ความจริงที่เขย่าโลก--เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย
--ทีแรกว่าจะเขียนประวัติเมืองเชียงรายครับ แต่พอมาเจอคำว่า "ซีไอเอและบินลาดิน ก็รับใช้นายคนเดียวกัน" --------"มีอุโมงค์สู่โลกซึ่งภายในกลวง" --------"แผนลวงทำลายตัวเองถล่มตึกแฝด 9-11" เลยต้องมาตั้งหลักใหม่ครับ---เดี๋ยวมาครับ ข้อมูลเยอะมาก 1หน้าของเค้า เขียนได้ สัก 5 หน้าเรา แต่นี่ก็อปมา 100 กว่าหน้า ---------------------------------------------------
-----การขุดค้น-อุโมงค์สมัยโบราณ เป็นอารยธรรมที่เจริญกว่าเรามากในด้านวิทยาศาสตร์--ancient subterrain excavations /Oct. 1947
----ในปี 1938Norman Finley กับเพื่อนๆ ได้ขับรถจากเมือง Marathon, Texas เพื่อล่าสัตว์ เขายิงสิงโต มันสลบไป แล้วก็ฟื้นขึ้นมา มันวิ่งหนีไปที่ถ้ำเล็กๆ ตรงหน้าผา ที่เป็นชะง่อน มีกำแพงเล็กๆ ปากถ้าเป็นรูปถ้วยคว่ำ พื้นเป็นทราย ใหญ่จนสามรถจอดรถได้สักยี่สิบคัน พวกเขาโยนก้อนหินเข้าไป ก้ไม่พบสิ่งใด นอกนากเสียงก้อนหินที่กลิ้งไปไกลมาก และพบว่าถ้ำนี้ลึกเข้าไปยังเป็นรูกลมที่มีรัศมี 4-5 ฟุต อย่างน่าพิศวง ทีแรกนึกว่า เป็นเหมืองเก่าของชาวเสปน แต่ดูจากเสียงหินที่กลิ้งลงไปในหลุม มันน่าจะลึกมาก จนเสียงค่อยๆหายไป อุโมงค์นี้กลมเกลี้ยงอย่างน่าแปลกใจและทำมุมเฉียงอย่างคงที่ เมื่อพวกเขาทำคบไฟจาหญ้าแห้งที่พื้นถ้ำ และหย่อนลงไปในหลุม มันเหมือนว่า มีความลึกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ---ถ้ามันเป็นเหมือง หรือการขุดใดๆ ก็ต้องมีก้อนหินก้อนแร่ที่เกิดจากการขุด แต่พวกเขาไม่พบอะไรแบบนั้นเลยแม้แต่ก้อนเดียว ถ้าเป็นปล่องของเหมือง ก็ไม่น่าจะกลม และต้องมีก้นหลุม เพื่อจะขุดต่อไปในแนวราบ ยิ่งทำให้พวกเขายิ่งงง โโยที่ไม่มีเชือกติดมาด้วย พวกเขาจึงต้องเกาหัวและกลับออกจากที่แห่งนี้ไป ---Finley เขายังอยากจะกลับไปอีก แต่พวกชาวไร่ก็ไม่มีเวลาว่างกัน อีกช่วงหนึ่งเขาก็ตกจากม้าและขาหัก เมื่อผู้เขียนไปเยี่ยม เขาก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เรื่องประหลาดของ บิ๊กเบ็นด์ ก็มีแต่นี้ ----ยังมีอีกคนหนึ่งได้ไปตั้งแค้มป์กับเพื่อน6 คน ที่แถบนี้ THE SIERRA BLANCAS-1938 เพื่อทดสอบเครื่องมือิเล็คโทรนิคที่พัฒนาขึ้นเอง พวกเขาเจอถ้ำนี้ด้วย และสำรวจไปได้ 870 ฟุต และได้พบผนังที่มีการเขียนอยู่ทางขวามือที่ระยะ 650 ฟุต ในระดับสายตา เป็นอักขระที่คล้ายรูปลิ่ม เหรือเรียกว่า คูนิฟอร์ม(อารยธรรมสุเมเรี่ยน) ที่ 800 ฟุต มีคนหนึ่งล้มลงบนกองผ้าที่มีแต่ฝุ่น ซึ่งพบว่า เป็นส่วนหนึ่งของเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน ซึ่งผลิตมาไม่นานนัก แสดงว่า มีผู้ได้มาพบถ้ำนี้เมื่อไม่นานมานี้ ที่780 ฟึต พื้นเริ่มหักเหดิ่งลงมาก ที่ 900ฟุต ยิ่งชันมาก และมีความชื้น ซึ่งเป็นอันตราย พวกเขากลิ้งหินลงไปอีก แต่ก็เงียบไปในไม่กี่วินาที พยายามจุดไฟ แต่ก็ติดยากมาก เพราะอากาศน้อย เชื้อกหรือลวดสลิงก็จะหมด และไม่มีขายในระยะขับรถไปไม่เกิน 50ไมล์ --ใกล้ๆนั้นมีหน้าผา และยอกเขาอปาเช่ ซึ่งชันมาก สูงเป็น 1,000 ฟุต อีกด้านเป็นพื้นที่ทำพิธีของเผ่า มีสิงโตภูเขาและหมาป่าชุกชุมมาก มีกวางและแกะภูเขา และหญ้าสูงก็ปิดบังทางเข้าที่ถูกขัดจนเป็นมัน --พวกเขาขึ้นหน้าผาที่สูงชัน และพบว่ามันเหมือนกลวง จนพบอุโมงค์ขนาด 6ฟุตเข้าไปจะมีมีโพรงรูปไข่ ขนาด 30 คูณ 18 ฟุต และมีการเชื่อมไปยังหลุมอื่นๆ โดยการต่อเชือกเข้าด้วยกัน พวกเขาพบหินก้อนใหญ่เท่าเปียนโน ประกอบขึ้นจากเปลือกหอย และพบเศษเครื่องปั้นดินเผาจำนวนมาก อากาศเริ่มเย็นขึ้น ได้ยินเสียงเหมือนน้ำหรือลมอย่างรุนแรง และพบโครงกระดูกมนุษย์สองร่าง มี่500 ฟุตจากทางเข้า ซึ่งเก่าแก่มาก เมื่อจับดู มันจะกรอบจนแตกออก ทุกอย่างอยู่ใต้ฝุ่นที่หนามาก เมื่อข้างนอกร้อนจัดประมาณว่าน้ำเดือด แต่ตอนนี้มันหนาวจัดจนแทบจะขาดใจ ---แล้วพวกเขาก็พบกำแพง เป็นจุดสิ้นสุด มันราบเรียบสุดวิเศษ จนพวกเขาทุกคนไม่สามรถยอมรับว่ามันเป็นสิ่งธรรมชาต ไม่มีแม้รอยแตกหรือรอยขีดข่วนสักนิด มันมีลวดลายแบบหินอ่อน ในส่วนกลางประมาณ9ฟุต ส่วนนอกสัก 11 ฟุต เมื่อเอาหูแนบ จะได้ยินเสียงน้ำแรงขึ้นมาก และหินก้เย็นมากจนจับต้องไม่ได้เลย โดยที่มีเหมืองหินอ่อนอยูใกล้ ก็ยังสงสัยว่ามันไม่ใช่ของธรรมชาติอยู่ดี เมื่อไฟฉายเริ่มอ่อนแสงลง และมีเพียงไม้ขีด พวกเขาจึงลงความเห็นว่า ต้องออกไปให้เร็วที่สุด --เมื่อพบทางออกแล้ว ก็มีการปรึกษากันนิดหน่อย ก่อนจะงีบหลับกัน --วันต่อมาก็เริ่มคิดเหมือนคนทั่วไปว่า มันก็คือถ้ำธรรมดา โดยที่เมืองคาลส์บัดห่างไป 65 กม.เท่านั้น แต่ทุกคนในประเทศนี้ ยังไม่รู้ว่า มีอุโมงค์ลับมากมายเหมือนรังผึ้งอยู่ที่ข้างใตพื้น้ดิน
---นักสำรวจชื่อFrank D. Adams ได้เขียนในบทความวิจัยส่วนตัวของเขาว่า มีอุโมงค์ขนาดยักษ์อยู่ในชั้นหินแกรนิต(ซึ่งแข็งมากๆ) ในระดับลึก 11 ไมล์ โดย Louis V. King นักคณิตศาสตร์ ก็เห็นด้วย เพราะสอดคล้องกับการคำนวณว่า มันกล้างระหว่า 17.2 ถึง 20.9ไมล์
---Dr. Ron Anjard แถลงในฤดูร้อนปี 1978 ว่า มีเมืองถึง 44 เมืองใต้ดิน ในช่วงของทวีปอเมริกาเหนือ (ความรู้ส่วนตัว)---44 underground cities beneath the surface of North America---6เมืองร่วมกันอยู่ทางตะวันตก ความรู้นี้ได้มาจากชาวอินเดียนแดงพื้นเมืองที่ไม่ออกนาม โดยทยังมีการเดินทาเข้าออกกับอาณาจักรฬต้ดิน และคงความเจริญที่ได้จากนอกโลก โดยที่พวกเขาได้รับรู้การยึดครองของคนผิวขาว แองโกล-แซกซอน จึงหนีไปตั้งรกรากอยู่ใต้ดิน และน่าจะเป็นแบบนี้ในอเมริกากลางและใต้ด้วย...
----ในการสัมภาษณ์ผู้รอดชีวิตจากเหมืองระเบิด เมื่อ 26,ธค.1945 (Belva Mine Disaster )เขามองเห็นประตูบานหนึ่งถูกเปิดออก มีชายที่แต่งตัวแบบชาวบ้าน-คนตัดไม้ ออกมาจากห้องซึ่งมีแสงสว่างอย่างดี แต่เมื่อแน่ใจว่าพวกเขาได้ความช่วยเหลือแล้ว ชายคนนั้นก้เปิดประตูเร้นกายหายไป--มันจะเป็นพวกมีร่างกาย หรือเป็นวิญญาณ-ผีปีศาจกันแน่ ---เหตุการ์ณคล้ายกันเกิดอีกครั้งที่Shipton, Pennsylvania ชายที่ติดในเหมืองสองคน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นวิญญาณเทพ ได้ถือตะเกียงแสงมาด้วย และบอกว่า พวกเขาจะได้รับการช่วยเหลืออย่างแน่นอน -humans or supernatural beings จะเป็นคน หรือเป็นพวกเทพก็ตาม แต่แสงสีฟ้านั่นนะเขาว่ามีจริง และยังมีภาพสามมิติที่ฉายไปยังกำแพง ก้ยยังมองเห็นผนังด้านหลังอยู่หรือไม่ก็หายไป เมื่อเขาเอามือแตะมัน
R. L. Blain-Sanders, TUNNELS AND CAVERNS BENEATH NEW YORK CITY/,อุโมงค์และถ้ำใต้เมืองนิวยอร์ค? 1981 issue of /SHAVERTRON/ ในปี 1962 Con Edison,ได้ทดลองเจาะลงไปในสวน นอร์ท-อีสต์ริเวอร์ 200ฟุต พบว่ามีช่วงที่เหมือนโดมใต้ดิน Con Edison,ได้แสดงความเห็นว่าทางพวกคริเตียนของโบสถ์ฌวนท์จอนห์นสมัยนั้นได้ขุดอุโมงค์ไว้เป็นทางหลบหนี antediluvian ?Atlanteans, diluvian จะเป็นพวกดิลูเวียน หรือ แอนติดีลูเวี่ยน หรือแอตแลนติส แต่พวกเราก็มีรายชื่อของคนที่หายไปจากผิวโลก ในและรอบๆนิวยอร์ค เป็นจำนวนมากมาย
อุโมงค์ลับใต้น้ำตกไนแองการ่า
อันนี้อุโมงคฺลับของจริง บนโน้นเป็นพวกตัวอย่าง-หนังมั่ง
อุโมค์ลับที่ภูเขารัชมอร์
Create Date : 21 กันยายน 2553 |
|
5 comments |
Last Update : 21 กันยายน 2553 22:39:14 น. |
Counter : 3360 Pageviews. |
|
|
|