|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
O ชั่วฟ้าดินสลาย ๑ .. ! O
.. ๑ ๑ อาลัย-กรุงอยุทธยาต้อง .. มาสิ้น งามศาสตร์ศิลป์แหล่งนี้ หรือมีสอง เคยยิ่งใหญ่ตระการเหลือ .. เพราะเมื่อมอง- ราวพิศพ้องทิพถิ่น .. ในดินแดน
๒ สิ้นปรัชญาการ เพราะกล้าหาญนั้นขาดแคลน สิ้นหน้าจะเงยแหงน ให้เหมือนแม้นที่เคยมี
๓ สิ้นชาติเพราะแกล้วการณ์ สุดต้านทานในยุทธี แหลกยับเพราะอัปรีย์ หอบราคีขึ้นนั่งเมือง
๔ มีชาติเป็นเดิมพัน และราคขวัญอันนองเนือง ชาติเราจึงเปล่าเปลือง ชีพแกล้วเปลื้องลงถมทาง
๕ ขวัญชาติเคยมาดหมาย กลับวุ่นวายแต่เนื้อนาง ข่ายขุมแห่งหลุมพราง เหมือนรอขวาง..ให้ย่างเท้า
๖ ฝ่าคืนทั้งคืนค่ำ ความชอกช้ำก็เหมือนเงา ทาบขวัญไม่บรรเทา ความเปลี่ยวเปล่าก็เต็มทรวง
๗ เหมือนเสียงพญาโศก ผ่านลมโบกเข้าบำบวง อำนาจและอาชญ์ปวง มาลับล่วงให้ห่วงหา
๘ คล้ายเสียงพญาโศก เฝ้ากล้ำโกรกเข้าโยกอา- รมณ์คลอด้วยทรมา ในคาบกาละล่มจม
๙ สร้อยเสียงคล้ายเคียงโสต บอกทัณฑ์โทษให้รันทม คล้ายยุคเคยสุขสม จะลอยลมให้ข่มใจ
๑๐ สิ้นแล้วบัลลังรัตน์ เศวตรฉัตรที่อำไพ ล่มลบกลางศพ, ไฟ ความเป็นไทก็ล่มตาม
๑๑ ต่อนี้จะมีหรือ ที่ยึดถือว่าเขตคาม แคว้นถิ่นถูกหมิ่นหยาม เมื่อครั่นคร้าม..ในยุทธนา
๑๒ วันนี้...เมื่อแพ้พ่าย ย่อมมาดหมายกลับคืนมา กอบกู้อิสรา ให้ประชาและแดนดิน
๑๓ รอเถิด..รอวันนั้น จะประจัญด้วยไพรินทร์ ศักดิ์ศรีแห่งชีวิน จะกอบกินแทนข้าวปลา
๑๔ รอเถิด..รอวันนั้น จะต่อกันด้วยบรรดา- อาวุธให้สุดวา- ระวิถีแห่งชีวิต
๑๕ แว่วข่าวทัพเจ้าตาก ฝ่าลำบากเข้ากอปรกิจ ตีเมือง ณ เบื้องทิศ บูรพาอย่างกล้าหาญ
๑๖ หม้อไหที่ในมือ จึงบันลือเสียงแหลกลาญ แตกสิ้นกับดินดาน เพื่อจักผ่านเข้าสู่เมือง
๑๗ ครั้งนั้นที่เมืองจันทร์ มีใจมั่น..ด้วยแค้นเคือง สร้อยเศร้าเคยเปล่าเปลือง ก็ปลดเปลื้อง..ลงกลบดิน
๑๘ ครั้งนั้นที่เมืองจันทร์ มีใฝ่ฝันให้ยลยิน ความหวังเคยพังภินท์ กลับโบยบินให้ยินดี
๑๙ ผองชนที่เมืองจันทร์ พร้อมโรมรันในยุทธี เลือดเนื้อ..นั้นเพื่อพลี แลกศักดิ์ศรีไทยคืนมา
๒๐ ผองชนที่อดกลั้น เนิ่นนานวันก็ถึงครา- ยกพลร่วมยาตรา ร่วมคุณค่าความเป็นไท
๒๑ ผองชนที่ลิ่มเลือด เริ่มปุดเดือดทั้งแหล่งใจ เคลื่อนฝ่าชลาลัย นั้นเคลื่อนไป..จะเข้ารณ
๒๒ มือกำ..ล้วนด้ามดาบ พร้อมรับทราบหัวใจตน พร้อมนั้น..กำลังพล ที่พร้อมจนกระจ่างใจ
๒๓ เมื่อไท มิใช่ทาส คือชายชาติจะชิงชัย ชีวาแทนมาลัย เอาสวมใส่ที่ใจเมือง
๒๔ เมื่อไท มิใช่ทาส ไม่เขลาขลาด..แต่ขุ่นเคือง เลือดใครจะไหลเนือง ชีพเปล่าเปลือง..ใครเล่าใคร ? . . .. ๒ ๒๕ หลากหลายเหล่าเรือน้อยพายคล้อยเคลื่อน ฟากคลองเกลื่อนกล่นหน้าผู้อาศัย นาย, บ่าวพูดยินแทรกฟังแปลกนัย อาภรณ์ใส่ .. พิศแรกก็แปลกตา
๒๖ โน่น .. อาวาสศาสน์พุทธท่านอุดหนุน ผู้บาปบุญสำนึกใฝ่ศึกษา เหลืองจีวรขับเลศข่มเวทนา เผยมรรคาพรหมจรรย์ .. บ่มบรรเทา
๒๗ วอแห่งผู้บุญหนักทรงศักดิ์ใหญ่ มีร่มให้ลดทอนความร้อนเร่า สี่คนคอนขึ้นไหล่ก็ใช่เบา ลิ่วสู่เหย้าเรือนตน .. รับปรนเปรอ
๒๘ กำแพงวัง .. ขอบคูก็ดูลึก แต่คิดนึกย้อนไปด้วยไพล่เผลอ บางชีพชนม์แต่เกิดช่างเลิศเลอ แทบเสมอเทวัญในชั้นฟ้า
๒๙ หากทรงธรรม .. นำหน้าประชาราษฎร์ ใช้อำนาจช่วยกันร่วมฟันฝ่า- อำรุงเขตคามแคว้นเพิ่มแสนยา จัก-อัปราล่มลับ .. ด้วยทัพใด ..?
๓๐ มโหรีปี่ฆ้องทำนองเสนาะ เหมือนหลั่งเซาะโสตสดับเสียงขับไข ขบวนนาคแหนแห่ .. เห็นแต่ไกล มุ่งหน้าไปทอนตัด .. อีกอัตตา
๓๑ รูปหนึ่งห่มสไบกรอง .. เจ้าผ่องพักตร์ พิไลลักษณ์โดยชาติพิลาสสถา- นะภาพในศานติกริยา ส่งคุณค่าขับขจ่างขึ้นกลางใจ
๓๒ มีร่มบังกันให้พ้นไอแดด ท่ามกลางแวดล้อมก้าวของบ่าวไพร่ ตาดแพรทองงามควรห่มนวลใย จึงผ่องใสหยัดอยู่ไม่รู้จาง
๓๓ มาร่วมบุญงานบวชฟังสวดพระ หวังลดละ..ทุกข์ผองสิ้นหมองหมาง แต่กราบก้มงามควรทุกส่วนนาง ตราบเยื้องย่างสง่าล้วนให้ควรมอง
๓๔ พร้อมงานบุญแถวถิ่นได้ยินเสียง กลองกรับฉิ่งฉาบเคียงสำเนียงก้อง มวลดอกไม้โกสุมพานพุ่มทอง เคลื่อนสู่ท้องโรงทานข้างลานวัด
๓๕ ชั่วเพียงลมแผ่วพลิ้ว .. ผ่านริ้วหน้า รูป, สายตา-สบต้อง .. เกินป้อง .. ปัด ลมดั่งช่วยรุมร้อนไม่ผ่อน .. พัด จากร้อนแรงปฏิพัทธ์ .. ณ บัดนั้น
๓๖ ประจงจีบจับของประคองถวาย ขณะคล้ายแววตา .. วุ่นว้า .. หวั่น เมื่อผืนผ้าอบอวลกลิ่นนวลพรรณ- แผ่ล้อมขวัญ .. หอมฟุ้งอำรุงยาม
๓๗ ชม้ายมองแปลกหน้า .. ปรายตาสบ จึง-ชาติภพ .. สุขโศกแห่งโลกสาม- เหมือนรอคอยเบิกบทอันงดงาม- ให้ลุกลามสอดช่วง .. เงื่อนบ่วง .. กรรม
๓๘ ชายสไบทอดผืนบนพื้นนั่ง เหมือนว่าทั้งใจทอดให้พลอดพร่ำ คลี่เยื่อใยสานร้อยแทนถ้อยคำ เพื่อตอกย้ำปรารถนา..แห่งอาวรณ์
๓๙ เหมือนบาปบุญหนุนสร้างแต่ปางหลัง จึงสุดรั้งจิตชายให้ถ่ายถอน อาลัยนั้นเหนี่ยวหน่วงทุกช่วงตอน จนสุดผ่อนเพลาค่า .. แม้นาที !
๔๐ อ่อนช้อยอ่อนโยนมี .. กอปรทีท่า- อันสูงส่งงามสง่าด้วยราศี- ของเชื้อสายวงศา .. แห่งนารี ผู้บัดนี้ .. เปล่งประกายต่อสายตา
๔๑ โอ .. ธิดามนตรีเจ้ามีศักดิ์ ย่อมตระหนักแก่ใจผู้ใฝ่หา ที่ลอยดวงเด่นนั้น .. คือจันทรา พสุธาต่ำล่าง .. จนห่างแล้ว
๔๒ เพียงหนึ่งชายเชี่ยวกล้าทางอาวุธ อาจเข้ายุทธศัตรูทั้งหมู่แถว ใช่เก่งกล้านารี .. ชาญวี่แวว จะรู้แนวสืบสมเข้ากลมเกลียว
๔๓ ถวิลถึงก็วิตกสะทกสะท้อน ทิฆัมพรก็แต่แลชะแง้เหลียว หวังก็เหมือนฟากสวรรค์คืนจันทร์เรียว ย่อมมืดเปลี่ยวเปล่าแสงจนแล้งร้าง
๔๔ เมื่อโดยชาติต่างชั้นเกินฝันถึง จะเหนี่ยวดึงเกรงต้องให้หมองหมาง หากน้ำใจเอ่ออยู่ไม่รู้จาง ฤๅจักพรางกลบเกลื่อนให้เคลื่อนคลาย
๔๕ เสร็จงานบุญถึงตอนเจ้าย้อนกลับ จะเลยลับรูปไปก็ใจหาย ท่วมเอ่อล้วนอาลัย .. นะใจชาย เหมือนต้องสายใยเหนี่ยว .. เจ้าเกี่ยว .. คล้อง !
๔๖ ผืนสไบทิ้งปลายดั่งสายสร้อย- ที่ล่ามร้อยจิตผู้หวังคู่สอง แม้นรูปเลือนลับหลังก็ยังมอง แต่ตามตรองใฝ่เห็นไม่เว้นวาย . . .. ๓ ๔๗ เสียงไก่ขันแจ้วอยู่ไม่รู้ล่วง เมื่อพันแสงเลื่อนดวงขึ้นช่วงฉาย แผ่วลมพลิ้วโชยอ่อนช่วยผ่อนคลาย- ความวุ่นวายในถวิล .. ที่ดิ้นรน
๔๘ ใจเมือง-เฝ้าสดับ .. เรื่องทัพม่าน เพื่อเตรียมการณ์ตั้งรับอยู่สับสน พร้อมลิ่มเลือดหลั่งไหล .. ผ่านใจคน- ที่รอหลั่งคาวข้น .. ในรณการณ์
๔๙ กรประนมก้มราบ .. ลงกราบแม่ หวังเผื่อแผ่ห้วงใจจนไพศาล เพื่อคุ้มครองชายชาติไปราชการ หวังช่วยผลาญทานทัดเหล่าศัตรู
๕๐ หมายฉวยดาบอาวุธ .. เข้ายุทธนา เอาชีวาค้ำเมือง .. ให้เมืองอยู่ มอบสิ้นแล้วภพชาติ .. เอาลาดปู ให้ถ้วนผู้รู้สิ้น .. นี้ถิ่นใคร !
๕๑ แว่ว-ข่าวพลแกล้วม่าน .. ปล้นบ้านเมือง ก็ขุ่นเคืองสาหัส .. เกินตัดไหว ที่ปะทุพลุ่งนำ..ย่อมน้ำใจ อันผุดไหลย้อมหน้าขับอารมณ์
๕๒ แกล้วห่างศึกนึกไปก็ใจหาย ย่อมผ่อนคลายกำลังเคยสั่งสม ทิ้งมีดดาบสนิมจับ .. ไม่ลับคม เหลือคารม .. หรือจะรุดเข้ายุทธี ?
๕๓ ท่ามกลางมุขเสนาพฤฒามาตย์ ล้วนพจน์ภาษรอบรู้ .. ของผู้ที่- เฝ้าสอพลอ .. วาทกรรม .. แล้วทำที- ว่ารู้ดีรู้รอบทุกกรอบกระบวน
๕๔ เมื่อ-ตาบอดคลำช้าง .. เอาข้างถู ให้คนผู้รู้แจ่ม พลอยแย้มสรวล จึง-หู, หาง, งวง, คอ เหมือนรอชวน- เชิญให้ร่วมสอบสวน .. ร่วมทวนความ
๕๕ จึง-ที่กลางท้องพระโรง .. การโก่งคอ, ถ้อยสอพลอส่อเสียด .. คำเหยียดหยาม- เหมือนแว่วเสียงสั่นอยู่ไม่รู้ยาม จักข่มข้ามผ่านได้อย่างไรกัน ?
๕๖ จึง-ที่กลางท้องพระโรง .. การโยงเรื่อง- อาจนับเนื่องอยู่พร้อม .. คำกล่อมขวัญ มองศัตรูเคลื่อนระลอก .. ดุจหมอกควัน เมื่อผ่านวันจะเลิกทัพ .. แล้วกลับเอง !
๕๗ ที่-ขอบแคว้น, คน, ช้าง, ม้าย่าง..ย่ำ ที่-ใจเมืองวาทกรรม .. ก็คร่ำเคร่ง เมื่อเสนาอำมาตย์ .. ล้วนหวาดเกรง- เกินรุดเร่งขับไส .. ผลาญไพรี
๕๘ เอาหางมาเป็นหัว .. หวาดกลัวศึก ฤๅ-อาจรู้ตื้นลึก .. การศึกที่- กอปรเล่ห์เหลี่ยม .. กลลวง .. กอปรท่วงที- แยบคายมี .. เท่าทันทุกชั้นเชิง
๕๙ พร้อม-หมู่ชายใจหญิง .. นั่งนิ่ง .. นึก เสียงกลองศึก ..ก็เสียดโสต .. อย่าง-โลดเหลิง พร้อม-หัวใจแกล้วกล้าเขาร่าเริง คือใจเรากระเจิดกระเจิง .. หวาดเชิงรบ
๖๐ ควร-มีนายไว้นำอยู่หน้าทัพ ดาบ, โล่ห์-จับ .. ตวัดเชือด .. ให้เลือดกลบ หรือ-ขอ, ง้าวทิ่มทะลวง .. ให้ร่วงซบ- เป็นซากศพเลือดหลั่งโลมหลังม้า
๖๑ ควร-มีนายบัญชาอยู่หน้าศึก ด้วยจิตฮึกเหิมมั่น .. เพื่อฟันฝ่า- นำหมู่แกล้วเร่งรุดเข้ายุทธนา เอาชีวาโลดแล่น .. ป้องแผ่นดิน
๖๒ ยุทธศาสตร์เอาเมือง .. เป็นเครื่องหน่วง รอผ่านช่วงฝนกลายเป็นสายสินธุ์ รวมกระแสหลากไหลท่วมไพรินทร์- กลับมาสิ้นสุดพลังเอาครั้งนี้ !
๖๓ เสียงปืนศึกก้องดัง .. ในครั้งนั้น- มี .. ทรวงขวัญเนื้ออ่อนสะท้อน .. ถี่ พร้อมเสียงหวีดแว่วล้อ .. การต่อตี- ของใจที่สั่นกลัว .. ในรั้ววัง
๖๔ เมื่อผู้นำอยู่หน้าประชาราษฎร์ ไร้สามารถป้องถิ่น, ความสิ้นหวัง- ก็เริ่มอบอวลเสียง .. ทั้งเวียงวัง- เพื่อรอหลั่งฝันร้าย .. ลงถ่ายทิ้ง !
๖๕ เหมือนแว่วเสียงพยากรณ์..ครั้งก่อนเก่า ที่บอกเล่าผ่านยุค..บ่งทุกสิ่ง โอ..เพลงยาวเศร้าสร้อย..ละห้อยจริง ช่างอ้อยอิ่งผ่านย้ำ..เฝ้ารำพัน...
...คราทีนั้นฝูงสัตว์ทั้งหลาย จะเกิดความอันตรายเป็นแม่นมั่น ด้วยพระมหากษัตริย์มิได้ทรงทศพิธราชธรรม์ จึงเกิดเข็ญเป็นมหัศจรรย์สิบหกประการ
...คือดาวเดือนดินฟ้าจะอาเพท อุบัติเหตุเกิดทั่วทุกทิศาน มหาเมฆจะลุกเป็นเพลิงกาล เกิดนิมิตพิศดารทุกบ้านเมือง
...พระคงคาจะแดงเดือดดั่งเลือดนก อกแผ่นดินเป็นบ้าฟ้าจะเหลือง ผีป่าก็จะวิ่งเข้าสิงเมือง ผีเมืองนั้นจะออกไปสู่ไพร
...พระเสื้อเมืองจะเอาตัวหนี พระกาฬกุลีจะเข้ามาเป็นไส้ พระธรณีจะตีอกไห้ อกพระกาฬจะไหม้อยู่เกรียมกรม...
๖๖ ทั้งพ่อแม่จิตใจ .. ห่วงใยนัก แต่ลูกรักไปทัพ .. เพื่อขับข่ม- เหล่าข้าศึก .. ให้ดาบได้วาบคม อกย่อมตรมตรอมห่วง .. พ่อดวงใจ
๖๗ เคยวิ่งเล่นเคลียคลอด้วยพ่อแม่ บัดนี้แลรูปรอยก็พลอยให้- ปลาบปลื้มด้วย .. สามารถ .. องอาจใคร ที่เห็นไฟสุมแดน .. ก็แค้นครัน ! . . .. ๔ ๖๘ ดาบประดาบ .. วาบแรกก็แทรกเนื้อ ก่อนเลือดเรื่อแดงร้อน .. ไหลกร่อนขวัญ อวลกลิ่นคาวคลุ้งคา .. โรจน์ตาวัน คือโทษทัณฑ์ศัตรู .. ของผู้ไทย
๖๙ ดาบฟาดฟันเท้าย่ำเข้ากรำศึก ด้วยสำนึกตั้งมั่นไม่หวั่นไหว พร้อมหักหาญถ้วนหน้าไม่ว่าใคร เลือดที่ไหลอุ่นพอ .. จักก่อคาว
๗๐ หากน้ำน้อยแน่แท้ .. ย่อมแพ้ไฟ ทั้งด้วยไม่ชำนาญเรื่องการข่าว จึงถูกหลอกตลบหลังหลายครั้งคราว เลือดย่อมหลั่งปวดร้าวถึงราวใจ
๗๑ สิ้นสามารถกำลัง .. แกล้ววังหลวง จักรุกล่วงเข้าสู้ศัตรูได้ ยุทธวิธีนั้นเล่าก็เก่าไป จิตฮึกเหิมจะชิงชัย .. ก็ไม่มี
๗๒ ทั้งตำแน่งแม่ทัพ .. ย่อมรับรู้ ล้วนแต่ผู้ปราศัยอยู่ในที่ จักฉวยดาบฉาบฉุดเข้ายุทธี ย่อมพิรี้พิไรอยู่ .. ไม่รู้วาย
๗๓ ด้วยจิตใจหวั่นหวาดและขลาดเขลา ย่อมกระเส่าสั่นอยู่ไม่รู้หาย โยธยาแผ่นดิน .. เหมือนสิ้นชาย ที่ผ่องถ่ายความกล้า .. จนล้าลับ
๗๔ หากเป็นช่วงวาระ .. องค์นเรศ ย่อมโหมเดชเข้าข่มจนล่มดับ เลือดศัตรูจักหลั่ง .. ชีพพังยับ ดาบจักสับแทรกเนื้อ .. เข้าเถือแล้ว
๗๕ ย่อมนำหน้าเหล่าทัพ .. เข้ารับ .. รบ เอาดินกลบศัตรูพร้อมหมู่แกล้ว ให้เข็ดหลาบระย่อสิ้นทั่วถิ่นแนว ยอมชีพแคล้วคลาดกัน .. จนวันตาย
๗๖ เกิดผิดที่ผิดยุคยากทุกสิ่ง จากไร้มิ่งขวัญชาติ .. ให้มาดหมาย แม้นเดือดพลุ่งพล่านอยู่ .. เลือดผู้ชาย จักขวนขวายต่อสู้ .. เพื่อผู้ใด ?
๗๗ หมดสิ้นความร่วมรักสมัครสมาน ที่ห้าวหาญแกร่งกล้า .. ก็หาไม่ แต่เบือนหน้าหลบเสียง .. แล้วเลี่ยงไป ช่างยากไร้ .. ศักดิ์ศรีเสรีชน
...เทวดาซึ่งรักษาพระศาสนา จะรักษาแต่คนฝ่ายอกุศล สัปบุรุษจะแพ้แก่ทรชน มิตรตนจะฆ่าซึ่งความรัก
...ภรรยาจะฆ่าซึ่งคุณผัว คนชั่วจะมล้างผู้มีศักดิ์ ลูกศิษย์จะสู้ครูนัก จะหายหักผู้ใหญ่ให้เป็นน้อย
...ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอำนาจ นักปราชญ์จะตกต่ำต้อย กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจม
...ผู้มีตระกูลจะสูญเผ่า เพราะจัณฑาลมันเข้ามาเสพสม ผู้มีศีลนั้นจะเสียซึ่งอารมณ์ เพราะสมัครสมาคมซึ่งมารยา
...พระมหากษัตริย์จะเสื่อมสิงหนาท ประเทศราชจะเสื่อมซึ่งยศถา อาสัตย์จะเลื่องลือชา พระธรรมาจะตกลึกลับ
...ผู้กล้าจะเสื่อมใจหาญ จะสาปสูญวิชาการทั้งปวงสรรพ ผู้มีสินจะถอยจากทรัพย์ สัปบุรุษจะอับซึ่งน้ำใจ
...ทั้งอายุศม์จะถอยเคลื่อนจากเดือนปี ประเวณีจะแปรปรวนตามวิสัย ทั้งพืชแผ่นดินจะผ่อนไป ผลหมากรากไม้จะถอยรส
...ทั้งแพทย์พรรณว่านยาก็อาเพศ เคยเป็นคุณวิเศษก็เสื่อมหมด จวงจันทน์พรรณไม้อันหอมรส จะถอยถดไปตามประเพณี...
๗๘ ลูกผู้ชายชาวไทย .. ดาบไหววาด หลังเลือดสาดชีพคนก็ป่นปี้ เหล่าแกล้วผู้แกร่งไกรเข่นไพรี จนเลือดผีเปรอะทั่วเพียงชั่วยาม
๗๙ พร้อมเพื่อนแกล้วผู้กล้า .. ย้อนมาบ้าน เข้ากราบกรานแม่พ่อ .. ที่รอถาม เห็นจะเปลืองเปล่าค่าพยายาม คงยากห้ามหายนะ .. วาระนี้
๘๐ ครั้นแล้วห้วงจิตใจ .. ก็ไหววูบ ถึงเรียวรูปงามสง่ากอปรราศี ตั้งแต่วันสบหน้า .. สบท่าที- คล้ายมือที่แฝงเร้น .. บีบเค้นลง
๘๑ อกแกล้วย่อมรุ่มร้อน .. เกินผ่อนไหว กับอาลัยพิสวาดิด้วยชาติหงส์ เหมือนเพรงบาปบุญกรรม .. เร่งจำนง- จำหลักลงดวงใจ .. คอยไขว่คว้า !
๘๒ ฝากพ่อแม่กับเพื่อน .. ก่อนเคลื่อนตัว- แฝงมืดมัว .. สืบรอยผู้คอยหา- จนซากเรือนเสาตอ .. เผยต่อตา ก็รับรู้เพียงว่า .. คงช้าเกิน
๘๓ พร้อมใจวูบหล่นวาบกับภาพนั้น คือขุ่นควันลอยผ่านอยู่นานเนิ่น ลมยามค่ำโรยระลอก .. ราวหยอกเอิน- ความจำเริญแห่งทุกข์ .. ที่ลุกโชน
๘๔ กลางเปลวไฟ .. ซากศพ .. พระลบล้อม ก็ถึงพร้อมโศกสร้อย .. รอห้อยโหน แววในตาอาทรแสนอ่อนโยน ค่อยถ่ายโอนโอบขวัญ .. ในสัญญา
๘๕ จนเมื่อกายเริ่มเขยื้อน .. ค่อยเคลื่อนขยับ คล้ายคล้ายศัพท์เสียงแผ่ว .. ดังแว่วฝ่า- ความมืดดำค่ำคืน, เมื่อผืนวา- รี .. เบื้องขวา ไหวกระเพื่อม .. วงเหลื่อมรับ
๘๖ นิ่งงันกลางวังเวง .. ตาเพ่งมอง จนรูปผ่องงามล้ำ .. เนตรดำขลับ- ค่อยค่อยโผล่พ้นน้ำ .. ขึ้นสำทับ- การเขยื้อนการขยับ .. ลำดับนั้น !
๘๗ ท่ามกลางสายลมวน .. คืนหม่นหลัว- ร่างเผยขึ้นหยัดตัว .. คล้าย-รัว .. สั่น- คนผู้มองเพ่งพรับ .. ก็ฉับพลัน- เคลื่อนกายวูบรีบถลัน .. โอบขวัญไว้
๘๘ รูปหน้าเซียวซีดขาว .. ด้วยหนาวสั่น เมื่อซบอกอุ่นพลัน .. ที่-สั่นไหว- คืออกหนึ่งผู้อุ้ม .. เนื้อนุ่มใคร และอกผู้แอบไออุ่นใครนั้น !
๘๙ หลังหวิววูบ .. ตกใจเมื่อใครคว้า- จนสบหน้า .. ห้วงใจยิ่งไหวหวั่น จำแต่ครั้งแรกพบ .. ตาสบกัน- หอมหวานนั้นก็กลั่นแล้ว .. ทั้งแววตา
๙๐ จนเรื่องราวอาดูรเพียบพูนขวัญ ค่อยรำพันผ่านสู่ให้รู้ว่า- แต่เย็นย่ำพลม่าน .. เคลื่อนผ่านมา การเข่นฆ่าเผาเรือนก็เกลื่อนรอย
๙๑ ทั้งพ่อแม่ข้าทาสล้วนคลาดกัน หลังดวงวันดิ่งดับก็ยับย่อย- คนถูกม่านกวาดต้อน .. ต้องซ่อนคอย- รอ-มืดค่ำพรางรอย .. แล้วค่อยไป
๙๒ จูงมือเรียวย่างย่ำ .. ฝ่าค่ำคืน- ความโอดอื้นในกมล .. ค่อยหล่นไหล ชั่วมือแกร่งจูงจับ, เหมือนจับใจ- รูปอ่อนเยาว์อ่อนวัย .. สั่นไหว .. ระรัว ! . . .. ๕ ๙๓ เรื่อแก้มอิ่มละม่อมหน้า..แววตานั้น คล้ายคอยสั่นไหวระลอก .. เฝ้าหยอกยั่ว- ให้อารมณ์วกวน .. กลางหม่นมัว อกจึงรัวลั่นอยู่ไม่รู้ยาม
๙๔ วัฏฏะวง .. สงสารเมื่อผ่านรอบ ใจย่อมนอบน้อมทราบ .. รสวาบหวาม ที่รายล้อมโลมรุกเข้าคุกคาม คอยฉุดล่ามความคิด .. เหนี่ยวจิตใจ
๙๕ เรื่อแก้มอิ่มละม่อมหน้า .. แววตานั้น ฤๅ-เพื่อยั่วใจหวั่น .. พาสั่นไหว อกคนเบื้องหน้านี้ .. จะมีใด- เอากีดกั้นหลบได้ .. จากนัยน์ตา
๙๖ ดูเหมือนจะสายเกิน .. การเมินหลบ รูปเพรงภพหยัดหยั่ง .. เหมือนสั่งว่า- จักเผื่อแผ่อ่อนหวาน .. ให้ผ่านมา- ก่อระลอกเสน่หาอีกคราครั้ง
๙๗ วับวามแวว-เนตรนั้น .. เมื่อสั่นไหว ราวจะผ่านความนัย .. ออกไหลหลั่ง เข้าล้อมให้แววตาละล้าละลัง ด้วยสุดยั้งระลอกคลื่นใต้ผืนทรวง
๙๘ ระลอกความอาลัย .. ดวงใจหนึ่ง ที่ตราตรึงรูปแก้ว .. ไม่แล้วล่วง ราวหัตถ์พรหมเหนี่ยวนำ .. เพราะคำบวง- นั้นเริ่มช่วงกำลังเข้าสั่งการ
๙๙ ดูเถิด .. รูปแก้มอิ่ม .. เนตรพริ้มหลบ แต่บรรจบรูปรอย .. ก็คอยผลาญ- อกใจผู้ปรารมภ์ .. ให้ซมซาน ทรมาน .. ทรมาด้วยอาวรณ์
๑๐๐ จะรับรู้บ้างไหม..ว่าใจหนึ่ง- จมคำนึงเวียนว่ายเกินถ่ายถอน ความอ่อนโยนอ่อนหวาน..เหมือนผ่านวอน- เข้าออดอ้อน .. เร้ารัวทั้งตัวตน
๑๐๑ ดูเถิดรูปเอวองค์ .. ที่ตรงหน้า สบแววตาปลาบปลั่ง .. เพียงครั้ง .. หน- เหมือนอ่อนล้าไร้สิ้น .. แรงดิ้นรน ด้วยยอมตนยอมตัว .. สิ้น-หัวใจ
๑๐๒ จำหลักรูปลงทรวงให้ห่วงหา ปรารถนาก็บีบคั้น .. พาหวั่นไหว รับรู้การพังทลาย .. จากภายใน พร้อมศัพท์เสียงอาลัย .. แว่วให้ฟัง
๑๐๓ สุดรอคอยค่อยเห็นว่าเป็นเจ้า กี่ภพกาลผ่านเล่าที่เฝ้าหวัง เหมือนรูปรอยแรงถวิล .. เคยภินท์พัง- มาฉุดรั้งรูปน้อย .. ขึ้นคอยรอ
๑๐๔ ก่อนแต่สองภพชาติบำราศร้าง มีคำอ้างเอ่ยพ่วง .. บำบวงขอ เมื่อวัฏฏะเวียนผ่าน .. จนนานพอ- ให้ช่วยต่อเติมสวาดิ .. ลงพาดพัน
๑๐๕ รอคอยจะพบกันในวันหน้า ที่คุณค่าสืบสร้าง .. เกินขวางกั้น ถ้อยบำบวงจักนำ .. สู่สัมพันธ์ เพื่อรวมขวัญสองดวงเป็นดวงเดียว !
๑๐๖ ลมร่ำผ่าน, จันทร์จ้าบนฟ้าสูง มือจับจูง, ใจมอบ, ตาลอบเหลียว พร้อมรูปนาม, อารมณ์ที่กลมเกลียว- คือแขนแกร่งถูกเหนี่ยว .. ฝ่าเที่ยวทาง
๑๐๗ ย่ำเหยียบแต่ละย่าง .. ผ่านทางเที่ยว พาเปล่าเปลี่ยวหล่นกลิ้ง .. ลงทิ้งขว้าง ความอาดูรสะทกสะท้อน .. ก็ว่อนวาง- ลงให้ย่างก้าวข้าม .. ฝ่ายามคืน
๑๐๘ ย่ำเหยียบลงบนโลก .. เหยียบโชคชะตา ที่รอใจแกร่งกล้า .. เข้าฝ่าฝืน ย่ำเหยียบความเจ็บช้ำ .. ยอมกล้ำกลืน- เพื่อหยัดยืนเคียงข้าง .. ไม่ห่างกัน
๑๐๙ ครั้ง-ประจงจับของ .. ประคองถวาย ครั้งนั้น-คล้ายแววตา .. วุ่นว้า .. หวั่น ครั้งนี้ .. แม้แสงช่วงของดวงจันทร์- ฤๅ-เทียบขวัญ .. ลามช่วงทั้งดวงใจ ?
๑๑๐ จนอ่อนล้าเรี่ยวแรง .. เจ้าแพงน้อย แววตาปรอยชม้อยสู่ .. จนรู้ได้- ว่าเส้นทางย่างก้าวอีกยาวไกล ยังรอให้สืบก้าวอีกยาวนาน
๑๑๑ จับจูงผ่านเงาตะคุ่มของพุ่มพรรณ ตราบสบช่วงเถาวัลย์ .. เลื้อยพันผ่าน เห็นเหมาะสม - มือต้องประคองคราญ- แอบเนื้ออกชายชาญ พิง .. ผ่านคืน
๑๑๒ แล้ว-อกแขน .. ก็เอื้อมมาโอบร่าง อุ่นเนื้อกลางนิทรา .. จวบตาตื่น แล้ว-อกผู้เพ็ญโฉมกลับโครมครืน- กับเต็มตื้นแรงชู้ .. ที่อยู่รอ
๑๑๓ คล้อย-คำนึงผ่านวอน .. ถึงพร-พรหม ตรึงอารมณ์ร่วมกรรม .. เฝ้าพร่ำขอ- อกแขนโอบรูปเยาว์พะเน้าพะนอ พึงจดจ่อแต่งาม .. เกินห้ามใจ
๑๑๔ ใช่ไหมว่า .. อ้อมอกที่ปกป้อง เพื่อ-รับรองอาวรณ์ .. ผู้อ่อนไหว- ให้ทอดร่างแนบทรวง .. รับห่วงใย กุมกอดไว้ให้สนิทในนิทรา
๑๑๕ จน-ทอดตัวสองแขน .. หนุนแทนหมอน- เพื่อรูปอรเอนแอบ .. เข้าแนบหา หน้าผาก, เนื้อนวลปราง, คิ้ว, คาง, ตา- จักฝืนฝ่าอาลัย .. เยี่ยงไรพ้น ?
๑๑๖ เพื่อ-รูปเยาว์โสมนัส .. ในรัตติกาล- ทรมานทั้งปวง พึงร่วงป่น แรงอาวรณ์อาลัย พึงไหววน- อยู่กับใจดิ้นรน .. เกินด้นดึง
๑๑๗ ครรลองโลกหมองหม่น .. พึงป่น .. ปลิด- ด้วยศักดิ์, สิทธิ์ .. มั่นหมายของชายหนึ่ง ความแหนหวง .. ปฏิพัทธ์จงรัดรึง- หอม, หวานซึ้ง ตรึงจิต .. เกินคิดคลาย
๑๑๘ ทั้งสิ้นและ .. ทั้งปวงความห่วงหา พึงแทรกฝ่าใจคนให้ขวนขวาย อำนวยจิตพ้องสวาดิด้วยชาติชาย จนสุดคลายเคลื่อนพราก .. ลบจากใจ
๑๑๙ พร้อมลำลมเรื่อยรี้ .. ค่อย-วี .. วาด รอบโอภาสก็ระยับแรงขับไข ถ้วนหวานหอม .. สุมาลี ณ ที่ใด จะเช่นใครยามนี้ ..ไม่มีเลย
๑๒๐ หอมนั้นหอมจากหวาน .. เจ้าผ่านหา จนคุณค่าในอก .. ค่อยผกเผย ผ่านรูปรอยนิรมิต .. เข้าชิดเชย หยอก .. ยั่วเย้ยปรารถนาแรงอาลัย
๑๒๑ ละม่อมพักตร์อิริยาและท่าที- เมื่อเข้าชี้นำการณ์ .. ฤๅ-ต้านไหว ? รอบอาวรณ์อบอุ่นละมุนละไม คล้าย-รอให้คล้องเกี่ยวด้วยเรียวมือ
๑๒๒ เมื่อ-อก, แขน, ใจ-โลภ .. จะโอบเจ้า เนื้อรูปเยาว์ .. จะรอดได้อย่างไรหรือ ทั้งปวงเท่าที่เห็น .. จะเป็น .. คือ- เรียวแขนยื้อยุดไว้ .. โดยไม่คลาย ! . . .. ๖ ๑๒๓ อึงเอิกเกริก .. พ-ละ-อ-รินทร์ ประ-ลุ-ถิ่นก็ทำลาย ศักดิ์ศรีและชี .. วิ-ตะ-ส-ลาย- ร-ณะ-พ่ายก็ถูกผลาญ
๑๒๔ เพียงอึก(ะ)ทึก .. ศั-ก-ยะ-อา- วุ-ธะ-กล้าก็กรมการณ์ ร่ำขอชะลอ ร-ณะ-สะ-ท้าน กระ-แสะ-ซ่านกระเส่าเสียง
๑๒๕ เสี้ยนศึกผนึก .. ร-หั-สะ-กรรม ระ-บุ-นำกะสำเนียง สับพลระคน .. มุ-สะ-ประ-เดียง พ-ละ-เกรียงก็กร่อนหาย
๑๒๖ เกินการณ์จะทาน .. วิ-บั-ติ-หา- ย-นะ-วาระวอดวาย ศักดิ์ชาติพินาศ .. (ะ)-ละ-ส-ลาย ทุ-ขะ-สายก็บรรสาร
๑๒๗ เร้ารุมประชุม .. อั-ค-นิ-เชื้อ ระ-อุ-เหลือจะทนทาน ช่วงทัณฑ์กระชั้น .. หั-ตะ-ป-หาร ชิ-วะ-ลาญและบรรลัย
๑๒๘ ชีพชนมะป่น .. เพราะ-ดั-ส-กร ระ-ดะ-นอน ณ กลางไฟ พลม่าน ก็ ผ่าน .. อุ-ระ-ไผท ข-ณะ-ไห้ บ ห่างเห็น
๑๒๙ เคลื่อนผ่านประหาร .. ประ-ทุ-ษะ-ทา- รุ-ณะ-คร่า ลุ ลำเค็ญ แก่เฒ่า ฤ เยาว์ .. นิ-ระ-ละ-เว้น- พ-ละ-เข่นและโบยตี
๑๓๐ เพลิงป่นพระมณ .. ฑิ-ระ-ท-ลาย เพราะ-พระ-พายนะพัดวี โหมไหม้ฤทัย .. ทุ-ขะ-ท-วี นั-ย-น์นีระนองเนือง
๑๓๑ ทอดร่างระหว่าง .. กิ-ติ-วิ-บัติ เพราะ-ส-มรรถะหมดเมือง สิ้นบุญและสุน .. ทริ-ยะ-จะ-เรื้อง และ-กระ-เบื้องก็ฟูลอย
๑๓๒ เขตคามสยาม .. สิ-ริ-พิ-สุทธิ์ ก็-ประ-ดุจะสุดรอย ธรรมอรรถพระรัต .. (ะ)-นะ-ผละ-ถอย ก็-ละ-ห้อยระโหยเห็น
๑๓๓ นัยน์ตาก็พร่า .. ช-ละ-ส-ลด ต-ละ-หยดสิเยียบเย็น ห้วงอกวิตก .. อ-ดุ-ระ-เข็ญ ฤ-จะ-เว้นประหวั่นไหว
๑๓๔ โอ้..ปราสาทราชวัง .. เผาพังยับ ที่ประทับเพลิงเยี่ยม .. ก็เกรียมไหม้ ศิลปหัตถกรรม .. ล้วนอำไพ ต้องเปลวไฟล่มลบ..กลางศพคน
...กรุงประเทศราชธานี จะเกิดการกุลีทุกแห่งหน จะอ้างว้างอกใจทั้งไพร่พล จะสาละวนทั่วโลกหญิงชาย
...จะร้อนอกสมณาประชาราษฎร์ จะเกิดเข็ญเป็นอุบาทว์นั้นมากหลาย จะรบราฆ่าฟันกันวุ่นวาย ฝูงคนจะล้มตายลงเป็นเบือ
...ทางน้ำก็จะแห้งเป็นทางบก เวียงวังจะรกเป็นป่าเสือ แต่สิงห์สาราสัตว์เนื้อเบื้อ นั้นจะหลงเหลือในแผ่นดิน
...ทั้งผู้คนสารพัดสัตว์ทั้งหลาย จะสาปสูญล้มตายเสียหมดสิ้น ด้วยพระกาฬจะมาผลาญแผ่นดิน จะสูญสิ้นการณรงค์สงคราม...
๑๓๕ วันนี้แตกกระเซ็นไม่เป็นทิศ ย่อมครุ่นคิดย้อนเกร็ดให้เข็ดขาม จักทวงคืนนคเรศและเขตคาม คืนเหยียดหยามหมิ่นแคลน..ทดแทนไป
๑๓๖ นั่น ! ล้วนขบวน .. บุ-พะ-ประภพ อ-พ-ยพลุแดนไกล แว่วครวญจะหวน .. ปุ-ระ-ไผท สุ-ตะ-ไห้คระโหยหา
๑๓๗ โอ ! โสตอุโฆษ .. สรร-พะ-สำ-เนียง ระ-บุ-เพียงจะพึ่งพา แว่ววอนจะย้อน .. อ-ยุ-ธ-ยา บ่-จะ-ว่าจะสิ้นหวัง
๑๓๘ โอ ! ศัพท์สดับ .. น-ยะ-วะ-แว่ว ปุ-ระ-แก้วและบัลลังก์ สิ้นแล้วเพราะแผ่ว .. พ-ละ-พ-ลัง ฤ-จะ-ยั้งนะยับเยิน
๑๓๙ เผาแผดเพราะแพศ .. ะ-ยะ-อ-ธรรม ทุ-ระ-กรรมะก้ำเกิน สิ้นชาติและวาส .. ะ-นะ-เผชิญ ส-ร-เสริญก็สิ้นตาม
...กรุงศรีอยุธยาจะสูญแล้ว จะลับรัศมีแก้วเจ้าทั้งสาม ไปจนคำรบปีเดือนคืนยาม จะสิ้นนามศักราชห้าพัน
...กรุงศรีอยุธยาเขษมสุข แสนสนุกยิ่งล้ำเมืองสวรรค์ จะเป็นเมืองแพศยาอาธรรม์ นับวันจะเสื่อมสูญ เอย . . .. ๗ ๑๔๐ จนแสงวันแรกสาง .. ทอพร่างพร้อย งามรูปแพงอ่อนน้อย .. จึงค่อยเผย ยิ่งกว่าความรื่นล้ำ .. ลมรำเพย คืองามนั้นล้ำเลย .. ที่เคยรู้ !
๑๔๑ ด้วยมือเอื้อมจับจูงผ่านสูงต่ำ พาเท้าย่ำเหยียบทางเพื่อย่างสู่- จุดปลาย, ก้อยกอดเกี่ยวเมื่อเหลียวดู- ยังเกี่ยวอยู่คู่ข้างไม่ห่างเลย..
๑๔๒ มองรูปหน้า .. จนเขิน-ต้องเมินหลบ แล้วเวียนสบเวียนชม้อยจนค่อยเผย- ความอ่อนหวานในจริตให้ชิดเชย หอมก็เย้ยหยามยั่วทั้งหัวใจ
๑๔๓ แผ่วพลิ้วสายลมร่ำเสียงคร่ำครวญ- ฝ่าม่านหมอกอบอวลทั้งมวลให้- ค่อยค่อยเจือจางขุ่น-ด้วยอุ่นไอ- ของแสงวันขับไขโลมไล้กาล
๑๔๔ มือรูปเรียวเกาะแน่น, อีกแขนหนึ่ง- ค่อยจับจูงเหนี่ยวดึง, ความซึ้งหวาน- ก็เผยออกแอบ-ออกลีบช่อมาลย์ เมื่อลมผ่านพลิ้วหอมเข้าล้อมทรวง
๑๔๕ ก้าวผ่านพื้นลาดเท, ลมเพพัด ไม้ระบัดรูปเต้นอยู่เป็นช่วง แววอ่อนโยนเหลือบชม้อยก็คอยทวง- รอบความห่วงใยล้น-อีกคนนั้น
๑๔๖ มือเรียววางบนแขนเกาะแน่นอยู่ เหลือบตาดูครั้งไหน, ที่ไหวสั่น- คือหัวใจเร้นแฝง-ลอบแบ่งปัน- ความผูกพันทุกช่วงของดวงใจ
๑๔๗ ละก้าวย่างเหยียดช่วง-พาล่วงสู่- ความรับรู้เร้นซ่อนแสนอ่อนไหว หลังหมอกหม่นลับล่วง, ความห่วงใย- คล้ายขับไขออกแล้วทั่วแววตา
๑๔๘ จนสบเพื่อน, แม่, พ่อ .. ที่รออยู่ ความรับรู้แวดล้อมก็พร้อมหน้า เอ็นดูด้วยอ่อนน้อย .. อ่อนช้อยคา- รวะ - ด้วยอิริยา .. งามท่าที
๑๔๙ งามรูปลักษณ์ศักดิ์สกุลดรุณแก้ว เช่นพร่างแพร้วรังสิมาเปล่งราศี บริบททั้งสิ้นย่อมยินดี- กับงามที่อยู่ล้อมให้ยอมใจ
๑๕๐ พ่อแม่ทั้งเพื่อนผอง .. เห็นพ้องอยู่ ว่างามผู้ล้ำงาม .. เนตรวามไหว รูปเรียวร่างงามสง่าเกินหน้าใคร สมกับร่างแกร่งไกร .. ของชายชาญ
๑๕๑ ผู้เป็นแม่เอื้อมกุมมือนุ่มนั้น ว่าโศกศัลย์ทุกข์ทนจักพ้นผ่าน รับรองผู้ชาติหงส์ร่วมวงศ์วาน ปลุกปลอบคราญเร่งรัดให้หยัดยืน
๑๕๒ ข่าว-ทัพพระยาวชิรปราการ ทะลุทะลวงทัพม่านออกด้านอื่น หมู่แกล้วกล้าย่างย่ำ .. ฝ่าค่ำคืน ร่วมกำลังแข็งขืนแต่คืนนั้น
๑๕๓ อัมพวาไกลห่างจากทางศึก ห้วงจิตใจส่วนลึก .. ก็นึกหวั่น ห่วง-พ่อ, แม่, รูปงาม .. ทั้งสาม, พลัน- พาเลี่ยงอันตรายปวงด้วยห่วงใย
๑๕๔ ให้-พ่อ, แม่, รูปคราญอยู่บ้านย่า คอยเถิดว่าเมื่อกลับ .. คือขับไล่- ข้าศึกเสียจนสิ้นจากถิ่นไทย ด้วยหัวใจหวงแหนในแผ่นดิน
๑๕๕ จนพ่อแม่ .. ผองเพื่อนขึ้นเรือนแล้ว เหลือรูปหน้าผ่องแผ้วไม่แล้วสิ้น พร้อมลมอ่อยเอื่อยโชย .. เริ่มโรยริน คือรอบวิญญาณชู้ .. ตั้งอยู่พร้อม !
๑๕๖ ใต้พุ่มพฤกษ์ม้านั่ง .. นั้นตั้งอยู่ อารมณ์ชู้ก็พร้อมสรรพ .. รอขับกล่อม เมื่ออาวรณ์แห่งชายเข้ารายล้อม งามก็น้อมแนบหวานแต่กาลนั้น !
๑๕๗ ผ่านมา .. ให้อบอุ่นและคุณค่า แทรกลงพาอารมณ์ .. ถึง-ซมสั่น ผ่านมา .. ให้งดงามคอยล่ามพัน- รัดรึงขวัญ .. ยั่วล้อให้ทรมา
๑๕๘ ยิ้มรับความสดใสแห่งวัยเยาว์ เช่นยามเช้าสุมาลย์ช้อยช่อคอยท่า- ภุมรินผึ้งภู่ .. ย่อมรู้มา- ตฤปรสผาณิตหอม .. อย่างยอมตน
๑๕๙ ยิ้มรับความอ่อนไหว .. ของใครนั้น กับแวววามไหวสั่นนับพันหน เอ็นดูความขัดเขินหยอกเอินคน- ผู้เอ่อล้นหวานแล้ว .. ทั่วแววตา !
๑๖๐ เหมือนว่างามลามรุกไปทุกบท ชี้, กำหนด .. รูปรอยให้คอยหา และเหมือนงามลามรุกไปทุกครา- กับท่วงท่าเหลือบค้อน .. ตาซ่อนยิ้ม
๑๖๑ หวังเช่นหวังกุสุมาลย์ .. โน้มก้านค้อม- ให้เสพหอมรื่นอยู่ .. ไม่รู้อิ่ม ดูเถิดรูปรมยา .. เปลือกตาพริ้ม- ดั่งรอพิมพ์พักตร์ละม่อม .. รายล้อมใจ
๑๖๒ เหมือนว่าเนตรเหลือบค้อน, อย่างซ่อนเร้น- คอยตอบเต้นเวียนวก .. พาอกไหว- ด้วยอบอุ่นวาบหวาม .. กับความนัย- ที่เผยให้แรงถวิล .. พลอยดิ้นรน
๑๖๓ คืนนี้ - จันทร์แสงวามดูงามเด่น พร้อมลมเย็นกล่อมเห่ห้วงเวหน แรงอาวรณ์โผนผกในอกคน เมื่อ-งามวนวกช่วง .. ล้อมห้วงใจ
๑๖๔ ริ้วคลื่นหนาวลามแผ่..กระแสลม หนาวทั้งเนื้อ, อารมณ์ .. ฤๅ-ข่มไหว ? ถวิลเนียนเนื้อกรุ่น .. พร้อมอุ่นไอ- ล้อมห่มให้หนาวร้ายได้คลายตัว
๑๖๕ จึงในตาไหววาบ .. เป็นภาพพิมพ์ หน้าผากเนียนแก้มอิ่ม .. รอยยิ้มยั่ว เผยผ่านเป็นรูปหน้า .. กลางพร่ามัว ความสั่นรัว .. ก็วาบไหวทั้งใจกาย
๑๖๖ ความอบอุ่น..อ่อนไหว..แห่งวัยสาว จึงพาหนาวคล้อยเคลื่อนจนเลือนหาย เมื่อเนื้ออ่อนเนียนละมุน .. พร้อมอุ่นอาย- โอบห่มหมายทอนหนาวอีกคราวครั้ง
๑๖๗ หน้าผากเนียน .. แก้มอิ่มเนตรพริ้มหลบ รับบรรจบปากชาย .. ที่คล้ายดั่ง- เฝ้ารอคอยจนถวิล .. แว่ว-ยินดัง รอจบฝังฝากรสให้จดจำ
๑๖๘ แนบนิ่งอยู่ .. ตราบระทดระทวยร่าง หล่นลิ่วกลางเย้ายวน .. เสียงครวญคร่ำ ครั้งแล้วและครั้งเล่า .. รสเจ้ากรรม- ก็ซาบซ้ำหวานซึ้ง .. ติดตรึงทรวง
๑๖๙ อ่อนหวานด้วยหวานอุ่นของกรุ่นเนื้อ ที่โชนเชื้อขับหนาว .. จนหนาวล่วง หอมนวลสาวเร้ารุม .. นวลพุ่มพวง- ก็พาร้อนโชนช่วง .. โหมห้วงใจ
๑๗๐ โผยแผ่วผิวพรรณสาว .. อะคร้าวรูป ต้องจบจูบแผ่วพลัน .. พลิ้ว-สั่นไหว อย่างแผ่วเบาผ่านอุ่น .. ละมุนละไม ก็แว่วครวญโหยไห้ .. อยู่ในยาม
๑๗๑ ตื่นตอบรอบอารมณ์เกินข่มขับ พ้องลำดับมนต์สาป .. รสวาบหวาม เนื้อเสียดเนื้อ, เนตรใคร-หนอ .. ไหววาม ? จนเกินห้ามรุมร้อนแห่งฟอนไฟ
๑๗๒ อ้อยอิ่งเบียดเสียดซุกไปทุกส่วน ที่นิ่มเนื้อเนียนนวล .. แต่ล้วน .. ไหว ครั้งแล้วและครั้งเล่า .. อย่างเข้าใจ- กับเสียงไห้หวนพร้อม .. ใต้อ้อมทรวง
๑๗๓ ครั้งแล้วและครั้งเล่า .. ใช่เท่านั้น ที่โหยสั่น .. ยินแว่วไม่แล้วล่วง ก่อนหวิวหวีดกรีดประดัง .. ใจทั้งดวง เพื่อผ่านช่วงแนบกระชับ .. แล้วกลับย้อน
๑๗๔ แทรกระลอกลมแผ่ว เสียงแว่วหวีด- ดังก้องกรีดรัวสั่น .. แล้วผัน .. ผ่อน กระซิบความรุมเร้าแสนเว้าวอน- นั้นออดอ้อน .. อยู่พร้อมอย่างยอมใจ ! . . .. ๘ ๑๗๕ แล้วเลือดที่เดือดชุ่ม เริ่มร้อนรุมดั่งสุมไฟ ดาบกำก้าวย่ำไป วาบคมใส่ร่างไพรินทร์
๑๗๖ คมแทรกชำแรกเนื้อ พร้อมเลือดเรื่อที่หลั่งริน ร่างซบลงกลบดิน และชีวินก็สิ้นลม
๑๗๗ ย่ำเหยียบเข้าเปรียบมือ ดาบวาดหวือบันลือคม ชีพยับลงทับถม ให้รู้ขมให้รู้เค็ม ๑๗๘ ว่ามือเมื่อถือดาบ เลือดจักซาบและอาบเต็ม- หน้าคนให้ทนเล็ม ว่าแดงเข้มนั้นเค็มขม
๑๗๙ ย่ำเหยียบเข้าเหยียบชีพ ให้จมลีบใต้ดาบคม เหยียบหน้าให้สาสม กับขื่นขมอันยาวนาน
๑๘๐ กู-มากับอารมณ์ หมายขับข่มเข้าล่มลาญ ใจคอเฝ้ารอผลาญ- มึง-พวกม่าน .. นับนานคอย ๑๘๑ กู-มาพร้อมคมดาบ เพื่อกำราบให้สิ้นรอย ดาบเถือก็เพื่อสอย- ชีพลิ่วลอยลงกลบดิน ๑๘๒ เลือดคาวมึงคาวเหลือ ดาบกูเถือก็หลั่งริน ร่วงรายดุจลายศิลป์ รับชีวินที่ร่วงตาม
๑๘๓ อัดแน่นด้วยแค้นเคือง หวังรอเปลื้องรอปลิดทราม ให้ดาบที่วาบวาม ได้วาบข้ามเข้าบั่นคอ !
๑๘๔ ดาลเดือดเข้าเชือดเนื้อ เลือดแดงเรื่อก็หยาดรอ- ใจผู้ไม่รู้พอ ดาบบั่นคอไม่รอใคร
๑๘๕ วันนี้เลือดผีนอง- เนือง .. ทั่วท้องแผ่นดินไทย ดาบวาดป้องชาติไว้ ด้วยหัวใจที่เจ็บจำ ๑๘๖ แผ่นน้ำทั้งสามสาย ที่รอบรายจะร่ายรำ บวง-เทพให้เสพ, สัม- ผัส .. ชีพต่ำผู้วางตน ๑๘๗ ผืนน้ำทั้งสามสาย จักรำบายความตายบน- ศักดิ์ศรีเสรีชน ให้งามล้นให้งามล้ำ
๑๘๘ เจ็บจำเอาเป็นโจทก์ คืนทัณฑ์โทษที่เคยทำ ทุกบทเป็นกฎบำ- รุงชอกช้ำให้ยำเกรง
๑๘๙ เมื่อรุ่งสางพร่างลออ .. วันทอแสง ดาบก็แกว่งเข้าล่ม .. ผู้ข่มเหง ครั้งนั้นคาวเลือดชั่ว .. เปรอะตัวเอง สองมือเกร็งกำดาบ .. กำราบอรินทร์
๑๙๐ เพียงแค่เจ็ดเดือนผ่าน .. เข้ากาลใหม่ พลิกฟื้นใจกำสรดเสียหมดสิ้น มีฮึกเหิมหวงแหน .. ในแผ่นดิน ทั้งถวิลในเสรี .. เคยมีมา
๑๙๑ สุกี้พะนายกอง .. ชีพล่องลับ คือผลลัพท์ทุรยศ .. กำหนดค่า กรุงศรีฯ .. เหลือเพียงซากจนยากยา- จึงสร้างฟ้าผืนใหม่ .. รวมใจคน
๑๙๒ ครั้งนั้นชายชาติ .. ผู้อาจหาญ ร่วมยุทธการณ์เข้มแข็งทุกแห่งหน ช่วยเจ้าตาก .. รบทัพ .. ไม่อับจน ทั้งผองเพื่อนถ้วนคน .. ร่วมพลไกร
๑๙๓ ครั้งนั้นสามทหารเสือ .. แกร่งเหลือนัก ร่วมเข่นหักชีพอรินทร์จนสิ้นได้ ทุกหมู่เหล่าป้อมค่าย .. ต้องพ่ายภัย มาร่วมใจปรารมภ์ .. ใต้ร่มเดียว
๑๙๔ ให้เหล่าไทยถ้วนหมู่ .. มาอยู่ด้วย ร่วมใจช่วยเผื่อแผ่ .. ร่วมแลเหลียว ร่วมสุขโศกอภิรมย์ .. ร่วมกลมเกลียว ร่วมข้องเกี่ยวแน่นแฟ้น .. ร่วมแผ่นดิน . . . .. ต่อภาค ๒
Create Date : 13 มีนาคม 2555 |
|
4 comments |
Last Update : 18 สิงหาคม 2565 7:13:14 น. |
Counter : 1126 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: น้องเล็ก IP: 118.172.99.199 15 มีนาคม 2555 18:54:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: medkhanun IP: 202.28.45.10 20 มีนาคม 2555 11:11:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: สดายุ... 20 มีนาคม 2555 22:01:44 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
France
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]
|
|
|
|
|
|
|
|
สวัสดีค่ะ...
เรื่องยาว? ไม่เป็นไรค่ะ ค่อยๆแกะไป อิอิ
มีความสุขมากๆมีสุขภาพแข็งแรงนะคะ :'))
ขอบคุณเจ้าค่ะ