|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
O สายธาร .. กาลเวลา ภาค ๑ .. O
ภาพ .. ผลงาน อ.จักรพันธุ์ โปษยกฤต.
เพลง .. สร้อยสนตัด กอไผ่
... ปฐมบท ... ๔ ๑. หนาวลมพรมแผ่นพื้น - - - ปฐพี โหมสรรพเสียงราตรี - - - ตื่นก้อง แว่วเพียงอดุระทวี - - - เทวษสู่ จิตเฮย แทรกหนึ่งนัยร่ำร้อง - - - รับรู้เพียงเรียม ฯ
๘ ๒. โสมกลางสรวงเช่นดวงอัจกลับ กลางหริ่งหรีด .. กรีดรับขึ้นขับเสียง ลมเฉื่อยโชยพฤกษ์เบนต้นเอนเอียง วิเวกเพียง .. แว่วส่วนคร่ำครวญนั้น
๓. การเวก .. กรุ่นหอมเข้าล้อมร่าง เมื่อน้ำค้างหยาดใบจนไหวสั่น แผ่วพิณพาทย์ซ้อนซ้ำเสียงรำพัน จนจิตหวั่นไหวซ้ำ .. กลางคร่ำครวญ
๔. .. แต่สิ้นชาติ .. วาสนาชะตาคู่ ผ่านเช้าสู่คืนค่ำ .. ด้วยกำสรวล ตั้งจิตมุ่งหมายภพบรรจบจวน หวังกาลทวนย้อนกลับมารับรอง
๕. โอ้ .. รอบกรรมวงวัฏฏ์ของสัตว์โลก ล้วนสร้อยโศกทุกข์ทนความหม่นหมอง แต่พลัดพราก .. ซากขันธ์ล่วงครรลอง ยังมั่นพ้องภพสู่ เป็นคู่เคียง ..
๖. ดาษดาวเลื่อนเดือนล่วงลับสรวงแล้ว เมื่อพาทย์แผ่วกลางถิ่นหมดสิ้นเสียง กระซิบหนึ่งลึกล้ำ .. ผ่านสำเนียง ว่า-สุดเลี่ยง .. เสน่หา .. แสนอาวรณ์
๗. บทเพลงโศก .. แผ่วผ่านฝ่าม่านพลบ ลงซ้อนทบแทรกหมายสุดถ่ายถอน ร่างสัญญาเพรงกรรม .. เริ่มกำจร ภพภูมิเลื่อนเหลื่อมซ้อน .. แต่ตอนนั้น
๘. กรุ่นราตรีล้อมถิ่นด้วยกลิ่นรื่น ดั่งเฝ้าฝืนโบยใจพาไหวสั่น ปลิดปลงล่วงลำดับห้วงกัปกัลป์ ย้อนสู่ทัณฑ์ทรมา .. ผู้อาลัย
๔ ๙. พระพายรื่นพลิ้วผ่าน - - - ผันขบวน ปรนกรุ่นหอมลำดวน - - - ดอกแก้ว พิณพาทย์แผ่วคร่ำครวญ - - - คลอโสต เสียงขับเอื้อนฤาแคล้ว - - - คลาดได้ฉันใด
.. ฟากฟ้าเก่า ..
๘ ๑๐. ล่องลอยเหล่าเรือน้อยพายคล้อยเคลื่อน ฟากคลองเกลื่อนกล่นหน้าผู้อาศัย นาย .. บ่าวผ่านเสียงแทรกฟังแปลกนัย อาภรณ์ใส่ .. พิศแรกก็แปลกตา
๑๑. โน่น .. อาวาสศาสน์พุทธท่านอุดหนุน ผู้บาปบุญสำนึกใฝ่ศึกษา เหลืองจีวรขับเลศข่มเวทนา เผยมรรคาพรหมจรรย์ .. บ่มบรรเทา
๑๒. วอแห่งผู้บุญหนักทรงศักดิ์ใหญ่ มีร่มให้ลดทอนความร้อนเร่า สี่คนคอนขึ้นไหล่ก็ใช่เบา ลิ่วสู่เหย้าเรือนตน .. รับปรนเปรอ
๑๓. กำแพงวัง .. ขอบคูก็ดูลึก แต่ตรองตรึกนึกไปด้วยใจเผลอ บางชีพชนม์แต่เกิดช่างเลิศเลอ แทบเสมอเทวัญในชั้นฟ้า
๑๔. หากทรงธรรม .. นำหน้าประชาราษฎร์ ใช้อำนาจช่วยกันร่วมฟันฝ่า อำรุงเขตคามแคว้นเพิ่มแสนยา จักอัปราล่มลับ .. ด้วยทัพใด ..?
๑๕. มโหรีปี่ฆ้องทำนองเสนาะ เหมือนหลั่งเซาะโสตสดับเสียงขับไข ขบวรนาคแหนแห่เห็นแต่ไกล มุ่งหน้าไปทอนตัด .. อีกอัตตา
.. ดั่งรุ่งอรุโณทัย ..
๑๖. รูปหนึ่งห่มสไบกรอง .. เจ้าผ่องพักตร์ พิไลลักษณ์โดยชาติพิลาสสถา- นะภาพในศานติกริยา ส่งคุณค่าขับขจ่างขึ้นกลางใจ
๑๗. มีร่มบังกันให้พ้นไอแดด ท่ามกลางแวดล้อมก้าวของบ่าวไพร่ ตาดแพรทองงามควรห่มนวลใย จึงผ่องใสหยัดอยู่ไม่รู้จาง
๑๘. มาร่วมบุญงานบวชฟังสวดพระ หวังลดละ .. ทุกข์ผองสิ้นหมองหมาง แต่กราบก้มงามควรทุกส่วนนาง ตราบเยื้องย่างสง่าล้วนให้ควรมอง
๑๙. พร้อมงานบุญแถวถิ่นได้ยินเสียง กลองกรับฉิ่งฉาบเคียงสำเนียงก้อง มวลดอกไม้โกสุมพานพุ่มทอง เคลื่อนสู่ท้องโรงทานข้างลานวัด
๒๐. ชั่วเพียงลมปัดปลิวผ่านริ้วหน้า ก็สบตาอกต้อง .. เกินป้อง .. ปัด ลมดั่งช่วยถ่ายร้อนไม่ผ่อน .. พัด จากร้อนอกอึดอัด .. เจ้าพัดย้อน
๒๑. ประจงจีบจับของประคองถวาย ขณะคล้ายแววตาชายมาก่อน กระแจะจันทน์กรุ่นอายจากกายอร อวลกลิ่นซ้อนหอมฟุ้งอำรุงยาม
๒๒. ชม้ายมองแปลกหน้า .. ช้อนตาสบ ดั่งเพรงภพ .. พลันสาปให้วาบหวาม ประเทียบถ้วนล้วนบทอันงดงาม ได้เริ่มลามลุกช่วงสืบบ่วงกรรม
๒๓. ชายสไบทอดผืนบนพื้นนั่ง เหมือนว่าทั้งใจทอดให้พลอดพร่ำ สืบเยื่อใยสานร้อยแทนถ้อยคำ ช่วยหยัดย้ำเพิ่มค่า .. แรงอาวรณ์
๒๔. เหมือนบาปบุญหนุนสร้างแต่ปางหลัง จึงสุดรั้งจิตชายให้ถ่ายถอน อาลัยนั้นเหนี่ยวหน่วงทุกช่วงตอน จนสุดผ่อนผันพักแม้นสักครา
.. คร่ำครวญแห่งชายชาญ ..
๒๕. โอ้ .. ธิดามนตรีเจ้ามีศักดิ์ ย่อมตระหนักแก่ใจผู้ใฝ่หา ที่ลอยดวงเด่นนั้น .. คือจันทรา พสุธาต่ำล่าง .. จนห่างแล้ว
๒๖. เพียงหนึ่งชายเชี่ยวกล้าทางอาวุธ อาจเข้ายุทธศัตรูทั้งหมู่แถว ใช่เชี่ยวกล้านารี .. ชาญวี่แวว จะรู้แนวสืบสมเข้ากลมเกลียว
๒๗. ถวิลถึงก็วิตกสะทกสะท้อน ทิฆัมพรก็แต่แลชะแง้เหลียว หวังก็เหมือนฟากสวรรค์คืนจันทร์เรียว ย่อมมืดเปลี่ยวเปล่าแสงจนแล้งร้าง
๒๘. เมื่อโดยชาติต่างชั้นเกินฝันถึง จะเหนี่ยวดึงเกรงต้องให้หมองหมาง หากน้ำใจเอ่ออยู่ไม่รู้จาง ฤๅจักพรางกลบเกลื่อนให้เคลื่อนคลาย
๒๙. เสร็จงานบุญถึงตอนเจ้าย้อนกลับ จะเลยลับรูปไปก็ใจหาย ท่วมเอ่อล้วนอาลัย .. นะใจชาย ฤๅจักวายวางสวาดิ .. จากนาฏน้อง
๓๐. สไบผืนทิ้งปลายดั่งสายสร้อย ที่ล่ามร้อยจิตผู้หวังคู่สอง แม้นรูปเลือนลับหลังก็ยังมอง แต่ตามตรองใฝ่เห็นไม่เว้นวาย
๓๑. สุดสมเพชชายชาญทหารกล้า มัวเหนียมหน้าอับจนไม่ขวนขวาย เห็นมณีเรื่อรองน้ำผ่องพราย กลับไม่หมายฉาบฉุดเข้ายุดยื้อ
๓๒. อันดวงแก้วเนื้อวามงดงามแสน จะมาแขวนให้เหนี่ยวเอาเจียวหรือ ใครเล่าจักเกี่ยวดึงส่งถึงมือ กระนั้นคือชื่อชั้น .. เขาหยันเย้ย
๓๓. กระท่อมทับก้องกรีดเสียงหรีดหริ่ง ใจหนึ่งยิ่งกลับเหมือนยากเอื้อนเอ่ย คำนึงรูปหลงใหลด้วยไม่เคย หวังแนบเชยชวนชิด .. เฝ้าคิดย้อน
.. คำนึงนวล ..
๓๔. คืนนี้จันทร์งดงามอร่ามแสง ประโลมแหล่งโลกอยู่ไม่รู้ผ่อน คะนึงผู้แปลกหน้าให้อาวรณ์ อกสะท้อนพลอยสะท้านด้วยหวานซ้ำ
๓๕. แต่ล่วงพุทธาสถานถึงบ้านช่อง อุระต้องตื่นเต้นไม่เป็นส่ำ รัญจวนนั้นน้อมแนบเข้าแอบอำ ลงหยั่งย้ำแรงถวิลในจินตนา
๓๖. แต่สบเนตรเลศหนึ่งค่อยซึ้งซ่าน แล้วเบ่งบานเป็นเล่ห์เสน่หา มาร่วมบุญบ่มวัตรเพาะศรัทธา กรรมฤๅพาย้อนภพบรรจบเป็น
๓๗. โอ้ .. จักนานนับปีไม่มีชื่น ทิวาคืนแต่จะคอยละห้อยเห็น ไฉนเล่าจะหลุดจำจากลำเค็ญ จนว่างเว้นปรารถนา .. แห่งอาลัย
๓๘. เกิดเป็นหญิงยากครันจะฟันฝ่า เที่ยวเผยผ่านพบหน้าร่วมปราศรัย ความเพียงนิดแพร่งพรายก็อายใจ ต้องข่มไว้..คิดย้ำแต่ลำพัง
๓๙. พี่เอย .. ดูผึ่งผายสมชายชาติ ไยไม่มาดหมายชมให้สมหวัง ตัวน้องนี้ยากล้ำเหลือกำลัง ไม่อาจพลั้งออกหน้า .. บ่งอาวรณ์
.. ในฝัน ..
๔๐. ใครหนึ่งท่ามยศถาบรรดาศักดิ์ ถวิลนักก็แต่ทอดฤทัยถอน หวังย่อมหวังสายตาเหลือบอาทร รับรู้ร้อนรอยเลศในเจตนา
๔๑. เหมือนสืบชาติปางหลังแต่ครั้งเก่า พอเห็นเข้าเฝ้าคอยละห้อยหา เสมอรูปพิมพ์ร่างท่านสร้างมา ให้หลอนตาลอบเร้นไม่เว้นวาย
๔๒. พี่เหมือนไม้ลอยแช่กระแสสินธ์ จะดับดิ้นก็ย่อมแต่กระแสสาย ลำธารเล่ห์เสน่หาไหลท้าทาย อาจดับหมายแห่งถวิลจนสิ้นลม
๔๓. รอคอยความปรานีใครมีให้ ต่ออาลัยเป็นพลังพลอยสั่งสม แนบช่วงกาลชุ่มชื่นมอบรื่นรมย์ ดั่งห้อมห่มกรุ่นมนต์สุคนธา
๔๔. เหนี่ยวพุ่มพวงบุปผาบรรดาสี แทนใจที่มุ่งมาดด้วยปรารถนา วางกำลังสุจริตเป็นฤทธา เพื่อคุณค่าเผยในน้ำใจเดียว
๔๕. บำบวงทิพสังคีตให้กรีดกล่อม ใจหนึ่งน้อมเผื่อแผ่ช่วยแลเหลียว ค่ำคืนจักแขวนขวัญกับจันทร์เรียว ทั้งลอบเหนี่ยวอีกขวัญผูกกันไป
๔๖. ร้อยวาจาแทนใจมอบให้เจ้า อยู่กับเหย้ารอหน้าได้อาศัย ค่ำคืนนี้จะแทรกฝ่านิทราใคร เตรียมเถิดใจ .. รอท่า .. ผู้อาทร
๔๗. ค่ำดึกแล้วไม่หลับกระสับกระส่าย จิตวนว่ายรอบชู้เกินรู้ถอน แว่วเหมือนใครโลมเล้าความเว้าวอน กระซิบอ้อนริมหูจนรู้นัย
๔๘. พรุ่งนี้แม่ .. โปรดนั่งอยู่ยังท่า จะลอยลำเรือมาร่วมปราศรัย มะลิร้อยแทนหมายแห่งสายใย เตรียมเอาไว้สำหรับการรับรอง
.. มาลัยหอม ..
๔๙. เสมือนแรงปรารถนาบัญชาคิด จึงสัมฤทธิ์เรื่องราวครบข้าวของ หมากพลูจับม้วนใบ .. มาลัยกรอง ด้วยมือน้องหยิบยื่นแต่ตื่นตา
๕๐. ไม่มีแม้สักคำจะล้ำล่วง ทิพฤๅหน่วงสองชาติร่วมวาสนา กระทั่งเรือลำน้อยล่องลอยมา ก็รู้ว่าเพรงกรรมนั้นนำทาง
๕๑. เรือลำน้อยเคลื่อนมาถึงท่าน้ำ พายก็ค้ำลำแอบเข้าแนบข้าง มือจับราวบันไดเรือไหวพลาง เงยก็สบหน้านาง .. งาม .. อย่างใจ
๕๒. กรประนมก้มไหว้อกใจสั่น อุทธัจนั้นท่วมทับเกินขับไส แต่คางก้มคอค้อมกายน้อมไป อีกคนย่อมรีบไหวมือไหว้รับ
๕๓. แสนฉงนรูปฝันมาผันต้อง ดลดวงใจทั้งสองมาพ้องศัพท์ คงเวทย์มนต์เทพนำช่วยสำทับ พาสองใจติดกับ .. สุดยับยั้ง
๕๔. พี่ .. คือแกล้ว .. กำลังแห่งวังหน้า เป็นขุนหมื่นเสนาผู้กล้าหลั่ง- หยาดเลือดโลมปฐพีให้จีรัง ในคำสั่งสีหราชเดโช
๕๕. บิดาเจ้า .. เคารพเคยพบหน้า นับเนื่องว่าโดยกาลก็นานโข มนตรีแห่งธานินทร์ผู้ภิญโญ ไม่เคยโอ้อวดเกียรติ .. หรือเหยียดใคร
๕๖. ไม่เคยรับรู้ว่า .. คุณค่าหนึ่ง จะงามซึ้งสมหน้า .. อัชฌาศัย แม่เอย .. แม่หอมกว่า .. หอมมาลัย ทั้งโดยนัย .. นึกน้อม .. ยิ่งหอมล้ำ
๕๗. รายรอบด้วยบริวาร .. ยังหวานนัก ใจก็หนักหนาเต้นไม่เป็นส่ำ หวานใดเล่ายิ่งรส .. หวานพจน์ทำ แต่หยอดย้ำอกหนึ่งจนอึงอล
๕๘. แม่ดั่งดวงดาราทิพามาศ เลื่อนลีลาศวับวาวทั่วหาวหน ท่ามคืนแรมจันทร์ล้าลับสากล เอื้อสรวงบนระยิบตาทั้งราตรี
๕๙. มอบสดใสส่องงามอยู่ท่ามพื้น ให้ตามตื่นแห่หาเฝ้าราศี ชวาลเชื้อช่วงหล้างามท่าที คือโดยศรี .. สำแดงยิ่งแสงจันทร์
๖๐. หวังโฉมเลื่อนเงาเงื้อมให้เอื้อมถึง จักเหนี่ยวดึงโอบต้องประคองขวัญ ฟังหัวใจกระซิบคำที่รำพัน จักคงมั่นเคียงนาฏไม่คลาดคลา
.. ความรัก ..
๖๑. อันใดเล่างดงามเท่าความรัก ดังรุ้งถักทอดลงที่ตรงหน้า ความอ่อนหวานซ่านแล้วในแววตา เมื่อเหว่ว้าหลบเร้นไม่เห็นเงา
๖๒. ไม่เห็นกันเพียงนิดเฝ้าคิดถึง ห่างเพียงชั่วยามหนึ่งก็ถึงเศร้า ข่มอาวรณ์ยากครันจักบันเทา แต่หงอยเหงาถวิลเห็นไม่เว้นวาย
๖๓. ปรารถนาอ้อมใจของใครหนึ่ง ซบหน้าซึ้งอุ่นอยู่อย่ารู้หาย สองแขนหวังโอบตอบอยู่รอบกาย อย่าได้คลายห่างตัวตราบชั่วกาล ..!
๖๔. เหมือนอบร่ำใจบนสุคนธรส พร้อมชิวหาจ่อจดด้วยรสหวาน เอิบอิ่มย่อมซาบซับอยู่นับนาน แลจักซ่านซึ้งสู่เพียงผู้เดียว
๖๕. เฉก .. สดใสจำรูญแสงสูรย์ส่อง เช่น .. หม่นหมองคืนแรมจันทร์แย้มเสี้ยว ดุจ .. ธาราบ่าสายเป็นหลายเกลียว ดั่ง .. ดายเดียวดาวตกเกินวกย้อน
๖๖. เช่นปลายศรพุ่งทะลวงปักทรวงอก ทุกย่างยกบีบคั้นไม่ผันผ่อน ทั้งวาดหวัง/ปรารถนาทั้งอาวรณ์ จนรุ่มร้อนหัวใจดั่งไฟเร้า
๖๗. หอมหวานล้ำกุสุมาที่ว่าหวาน แต่ตฤปผ่านโลมลิ้นถึงสิ้นเศร้า หลับตาล้วนพาดทับอยู่กับเงา หวังทุกเสียงหนักเบาเป็น .. เขา .. แล้ว
๖๘. หนักหนาจนสาหัสทุกสัดส่วน กรรทบล้วนส่งเสียงใช่เพียงแผ่ว ทั้งจากรอยรูปสร้างอันพร่างแพร้ว ทั้งจากแถวสร้อยโศกที่โกรกย้ำ
๖๙. กำเนิดเพื่อกำหนดความสดชื่น แต่ตา .. ตื่น ..อกเต้นไม่เป็นส่ำ กำจายลงสำนึกจนลึกล้ำ และหวานฉ่ำหอมชื่น .. สุดฝืนพ้น
.. จำพราก ..
๗๐. ถึงกาลต้องจำพรากไปจากหน้า เหมือนดั่งว่าดวงจิตจะปลิดป่น จาก .. ลับรูปรอยร่างใครบางคน ความ .. อับจนส่งเสียงถึงเพียงนี้ .. !
๗๑. อำนาจแห่งกำลัง .. ของวังหน้า ดั่งเดือนจ้าข่มกระพริบดาวริบหรี่ ใช่จะเพื่อมุ่งปองเข้าลองดี หากเพื่อที่ป้องปัดผลาญศัตรู
๗๒. บัดดลยินกึกก้อง .. เสียงกลองลั่น คือเรียกพลฉับพลัน .. ให้หันสู่ ที่ตั้ง .. เตรียมพร้อมสรรพ .. รอรับรู้ คำสั่งผู้เป็นนายจักถ่ายย้ำ
๗๓. เพ่งพิศรูป .. ล้วนรอยละห้อยหา เทวษอาดูรหวน .. เนตรครวญคร่ำ รอเถิดแก้วจักกลับ .. มารับคำ เตรียมไว้ย้ำหยอดใจ .. ผู้ใยดี
๗๔. ถนอมใจรอคอย .. อย่าสร้อยเศร้า รักษาตัวเถิดเจ้า .. รอข่าวพี่ เสร็จการณ์กลับรับขวัญในทันที ให้สมที่ถวิลเห็นไม่เว้นวาย
๗๕. สิ้นเรื่อง .. จะเรียนการณ์ให้ท่านรู้ หวังช่วยสู่ขอขวัญ .. ช่วยหมั้นหมาย สมเกียรติศักดิ์เทือกเถาชั้นเจ้านาย คอยเถิดสายสวาดิเรียม .. เจ้าเตรียมตัว
๗๖. เรือลำน้อยคัดท้าย .. ค่อยพายจ้ำ ใจก็กรำเหว่ว้าดั่งฟ้าหลัว เรือค่อยเลือนลับล่อง .. ใจหมองมัว คนก็กลัว .. จากลับไม่กลับคืน
๗๗. พบกัน .. หรือ .. เพื่อจากจำพรากสิ้น เกรงจะดั่งแผ่นสินธ์ไหลรินผืน ไม่ทวนย้อน .. ตราบภพเวียนกลบกลืน จิตใครเล่าอาจฝืน .. เป็นชื่นบาน
๗๘. ข่าวเจ้าสองพี่น้องดังก้องกึก เมื่อเปิดศึกชนช้างเข้าล้างผลาญ ด้วยมุ่งหมายบัลลังก์ .. โอหังการ รอบยุทธก็สะท้านสะเทือนแดน
๗๙. เจ้าอ้ายกับเจ้ายี่ .. ผู้มีศักดิ์ เข้าหาญหักชีพล่วงด้วยหวงแหน อำนาจ .. เกียรติยศ .. หมายทดแทน ราชันย์แคว้นดั่งชนก .. เคยปกครอง
๘๐. แต่ไร้ซึ่งบุญญา .. ชะตาขาด คมง้าวฆาตชีพพังกันทั้งสอง แกล้วสองฝั่งล้มตายเสียก่ายกอง ห่วง .. ผู้ล่องเรือนัก .. ใคร่จักรู้
๘๑. เมื่อเจ้าสาม .. ขึ้นนั่งบัลลังก์ราช ใครหนึ่งขาดหายหน้าไม่มาสู่ แม้นยากเข็ญป่วยไข้ .. มีใครดู พี่เอย-อยู่ .. ไหนกัน .. ณ วันนี้
๘๒. ยอดทหารกำลังของวังหน้า หรือ .. ถูกพล่าผลาญชนม์เสียป่นปี้ ปล่อยให้น้องละห้อยหาทุกนาที จนดื่มกินโศกนี้แทนข้าวปลา
๘๓. เจ้าพระยายังเอื่อยยังเรื่อยไหล เมื่อหนึ่งใจกำสรวลคร่ำครวญหา พี่เลือนล่วงลับเลยไม่เอ่ยลา ทรมา .. น้องนี้ชั่วชีวัน ..
.. ประดาบก็เลือดเดือด ..
๘๔. พันหมื่นมวลหมู่แกล้วเกลื่อนแนวป่า ค่อยยาตราเหยียบย่ำเข้าห้ำหั่น หมู่เสนารุดโถมเข้าโรมรัน อ้อ .. เลือดไทยสำคัญ .. ฆ่ากันเอง
๘๕. ขุนหมื่นใต้ร่มเงา .. ของเจ้าอ้าย ควงดาบหมายเข้าล่มผู้ข่มเหง ตวัดเชือดเลือดชั่วไม่กลัวเกรง เอาละเลงแผ่นดิน .. โลมสินธู
๘๖. โอ้ .. ขมขื่นด้วยผ่าวกลิ่นคาวเลือด หลั่ง/แห้ง/เหือดกลางบท .. ควรอดสู ลมหรือเคยผ่านพัดเลือดศัตรู คาวฤๅสู้เลือดไทย .. ที่ไหลนอง ..?
๘๗. ที่กำเนิดภายใต้ร่มไอยศูรย์ ดั่งมีกูณฑ์ลวกลนให้หม่นหมอง หมายอำนาจเสร็จสรรพ .. มุ่งจับจอง จนพี่น้องแปลกหน้า .. เข่นฆ่ากัน
๘๘. ยอดทหารกำลังของวังหน้า ท่วงทีท่าองอาจไม่หวาดหวั่น เด็ดชีพฝ่ายเจ้ายี่หลายชีวัน ก่อนจะพลัน .. หายลับไปกับยาม
๘๙. ไข้ระบมข่มปวดเร้ารวดแผล รอยดาบแล่กายต้องใช่สองสาม หากปวดนั้นปวดใจ .. ที่ไกลงาม คือแม่ทรามสวาดิน้อย .. ผู้กลอยใจ
.. คืนรับขวัญ ..
๙๐. รอเถิดรอแสงเย็น .. ของเพ็ญค่ำ พายจะจ้ำเรือคล้อยล่องลอยไหล เพื่อว่าช่วงปรารถนา .. แรงอาลัย จะอาจไขแทนแข .. ให้แม่รู้
๙๑. เมื่อโคมสรวงเช่นดวงอัจกลับ ให้รอรับอาวรณ์พี่ย้อนสู่ จะไหลหลั่งระริกรินเช่นสินธู ประโลมขวัญตราตรู แต่ผู้เดียว
๙๒. รูปเคยห่างต่างช่วงจักหน่วงให้ เคลื่อนชิดใกล้แนบนวลทุกส่วนเสี้ยว เทวษรอบอารมณ์เคยกลมเกลียว จักปลิดเปลี่ยวเปล่าถนอม .. ด้วยอ้อมใจ
๙๓. บุหลันโรจน์อำไพที่ในฟ้า คะนึงหนึ่งถึงหน้าเคยปราศัย ค่ำคืนจะนิทราเคียงหน้าใคร อันจะไขขับโฉมประโลมทรวง
๙๔. โสตจะเคียงประณีตสังคีตป่า กล่อมวิญญาณ์ด้วยโฉมแห่งโสมสรวง ใจจะล่องเสน่หาสุดาดวง ตะวันช่วงแสงทองจะล่องเรือ
๙๕. แต่สิ้นศึกกลางเมืองหมดเรื่องแล้ว มวลหมู่แกล้วหยุดผลาญร่วมสานเกื้อ เจ้าสามฯ .. ทรงการุณช่วยจุนเจือ ทุกเหล่าเชื้อร่วมสัตย์ในรัชกาล
๙๖. หากศึกแห่งหัวใจยังไม่สิ้น ยังโบกบินรูปเงาคอยเผาผลาญ ตราบแรกพิศก็สำทับอยู่นับนาน จนรอยหวานลึกถึง .. ก้นบึ้งใจ
๙๗. กราบเรียนสีหราชเดโช .. ท่าน ช่วยจัดการติดต่อสู่ขอให้ แม่หญิงมณีจันทร์ .. โดยทันใด หวังผู้ใหญ่ .. รับ-ส่งจำนงนั้น
๙๘. เขา .. ขุนหมื่นเสนาเดชาวุธ ผู้หาญยุทธศัตรูให้รู้หวั่น เข้าผู้ใหญ่พูดพร่ำ .. ยากจำนรรจ์ แต่สำคัญ .. มั่นคงจำนงน้อง
.. ช่วงกัปกัลป์ ..
๙๙. เรือลำน้อย .. ลอยลำพายจ้ำ .. จ้วง ใครจะห่วงแสงแข .. เที่ยวแลส่อง เมื่อเผยหนึ่งเพ็ญพักตร์ .. จำหลักรอง ได้พาดผ่องภาพไว้ที่นัยน์ตา
๑๐๐. เหนี่ยวร่างน้อยทอดทับอยู่กับอก แขนป้องปกด้วยรัก .. อยู่หนักหนา อธิษฐาน .. ร้อยถวิลสองวิญญาณ์ ร่วมดินฟ้า .. เกิด-ดับทุกกัปกัลป์
๑๐๑. ครั้นเหรียญทองรูปพระ .. แม่กระทบ บันดาลพลบ .. วาบแจ้งด้วยแสงสวรรค์ เรือนริมน้ำ .. วารี .. มณีจันทร์ ก็ฉับพลัน .. เลือนลับไปกับตา
๑๐๒. กระแจะจันทน์ห้อมห่มกลางลมโบก พลอยเสียดโศกสร้อยเศร้าพุ่งเข้าหา จากเลือนลับล่วงเลย .. ก่อนเอ่ยลา ย่อมเหว่ว้าโหยเห็นไม่เว้นยาม
๑๐๓. แสนอาลัยเพรงภพ .. มาจบสิ้น เมื่อธานินทร์หมุนเคว้งน่าเกรงขาม อาวรณ์ล่วงช่วงยุค .. กลับลุกลาม พลอยวาบวามในอก.. เกินยกย้าย
๑๐๔. แม่เอยโปรด .. มองจันทร์ในชั้นฟ้า จงรู้ว่าแสงงามคือความหมาย แห่งรักผู้เปล่าเปลี่ยวอยู่เดียวดาย ที่เผยผายให้เห็นผ่านเพ็ญจันทร์ ..
.. ภพแห่งผู้รอคอย ..
๑๐๕. อาดูรแต่รูปลับเลือนกับแสง อกยังแฝงอุ่นอ้อมเมื่อกล่อมขวัญ วิเวกแว่วนกค่ำ .. ดั่งรำพัน ว่าจะมั่นรอบกัป .. เวียนกลับคืน ..
๑๐๖. แต่เหรียญต้องมือทาบ..ร้อนวาบวูบ ธานินทร์สูบภพแตกแล้วแยกผืน เลื่อนตาวันข่มพลบจนลบกลืน น้ำแตกคลื่นหมุนติ้วเป็นริ้วเกลียว
๑๐๗. สะท้านห้วงใจนุช .. ปานหลุดขั้ว อกสั่นรัววูบเร้าด้วยเปล่าเปลี่ยว เหมือนนรกทวงบาปในคาบเดียว ลงรุมเหนี่ยวความรักจนหักคา
๑๐๘. จักรอพี่ตราบสิ้น .. ธานินทร์สูญ โลกันต์กูณฑ์เปลวแดงครอบแหล่งหล้า ปาริชาติโชยกลิ่นรวยรินมา จนเชื่อมฟ้า/วัน/คืน/เป็นผืนเดียว
๑๐๙. .. แต่สิ้นชาติ .. วาสนาชะตาคู่ ที่เคียงอยู่ล้วนเงาความเปล่าเปลี่ยว ตั้งจิตสืบอารมณ์หมายกลมเกลียว รอ .. กาลเหนี่ยวรั้งภพบรรจบกัน
๑๑๐. ปรารถนาจิตน้อง .. จงพ้องพี่ ทุกแห่งที่หนทางสิ้นขวางกั้น หมุนโลกให้ย้อนทาง .. สู่ปางบรรพ์ สืบภพภูมิผูกพัน นิรันดร
จบปฐมภาค
Create Date : 27 กรกฎาคม 2549 |
|
57 comments |
Last Update : 14 มกราคม 2567 20:57:13 น. |
Counter : 10459 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: เพรง.พเยีย IP: 221.128.100.166 29 กรกฎาคม 2549 10:15:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: น้องเอง IP: 221.128.100.166 29 กรกฎาคม 2549 12:44:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: สดายุ... 29 กรกฎาคม 2549 22:56:39 น. |
|
|
|
| |
โดย: สดายุ... 29 กรกฎาคม 2549 23:00:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: นางเอง (เพรง.พเยีย ) 30 กรกฎาคม 2549 7:21:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: บูรพกาล (กลกาล ) 30 กรกฎาคม 2549 22:05:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: สดายุ... 31 กรกฎาคม 2549 9:23:31 น. |
|
|
|
| |
โดย: สดายุ... 31 กรกฎาคม 2549 10:26:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: สดายุ... 31 กรกฎาคม 2549 14:54:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: ไกลแสนไกล IP: 202.28.66.23 2 สิงหาคม 2549 15:25:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: สดายุ IP: 193.173.157.254 2 สิงหาคม 2549 16:55:36 น. |
|
|
|
| |
โดย: ไกลแสนไกล IP: 202.28.66.23 2 สิงหาคม 2549 17:18:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: ไกลแสนไกล IP: 202.28.66.23 2 สิงหาคม 2549 20:19:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: สดายุ IP: 58.136.203.68 2 สิงหาคม 2549 20:41:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: สดายุ... 2 สิงหาคม 2549 21:15:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: เพรง.พเยีย (เพรง.พเยีย ) 3 สิงหาคม 2549 6:02:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: หญิงซอมฯ (doomun ) 3 สิงหาคม 2549 11:11:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: ไกลแสนไกล IP: 202.28.66.23 3 สิงหาคม 2549 13:05:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: ไกลแสนไกล IP: 202.28.66.23 3 สิงหาคม 2549 13:19:21 น. |
|
|
|
| |
โดย: ไกลแสนไกล IP: 202.28.66.23 3 สิงหาคม 2549 13:31:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: สดายุ... 3 สิงหาคม 2549 20:33:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: สดายุ... 3 สิงหาคม 2549 20:46:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: ไกลแสนไกล IP: 202.28.66.23 4 สิงหาคม 2549 12:29:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: ไกลแสนไกล IP: 203.121.166.162 4 สิงหาคม 2549 13:03:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: บูรพกาล IP: 203.113.86.156 4 สิงหาคม 2549 14:35:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: นางเอง IP: 61.47.126.159 5 สิงหาคม 2549 13:26:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: เพรง.พเยีย IP: 61.47.126.159 5 สิงหาคม 2549 13:44:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: สดายุ... 5 สิงหาคม 2549 19:01:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: สดายุ... 5 สิงหาคม 2549 22:11:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: บูรพกาล (กลกาล ) 6 สิงหาคม 2549 0:40:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: ไกลแสนไกล IP: 202.28.66.23 6 สิงหาคม 2549 15:55:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: สดายุ (สดายุ... ) 8 สิงหาคม 2549 11:14:21 น. |
|
|
|
| |
โดย: คนไกลแสนไกล IP: 202.28.66.23 8 สิงหาคม 2549 11:50:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: สดายุ (สดายุ... ) 8 สิงหาคม 2549 13:37:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: คนไกลแสนไกล IP: 202.28.66.23 8 สิงหาคม 2549 14:09:38 น. |
|
|
|
| |
โดย: สดายุ... 8 สิงหาคม 2549 14:57:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: คนไกลแสนไกล IP: 202.28.66.23 9 สิงหาคม 2549 13:31:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: สดายุ... 9 สิงหาคม 2549 19:40:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: บูรพกาล... (กลกาล ) 10 สิงหาคม 2549 10:23:38 น. |
|
|
|
| |
โดย: นางค่ะ IP: 58.136.232.26 10 สิงหาคม 2549 12:37:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: สดายุ... 10 สิงหาคม 2549 17:57:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: นางค่ะ IP: 221.128.104.229 11 สิงหาคม 2549 5:55:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: สดายุ... 11 สิงหาคม 2549 10:48:39 น. |
|
|
|
| |
โดย: สดายุ... 12 สิงหาคม 2549 5:56:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: บูรพกาล IP: 125.25.158.51 13 สิงหาคม 2549 22:28:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: บูรพกาล IP: 125.25.158.51 13 สิงหาคม 2549 22:30:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: สดายุ IP: 124.120.197.152 15 สิงหาคม 2549 7:50:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: แสนไกล IP: 202.28.66.23 16 สิงหาคม 2549 13:36:43 น. |
|
|
|
| |
โดย: แสนไกล IP: 202.28.66.23 16 สิงหาคม 2549 13:50:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: สดายุ (สดายุ... ) 18 สิงหาคม 2549 15:32:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: นางค่ะ IP: 61.47.100.30 19 สิงหาคม 2549 6:58:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: JEW IP: 125.24.87.193 27 พฤษภาคม 2550 11:43:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: ผู้เดียวดาย IP: 124.120.62.34 22 พฤษภาคม 2551 21:01:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: พีรัวส IP: 125.24.168.220 21 มิถุนายน 2551 23:08:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: มินตรา IP: 118.173.89.14 15 กุมภาพันธ์ 2552 0:25:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: เพชรประพาย IP: 124.120.61.168 27 มีนาคม 2552 19:01:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: ศรีรุ่ง IP: 125.27.92.76 14 ธันวาคม 2552 21:52:26 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
France
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]
|
|
|
|
|
|
|
|
นางกำลังเปิดหน้าแรก
ของนิราศ...เรื่องที่อยากอ่านที่สุด
จริงๆ นะ
คุณบูรพกาล...
ภาพนางรำภาพนี้
เป็นภาพที่ชอบมากอีกภาพค่ะ