รู้จักพระเยซูผ่านพระธรรม 2 ยอห์น 3 ยอห์น และยูดาห์
14 ตุลาคม 2012 คริสตจักรยะลา 2 ยอห์น 7 7เพราะว่ามีผู้ล่อลวงเป็นอันมากเที่ยวจาริกไปในโลกคนไหนไม่รับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์คนนั้นแหละเป็นผู้ล่อลวงและเป็นปฏิปักษ์กับพระคริสต์ อธิษฐาน ข้าแต่พระเจ้าขอบพระคุณที่ได้ทรงประทานคำแนะนำสำหรับการดำเนินชีวิตในยุคสุดท้ายเพื่อเราทั้งหลายจะระมัดระวังในการติดตามพระองค์ ขอทรงโปรดให้เราใกล้ชิดพระองค์และคุ้นเคยกับพระองค์ เพื่อเราจะจำเสียงของพระองค์ได้ และจะไม่ถูกล่อลวงให้หลงไปขอพระวิญญาณของพระองค์ทรงเร้าใจของเราให้ปรารถนาจะเดินไปกับพระองค์ในทุกวัน วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสแบ่งปันพระวจนะในการนมัสการภาคกลางคืนซึ่งผมค่อนข้างชอบเนื่องจากเรามักจะใช้เวลาน้อยกว่าในภาคเช้าและเนื้อหาจากจดหมายฝาก 3 ฉบับที่จะนำเสนอในวันนี้ก็ค่อนข้างมีเนื้อหาน้อยจึงน่าจะเหมาะสมกับการนำเสนอในภาคกลางคืนได้เป็นอย่างดีและครั้งต่อไปก็จะเป็นตอนสุดท้ายของซีรีย์ในการทำความรู้จักกับพระเยซูผ่านทางหนังสือแต่ละเล่มในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ เมื่อวานผมได้อ่านพบข่าวต่างประเทศข่าวหนึ่งเป็นเรื่องราวที่เกิดที่ประเทศบราซิล มีผู้นำลัทธิหนึ่งที่นั่นได้ชักชวนสมาชิกประมาณหนึ่งร้อยกว่าคน ให้ไปรวมตัวกันอยู่ในบ้านแห่งหนึ่งและกั้นรั้วรอบไว้ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลได้เข้าไปควบคุมบรรดาสมาชิกของลัทธิเหล่านั้นเนื่องจากเกรงว่าจะเกิดเหตุฆ่าตัวตายหมู่ เนื่องจากเจ้าลัทธิได้บอกว่ามีทูตสวรรค์มาปรากฏกับเขาเมื่อ 4 ปีก่อนและทูตสวรรค์ได้บอกถึงกำหนดเวลาของวันสิ้นโลก ซึ่งก็ตรงกับวันที่ 12 ตุลาคม 2012ในเวลา 16:00 ตามเวลาท้องถิ่นที่นั่น ตรงกับประมาณ ตี 2 ที่ประเทศไทยก่อนหน้านี้ประมาณ 1 เดือน เจ้าลัทธิก็ได้ชักชวนให้สมาชิกลาออกจากงานขายบ้านและทรัพย์สินต่างๆ และมาอาศัยอยู่ด้วยกันเพื่อรอรับเหตุการณ์วันสิ้นโลก แต่ณ เวลานี้ เราอยู่ในวันที่ 14 ตุลาคม 2012 แล้วและก็ไม่ได้มีเหตุการณ์วันสิ้นโลกเกิดขึ้นแต่อย่างใด เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าพี่น้องคริสเตียนทั่วโลกต่างก็รู้สึกลำบากใจมากกับกลุ่มที่มีความเชื่อผิดเพี้ยนแม้พระวจนะของพระเจ้าจะบ่งบอกไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าวันเวลาที่พระเยซูจะเสด็จกลับมา หรือวันสิ้นยุคนั้นจะไม่สามารถล่วงรู้ได้แต่ผู้นำลัทธิเหล่านั้นก็มีคำอธิบายที่เฉไฉจนกระทั่งสามารถจูงใจให้มีผู้คนติดตามพวกเขาไปเสมอจริงอย่างที่พระคัมภีร์ได้บอกไว้ล่วงหน้า และเมื่อ 3-4 สัปดาห์ก่อน เรื่องราวของหมอนวดเขมรที่อ้างว่ามีของประทานจากพระเยซูในการรักษาโรค และได้ทำให้ผู้ป่วยที่เป็นคริสเตียนเสียชีวิตจากวิธีการรักษาและคำแอบอ้างที่ไม่อาจยอมรับได้ ซึ่งก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของความบิดเบือนผิดเพี้ยนที่เราทั้งหลายต้องระมัดระวังและเราก็ควรจะเตรียมตัวที่จะตอบคำถามในเรื่องราวเหล่านี้ด้วยเพื่อไม่ทำให้พระนามของพระเยซูคริสต์ต้องเป็นที่เยาะเย้ย และเพื่อเรื่องราวนี้จะไม่กลายเป็นเหตุให้ผู้คนปฏิเสธข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เรื่องราวหลักๆในจดหมายฝาก 2 ยอห์น 3 ยอห์น และยูดาห์ก็เกี่ยวข้องกับการตักเตือนให้ระมัดระวังผู้สอนเท็จที่เที่ยวไปตามชุมชนของพระเจ้าเพื่อจะล่อลวงคนที่ขาดความเข้าใจให้หลงติดตามไป และหากไม่ได้หันกลับมาดำเนินในข่าวประเสริฐที่ถูกต้องก็เป็นที่น่าเสียดายที่ต้องหลุดพ้นไปจากการมีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า วันนี้เราจะมาติดตามหาพระเยซู ที่ปรากฏอยู่ในจดหมายฝากทั้ง 3ฉบับนี้ มาดูว่าเราจะเรียนรู้จักพระเยซูในมุมมองด้านใดบ้าง 2 ยอห์น 1-2 1จากข้าพเจ้าผู้ปกครองเรียนมายังท่านสุภาพสตรีที่ทรงเลือกไว้และบรรดาบุตรของท่านผู้ซึ่งข้าพเจ้ารักเนื่องในสัจจะ และมิใช่แต่ข้าพเจ้าเท่านั้นคนทั้งปวงที่ซาบซึ้งในสัจจะก็รักด้วย 2เพราะเห็นแก่สัจจะที่อยู่ในเราทั้งหลายและซึ่งจะดำรงอยู่กับเราเป็นนิตย์ มองเผินๆจาก 2 ข้อที่เราได้อ่านไปนั้นเราก็อาจไม่เห็นว่ามีพระเยซูในสองข้อนี้เลยแต่หากพี่น้องยังคงจำพระดำรัสของพระเยซูที่ทรงบอกว่า เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต(ยอห์น 14:6) และยังตรัสอีกตอนหนึ่งว่า สัจจะจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท(ยอห์น 8:32) ก็จะเริ่มมองเห็นการปรากฏของพระเยซูใน 2 ข้อนี้ พระเยซูทรงเป็นความจริง คำว่าสัจจะก็คือคำเดียวกันผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริงจะมีพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเขาหรือจะพูดอีกอย่างว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริงจะไม่มีการหลอกลวงอยู่ในชีวิตของเขา เมื่อพูดถึงเรื่องของสัจจะแล้วเรามักจะมีความรู้สึกอยากจะเถียงอยู่ในใจว่าจะเป็นไปได้อย่างไรที่เราจะสามารถพูดแต่ความจริงตลอดเวลา โดยไม่โกหกเลยตัวอย่างที่มักจะถกยกขึ้นมาเพื่อเป็นข้อโต้แย้งก็คือ การค้าขาย พูดคุยกับคู่ค้าเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพูดความจริงทั้งหมดหรือในขณะที่ให้ความช่วยเหลือแก่คนที่ถูกโจรผู้ร้ายติดตามมาและโจรผู้ร้ายนั้นถามว่าคนนั้นอยู่ที่ไหน จะยอมบอกความจริงหรือไม่ ครับ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แปลว่ายังมีโอกาสที่เป็นไปได้อยู่บ้าง ซึ่งโอกาสอันน้อยนิดนี่เองที่เป็นเหมือนกับทางแคบที่ลูกๆของพระเจ้าต้องเดินไป พระเยซูคริสต์ไม่ทรงมุสาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เราจะเป็นเหมือนพระองค์ได้ไหมเราอาจต้องยอมรับว่าไม่สามารถเป็นอย่างนั้นได้โดยสมบูรณ์แต่พระเจ้าทรงทอดพระเนตรดูที่เจตนาของเราความพลั้งเผลอกับการวางแผนในใจนั้นแตกต่างกันมาก 2 ยอห์น 7-11 7เพราะว่ามีผู้ล่อลวงเป็นอันมากเที่ยวจาริกไปในโลกคนไหนไม่รับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์คนนั้นแหละเป็นผู้ล่อลวงและเป็นปฏิปักษ์กับพระคริสต์ 8ท่านทั้งหลายจงระวังตัวให้ดีเพื่อท่านจะได้ไม่สูญเสียสิ่งที่ท่านได้กระทำมาแล้ว แต่อาจจะได้รับบำเหน็จเต็มที่ 9ผู้ใดล่อลวงและไม่อยู่ในพระโอวาทของพระคริสต์ผู้นั้นก็ไม่มีพระเจ้า ผู้ใดอยู่ในพระโอวาทของพระคริสต์ผู้นั้นก็มีทั้งพระบิดาและพระบุตร 10ถ้าผู้ใดมาหาท่านและไม่นำพระโอวาทนี้มาด้วยอย่ารับเขาไว้ในเรือน และอย่าสวัสดีกับเขา 11เพราะว่าผู้ที่สวัสดีกับเขาก็เข้าส่วนในการกระทำชั่วของเขานั้น ผู้สอนผิดในยุคนั้น ได้ปฏิเสธสภาพของพระเยซูคริสต์มีทั้งไม่ยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าและไม่ยอมรับเรื่องที่พระเจ้าได้เสด็จมารับสภาพของมนุษย์ซึ่งทั้งสองด้านเป็นหลักข้อเชื่อสำคัญของข่าวประเสริฐหากใครก็ตามที่สอนโดยปฏิเสธสถานภาพของพระเยซู ก็เป็นเครื่องบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าเป็นผู้สอนเท็จแม้จะมีคำสอนที่น่าประทับใจ หรือมีบุคลิกที่น่ายกย่องนับถือเพียงใดคนนั้นก็เป็นปฏิปักษ์หรือศัตรูกับพระคริสต์ ปัญหาที่น่ากลัวและซับซ้อนขึ้นในยุคสุดท้ายคือการหลอกลวงที่มีเล่ห์เหลี่ยมมากขึ้น ดังเราจะสังเกตได้ในโฆษณาสินค้าทางโทรทัศน์หรือสื่อต่างๆสิ่งชั่วร้ายมักจะไม่ปรากฏให้เห็นเป็นความชั่วร้ายล้วนๆแต่จะมีความดีบางส่วนปะปนอยู่บ้างเช่นโฆษณาสุราก็ให้ภาพของนักบริหารธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์และรักธรรมชาติ มีวิถีชีวิตที่ครบถ้วนเล่นกีฬาเก่ง มีน้ำใจงาม สุขภาพแข็งแรง มีรถยนต์แพง มีสาวสวยๆเพิ่งยกเลิกสัญญาก่อสร้างเพื่อช่วยเหลือคนยากจนในสลัมและมาจบลงที่การดื่มสุรานั้นอย่างภาคภูมิใจหรือโฆษณาเครื่องดื่มชูกำลังว่ามีวิตามิน B12 บำรุงสมอง โดยไม่พูดถึงสารอื่นๆที่ก่อปัญหาต่อร่างกาย หรือนักการเมืองที่ชั่วร้ายก็ไม่ได้ทำชั่วตลอดเวลา เขาฉลาดพอที่จะทำบางสิ่งดีๆกับคนบางกลุ่มเพื่ออาศัยคนกลุ่มนั้นมาเป็นเกราะป้องกัน คำสอนเท็จในยุคสุดท้ายก็เช่นกัน มีความซับซ้อนมากกว่าเก่ามีความจริงผสมปนเปกับความเท็จ มีเรื่องที่ถูกต้องผสมกับเรื่องที่ผิดเมื่อประกอบกับความโลภ หรือการรักความสะดวกสบาย ก็กลายเป็นกับดักที่น่ากลัวอาจจะชักนำผู้เชื่อให้หลงไปจากความจริงของพระเจ้าได้ ข้อ 8 บอกว่า 8ท่านทั้งหลายจงระวังตัวให้ดีเพื่อท่านจะได้ไม่สูญเสียสิ่งที่ท่านได้กระทำมาแล้ว แต่อาจจะได้รับบำเหน็จเต็มที่ เราจะต้องไม่หลงตามผู้สอนเท็จไปเพราะหากเป็นเช่นนั้น เราจะได้แต่ความสูญเปล่า 3ยอห์น 3-4 3เพราะว่าข้าพเจ้าปีติยินดีอย่างยิ่งเมื่อพวกพี่น้องบางคนได้มาและเป็นพยานถึงชีวิตอันคงเส้นคงวาของท่านตามที่ท่านได้ประพฤติตามสัจจะนั้น 4ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ข้าพเจ้าปีติยิ่งกว่านี้คือที่ได้ยินว่า บุตรทั้งหลายของข้าพเจ้า ประพฤติตามสัจจธรรม ในข้อที่ 4 ของจดหมาย 3 ยอห์นภาษาไทยฉบับแปล 1971 ใช้คำว่า ประพฤติตามสัจจธรรม ซึ่งมองเห็นเป็นภาพของผู้เคร่งครัดในการประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสอนในศาสนาส่วนภาษาไทยในฉบับ คิงเจมส์ใช้คำว่า ดำเนินตามความจริงซึ่งทำให้มองเห็นภาพในอีกลักษณะหนึ่งคือการดำเนินชีวิตตามอย่างพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นต้นแบบที่เราทั้งหลายต้องมองดูและดำเนินตาม - เราอาจคิดว่าเราไม่น่าจะสามารถตายบนไม้กางเขนอย่างพระองค์ได้แต่ในความเป็นจริงชีวิตเก่าของเราต้องถูกตรึงตายกับพระองค์ที่ไม้กางเขนนั้น - เราอาจคิดว่าเราไม่อาจฟื้นจากความตายเหมือนพระองค์แต่ชีวิตเก่าของเราได้ตายไปแล้วบัดนี้ชีวิตที่เราดำเนินอยู่คือชีวิตที่พระองค์ประทานให้เราฟื้นขึ้นใหม่ - เราอาจคิดว่าเราไม่อาจทำให้คนตาบอดมองเห็นได้แต่เราสามารถนำข่าวประเสริฐของพระเยซูไปถึงผู้คนเพื่อให้เขาได้เห็นความจริงของพระเจ้า - เราอาจคิดว่าเราไม่สามารถเดินบนน้ำเหมือนอย่างพระองค์ได้แต่ในชีวิตประจำวันที่เต็มไปด้วยปัญหา เหมือนเรือตกอยู่กลางพายุเราพบว่าพระองค์ทรงดำเนินอยู่เคียงข้างเรา - เราอาจคิดว่าเราไม่สามารถเรียกคนตายให้เป็นขึ้นแต่เราสามารถนำพระวจนะอันมีชีวิตไปถึงพี่น้องที่ห่อเหี่ยวสิ้นหวังเพื่อพระวจนะนั้นจะทำให้เขากลับฟื้นขึ้นมาใหม่ - เราอาจคิดว่าเราไม่สามารถทนต่อการทุกข์ทรมานเหมือนที่พระองค์โดนทหารโรมันกระทำแต่เราได้รับเกียรติร่วมกับพระองค์โดยการทนทุกข์เพื่อข่าวประเสริฐนั้น และอีกหลายประการ ขอให้เราได้ ดำเนินตามความจริง ยูดาห์4 4เพราะว่ามีบางคนได้แอบแฝงเข้ามาซึ่งพระคัมภีร์ได้บ่งไว้นานแล้วว่า เขาจะถูกพิพากษาลงโทษอย่างนี้เขาเหล่านั้นเป็นคนอธรรมที่ถือเอาพระคุณของพระเจ้าของเราเป็นเหตุให้กระทำความชั่วช้าลามกและเขาปฏิเสธพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นเจ้านายและองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแต่องค์เดียว จดหมายฝาก ยูดาห์ เขียนขึ้นโดยยูดาห์น้องของยากอบ ซึ่งเชื่อว่าหมายถึงยากอบน้องของพระเยซูคริสต์ ดังนั้นยูดาห์ผู้เขียนจดหมายนี้จึงเป็นน้องชายของพระเยซูเขียนไปยังคริสตจักรในสมัยแรกเพื่อแนะนำให้ระวังเรื่องผู้สอนเทียมเท็จ เราสามารถพบมุมมองเกี่ยวกับพระเยซูได้ในข้อที่4 คือ พระเยซูคริสต์ทรงเป็น เจ้านายและองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแต่องค์เดียวข้อความนี้ต้องใช้ความระมัดระวัง มิเช่นนั้นจะเข้าใจผิดไปว่าเป็นการยอมรับเพียงพระเยซู ไม่ยอมรับพระบิดา ไม่ยอมรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในข้อ 4 นี้ได้พูดถึงคำสอนเท็จที่บิดเบือนเรื่องราวแห่งพระคุณของพระเจ้าโดยยอมรับพระคุณของพระเจ้าเพราะเป็นประโยชน์แก่ตนเองที่จะทำชั่วตามใจปรารถนาแต่ตัดพระเยซูคริสต์ทิ้งไป พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระคุณของพระเจ้าที่ทรงโปรดประทานมาเพื่อคนบาปดังนั้นการจะรับเอาพระคุณของพระเจ้าโดยไม่รับเอาพระเยซูคริสต์จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ นอกจากนี้ใน 1 ยอห์น 2:23 ได้บอกไว้ว่า ผู้ใดที่ปฏิเสธพระบุตร ผู้นั้นก็ไม่มีพระบิดา ผู้ใดที่รับพระบุตร ผู้นั้นก็มีพระบิดาด้วย ดังนั้นการตัดพระเยซูคริสต์ออกไปก็เท่ากับการไม่ได้อะไรเลย การรับพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับพระบิดาด้วยและพระเยซูทรงขอให้พระบิดาประทานพระวิญญาณให้กับผู้ที่เชื่อในพระองค์ดังนั้นการรับพระเยซูคริสต์ จึงได้รับพระคุณของพระเจ้าอย่างครบถ้วน
Create Date : 27 ตุลาคม 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 27 ตุลาคม 2555 19:22:05 น. |
Counter : 1423 Pageviews. |
|
|
|