การลงทุนที่อิงหลักเหตุผล + BH กรณีศึกษา ..
..value investor คือ นักลงทุนในตลาดหุ้นที่อิงหลักการและเหตุผล.ในทุกกิจการธุรกิจที่ตั้งขึ้นมาล้วนต้องการผลกำไรตกแก่เจ้าของกิจการทั้งสิ้นในขณะที่ กิจการหนึ่งๆ กว่าสรุปผลประกอบการได้ ก็ต้องสิ้นปีไปแล้ว ราคาหุ้นมันจะขึ้นๆลงๆ รายวันได้อย่างไร ?.ค่าวัตถุดิบ+ค่าใช้จ่ายในกระบวนการผลิตสินค้า+ค่าใช้จ่ายอื่นๆ = ต้นทุนสินค้าต้นทุนสินค้า+กำไรที่ต้องการ = ราคาขาย.คุณค่าของกิจการเกิดจากอะไร ?.ราคาขาย - ต้นทุนทุกอย่างรวมทั้งภาษี = กำไรสุทธิกำไรสุทธิ นี้เองที่เจ้าของสามารถเลือกได้ว่าจะ1- ขยายกิจการต่อไป (เพื่อลดภาระดอกเบี้ยจากการกู้ธนาคาร)2- จ่ายผลตอบแทนคนทำงานในกิจการ ทั้งในรูปสวัสดิการ โบนัส ขึ้นเงินเดือน3- จ่ายปันผลผู้ถือหุ้น.บางธุรกิจ .. ทำทั้ง 3 อย่าง แต่เน้นหนักไปใน ข้อ 1 เช่นกลุ่ม CP ที่ปันผลน้อยมาก และกิจการขยายตัวมาก เจ้าของรวยมาก ... ผู้ถือหุ้นได้ปันผลใน % ที่ต่ำมาก.บางธุรกิจ .. ทำทั้ง 3 อย่างแต่เน้นหนักไปในข้อ 3 เช่นกลุ่ม SINGTEL ที่ถือหุ้นใหญ่ใน INTUCH - AIS .. กิจการขยายตัวไม่มากแล้ว (ถึงจุดอิ่มตัว) เจ้าของเก็บเกี่ยวผลกำไรเหมือนผู้ถือหุ้น แต่มีสัดส่วนที่มากกว่าผู้ถือหุ้นรายย่อย ... ผู้ถือหุ้นได้ปันผลใน % ที่ค่อนข้างสูง.กว่าจะรู้ว่ากำไร ขาดทุนมากน้อยแค่ไหน ต้องรอปิดงบประจำปีทางบัญชีก่อนแล้วหุ้นจะขึ้นรายวันได้อย่างไร ?.ตอบว่า .. ผลประกอบการ (จะดีหรือเลวก็ตาม) + อารมณ์ความคาดหวังผลตอบแทนเชิงการพนัน.มันไม่มีผลตอบแทนจากกิจการที่จะเปลี่ยนแปลงรายวันมันมีแต่อารมณ์ความคาดหวังผลตอบแทนเชิงการพนัน ล้วนๆ เท่านั้น !.คนที่ชัดเจนในตัวเอง ว่าอะไรคือความต้องการของตัวเองเท่านั้นที่จะมั่นคงไม่หวั่นไหวคนที่ยึดหลักการ และเหตุผลเท่านั้น ถึงจะมีความชัดเจนอย่างที่ว่า.กำไรสุทธิ หลังจากหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างออกแล้วนี่เองคือเงินที่จะเอาไปทำอะไรก็ได้ - เป็นกระแสเงินสดอิสระ คำนี้แปลมาจากภาษาอังกฤษ คำว่า Free Cash Flow .. FCF.ลุง วอเรนต์ เรียกมันว่า Owner Earning - ส่วนของเจ้าของ (หมายถึงผู้ถือหุ้นทุกคน) .เมื่อมี ข่าวหุ้นสักตัว feed ขึ้นมาใน Facebook .. เราแค่ จำชื่อย่อมัน แล้วไปดูรายละเอียดทางการเงินของมันก่อนอื่น .Web : Morning Stars เป็นเวป สำหรับนักลงทุน เขาทำตัวเลขทางการเงินของผลประกอบการของกิจการไว้แล้ว รวมทั้งของตลาดหุ้นไทย.เราจะเห็นย้อนหลังได้ถึง 10 ปี..เป็น 10 ปีที่ผลประกอบการสม่ำเสมอ..หรือเป็น 10 ปีที่ผลประกอบการขึ้นๆลงๆ ..หรือจะเป็นเพียง 4-5 ปีของผลประกอบการ เพราะเพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์มาแค่นั้น.อย่างน้อย ฝรั่งไม่ทำข้อมูลแหกตานักลงทุนเด็ดขาด.10 ปี ถึงจะพอเห็นฝีมือกันเช่นเดียวกับการตีเส้นตรงยาวๆ ด้วยไม้บรรทัดสั้น .. เราต้องทาบส่วนไม้บรรทัดลงบนเส้นที่ลากไว้แล้วบางส่วนเสมอเพื่อให้เส้นที่จะตีต่อไป - ตรง !.เส้นส่วนที่ตีไว้ก่อนแล้ว คือ อดีตถ้าอดีตทำไว้ดี ก็ "เป็นไปได้" ที่อนาคตจะทำได้ดีต่อไป .. อันนี้เป็น Logic .สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในอดีตเอง มันมีร่องรอยแสดงอยู่เป็นต้นว่าปีที่เกิด sub prime เป็นปี 2008 .. กราฟของ FCF อาจลงแตะพื้นหรือถึงขั้นติดลบ .. แต่ต่อมาก็จะฟื้นกลับมาเหมือนเดิม.และหากว่าเรื่องเช่นนั้นจะเกิดในอนาคตอีก ก็ไม่ต้องตระหนกตกใจเกินเหตุ !.อดีต บอกอนาคตได้ระดับหนึ่ง แต่ต้องประเมินด้วยความเป็นไปได้ที่ ปลอดภัยเพียงพอการเติบโตของกิจการมันมีวัฏฏะจักร ด้วยหลากหลายปัจจัยหากอดีต 10 ปีที่ผ่านมากิจการโตในระดับเฉลี่ย 20 %อนาคต 10 ปีข้างหน้า มันไม่สามารถคาดหวังได้ จึงจำต้องลดความคาดหวังให้สมจริง โดยอาจใช้เพียง 10% - 8% หรือกระทั่ง 5% .. เป็นตัวเลขการเติบโต.ความคาดหวังยิ่งต่ำ ยิ่งปลอดภัย.การประเมินราคาหุ้นที่สมเหตุสมผล จึงตั้งอยู่บนบรรทัดฐานเช่นนี้เอง-เอาอดีตมาตั้ง-เปลี่ยนอดีตเป็นข้อมูลทางคณิตศาสตร์ - การใช้กราฟจึงเข้าใจได้ง่าย-คาดการณ์ต่อไปในอนาคต ด้วยความคาดหวังที่ ต่ำลง เพื่อความปลอดภัย เป็นต้นว่าอัตราเติบโตของธุรกิจ ด้วยเหตุผลบางประการ- - - เศรษฐกิจโลกโดยรวมหดตัวลง- - - สถานะประเทศในการทำธุรกิจ ธุรกรรม ถูกจำกัดด้วยการเมืองที่ไม่เป็นที่ยอมรับ- - - การเติบโตของขนาดกิจการ ยิ่งใหญ่มากขึ้น ยิ่งรักษา % การเติบโตแบบเดิมยาก- - - เกิดความเปลี่ยนแปลงในพัฒนาการของตัวสินค้าอย่างมีนัยะสำคัญ .. เป็นต้นว่าสินค้าที่มีคำว่า "smart" ทั้งหลาย - มือถือ ทีวี รถยนต์ ฯลฯ.หากคำนวณราคาหุ้นไม่เป็น ประเมินไม่ได้ว่า .. หุ้นตัวนี้ ที่สนใจอยู่นี้ ..ราคาที่เหมาะสมคือเท่าไร ?.แล้วราคาที่ซื้อขายกันตอนนี้ ต่ำกว่า หรือ สูงกว่า ราคาที่มันควรเป็น ก็ไม่รู้ ?เมื่อไม่รู้ ก็คือ การพนัน !.เนื่องจากไม่มีพื้นฐานความคิดว่า ซื้อต้นทุนต่ำ หรือ สูง ?จึงต้องเชื่อ "เขาว่า" อย่างเดียวกลายเป็นตาบอดคลำช้าง !.ความจริงพื้นฐานของกิจการมีว่า ..มูลค่าของมัน ต้องประเมินจาก .... ความสามารถทำกำไร - มองจากอดีตที่ผ่านมา.. สินค้าเป็นที่นิยม ต้องการ ของผู้ซื้อ (เช่น โค๊ก โตโยต้า แอปเปิล) - มองปัจจุบัน.. สินค้านี้จะขายไปได้อีกนาน คู่แข่งหน้าใหม่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งยาก - มองไปในอนาคต.หากครบองค์ประกอบ .. ก็น่าลงทุนหากราคาที่เหมาะสมที่ประเมินไว้ "สูงกว่า" ราคาในตลาดตอนนี้ แปลว่า ของดีราคายังถูก .. ก็น่าจับจ้อง และ จับจอง !===========================================....BH - กรณีศึกษา(ที่มา ..//buffettcode.com/)หุ้น BH ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดที่ 260 บาทช่วงเดือนสิงหาคมปี 2015ปัจจุบันหุ้น BH ลงจาก 260 มาอยู่ที่ประมาณ 180 บาทหรือลดลงมาประมาณ 30% จากราคาสูงสุดรายได้ที่เคยเติบโตก็เริ่มมีการติดลบคำถามคือที่ราคานี้ BH เป็นหุ้นที่น่าซื้อหรือไม่? ราคาจะลงไปอีกหรือเปล่า?BH ซึ่งเติบโตมาจากลูกค้าชาวต่างชาติ โดยเฉพาะอาหรับจะกลับมาเติบโตได้อีกมั้ย?เรามาเริ่มต้นด้วยอดีตของ BH กันก่อน เมื่อ 16 ปีก่อนครั้งหนึ่ง BH เคยเป็นรพ.ที่มีคนไข้ส่วนใหญ่เป็นคน ไทยในปี 2001 BH มีสัดส่วนรายได้จากคนไข้ตปท. แค่ 35% ที่เหลือเป็นรายได้จากคนไข้ไทย 65%ในปี 2006 BH รายได้คนไข้ตปท.สูงขึ้นจาก 35% เป็น 54% รายได้จากกลุ่มนี้โต 22% มีคนไข้ต่างชาติมากถึง 430,000 รายโดยมีคนไข้อาหรับเป็นหนึ่งในกลุ่มที่เติบโตสูงสุดการเติบโตครั้งนี้ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นมาจากเหตุการ 9/11 ในปี 2000 ทำให้ชาวอาหรับจำนวนมากที่ต้องการเดินทางไปรักษาตัวที่สหรัฐฯทำได้ยากขึ้น ผลประโยชน์จึงมาตกที่รพ.ดีๆในแถบ Asia หนึ่งในนั้นคือ BHในปี 2008 กระทรวงสาธารณะสุขของอาบูดาบี UAE ได้ตั้งโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้กับประชาชนชื่อว่าโครงการ Thiqa ซึ่งทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องจ่ายเงินรักษาพยาบาลเองแต่ถ้าบินมารักษาในรพ.ที่อยู่ต่างประเทศทางประกันสุขภาพจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ 90%โครงการนี้ทำให้การบินมารักษาพยาบาลที่ประเทศไทยถือว่าคุ้มค่ามากนอกจากจะได้บริการที่ดี, ไม่ต้องจ่ายแพง BH ก็ได้ประโยชน์จากตรงนี้เพราะคนที่มาก็มักจะมารักษาโรคที่ค่อนข้างร้ายแรงซึ่งมีมูลค่าสูง (ไม่งั้นคงไม่บินมาถึงเมืองไทยมะ?) พอมากันเยอะๆสถานที่ของ BH ก็เริ่มไม่พอทำให้ BH ต้องปรับกลยุทธเอาเฉพาะลูกค้าที่มีการใช้จ่ายสูงเท่านั้น ด้วยการมีราคาการรักษาเรทเดียวไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติก็ราคาเท่ากัน นอกจากนั้นยังขึ้นราคารัวๆ 8 ปีที่ผ่านมาขึ้นราคาไป 11 ครั้งประมาณ 2-5% ต่อครั้ง แต่ก็ยังไม่พอต่อความต้องการอีก BH จึงต้องพยายามลงทุนสร้าง Facility ใหม่ๆอย่างต่อเนื่องเพื่อให้รองรับผู้ป่วยได้มากขึ้น ในปี 2015 รายได้ต่างประเทศของ BH มีสัดส่วนสูงสุดที่ประมาณ 65% ของรายได้รวมประเทศที่ Contribute สูงสุดก็คือ UAE ที่ 7.4% Oman 6.4% Kuwait 2.7% Qatar 2.6% รวมกันก็ประมาณ 19% เป็นอาหรับ หลังจากนั้นรายได้จากประเทศอาหรับก็เริ่มตกลงจากราคานํ้ามันที่ลดลงทำให้เศรษฐกิจของประเทศอาหรับเหล่านั้นชลอตัว การจะมาบินมารักษาที่เมืองไทยก็คงต้องลดน้อยลงตาม นอกจากราคานํ้ามันที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศอาหรับโดยรวมแล้ว รัฐบาล UAE ซึ่งมีรายได้ลดลงก็ต้องการประหยัดเงิน จึงสั่งปรับโครงการ Thiqa ปรับลดค่าใช้จ่ายที่ปกติรับผิดชอบ 90% มาเหลือแค่ 50% เท่านั้นเว้นแต่โรคนั้นจะรักษาในอาบูดาบีไม่ได้จะรับผิดชอบให้ 80%และหากต้องการรักษาพยาบาลในรพ.เอกชนในประเทศจากปกติที่ต้องจ่าย 20% ตอนนี้ไม่ต้องจ่ายเลยความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ส่งผลให้คนไข้จาก UAE ต้องลดลงแน่นอนเพราะต้องจ่ายเงินเองมากขึ้นเมื่อมารักษาตัวต่างประเทศ ขณะที่รพ.เอกชนในประเทศรักษาฟรี ล่าสุด Qatar กำลังจะเปิด Medical City ขนาดใหญ่ที่ปลายปี 2017 มีจำนวนเตียง 559 เตียง มูลค่าประมาณ 23,000 ลบ. หากวัดที่จำนวนเตียงก็ขนาดพอๆกับ BH ส่วน Kuwait เองก็กำลังจะเปิด Hospital Complex เช่นกันโดยมีขนาด 1,168 เตียงและมุลค่าประมาณ 35,000 ลบ.ซึ่งน่าจะเปิดบริการไปแล้ว ปัญหาหลักๆตอนนี้มี 2 อย่างคือราคานํ้ามันที่ส่งผลกระทบโดยรวม และการเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นฐานอย่างการเปลี่ยนเงื่อนไขประกันของ UAE และการสร้างรพ.ขนาดใหญ่ที่ Qatar และ Kuwait ดูจากกลยุทธปีล่าสุดของ BH ก็เหมือนจะรู้แล้วว่าจะพึ่งแต่คนไข้อาหรับอย่างเดียวคงไม่ได้ แล้วก็อยู่ที่เวลาแล้วว่า BH จะสามารถหาคนไข้ใหม่ๆมาทดแทนคนไข้อาหรับเดิมได้เร็วแค่ไหนและจะหาคนไข้มาเติมเต็มตึกใหม่ๆที่กำลังสร้างได้ยังไง เพราะด้วยตัวธุรกิจของ BH เองก็พร้อม ทีมงานเองก็เก่งอยู่แล้ว ในเชิงคุณภาพคงไม่มีใครสงสัยแต่จะอยู่ที่เมื่อไหร่จะตื่นจาก ฝันร้าย นี้มากกว่า ===========================================ข้อมูลเพิ่มเติม:บทวิเคราะห์ของ CIMBhttps://www.scribd.com/document/295555453/IHH-Healthcare-Berhad-Prospectus//knowledge.wharton.upenn.edu/article/enlisting-top-providers-abu-dhabi-transitions-to-a-private-health-care-model///healthcare.africa-business.com/abu-dhabi-healthcare/https://dohanews.co/tag/hamad-bin-khalifa-medical-city///www.arabianbusiness.com/mideast-s-largest-hospital-open-in-kuwait-by-end-of-2016-651711.html===========================================...หุ้น BH ตัวนี้ เคยคำนวณประเมินราคาไว้ ....ราคาที่เหมาะสมคือ 200 บาทราคาที่ซื้อขายกันล่าสุดคือ 210 บาท.แต่ตัวนี้เคยอยู่ที่ 80+ มาก่อนเมื่อปี 2554-2555 ...อดีตที่ผ่านมา 10 ปี เป็นยุครุ่งเรืองและต่อไปอีก 10 ปี ไม่สามารถหวังผลได้ว่าจะเหมือนเดิม เนื่องจากปัจจัยบวกเปลี่ยนแปลง.การประเมินการเติบโต จึงต้องปรับลด ..จะปรับลดเท่าไร ก็ขึ้นกับวิจารณญาณของแต่ละคน ที่จะมอง ให้ความสำคัญในส่วนไหน เป็นหลัก.การประเมินมูลค่าหุ้นให้ถูกต้องแม่นยำ จึงไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้โดยง่าย .เพียงแต่ข้อมูลที่ถูกต้อง ที่มีเหตุผล ที่นำมาประกอบความใคร่ครวญ จะเป็นตัวการทำให้การประเมินนั้นน่าเชื่อถือมากที่สุด.ตรรกะ, เหตุผล และข้อมูลที่ถูกต้อง .. จึงสำคัญสำหรับ value investor ทุกคน