได้ไงล่ะ เมื่อคืนผมนอนข้างนอกนี่... !!!”


ขวัญชีวาถดหนีจนชิดเต็นท์ แล้วดึงผ้าห่มมากอดอย่างประหวั่นพรั่นพรึง แต่ไม่กี่วินาทีทั้งสองก็ตั้งสติได้ เธอเปิดประตูเต็นท์ออกดูอากาศข้างนอก ถอนหายใจดังๆ มือลูบหน้าด้วยความโล่งใจ


“เฮ่อ... ก็เมื่อคืนฝนตก คุณเลยต้องนอนข้างในตอนเที่ยงคืน โฮ่ย ตื่นกันสายโด่เชียว”



“ผมก็... นึกออกแล้ว จะสิบโมงมั้งเนี่ย”


เดชดูนาฬิกาข้อมือคลานตามหลังออกไปจากเต็นท์ แกะเสื่อพลาสติก หยิบเสื้อมาสะบัดไปแขวนกิ่งไม้ก่อนสิ่งใด แล้วตามด้วยก่อกองไฟ ปล่อยให้เจ้าของเต็นท์วิ่งไปลำธาร คงล้างหน้าแปรงฟัน เมื่อเจ้าตัวกลับมาอีกที เขารวบรวมความกล้าขอโทษ



“ผมเคยถีบน้องชายตกเตียงมาแล้ว เมื่อคืน ผม... เอ่อ ดิ้นจนถีบคุณกี่ครั้งไม่รู้”


“คุณทำมากกว่านั้น !” ขวัญชีวาบอกหน้าตาย แต่ก็โบกมืออย่างเข้าใจ “แต่ช่างมันเถอะ ถ้าฟ้าผ่าก็คงผ่าไปแล้ว !”


“อืม ได้ยินแว่วๆ ว่าผมเกือบกลายเป็นนางสาวต้นหลิวไปแล้วสินะ”


ขวัญชีวาหัวเราะเมื่อได้ยินเขาแซวชื่อต้นหลิว แต่เดชเองกลับไม่แน่ใจว่าตัวเองแสร้งหามุขขำๆ หรือว่าทำอะไรอยู่ เพราะเขาไม่รู้สึกว่าขวัญชีวาเหมือนทอมอย่างวันแรกที่พบกัน เห็นเป็นผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นเอง


ขวัญชีวาแกะซองบะหมี่ “คุณไปล้างหน้าสิ เดี๋ยวต้มบะหมี่เกาหลีให้กิน รสชาติมันซุปเปอร์ห่วย แต่กินทีอิ่มไปถึงเย็น”


ขวัญชีวาพูดพลางเสยผม ผมยุ่งๆ ของเธอทำให้เดชหวนคิดถึงความฝันเมื่อคืน เขาสงสัยว่ากลิ่นเส้นผมเธอจะยังคงอยู่หรือเปล่า แต่แก้มแดงๆ เพราะความร้อนจากกองไฟกำลังทำให้เขารู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ เมื่อคืนเขาแอบทำอะไรลงไป เขาลอบมองอีกครั้งและพอมั่นใจว่าเธอไม่รู้ตัวแน่นอน


เธอหันมาถาม “เป็นอะไร ไม่สบายเหรอ คุณตัวร้อนแบบนั้นปกติหรือป่วย ?”


เขาส่ายหน้าแล้ววิ่งจู๊ดไปที่ลำธาร ถอดเสื้อแขวนต้นไม้ แล้วเดินหนีหาแอ่งน้ำ ถอดทุกอย่างออกเขาต้องแช่น้ำแล้วอธิษฐานคุยกับพระเจ้าหนีความคิดประหลาดๆ ในสมอง


 


บะหมี่ที่เพิ่งเทใส่ถ้วยและจานพลาสติกตรงหน้าดูน่ากินไม่น้อย ขวัญชีวาได้แต่มองอาหารว่าควรรอเขาหรือกินไปก่อน เธอมองไปที่เขากำลังเดินขึ้นเนินมา มีเสื้อยืดพาดบ่าเปลือยๆ ทั้งที่อากาศยังหนาวไม่น้อย เขารี่ไปคลำเสื้อเชิ้ตที่ตากอยู่ ผิวตัวเขาค่อนข้างขาวแต่ผิวหนังส่วนคอกับแขนกลับสีคล้ำดำ คงเพราะโดนแดดเผา


“คุณนี่ผิวสองสีชัดเจนเลยแฮะ ตัวกับแขนคนละสีกัน ฮ่าๆ คุณสูงเท่าไหร่น่ะ”


“179 ครับ เท่าคุณหรือเปล่า”


“คุณสูงกว่า 4 เซ็นติเมตร”


“แต่คุณดูสูงกว่า อาจเพราะผมหนักว่าสัก 30 กิโลมั้ง ฮ่าฮ่า” เขาหัวเราะ แต่หน้ามุ่ย เมื่อต้องสวมเสื้อยืดตัวเดิม


“เฮ้อ... เสื้อยังไม่แห้ง ผมไม่ค่อยชอบเสื้อยืดน่ะ”



“เอามาอังไฟสิ เดี๋ยวก็แห้ง”



“เออนะ ทำไมผมไม่คิดตั้งแต่เมื่อคืน คุณนี่ฉลาดเหมือนหมอจริงๆ อิอิ” เขาวิ่งไปเอาไม้มาทำราวตาก



“เมื่อก่อนทำประจำโดยเฉพาะกับหมวก กลิ่นควันติดไปถึงเส้นผมเลยล่ะ ฮ่าๆ”



“ไม่มั้ง...” เขารีบพึมพำ “ไม่ใช่กลิ่นควันสักหน่อย”



“พูดอะไรนะ”


“เอ่อ ผมหมายถึงเดี๋ยวกลิ่นตัวผมมันกลบกลิ่นควันเองครับ”



เขาตากผ้าเหนือไฟเสร็จก็รีบโซ้ยๆ บะหมี่เข้าปาก รสชาติห่วยแตกอย่างที่ได้ยินจริงๆ แต่เขาก็ฟาดจนหมด ที่ขวัญชีวากินไม่หมดเขาก็ช่วยจัดการต่อ แล้วตามด้วยกาแฟที่ต้องรอคิวแก้วพลาสติกตามเคย ขวัญชีวาเก็บเต็นท์เองครู่เดียวก็เสร็จ เตาไฟถูกทำลายดับสนิท เศษห่ออาหารถูกฝังลงหลุม ไม่มีอะไรเหลือนอกจากไม้ฟืนเปียกๆ เมื่อคืน และเดชก็ได้สวมเสื้อเชิ้ตแห้งๆ กลิ่นควันไฟอย่างภูมิใจ


“ถ้าเราออกตอนนี้ จะเดินถึงหมู่บ้านตอนเย็นๆ แต่ถ้าช้ากว่านี้หน่อยจะถึงตอนค่ำ ธุระคุณทำต่อตอนค่ำได้มั้ย คือว่า... ขวัญจะไปดูนกฟากโน้นน่ะ”


ขวัญชีวางงตัวเองจริงๆ ที่ทำเหมือนต้องขอนุญาตเขา ทั้งที่เดินท่อมๆ ในป่าคนเดียวมานาน ใครทำตัวน่าเบื่อน่ารำคาญเธอเลิกคบทันที แต่ตอนนี้พอเดชทำหน้าไม่แน่ใจ เธอยังยอมให้เอาเฉยๆ


“เอ่อ งั้นไม่เป็นไร ขวัญค่อยมาก็ได้”


“คุณหมอจะดูนกก่อนก็ได้ ดีเหมือนกัน ผมจะได้หาโทรศัพท์ก่อน ในนั้นมีเบอร์ต้องใช้เยอะแยะ”


เขาวิ่งลงไปที่รถทันที แล้วเดินสุ่มๆ หาโทรศัพท์ตามทิศทางที่รถกระเด็นกระดอน


เธอมองกล้องดูนกในมืออย่างไม่เข้าใจตัวเอง ก่อนยัดมันคืนลงเป้ แล้วเดินไปหาเขา


“มาๆ... ช่วยหา”


ทั้งสองคนก้มๆ เงยๆ หลังขดหลังแข็ง เดินขึ้นลงตามไหล่เขาชันๆ ไปมา ไม่ใช่เรื่องสนุก จนเดชเกือบท้อใจจะเลิกหาแล้ว แต่ขวัญชีวาเหยียบวัตถุแข็งๆ เอาพอดี


“เจอแล้วๆ เปียกน้ำชุ่มเชียว คงต้องซ่อมก่อนถึงจะใช้ได้”



“ไม่น่ามีปัญหา ซ่อมได้มั้งครับ เฮ่อ ถ้าไม่มีโทรศัพท์นี่ ผมอาจตกงานได้”


เดชรับโทรศัพท์ไปแล้วยิ้มอย่างดีใจ เขาเสนอว่าน่าจะลดสัมภาระหนักๆ ในเป้โดยการทิ้งไว้ที่รถบางส่วนแต่ขวัญชีวากลับบอกว่าถ้าอยู่ในป่าต้องเผื่อไว้ก่อน เขายอมเชื่อฟังและอาสาแบกเป้เอง และยอมเดินตามขวัญชีวาที่เท้าติดดิน แต่สายตาจดจ้องเหนือฟ้าเวลาเกือบตลอดเวลา บางทีเธอก็ทำเหมือนลืมไปว่าเขารีบอยู่ แต่เขากลับไม่หงุดหงิดอย่างเมื่อวานและยังยินดีฟังชื่อนกชื่อกล้วยไม้ประหลาดๆ นั่นจากปากเธอที่เล่าด้วยความเพลิดเพลิน



หมวกแก็ปบนผมยุ่งๆ กับกิ่งไม้ที่เธอถือกวัดแกว่งไปมา ชวนให้เขาเดินฝันกลางวันลุ้นๆ ว่ามันอาจมีดอกไม้งอกออกมาให้เขาเชยชม  เธอไม่ดูทางก็จริง แต่เขาเองที่กลับหกล้มลุกคลุกคลานเอาบ่อยๆ จนเธอต้องอาสาเอาเป้ไปแบกปล่อยให้เขาได้พักไหล่ เขาหัวเราะเยาะตัวเองเมื่อนึกถึงนิยายที่นางเอกหลงป่าแล้วพระเอกสูงใหญ่คอยดูแลนางเอก แต่เขากลับตรงกันข้าม


‘เฮ่อ นี่แหละน้า ที่เขาว่านิยายก็คือนิยาย หาใช่ชีวิตจริงไม่ !’


จะเที่ยงแล้ว... ทั้งสองคนยังไปไม่ถึงจุดที่ตั้งใจไว้ ขวัญชีวาเริ่มไม่แน่ใจ


“ไอ้เราคิดแต่จะลัดๆ จนลืมไปว่าปีนขึ้นเนินนี่ลงเนินนั้น มันเหนื่อยกว่าเดินอ้อมไหล่เขาอีก”


“ยังไงก็ได้... แต่อย่าหลงแล้วกันครับคุณหมอ”


“ไม่หลงน่า... และคุณเรียกขวัญว่าขวัญเฉยๆ เหอะ”


“ดีครับ คุณขวัญ เพราะที่จริงผมกลัวหมอฟันมากๆ ไม่เคยพบหรือคุยกับหมอฟันสักครั้ง ฮ่าๆ”


“จริงเรอะ !!!” ขวัญชีวาถึงกับหยุดเดิน จ้องหน้าเขา “ไม่เชื่อ ! เห็นฟันแว่บนึงก็รู้ว่าสุขภาพดี ยังคิดว่าคุณเคยจัดฟันเลย”


“ก็เพราะกลัวหมอฟันนี่แหละ ถึงได้ดูแลอย่างดี นี่ขนาดติดป่าผมไม่มีอย่างอื่นมีไอ้นี่ ฮ่าฮ่า” เขาล้วงไหมขัดฟันกับแปรงสีฟันแบบพับเล็กๆ จากกระเป๋ากางเกงแถวหัวเข่าให้ดู


“เออ แปลกแฮะ... คุณอายุเท่าไหร่”


“32”


“อายุ 32 แต่ไม่เคยพบหมอฟัน !? ไม่เคยแม้แต่กระทั่งเจ้าหน้าที่ทันตกรรมไหนๆ ?”


“ไม่เคยครับ !”


“ไหน อ้าปากให้ดูหน่อย”


ขวัญชีวาวางเป้ลงจริงจัง ไม่อยากจะเชื่อว่าในยุคปัจจุบันยังหลงเหลือคนไทยอายุ 32 ที่ไม่เคยพบหมอฟันสักครั้งในชีวิต ฟันเขาเรียงสวยขาวสะอาดเกลี้ยงเกลาเหมือนดาราหนัง เธอลงทุนคุ้ยไฟฉายกระบอกเล็กส่องดูในปากเขาด้วยความสงสัยใคร่รู้


“เออ ตลกดีเว่ย ถ้าคนไทยทุกคนทำอย่างคุณได้ พวกขวัญตกงานแน่ๆ แต่... มีหินปูนเกาะไม่น้อยนะคุณเดชเหล้าเบียร์ล่ะสิ แล้วไอ้ฟันกรามคู่ในสุดด้านซ้ายน่ะน่าจะไปถอนออก มันไม่มีประโยชน์และทำความสะอาดยาก”


เดชถอยหลังปรวด เอาเป้มาแบกเองแล้วออกเดิน ไม่สนคำแนะนำฟรีๆ จากหมอฟัน


“ชาติหน้าโน่นแหละถึงจะไป ให้ผมแปรงฟันเบาๆ วันละร้อยหนดีกว่าไปนอนบนเก้าอี้ทำฟัน”


แต่ขวัญชีวากอดบอกอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องชาติหน้าล่ะคู้ณ อีกไม่กี่วันคุณต้องไปหาหมอฟันแน่ๆ”


“ไม่มีทาง !”


“ฮ่าๆ นี่หมอฟันนะจ๊ะ ขอฟันธงว่าไอ้ฟันกรามด้านขวาน่ะ คงมีปัญหา เริ่มเจ็บแล้วใช่มั้ยล่ะ ไปผ่าออกซะ !”


“ไม่ไป ! ตอนข้างซ้ายมันก็เจ็บ พอเจ็บอยู่ครบปีมันก็งอกได้ปกติ” เขาเล่าด้วยความภูมิใจ “อื้อ เจ็บ ปวด คัน สะใจ”
แต่ขวัญชีวาถึงกับสยอง “หา... ทนเจ็บอยู่เป็นปี !? ทำไมถึงได้กลัวหมอฟันนักล่ะ”


“กลัวมาตั้งแต่เด็ก ตอนอยู่โรงเรียนเทศบาล ครูไล่ให้มาเข้าคิวพบหมอฟัน เห็นเพื่อนที่นอนอ้าปากให้หมอดูแล้วหมอยื่นเครื่องมือเข้าในปาก โคตรน่ากลัว ผมวิ่งหนีตั้งแต่นั้น”


“โอ๊ย เรื่องแต่ครั้งบรรพกาล นี่กลับกรุงเทพไปจะแนะนำให้ไปหาหมอฟันอึ๋มๆ เอามั้ยล่ะ เห็นแล้วอาจไม่อยากลุกจากเก้าอี้ทำฟันก็ได้ ฮ่าๆ”


“ไม่มีทาง ขนาดตอนผมอยู่ช่างกลช่วงที่ซ่าสุดๆ เราลงทุนเดินไปจุฬาฯ เพื่อดูนิสิตเช้งกระเด๊ะ ต่อให้สวยเหมือนนางฟ้า แต่ถ้าเป็นสาวทันตะ ผมหนีทันที ขนาดกับคุณเอง วันก่อนผมกล้ามองคุณซะที่ไหน”


“เออ นั่นสินะ แหม... ไอ้เราก็นึกว่าหยิ่ง ที่แท้ขี้ขลาดนี่หว่า”


ขวัญชีวาจึงเริ่มเดินเงียบๆ ต่อเมื่อเดชจึงหยุดคุย


แต่เดชกลับคิดว่าตัวเองโชคดีไม่น้อย ถ้าขวัญชีวาถามกลับว่าตอนนี้ทำไมไม่กลัวแล้ว เขาก็ไม่รู้จะตอบยังไง ทั้งสองคนแวะพักที่ไหล่เขาตอนบ่ายแก่เพื่อหาอะไรรองท้อง ขวัญชีวาเปิดสมุดโน้ตและแผนที่ยับยู่ยี่มาดู


“นั่นไง เห็นทิวไม้เป็นระเบียบนั่นมั้ย มันเป็นสวนผลไม้เก่า ถัดนั่นไปจะมีสำนักงานอุทยาน หมู่บ้านและสถานีอนามัยเล็กๆ ไม่เคยไปถึงตรงนั้นหรอก แต่คิดว่ามีโทรศัพท์แน่ๆ”


เขารีบลุกไปดูตาม


แต่ตัวเธอกลับเกาคอแล้วถอนหายใจเหมือนไม่มั่นใจอะไรบางอย่างเมื่อมองที่ลุ่มเขียวๆ ต่ำๆ ตรงหน้า



“ว้า... เจอปัญญาใหญ่แล้วล่ะ ทางที่ขวัญเคยเดินมันกลายเป็นลำห้วยไปหมดแล้ว เราต้องเลือกว่าจะเดินอ้อมไปจนถึงเลยเที่ยงคืน หรือข้ามเนินสูงเหมือนภูเขาสองลูกนั่นไป ถ้าข้ามได้ ก็จะถึงเร็วกว่า แต่ว่า...ไม่รู้ทางลงอีกด้านมันจะลาดๆ หรือเป็นหน้าผาน่ะสิ ดูไม่เป็นแฮะ”



“แล้วคุณขวัญว่าไง”


“ถ้ารีบก็ต้องลองเสี่ยงปีนข้ามเนิน และอีกอย่างนะ... แถวลำห้วยทากเยอะ”


เขาตัดสินใจเสี่ยงทันที “งั้นก็ปีน”


แล้วขวัญชีวาก็ยิ้มแฉ่งแปลงร่างเป็นชะนีปีนเขา อาสาแบกเป้เอง เย้วๆ ให้เขาปีนตามให้ทัน เขาได้มองตามอย่างทึ่ง เขาทำงานใช้แรงและน่าจะแข็งแรงกว่าเธอ แต่ถ้าให้วิ่งแข่งกันเขาคงแพ้ราบคาบทั้งที่เธอมีเป้หนักบนหลัง ไม่น่าสงสัยที่เจ้าหล่อนถึงมั่นใจเดินท่อมๆ กลางป่าคนเดียว


“คุณดูนี่สิ กล้วยไม้ดิน นี่มีร่องรอยคนมาขุดไปด้วย”



เธอชี้กล้วยไม้สวยๆ กลางหญ้ารกให้เขาดู พอเขาหยุดดู เธอกลับเดินต่อหน้าตาเฉย อากาศยามบ่ายแก่ ลมพัดเย็นสบาย แต่ตัวเขาเสื้อเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ และคงไม่กล้าสู้หน้าไปโม้ใครว่าเขาปีนขึ้นเนินสูงๆ สองลูกติดกันตัวเปล่า เพราะที่จริงมันนำทางโดยผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าตัวบางกว่า และ... แบกเป้หนักเกือบยี่สิบกิโลกรัมคนเดียว แม้เจ้าตัวจะไม่คิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงก็ตาม


“เย้ ถึงเนินสุดท้ายแล้ว...”


ขวัญชีวาดูอีกด้านหนึ่งครู่ใหญ่ก่อนหันมายืนยิ้มแปลกๆ ให้เขา ตะวันตกดินเบื้องหลังเธอ ทำให้เห็นร่างเธอเหมือนเงาภาพขาวดำดูไม่ออกว่าสตรีหรือบุรุษ เขารีบทรุดตัวลงนอนแผ่บนทุ่งหญ้าหมดสภาพสุภาพบุรุษ


“โอย... ขาล้าจนจะเป็นลม คุณอย่าบอกใครนะว่าพากรรมกรมาปีนเขาจนเป็นลม บริษัทรับเหมาผมเจ๊งแน่ๆ”



ขวัญชีวาหัวเราะชอบใจ



“ฮ่าฮ่า ของแบบนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับความแข็งแรง มันอยู่ที่ใจกับประสบการณ์ และตั้งแต่ขวัญทำบ้าๆ อย่างนี้มาห้าหกปี คุณนี่เป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีที่สุดในโลกแล้ว แม้จะงี่เง่าตอนแรกหน่อยก็เถอะ”



“นี่เป็นคำชมใช่มั้ยครับ ?”


“แน่นอน !” ขวัญชีวาลงมานอนแผ่บ้าง “คุณเคยได้ยินมั้ยที่คู่รักพากันไปขึ้นภูกระดึง รักกันหวานแหววแค่ไหนพังมาหลายคู่เมื่อตกอยู่แล้วในภาวะคับขันแล้วนิสัยแท้จริงโผล่น่ะ”



“เคยได้ยินเหมือนกันว่าในทางตรงกันข้าม คนแปลกหน้าอาจตกหลุมรักกันง่ายๆ ในภาวะคับขันได้ เมื่อเกิดประทับใจกัน” เดชลูบหน้าเยิ้มเหงื่อชุ่มของตัวเอง


“อืมๆ... ใช่ๆ อย่างเราสองคนตอนนี้ ก็อาจตกหลุมรักกันโดยไม่กลัวฟ้าผ่าตายก็ได้”


คำคร่ำครวญเหนื่อยๆ ของขวัญชีวาที่นอนโยกเข่าโยกไปมา ทำเอาเดชงงและอึ้งไปจนพูดไม่ค่อยออก
“มะ... หมายความว่าไงครับ”


ขวัญชีวาเอียงหน้าถามต่อด้วยรอยยิ้มน่าประหลาด
“ถ้า... คุณลืมเรื่องหมอฟัน คุณจะประทับใจขวัญชีวามั้ยคุณเดช”


เดชฟังคำถามจริงจังนั่นแล้วนึกไปถึงเมื่อคืนตอนอยู่ในเต็นท์เดียวกัน เส้นผมทอมสาวตอนไม่อาบน้ำก็หอมชวนดม แก้มเธอก็นุ่มชวนฝัน เอวเล็กๆ ก็ชวนโอบกอด พวกคนงานปากเสียยังเคยชมให้ได้ยินว่าขาหมอขวัญไม่น่าถูกซ่อนอยู่ในกางเกง แต่หากพูดว่าประทับใจทำนองนี้ไป ได้ถูกทิ้งไว้กลางป่าแน่ๆ



“ก็... ประทับใจสิ คุณเก่งออก นี่ถ้าผมอยู่คนเดียว อาจวนอยู่ในป่าก็ได้ ไม่พบทางออกง่ายๆ อย่างนี้หรอก”



“ขอบใจๆ แล้วคุณหายจะเป็นลมหรือยัง” เสียงขวัญชีวาเริ่มอ่อยลงๆ ผิดปกติ
“หายแล้วล่ะ... ไปกลิ้งต่อเถอะ จะได้ไม่มืดนัก”


เขาลุกขึ้นนั่งอย่างกระฉับกระเฉง


ขวัญชีวาก็ลุกขึ้นแต่... นั่งหน้าแหย


“ไปต่อไม่ได้ !!! นี่เราปีนมาอยู่บนหน้าผา เราต้องกลับไปเดินอ้อมลำห้วยโน่นแหละ !!!”


“อะไรนะ ???”


เดชถามเสียงดังเหมือนตวาด เข่าอ่อนจนต้องคลานไปเกือบห้าเมตรเพื่อชะโงกดูอีกด้าน ถ้าเขาเป็นผู้หญิงคงกรี๊ดๆ หรือไม่ก็น้ำตาร่วงแล้ว เพราะภาพที่เห็นไกลๆ คืออาคารของอุทยานเล็กๆ วางเรียงราย แต่ที่อยู่ตรงหน้าพ้นมือไปคือหน้าผาชัน มีวิธีเดียวที่ลงไปได้คือกระโดดลงไปเบื้องล่าง แล้วปล่อยให้วิญญาณไปตามเจ้าหน้าที่รัฐบาลรัฐซาบาห์แห่งมาเลเซียมาขนศพที่แขนขาหักงอของเขา



เขาหันขวับมาดูผู้นำทาง “คุณขวัญ !!!”



“ขวัญขอโทษ ขวัญไม่รู้” ขวัญชีวามาฉุดมือเขาลุกขึ้น “ไปๆ เรารีบเดินกลับไปอ้อมลำห้วยนั่น เดี๋ยวขวัญแบกเป้เอง”


เดชดึงมือออก นึกอยากผลักเธอให้ตกหน้าผาดูสักครั้ง เผื่อจะได้รู้ว่าป่าไม่ใช่สวนสาธารณะ แต่มันก็แค่วูบความคิด มันไม่ใช่ความผิดของเธอเสียทีเดียวเธอบอกแล้วว่าไม่เคยมาทางนี้ เขาเห็นด้วยที่จะเสี่ยงเอง เขาหลบหน้าเธอลงไปนั่งครุ่นคิดอีกมุมหนึ่ง


ถ้าเดินย้อนกลับขึ้นเนินไปอีกคงต้องใช้เวลาอีกสองชั่วโมงทั้งขาล้าเต็มทีอย่างนี้ หลังจากนั้นเดินอ้อมลำห้วยอย่างที่เธอบอกก่อนหน้านั้นก็คงอีกหกชั่วโมง ต้องใช้เวลาอีกแปดชั่วโมงท่ามกลางความมืดและทั้งหนาวทั้งชื้นริมห้วย เพื่อให้ไปถึงหมู่บ้านที่เห็นลิบๆ นั่น


“งั้นเรา... ค้างแถวนี้เถอะ ผมเหนื่อย ค่อยไปพรุ่งนี้ ผมทำใจได้ละ คงอย่างคุณว่าจริงๆ ไม่มีผมสักคนชาวโลกก็คงอยู่กันได้” เดชบอกเสียงแผ่วเบา



“ขอโทษคุณอีกพันครั้งจริงๆ ขวัญติดนิสัยคิดถึงแต่ตัวเองน่ะ คิดอยู่เรื่อยว่ามาสนุกยิ่งแบบนี้ยิ่งสนุก แต่เผลอลืมไปว่าคุณมีธุระ” ขวัญชีวาสารภาพ


“อืม ไม่เป็นไร ผมเองก็เผลอคิดถึงแต่ตัวเองเหมือนกัน แล้ว... ต้องหาที่กางเต็นท์ใหม่มั้ย”


“กลับไปที่ลำห้วยมีน้ำ หรือนอนตรงนี้อากาศสบายกว่านี่ต่ำกว่าเมื่อคืน คงไม่หนาวขนาดนั้น”


“งั้นก็ตรงนี้ คุณมีน้ำดื่มแล้วนี่”


พวกเขาเดินย้อนกลับลงไปเล็กน้อย เดชกางเต็นท์เองเงียบเชียบ ส่วนเธอไปตัดหญ้าแถวนั้นแล้วหาฟืนมาก่อกองไฟ เธอไม่กังวลกับการไม่อาบน้ำนอนทั้งเหงื่อซก แต่มองเขาที่ดื่มน้ำเพียงเล็กน้อยแล้วหนีไปนั่งดูวิวที่หน้าผาซึมๆ คนเดียวอย่างเป็นห่วง ภาระของเขาที่รออยู่อาจเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้ เธอทำงานรับเงินเดือน ความเครียดจากงานถูกทิ้งไว้ข้างหลัง วันหยุดก็คือวันหยุด โทรศัพท์เธอปิดสนิท ไม่เคยรู้ซึ้งกับการต้องเป็นเจ้าของกิจการหรือให้เงินเดือนใคร และ... ไม่มีใครให้ห่วงด้วยซ้ำไป


แต่... อาจมีคนให้ห่วง แต่เธอแกล้งลืมทั้งนั้น ไม่ว่าพ่อแม่หรือญาติมากมายก่ายกองคนไหนๆ


เธอเข้าไปจัดเต็นท์ใหม่ เมื่อคืนเอาของไปวางข้างใน แต่คืนนี้เธอขนออกหมดแม้กระทั่งกล้องดูนกและหนังสือแสนรัก เธอสวมหมวกกันหนาว นั่งส่องไฟอ่านหนังสืออยู่หน้าเต็นท์ตอนเขากลับมาพร้อมท่อนไม้แห้งๆ ใหญ่ๆ อีกสี่ห้าอัน


“คุณไปนอนก่อนสิ ท่าทางคุณเหมือนคนใกล้ตายแล้ว”


แต่เขาทำท่าลังเล เธอเลยยืนยันหน้าเคร่ง


"นอนเหอะ ขวัญเป็นผู้ชาย และคุณก็ไม่ใช่เกย์ ลืมเรื่องมารยาทบ้าบอคอแตกซะ”


เขาจึงยอมหายเข้าไป เธอยกหนังสือมาอ่านต่อครู่เดียวก็เงยหน้ามองฟ้า สองทุ่มแถวป่าลึกแบบนี้เหมือนดึกเร็วราวกับเที่ยงคืนแถวชานเมืองทีเดียว อากาศเริ่มหนาวตาเริ่มปรือเพราะทั้งเหนื่อยและง่วง จึงเก็บของเปิดเต็นท์เข้าไปนอน


แต่แสงไฟฉายลงบนร่างผู้ชายอายุ 32 ที่ไม่เคยไปหาหมอฟันแล้วชวนให้สงสัยนักว่าเธอจะแหวกที่นอนได้ตรงไหน เขาหลับสนิทแล้ว ศีรษะเขาทะแยงไปที่มุมหนึ่งของเต็นท์ แล้วแขนขาก็อ้าซ่าจองพื้นที่ที่เหลือทั้งหมด พลาดไปอย่างหนักที่ให้เขานอนก่อน


“คุณๆ ขยับหน่อย นอนด้วย”


ขวัญชีวาแค่เรียกก่อน สักพักก็ดึงขากางเกง ทุบเข่าแรงๆ เขาพึมพำเหมือนรู้เรื่อง แต่พอขยับได้ไม่กี่วินาทีก็ฟาดขาแขนลงที่เดิม เธองงๆ อยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่าเสื้อเขาเปิดขึ้นจนโชว์ไรขนเป็นทางยาวจากใต้แถวใต้สะดือไปจนถึงขอบเอวกางเกง ทำเอาเธอต้องสะบัดศีรษะแรงๆ ตัดสินใจเปลี่ยนแผนการนอนทันที


“มีแต่ผู้หญิงบ้ากับทอมประสาทเท่านั้นแหละโว้ย หาเรื่องนอนข้างผู้ชายทั้งแท่ง คืนที่สองไม่โชคดีเท่าคืนแรกแน่ๆ ยิ่งท่าทางตานี่เคืองๆ อยู่ !!!”


เธอกระชากผ้าห่มผืนเล็กๆ ออกมาแล้วปิดเต็นท์ สวมหมวกไอ้โม่งกันหนาวและแจ้กเก็ต หยิบท่อนไม้ใส่กองไฟ เอาเสื่อห่อตัวนอนนับดาว อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อคืนเขาได้ดูดาวอย่างนี้หรือเปล่า ท่าทางเครียดเหลือเกิน เธอนับดาวได้ไม่ถึงยี่สิบดวง


... ตาก็ปิดสนิท



to be continued ???




 

Create Date : 02 กันยายน 2553
1 comments
Last Update : 2 กันยายน 2553 9:50:50 น.
Counter : 355 Pageviews.

 

come again soon naka, like it a lot ka, please continue writing.

 

โดย: Olathe IP: 71.199.69.216 3 กันยายน 2553 9:54:15 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ปลายเดือน กันยา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




นามปากกา ปลายเดือน กันยา
นิเทศศาสตร์ มสธ.

เขียนไปเรื่อยๆ เรื่องจริง เรื่องโกหก เขียนได้หมด
อ่านไปเรื่อยๆ เรื่องชาวบ้าน เรื่องจริง เรื่องโกหก ชอบหมด

อยู่ไปเรื่อยๆ ด้วย
Group Blog
 
<<
กันยายน 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
2 กันยายน 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ปลายเดือน กันยา's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.