สดายุ

"O หาผู้เหมาะรู้จะอภิวัฒน์
ทะนุรัฐะมณฑล
หาผู้เหมาะรู้จะอนุสนธิ์
คณะชนและเดชา
O ใช่ผู้เพราะรู้จะรณรงค์
ระบุบ่ง ก็ ศอก-วา
ไป่รู้จะชูสุขะสถา-
ปวะภาวะสู่ชน"

หาเจอไหมคะ 555

มินตรา ..
พูดตามจริง ผมมีสิงคโปร์เป็น model
ไม่ต้องประชาธิปไตยจ๋าแบบตะวันตกก็ไม่เป็นไร
แต่ผู้นำสูงสุดต้องไม่มีใครสูงกว่าอีกและมีสมอง
ต้องเปลี่ยนแปลงการครอบงำจาก”เค้าโครงความคิดที่คร่ำครึ”ให้ได้ ..
มันถึงจะพอไปได้

สดายุ..

สิงคโปร์น่ะ เล็กกว่าเกาะภูเก็ตอีกนะ เท่าที่ทราบ
แล้วใช้วิธี เผด็จการ เผาบ้านประชาชนเพื่อไม่ต้องเสียค่าเวนคืนที่ นี่ มิใช่วิถีที่มินตราเห็นด้วย

งานที่ เป็นอริยะจริงน่าจะเป็นการรวมสหภาพยุโรป นะ เพราะต้องฝึกให้คนยกระดับตนให้สูงขึ้น ทั้ง กาย วาจา ใจ
ยาก แต่ยั่งยืน ผู้ทำต้องรักมนุษยชาติจริง และ อดทน

มินตรา ..
เรากำลังพูดถึงคนไทยนะครับ
คนเยอรมันนะ แม้แต่ช่างของร้านมอเตอร์ไซด์ริมถนนก็ออกแบบ hub-less wheel จนจดลิขสิทธิ์เป็นของตัวเองได้ ..
แต่คนไทย อย่างมากแค่ปะยางใน

ดูอย่างชนชั้นกลางที่ออกมาปิดเมือง ล้มเลือกตั้งที่ผ่านมาดูนะ
แม้มีการศึกษา แต่ลักษณาการ”เชื่องเชื่อ”อันเป็นลักษณะเฉพาะทางชาติพันธุ์ยังไม่อาจต่อต้าน”การรับรู้ด้านเดียว”ได้
เราจะพิจารณากรณีนี้อย่างไร

การขาย AIS โกง
แต่การขาย DTAC ไม่โกง .. เจ้าสัว เมียสาว ไม่เคยได้รับการก่นด่าจากเผ่าพันธุ์เชื่อเชื่องใต้กะลาครอบนี้เลย
มันเป็นตรรกะวิบัติล้วนๆครับ ..

คุณภาพทางความคิดมีปัญหามากทั้งระดับด้อยการศึกษาและมีการศึกษา
จึงต้อง ชี้ สั่ง กดหัว ครับ ปล่อยแบบอารยะประเทศไม่ได้

สดายุ..

เมื่อตอนร.๕ เลิกทาสนั้น ทาสทั้งหลายไม่ยอมไปจากนายทาส ร้องไห้ร้องห่มกัน มีเสียงบ่นกันว่า
"อยู่บ้านจ้าวบ้านนาย เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานท่าน แล้วจะให้กลับไปอยู่บ้านป่าบ้านดอย ไปเลี้ยงลูกวัวลูกควาย ได้ ยังไง ไม่ไปหรอก ลำบาก" ประมาณนี้
เพราะจู่จู่ก็ปล่อยไป ไม่วางมาตรการชีวิตให้

เห็นไหมว่า คนที่ไม่ยอมไปมีสิทธิเสรีภาพนั้น เค้ารู้ว่า ตนเองต้องรับผิดชอบดูแลตนเอง ซึ่งเป็นภาระอันใหญ่หลวง ที่ตนเอง ทำไม่ได้
จึงยอมที่จะไม่มีเสรีภาพ เพื่อจะไม่ต้องรับผิดชอบกับชีวิตตนเอง
ฉนั้น เราจะไปสรุปว่าคนไทยโง่ไม่ได้ เพียงเพราะรักสบาย

เหมือนรับราชการ กับทำธุระกิจส่วนตัวที่ต้องเหน็ดเหนื่อย ต้องเสี่ยงอีก ต่างหาก รับราชการดีกว่า !

ประชาธิปไตย มี"ราคา" ในตัวของตัวเองที่ประชาชนต้องรับผิดชอบ

เราจึงต้องเสนอสิ่งที่ดีกว่าให้ ในระบบใหม่ เช่น
- สวัสดิการจากรัฐหากเราบริหารกันเอง
- โอกาสที่เท่าเทียมกัน
- นวัตกรรม เพื่อประชาชนจะได้มีเทคโนโลยี่ใหม่มาทำมาหากิน ได้ง่ายขึ้น

มินตรา ..

เหมือนจะบอกว่า กลุ่มขวา-ขวาจัด (royalist-ultra royalist) ที่ปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง หรือ ตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลง จึง"กลัว"ที่จะก้าวเดินเองไปข้างหน้าหากไม่มี"เจ้านาย" เหมือนจิตใจของปวงทาสยุค ร.5 สินะครับ

เป็นความกลัวในสิ่งที่ยังมองไม่เห็นว่าจะดีหรือร้ายกว่าเดิม จึง attached สิ่งเดิมๆไว้เป็นที่พึ่งทางจิตใจไปก่อน

รวมทั้งหากเป็นผู้ที่ได้เปรียบผู้สุขสบายดีอยู่แล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปเปลี่ยนแปลงมัน .. ส่วนคนอื่นฉันไม่รับรู้

ผมเห็นด้วยนะกับ 3 ข้อสุดท้ายที่เขียนมา
แต่ .. ระบบอุปถัมภ์ อย่างเดียวนี้สามารถทำลายทั้ง 3 ข้อได้จนหมดสิ้น ..

เป็นระบบอุปถัมภ์ที่กำลังฝังสยามประเทศลงหลุม ที่จะค่อยๆกลายเป็นดินแดนที่ล้าหลัง ไร้ระเบียบ ระบบยุติธรรมล้มเหลว และปราศจากความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน

ก่อนอื่นเราต้องชัดเจนว่า ..
.. อำนาจสูงสุดในประเทศนี้ เป็นของใครกันแน่ ?

เรื่องนี้เรื่องเดียว .. สามารถตอบทุกคำถามในกรอบของรัฐศาสตร์ได้หมด

และเราต้องกล้าที่จะพูดกันอย่างตรงไปตรงมา

สดายุ..

มิได้นะคะ
ไม่ใช่พวกกลุ่มขวา-ขวาจัด (royalist-ultra royalist) เท่านั้น แต่พูดถึง"ประชาชนคนเดินดินทั่วไป"

ในเยอรมันตะวันออกเช่นกัน เมื่อตอนเปิดประเทศนั้น ผู้ที่"กล้า" กระโดดออกสู่โลกภายนอกคือผู้ที่มี"ความรู้ " "ความสามารถ" จนมั่นใจใน"ฝีมือ"ตนเอง จึงต้องการเพียง "โอกาส"ที่จะมาถึง

ผู้เชี่ยวชาญท่านก็เปรยว่า เสมือนไก่ในเล้า เมื่อเปิดประตู ก็ใช่ว่าไก่ทุกตัวจะบินออก ส่วนหนึ่งจะเกาะติด คอน (ไม้ที่ทําไว้ให้นกหรือไก่จับ) อยู่ในกรง

คือมินตราเห็น ดุด่าว่า ประชาชนกันบ่อยบ่อยว่า โง่เง่า เป็นเต่าเป็นตุ่น ก็เลยเสนอแนวคิดว่า
"ประชาชนคนไม่กล้า" นั้น ไม่กล้าเพราะ อะไร และวิธีที่จะกระตุ้นให้ ประชาชนเป็นคนกล้านั้น ควรทำเช่นไร

มินตรา ..

ที่ผมเขียนส่วนมาก ผมจะเยาะเย้ยถากถางกลุ่มที่มีการศึกษาเสียเป็นส่วนใหญ่
ส่วนตาสีตาสาตามบ้านนอกนั้นผมเข้าใจในวุฒิและกระบวนทัศน์ของพวกเขาได้ดี

ในส่วนที่มีการศึกษา หรือ ปัญญาชน ที่ควรชี้นำสังคมได้ ..
แม้จะออกไปพ้นเงื้อมมือ”เจ้าพ่อ”แล้ว ยังรำมวยกันไม่รู้จบ – นี่ .. น่าขัดใจจริงๆ
ไม่กล้าชี้ออกมา ไม่กล้าแม้แต่จะพูดความจริงที่ควรพูดอย่างตรงไปตรงมา – ที่เป็น”อีกด้าน”ของการรับรู้

พื้นฐานทางรัฐศาสตร์โดยสามัญสำนึกมีว่า ..
หากคุณเป็นคนมีอำนาจจัดการเรื่องราวในสังคม
ด้วยมาตรวัดความเจริญ ความสมบูรณ์พูนสุข ความปลอดภัย ความเที่ยงธรรมยุติธรรม ในชาติตนเองมันควรเทียบกับชาติอื่นแล้วดีกว่า .. และโดยการประเมินจาก”ผู้อื่น” มิใช่ “พวกกันเอง”

หากด้อยกว่าแทบทุกด้านที่เป็นด้านดี – แปลว่า การจัดการเรื่องราวของคุณมันด้อยประสิทธิภาพ มันไร้ประสิทธิผล
แปลว่า .. สมอง สติปัญญาคุณ มันด้อย มันกระจอก (ให้นึกถึงลีลา อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ประกอบ - 55)

และนั่นคือ คุณไม่คู่ควรจะมีอำนาจจัดการประเทศนี้ – ไม่ว่าโดยทางเปิดเผย หรือ โดยทางลับ

หม้อต้มน้ำ หากสุมไฟ (ความไม่ถูกต้อง การอยุติธรรม ความเจ็บแค้นคับแค้นของคนส่วนใหญ่) เข้าไปตลอดเวลานานเข้า
และไม่ยอมเปิดฝาไว้บ้าง .. มันจะระเบิด

การระเบิดในอนาคตมันจะมี 2 รูปแบบ
แบบ Bolshevik ..
และแบบ Dallas Method ..

สดายุคะ
แบบ Bolshevik .. น่ะพอจะทราบ
แต่ แบบ Dallas Method ..นี่ มิทราบค่ะ
กรุณาขยายความ

มินตรา ..
ถือว่าเป็นความเห็นต่อสภาพการณ์ในโลกก็แล้วกันไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นที่ไหน

แบบ Bolshevik คือแบบที่เกิดขึ้นในรัสเซีย จีน และอิหร่าน คือมีกระบวนการดำเนินการ
ชัดเจน ผสานกันอันประกอบด้วย
1.อุดมการณ์ร่วม และกลุ่มบุคคลที่ได้รับการยอมรับเพื่อชี้นำการเปลี่ยนแปลง
2.แนวร่วม เพื่อการสนับสนุนทางความคิดให้เกิดความชอบธรรมไปในวงกว้าง
3.กองกำลังติดอาวุธ เพื่อการต่อสู้เปลี่ยนแปลง
ผมไม่นับฝรั่งเศสเพราะดูเหมือนจะขาดการจัดตั้ง เหตุการณ์ปะทุอย่างสะเปะสะปะ
คือเกิดจากความโกรธแค้นชิงชังทางชนชั้นแล้วปะทุขึ้นมาโดยไม่ได้วางแผน

แบบแรกนี้ จะเกิดการเข่นฆ่าล้มตายเป็นสงครามกลางเมือง คนจะตายเป็นจำนวนมาก
อย่างการปฏิวัติจีน เหมา มีส่วนฆ่าคนไปร่วม 20 ล้าน

แบบ dallas method คือกรณีการลอบสังหารประธานาธิบดี เคนเนดี้ ของสหรัฐ
ซึ่งเป็นชนชั้นนำที่ยึดกุมอำนาจรัฐอยู่ (และทำนองเดียวกับที่มือปืนผิวดำ กระทำต่อ
ตำรวจผิวขาวใน dallas เมื่อเร็วๆนี้ด้วย ..)

พื้นฐานความคิดมีว่า .. ในสังคมหนึ่งๆ กลุ่มที่ยึดกุมอำนาจรัฐอยู่บนยอดสุดของพิรามิดนั้น
มีไม่เกิน 500 คน รวมในทุกวงการ

ผมยังรวมกรณีลอบสังหาร มหาตมะคานธี, อินธิราคานธี, ราจีฟ คานธีรวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย

คนทำต้องการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่มีการจัดตั้ง จึงส่งผลสะเทือนไม่มากในสังคมที่มีระเบียบ
แบบแผนดีแล้ว ..

อย่างหลังนี่ การบาดเจ็บล้มตายจะน้อยกว่ามาก

แต่หากจะให้ส่งผลสร้างแรงสะเทือนได้มากก็ต้องจัดตั้งเป็นขบวนการแบบชายแดนใต้ ..
ซึ่งจะเห็นได้ว่า อำนาจรัฐจัดการไม่ได้ มาร่วม 10 ปีแล้ว (ซึ่งนั่นแค่ 3 จังหวัดเท่านั้นเอง)
เพียงแต่วิธีการนี้ค่อนข้าง “ขาดความชอบธรรม”

แต่จะว่าไปแล้ว ..
Dallas method นี้เคยสร้างความตายของคนจำนวนมากติดตามมาอย่างคาดไม่ถึงเหมือนกัน

อาร์ชดยุกฟรันซ์ แฟร์ดีนันด์แห่งออสเตรีย ทรงเป็นอาร์ชดยุกแห่งออสเตรีย-เอสเต ประมุขแห่งพระราชอิสริยยศออสเตรีย-เอสเต ทรงเป็นเจ้าฟ้าชายแห่งฮังการีและโบฮีเมีย และองค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีอีกด้วย โดยพระองค์ทรงเป็นองค์รัชทายาททางพฤตินัย ไม่มีการสถาปนาอย่างเป็นทางการ

พระองค์ทรงเป็นองค์รัชทายาทจวบจนกระทั่งสิ้นพระชนม์กะทันหัน โดยถูกลอบปลงพระชนม์โดยนักชาตินิยมหัวรุนแรงชาวเซอร์เบีย ที่เมืองซาราเยโว ประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาซึ่งขณะนั้น ยังเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีอยู่ หลังจากพระองค์และพระชายาถูกลอบปลงพระชนม์นั้น ทำให้ออสเตรีย-ฮังการี ประกาศสงครามกับเซอร์เบียในสงครามโลกครั้งที่ 1 ทันที

เป็นสาเหตุของการเกิด ww1
และ ww1 เป็นที่มาของ สนธิสัญญาแวร์ซายด์
และสนธิสัญญาแวร์ซายด์ เป็นที่มาของ ww2 .. อันสืบเนื่องต่อมา

หรือจะพูดให้ถึงที่สุดคือ การลอบสังหาร อาร์ชดยุกแห่งออสเตรีย-เอสเต มีผลสืบเนื่องเป็นลำดับต่อมาถึง การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ ฮิโรชิมา ของญี่ปุ่น ก็ได้

ดายุ..

คงเห็น O ทุรยุค .. O ในตุรกี ในปีนี้ศตวรรษนี้ วันนี้แล้ว

มินตรา ..

ทหารตุรกีทำรัฐประหารล้มเหลว เพราะ ..
.. ประชาชนออกมาต่อต้านไม่กลัวทหาร แถมช่วยกันจับทหารส่งตำรวจ (ขณะที่บางประเทศตำรวจจับคนต่อต้านรัฐประหารส่งทหาร 555)
.. ไม่มีใคร"ให้การรับรอง"การทำผิดกฎหมายครั้งนี้

ประธานาธิบดีคนนี้ก็ใช่ว่าคนตุรกีจะชื่นชมนัก บางส่วนก็ไม่ชอบ .. แต่เขายึดหลักการ คือมาด้วยบัตรเลือกตั้งก็ต้องไปด้วยบัตรเลือกตั้ง ..

ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของทหารจะมายุ่งวุ่นวาย