O สายธาร .. กาลเวลา ภาค ๔ .. O
เพลง .. จระเข้หางยาว ๑๔O นั่น ! .. ล้วนขบวนบุพะประภพอพยพลุแดนไกลแว่วครวญจะหวนปุระไผทสุตะไห้คระโหยหาO โอ !.. โสตอุโฆษสรรพะสำเนียงระบุเพียงจะพึ่งพาแว่ววอนจะย้อนอยุธยาบ่จะว่าจะสิ้นหวัง๘๓๕๒. ภาพนั้นค่อยค่อยลับเลือนกับพลบท่ามกลิ่นศพคาวเลือดจากเชือดหลั่งศักดิ์ .. เสรีจบสิ้นมาภินท์พังพร้อมเท้าย่ำดินดัง .. แสนวังเวง๓๕๓. ต่อแต่นี้พรรณไม้และไพรเถื่อน ..จะคล้ายเคลื่อนคอยฉุดให้รุดเร่งเสียงนกจตุบาท .. แทนพาทย์-เพลงจะคอยเปล่งทำนอง .. แทนกรองกานท์๓๕๔. เชลยศึกแถวยาวค่อยก้าวย่ำลากโซ่ตรวนตรากตรำ .. แทนคำขานมีอดสู .. อับจน .. ให้ทนทานมีอับอายทรมาน .. ให้ผ่านพบ๓๕๕. ภาพเจ้าหลวงห่มเหลือง .. อยู่เบื้องหน้าค่อยก้าวฝ่าทุรทัณฑ์ที่บรรจบอัปยศโศกศัลย์ก็ครันครบสุดหลีกหลบเพรงกรรมที่ย้ำเยือน๓๕๖. อัสดงสุริยาจะลาลับเพื่อรองรับโศกสร้อย .. ได้คล้อยเคลื่อน-เอาปวดร้าวเจ็บช้ำไว้ย้ำเตือน-ใจผู้เหมือนกำลังตายทั้งเป็น๓๕๗. สิ้นแผ่นดินสิ้นบุญสิ้นคุณค่าเหลือเพียงหน้าเชลยผองให้มองเห็นค่อยค่อยย่างเท้าย่ำด้วยลำเค็ญค่อยค่อยเค้นก้อนสะอื้นกล้ำกลืนลง๓๕๘. ย่ำค่ำเพลงสังคีตเคยกรีดเสียงกลับเหลือเพียงเพลงสกุณคอยหนุนส่งบุหลันลอยดวงเลื่อนกลางเถื่อนดงแทนรูปทรงอัจกลับเคยจับตา๓๕๙. หรีดหริ่งค่อยส่งรับ .. ร่วมขับเสียงราวร้อยเรียงความนัย .. ปลอบใจว่า -ถ้วนทั่วที่ล่มลาญ .. เพียงมารยาที่เสาะหาเพียงสมมุติ .. เฝ้ายุดยื้อ๓๖๐. ไหน .. จะคงค้ำฟ้า .. ตราบหล้าล่มจนสั่งสมเป็นประพฤติคอยยึดถือคอยแบกสร้างไขว่คว้า .. ไม่รามือเพียงเพื่อคนเลื่องลือ .. กุล .. ชื่อ .. ชั้น๓๖๑. วันวานเคย .. สุขสม .. ภิรมย์เล่นกลับมาเข็ญขุกให้ .. หัวใจสั่นศักดินาล่มลับ .. คนรับทัณฑ์-สุมโศกศัลย์สุดเทวษทวีทรวงชานกรุงอังวะ ..เดือนเมษายน .. พศ.๒๓๑๑๓๖๒. ให้ลงหลักปักฐานที่ชานเมืองจนปลดเปลื้องปลงใจ .. ความไห้-ห่วงโดยแรงฤทธิ์บุญบาป .. ที่ทาบทวงคอยเหนี่ยวหน่วง .. สืบสมัย .. ฟ้าใหม่นั้น๓๖๓. คือหมู่บ้านโยธยา .. ม่านตราชื่อเลื่องฝีมือเป็นเอกงานเสกสรรค์ศิลปะหัตกรรม .. เกินรำพัน-อาจกล่าวขวัญ .. ฝากถ้อยให้คอยชม๓๖๔. บรรดาเหล่าวงศาแห่งราชันย์ผูกสัมพันธ์ผ่านยุค .. พอสุขสมสืบเผ่าพันธุ์เรื่อยมา..ด้วยปรารมภ์-ทิ้งขื่นขมล่มลับ .. ไม่กลับย้อน๓๖๕. มีเจ้าหลวงในจีวร .. คอยผ่อนโศกคอยบ่ายโบกกำสรดให้ลดผ่อนเพื่อนมนตรีคุณพะนาย .. ก็วายมรณ์มีลูกหลานสืบตอน .. ธำรงวงศ์๓๖๖. ย่อมรู้เหง้าต้นกำเนิดที่เกิดมาทั้งรู้ว่าเคยสูง .. ดั่งฝูงหงส์มาพลัดถิ่นสิ้นยศ .. ถูกปลดปลงชีพเหลือคง .. รอคล้อยกับรอยกาล๓๖๗. แต่นี้ตราบสิ้นภพดินกลบหน้ายากรู้ว่าแดนดินทุกถิ่นฐานจะยังคงตั้งมั่นสืบสันดานหรือล่มลาญแหลกยับอยู่กับไฟ๓๖๘. สกุณาป่าฝนบินพ้นผ่านเช่นตำนานวานวันเริ่ม .. สั่นไหวจะค่อยคล้อยเลือนลับ .. ไม่จับใจคนรุ่นใหม่ลืมสิ้นแผ่นดินเดิม๓๖๙. โอ้ ตำนาน .. เฟื่องฟุ้งแห่งกรุงศรีนับแต่นี้สาบสูญ .. ไม่พูนเพิ่มห่างเกินจิตหน่ายแหนง .. จักแต่งเติมเข้าส่งเสริมปรารถนา .. คืนนาครอัมพวา .. สมุทรสงครามพศ. ๒๓๑๑๓๗๐. ลูกชายแม่เรไร .. ตามไปพบพ่อแม่ย่าครันครบ .. คอย-หลบซ่อนพร้อมองค์หญิงดาราผู้อาทรที่ค่อยผ่อนศักดิ์ลงร่วมวงศ์วาน๓๗๑. แม่เรไรปลาบปลื้ม..จนลืมลูกคำพระผูกความวอน .. เสียงอ่อนหวานทูลกระหม่อม .. ฝ่าฟันมากันดารคงร้าวรานระบมบาทแทบขาดใจ๓๗๒. ทั้งชายชาติ .. นวลนางของวังหน้ายินข่าวว่าสุดลี้หลบหนีได้ถูกกวาดต้อนพรากถิ่น .. จนสิ้นไทสู่แดนไกลล่วงลับเกินกลับย้อน๓๗๓. โอ้ .. ทูลกระหม่อมอา .. ในผ้าเหลืองถูกปลดเปลื้องยศศักดิ์ .. จนหักกร่อนเป็นจำเลยตากหน้า .. พรากนาครหัวอกเอ๋ยมาสะท้อน .. เมื่อย้อนคิด๓๗๔. แล้ว .. โอบหัตถ์เหนี่ยวกอดแม่เรไรซบพักตร์ไห้คร่ำครวญในส่วนจิตขอเป็นลูกรับใช้ .. อยู่ใกล้ชิดตามลิขิตบุญกรรม .. เคยทำมา๓๗๕. จะเป็นชนสามัญ .. แต่ชั้นนี้เรียนรู้งานนารี .. ให้มีค่าสุข .. โศก .. ทุกข์ .. สมหวัง .. กี่ครั้งคราขอเป็นหนึ่งหนึ่งหน้าทุกครานั้นคืนจันทร์เพ็ญดวง ..๓๗๖. ดู .. ปากคอคิ้วคาง .. สรรพางค์เนื้อยังจะเหลือกี่ใจ .. ผ่านไหวหวั่น ?เห็นจะหาได้ยากลำบากครันจะหยุดขวัญ .. ฝ่างามเอาตามใจ๓๗๗. งามเอย .. รูปโฉมเมื่อโลมทรวงแต่จะล่วงล้อมขวัญพาหวั่นไหวมั่นคงฤๅ .. สุจริตในจิตใครเพียงเพื่อให้กิ่งพะยอม .. ได้น้อมลง๓๗๘. อ่อนไหวถึงปานนี้ .. ฤดีนาฏด้วยสะอาดบริสุทธิ์และสูงส่งพระลบเลื่อนรับโสม .. ใจโฉมยงค์-รอโอบองค์รับพะนอ .. เฝ้ารอคอย๓๗๙. ลมลูบตัวผ่านริ้ว .. ไม้พลิ้วแผ่วอ่อนเอนใจเจ้าแล้ว .. อย่างแผ่วค่อยแตะตื่นความผุดผ่องทุกร่องรอยพาเคลื่อนคล้อยลอยล่องครรลองฟ้า๓๘๐. สะท้านหัวใจตื่นรับคืนค่ำเหมือนเพรงกรรมบีบคั้นให้ฟันฝ่าสะท้อนความเผาผลาญแห่งมารยาพันธนาสองจิต .. เกินคิดคลาย๓๘๑. สะท้อนความอ่อนไหว .. ห้วงใจนุชบริสุทธิ์และสะอาด .. ก็มาด-หมายสะท้านอยู่ด้านในหัวใจชาย-เมื่อโชนฉายเสน่หาเต็มค่าแล้ว๓๘๒. น้ำค้างดึกหยาดเหยาะไหลเลาะหยดลมตอบบทพัดย้อน .. เสียงผ่อน-แผ่วขณะเนตรไหววาบ .. ให้ทราบแววจนผ่องแผ้ววาบ-วกในอกชาย๓๘๓. ดึกเอยดึกแล้ว ..จันทร์ยังแผ้วผ่องดวงไม่ล่วงหายราวรอผ่องพากย์พร่ำ .. ผ่านรำบายเพื่อผูกสายเยื่อใย .. เงื่อนไมตรี๓๘๔. ท่ามระบัดเลบงบทกำหนดร่างก่อรูปสร้างหวงแหนขึ้นแทนที่เพื่ออาวรณ์เพื่อถวิล .. เพื่อยินดีร่วมภาคี .. กำลังเข้าสั่งการ๓๘๕. เถิด..น้ำค้างค่อยคล้อย, หยาด .. ย้อย .. หยดโอนชื่นจดแผ่นดินทุกถิ่นย่านให้ชื่นฉาบซาบทรวงเป็นบ่วงมารยึดใจคราญครวญละห้อย .. แต่คอยรอ๓๘๖. ลมเอยลมร่ำ ..ช่วยโบกบำรุงชู้ .. ให้ชูช่อเพื่อรู้นั่นส่งเสียงดังเพียงพอจนเติมต่ออาวรณ์ .. คืนย้อนมา๓๘๗. ขวัญเอย .. ขวัญเจ้า ..ใครเปลี่ยวเปล่าในทรวงด้วยห่วงหารู้หรือไม่ .. ใครกันนะขวัญตาทรมา .. ทรมานอยู่นานครัน๓๘๘. กล่อมเอย .. กล่อมเกล้า ..จะกล่อมเจ้ายินสดับในหลับฝันโอบอ้อมแขนจะกระชับชั่วกัปกัลป์และจักมั่นคงอยู่ .. ไม่รู้คลาย๓๘๙. สบเนตร-เนตรเจ้าวามบ่งความรักเกินเก็บกักอ่อนโยน .. ที่โชนฉายใต้อ้อมกอด .. ออดอ้อนเว้าวอนชายแอบอุ่นอายอบร่ำลงคำนึง๓๙๐. ใจชายฤๅเคยหวัง .. สักครั้งว่าดวงดอกฟ้าจะน้อมเรียวให้เหนี่ยวถึงแค่อกท่วมเสน่หา .. อันตราตรึงยังสุดดึงเหนี่ยวรั้งให้ฟังความ๓๙๑. ตระกองกอดเนื้อละมุนแนบอุ่น-อบปากจู่จบเสพทราบ .. รสวาบหวามสืบอาวรณ์ย้อนลง .. อกนงรามก็สุดห้ามคระโหยแก้ว .. ยินแผ่วมา๓๙๒. จดจุมพิตโอษฐ์อิ่ม .. เนตรพริ้มหลับด้วยเกินพรับตอบเล่ห์เสน่หากระอุอวลส่วนสราญ .. แห่งมารยาปรารถนาก็วนว่าย .. สุดคลายคลอน๓๙๓. ค่อยค่อย .. ล่องลอยล่วง .. สู่สรวงทิพพร้อมส่ำเสียงไกลลิบ .. กระซิบอ้อนและคล้ายอารมณ์สาว .. เปลือย .. เว้าวอนด้วยรุ่มร้อนเกินการณ์จะทานทนแม่หญิงสร้อยดาว ..๑๔๓๙๔. นวลจันทร์ถวัลยะตระการขณะคราญก็อึงอลวาบหวามละลามผัสะกมลระอุผลประหวั่นไหว๓๙๕. โปรยปรายพระพายวรรณะกระทบ ดละภพะอำไพ เหน็บหนาวก็ราวจะละจะไร้ ฤจะไอกระอุกอร ๓๙๖. แทรกปนสุคนธ์รสะประทิ่น อุระถิ่นก็อาทร ตราตรูบ่รู้จะละจะถอน ฤจะผ่อนถวิลหา๓๙๗. ร้อยรัดกระหวัดรมยะบท มธุรสะลีลาโบยบินกะนิละฤษณา ลุสภาวะแห่งฝัน ๓๙๘. ผึ้งภู่เพราะรู้มธุระภาค จะประจาคก็ยากครัน ตฤปหวานก็หวานรสะกระสัน- ตะฤหั่นฤเหือดหาย ๓๙๙. ลำลมระดมกุสุมะถิ่น ภุมรินก็ร่อนราย ร่ำหอมพยอมบ่ละกระหาย ฤจะหมายจะมองไหน ๔๐๐. เต็มตอมถนอมภวะสราญ กุสุมาลยะใกล้ไกล เต็มหอม ณ อ้อมอุระไฉน ขณะไขว่ ฤ อาจขวาง ๔๐๑. ม่านแสงเลาะแหล่งพิศะก็ทราบตละภาพะสรรพางค์สบนัยน์ก็นัยนะขนางระยะห่างก็หดหาย๔๐๒. อบอุ่นละมุนรตินิวร-ณะขจระกำจายเอ่อบอกระลอกรชะผกายนยะคล้ายบ่คลายคลอน๔๐๓. อ่อนเอนกระเวนจิตะกระหวัดปฏิพัทธะบังอรเกริกเกรียงสำเนียงสุขะสะท้อนดุจะวอนเพราะอ่อนไหว๔๐๔. พฤกษ์พลิ้วเพราะริ้ววตะสมรรถจะสะบัดก็กิ่งใบวรรณพลิ้วเพราะริ้วกระอุกระไออุระใครจะอาจขืน๔๐๕. วาบแจ้งเพราะแรงรุจะประภาพทะลุคาบทะลวงคืนปั่นป่วนก็ล้วนกมละผืนปะทุตื่นตลอดตน๔๐๖. คำรนพิกลอสนิบาต ทะลุชาติทะลวงชนม์ แทรกร่างระหว่างนภะสถล ปะทุผลภิรมย์เพ็ญ๘๔๐๗. จวบคืนวันผ่านเยือน .. ลุเดือนปีผู้หนึ่งที่เติบใหญ่ .. ก็ได้เห็นจากร่างน้อยผ่องแผ้ว .. เสียงแจ้ว .. เป็น-งามโดดเด่น .. พักตร์นั้นเกินพรรณนา๔๐๘. ค่อยผ่านช่วงสดใส .. สู่วัยรุ่นอ่อนหวานละเมียดละมุน .. บอกคุณค่า-แห่งเชื้อสายบุญหนัก .. ศักดินา-ของแม่หญิงดารา .. ผู้อ่าองค์๔๐๙. ทั้ง-พ่อ .. แม่ .. ปู่ .. ย่า .. ครบหน้า-ล้อมช่วยหล่อหลอมรูปพิลาส .. แห่งชาติหงส์เช่นจุดเชื่อมรอยผสานแห่งว่านวงศ์สืบจำนงให้เห็นความเป็นไทย๔๑๐. แผ่นดินใต้ร่มเงาของเจ้าตากค่อยเปลี่ยนภาคเศร้าสลด .. เป็นสดใสเลือดนักรบช่วยเน้นความเป็นไทอันจะไหลทางเดียว .. หากเชี่ยวนัก๔๑๑. รวบรวมดินแดน .. ทั่วแคว้นภาคหลังฝ่าขวากเสี้ยนหนาม .. เข้าตามหักหยุดทะเลาะเบาะแว้ง .. คอยแบ่งพรรคเพื่อมาร่วมใจภักดิ์อีกสักครั้ง๔๑๒. พรั่งพร้อมสามทหารเสือ .. ผู้เชื่อใจเป็นหลักใหญ่หนุนเนื่องอยู่เบื้องหลังการทหารแกร่งล้ำ .. เป็นกำลัง-เพื่อแผ่นดินจีรัง .. อยู่ยั่งยืน๔๑๓. พ่อ- แม่หญิงคือแกล้ว .. ในแถวทัพร่วมรบรับยุทธนา .. อย่างหน้าชื่นเพื่อศักดิ์ศรีไทยหมู่ได้รู้คืนให้แนวหลังหลับตื่น .. ได้รื่นเย็น๔๑๔. จวบวัยย่างสิบสี่ .. ก็มีข่าวเรื่องปวดร้าวหัวใจ .. เมื่อได้เห็นข่าว"เจ้าหลวง"สับสน .. พิกล-เป็นนั้นบีบเค้นสุจริตในจิตไทย๔๑๕. จนคุณพ่อย้อนกลับมารับขวัญเรื่องสำคัญผ่านหูจนรู้ได้ว่า-แผ่นดินผลัดเปลี่ยนผ่านเวียนไปมีราชันย์องค์ใหม่ .. ที่ใจเมือง๔๑๖. เจ้านายพ่อ .. ถูกตั้งเป็นวังหน้าใจแกร่งกล้ารุกรบ .. ท่านครบเครื่องร่วมทำนุบำรุงความรุ่งเรืองคอยปลดเปลื้องภัยอรินทร์ .. ทั่วถิ่นคาม๔๑๗. คือ .. เจ้าพระยาสุรสิงหนาทผู้เข่นฆาตไพรินทร์ .. ที่หมิ่นหยามป้องแผ่นดินทะนุเนื่องจนเรืองนามศัตรูคร้ามเกรงกลัว .. โดยทั่วกันสงคราม ๙ ทัพ ..พศ. ๒๓๒๘๑๔๔๑๘. ก้องนามะท่ามอริวิเทศอนุ-เชษฐะโรมรันอำนาจและอาชญะถวัลย์ระบุวันทนากร๔๑๙. ท่ามเถื่อนเสมือนมยุระยาตรอธิราช ณ นาครท่ามฟ้าสถานะรวิวรณ์ศศิธร ณ ค่ำคืน๔๒๐. รอบด้านบ่ทานยุคละบาทยุรยาตระเหยียบยืนเขตใดฤทัยขบถะขืนพละฝืนบ่อาจฝัน๔๒๑. เยี่ยงสูรย์พิบูลยะประภาพระอุทาบระรุมทัณฑ์ย่อมแม้นกะแสนยะพละนั้นระบุมั่น ณ ใจเมือง๘๔๒๒. พล .. ทัพม่าน .. ผ่านแดนถึงแสนห้าพร้อมศาสตรา .. ปืน .. กระสุน .. เข้าหนุนเนื่องเพื่ออำนาจ .. แสนยาต้องมาเปลือง-ชีพแกล้วเปลื้อง .. ปูรั้งโอหังการ๔๒๓. กำลังแกล้วของไทยก็ใช่มากเพียงกึ่งฟากอริชาติ .. แต่อาจหาญจิตกร้าวแกร่งตั้งมั่นในสันดานยอมแหลกลาญชีพผอง .. ร่วมป้องแดน๔๒๔. เมื่อแม่ทัพกล้าหาญ .. เชี่ยวชาญศึกรู้ตื้นลึก .. แนวทางคอยวางแผนลวงศัตรูก่อนขยี้ให้บี้แบนหมายทดแทนเจ็บช้ำ .. เคยทำมา๔๒๕. ลวงด้วยเล่ห์กลศึกอันลึกล้ำก่อนเหยียบย่ำชีพม่าน .. เข้าผลาญพร่ามีจิตใจมุ่งมั่นคอยบัญชาและคุณค่าเบื้องหลัง .. ที่ยังคอย๔๒๖. ดาบวาดคม .. เถือแล่ง .. เลือดแดงร่วงชีพวายป่วงปลิดป่น .. ร่างหล่นผล็อยเจ็บ .. ปวดร้าวกายต้อง .. ใจล่องลอยสำนึกพลอยย้อนกลับ .. ก่อนดับวาง๔๒๗. ค่อยค่อยเหยียบเท้าย่ำ .. เข้ากรำศึกด้วยใจฮึกเหิมกล้า .. เข้าฝ่า-ขวางเพื่อนไทยเอยร่วมเถิด .. ร่วมเปิดทางแลกเลือด-ร่าง .. กับม่านทุกผ่านพบ๔๒๘. จำได้ไหม .. ไฟควัน .. เคยผันพลุ่งเมื่อเสียกรุงครั้งนั้น .. กี่พันศพนับเถิดร่าง .. ผองพวก .. แล้วบวกลบเอาให้ครบทบเท่าทวีคูณ๔๒๙. แม้นกำลังน้อยกว่า .. ใจกล้าแกร่งดาบทิ่มแทงวาบคม .. ชีพล่ม-สูญจิตไทยเอยเมื่อผยอง .. ดั่งกองกูณฑ์แต่จะพูนเพียบร้อน .. สุดผ่อนลง๔๓๐. อารมณ์แค้นโหมซ้ำเกินรำงับดาบเถือสับ .. ชีพยุ่ยเป็นผุยผงเมื่อใจเอ็งเหิมกล้า .. บุกฝ่าดงดาบข้าขอปลิดปลง .. ชีพลงไว้๔๓๑. เราสองมีมีดดาบคนละมือต่างยึดถือ .. มุ่งมั่น .. ต่างฝันใฝ่ทั้งความรับผิดชอบ .. เป็นกรอบใจเลือดก็รอหลั่งไหล .. ด้วยใจทะนง๔๓๒. เอ็งมีนายใจกล้า .. ร่วมฝ่าศึกข้ากับนายเหิมฮึก .. สำนึกบ่ง-ว่า-แดนข้าทั้งผืนจักยืนยงต้องปลิดปลงเอ็งและนายให้วายปราณ๔๓๓. หน้าที่เอ็งต้องทำ .. ก็ทำไปหน้าที่ข้าขับไส .. คอยไล่ผลาญลูกเมียเอ็ง ..นองน้ำตาอยู่ช้านานลูกเมียข้าจะเบิกบาน .. หลังผลาญเอ็ง๔๓๔. มาเถิด .. แลกคุณค่าด้วยอาวุธเราสองมาทำยุทธ .. เถิด-รุดเร่ง-อย่าชักช้าใจขลาด .. อย่าหวาดเกรงบุกเข้ามาข่มเหง .. เถิด .. เอ็งมา .. !หลังศึกท่าดินแดง ..พศ. ๒๓๒๙.. ตั้งใจจะอุปถัมภกยอยกพระพุทธศาสนาจะป้องกันขอบขัณฑสีมารักษาประชาชนแลมนตรี.. จะบำรุงทั้งฝูงสุรางค์ที่รักให้อัครเรศเป็นสุขเจริญศรีครั้นเสร็จการผลาญราชไพรีก็ให้กรีฑาทัพกลับมา๔๓๕. ต่อเนื่องเรื่องการยุทธ .. ไม่หยุดหย่อนลูกเมียใจรุ่มร้อนอาวรณ์หาจะคอยทั้งหลับตื่น .. ให้คืนมา-เพื่อรับรู้ปรารถนา .. ใจนารี๔๓๖. รอคอยพ่อกลับมารับขวัญนับนานครันพ่อพรากไปจากที่เพื่อแนวหลังทุกผู้ได้อยู่ดีเพื่อเสรีแห่งไทยจักได้มา๔๓๗. วัยย่างสิบแปด .. ในแวดล้อม-คอยแหนห้อมดูแล .. ทั้งแม่ .. ย่าเมื่อพ่อกลับแนวหลังอีกครั้งคราก็รู้ว่าแผ่นดิน .. หมดสิ้นกรรม๔๓๘. ผู้เข้มแข็ง .. ให้เห็น .. ย่อมเป็นจ้าวแปรปวดร้าวกำสรวลเคยครวญคร่ำเป็นแรงเข่นศัตรูให้รู้จำจากบอบช้ำพ่ายณรงค์ .. การสงคราม๔๓๙. ก่อนนี้แตกกระเซ็นไม่เป็นทิศเฝ้าครุ่นคิดย้อนเกร็ดให้เข็ดขามหมายทวงคืนนคเรศและเขตคามบัดนี้หยามหมิ่นแคลน .. ทดแทนแล้ว๔๔๐. ค่อยค่อยผ่านเรียนรู้ .. จากปู่ .. พ่อจนเกิดก่อถูกผิดในจิตแก้วทั้งการยุทธ์การกวี .. ก็มีแวว-จะรู้แนวสืบสม .. ปรารมภ์ตาม๔๔๑. ใจเอย .. หัวใจสาวต้องกี่หนาวจะเสพทราบ .. รอยวาบหวามเมื่อร้างชายเหมาะสิ้น .. ถ้วนถิ่นคามโอ้ใจทรามสวาดิเจ้า .. เหมือนเฝ้ารอ๔๔๒. คล้ายร่องรอยหนหลัง .. คอยสั่งการให้รอบฝันพิสดาร .. คอยสานต่อมีผืนธารเหลื่อมเงา-รูปเคล้าคลอมีวงช่อบุปผา .. แทนมาลัย๔๔๓. ทุกนิทราหลับฝันจะพลันพบเมื่อพระลบทอดทับ .. ผู้หลับใหลลมจะโลมผ่านฤดี .. ผู้มีใจกระซิบให้คงมั่น .. คำสัญญา๔๔๔. โอ้ .. รอบกรรมวงวัฏฏ์ของสัตว์โลกล้วนเศร้าโศก .. รอคอยละห้อยหาแต่พลัดพราก .. สังขารล่วงกาลมายังมั่นพาภพพ้อง .. ได้ครองเคียง ..๔๔๕. ดาษดาวเลื่อนเดือนล่วงลับสรวงแล้วเมื่อพาทย์แผ่วจบสิ้นไม่ยินเสียงกระซิบหนึ่งลึกล้ำ .. ส่งสำเนียงว่าสุดเลี่ยง .. เสน่หา .. ที่อาวรณ์๔๔๖. ในฝัน .. คล้ายเรือน้อย .. นั้นลอยลำค่อยจ้วงจ้ำด้ามพาย .. คัดท้ายก่อน-มุ่งหัวเรือบ่ายเคลื่อนสู่เรือนอรเมื่อมืดหม่นทั้งตอนโค้งคุ้งน้ำ๔๔๗. ในฝัน .. รูปหนึ่งพร้อมละม่อมหน้ากอปรทีท่าหวั่นไหวหัวใจระส่ำมาลัยกรองจีบร้อยแทนถ้อยคำคอยตอกย้ำแรงถวิลในถิ่นทรวง๔๔๘. ในฝัน .. เมื่อเรือพายและชายหนึ่งลอยลำถึงท่าน้ำ .. ก้าวล้ำล่วงสบหน้า .. ยกกระพุ่ม .. กร-พุ่มพวงรูปพลันหน่วงเหนี่ยวพิศให้ติดตา๔๔๙. ในฝัน .. ฝันว่าน้ำนองสายหนึ่งรูปหมายอ่อนละมุน .. บอกคุณค่าท่ามพระลบคลี่ม่าน .. บ่วงมารยา-ก็ทอดฝ่ารัดรึง .. เข้าตรึงใจ๔๕๐. รอเถิดรอแสงเย็น .. ของเพ็ญค่ำพายจะจ้ำเรือคล้อยล่องลอยไหลเพื่อว่าช่วงปรารถนา .. แรงอาลัยจะอาจไขแทนแข .. ให้แม่รู้จบภาค ๔