ของเล่นฮาเฮ ดูสบายๆ ขำๆ

sawmoon
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]








Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
22 พฤศจิกายน 2555
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add sawmoon's blog to your web]
Links
 

 
ชีวิตที่เลือกที่จะไม่ทำอะไรเลยของคุณสว่าง

มีเรื่องเศร้าสะท้อนสังคมอยู่เรื่องนึงอยากเล่าให้ฟัง ตัวละครในเรื่องนี้ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงแต่งขึ้นมาทั้งหมด แต่โลกนี้มีคนแบบนี้อยู่จริงๆ เรื่องเศร้าเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของคนกับเวลาและเงิน อยากเล่าเพื่อเตือนสติหลายๆคนให้ตะนึงถึงความสำคัญของเวลา

คุณสว่างเป็นคนในครอบครัวผมคนนึง เป็นธรรมดาคนนึงที่ไม่มีจุดเด่นอะไร และไม่มีความทะเยอทะยานที่จะทำอะไร สิ่งที่เค้าปรารถนาคือการมีชีวิตอยู่ไปวันๆอย่างสบายๆ ไม่ต้องรับผิดชอบกับอะไร หรือเครียดกับอะไร

คุณสว่างไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เค้าไม่ได้ค้ายา ติดยา ติดเหล้า ติดผู้หญิง ชอบทะเลาะวิวาท หรือชอบเล่นการพนัน ใช้จ่ายเงินทองอย่างค่อนข้างประหยัด กิจกรรมในแต่ละวันที่ชอบทำมากที่สุดคือการดูทีวี ซึ่งในแต่ละวันจะใช้เวลาดูทีวีอยู่หลายชั่วโมง เค้าไม่ได้ทำอะไรที่สร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัว

แต่สิ่งเดียวที่คุณสว่างทำความเดือดร้อนให้กับครอบครัวคือ การที่คุณสว่างไม่ทำอะไรเลยนี่แหล่ะ

ที่จริงแล้วการไม่ทำอะไรเลย นั้นอาจจะไม่เป็นปัญหาหากว่าครอบครัวที่คุณสว่างเกิดมานั้นมีฐานะเป็นเศรษฐี หรือ มีเงินใช้ได้ตลอดโดยที่ไม่ทำงานตั้งแต่เกิด

แต่ฐานะของครอบครัวคุณสว่างนั้นเป็นครอบครัวคนชั้นกลาง ที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจแล้วจนลง

เงินที่ทางครอบครัวพอจะมีให้ได้คือเงินที่พอที่จะสามารถส่งเสียให้คนในครอบครัวเรียนจบได้ ส่วนคนไหนที่ไม่สามารถจบได้ตามระยะเวลาปกติก็ต้องถูกให้ย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเปิดที่ใช้จ่ายน้อยลง

คุณสว่างใช้เวลาในการเรียนนานมากมหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุ 21จะเรียนจบปริญญาตรีตอนอายุ 33

ในระหว่างที่เรียนก็ไม่ได้ทำอะไรใช้ชีวิตเที่ยวเล่นสบายๆไปวันๆ ไม่ได้ทำงานอะไร หรือสะสมความสำเร็จอะไรให้ชีวิตเลย

ในช่วงนั้นน้องๆของคุณสว่างหลายคนจบมหาวิทยาลัยหมดแล้ว และหางาน ทำงานกัน แต่คุณสว่างยังคงเรียนอยู่

คุณสว่างจะหัวเสียมากเวลาที่ถูกตำหนิจากพ่อแม่ในเรื่องเรียน หรือเรื่องพฤติกรรม เค้าจะเดินหนีและไม่รับฟังคำเตือนอะไรจากผู้ใหญ่ และหากใครมาถามว่าเค้าทำอะไรอยู่เค้าจะไม่กล้าที่จะตอบ พยายามหลบหน้าผู้คนด้วยความอายที่ตัวเองอายุก็มากแล้ว แต่ชีวิตยังไม่ไปไหน

คุณสว่างมีทิฐิที่สูงมาก ไม่ชอบให้ใครมาดูถูก หรือดุด่า หรือพูดเกี่ยวกับความผิดพลาดของเค้า ไม่เคยยอมรับความล้มเหลวของตัวเอง เค้าจึงไม่ค่อยได้เรียนรู้จากความล้มเหลวของตัวเองเลยสักอย่าง คำพูดติดปากเวลาที่พ่อแม่สอนสั่งคือ “รู้แล้วน่าๆ” แต่ไม่เคยทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงเลยสักอย่างทั้งๆที่รู้แล้ว

คุณสว่างไม่ชอบถูกว่าทุกครั้งที่เกิดความผิดพลาดเค้าจะโกหกเพื่อให้ตัวเองไม่โดนด่า แม้อายุจะเยอะแล้วนิสัยนี้ก็ยังอยู่ไม่ต่างอะไรกับเด็ก

แต่แม้จะอายเค้าก็ยังไม่ทำอะไรให้ชีวิตดีขึ้นยังคงชีวิตแบบว่างๆ สบายๆต่อไป

จนในที่สุดคุณสว่างก็จบมหาวิทยาลัยด้วยเกรดเฉลี่ยแบบปริ่มๆ แต่หลังจากจบเค้าเลือกที่จะว่างเล่นๆไปอีกปี

เงินทองที่ใช้อยู่ก็ใช้เงินพ่อแม่ ฐานะในตอนนั้นของครอบครัวก็ไม่ใช่ว่าจะดีเรียกว่ากินเงินเก่าอยู่และเงินนั้นจะหมดในเวลาอีกไม่กี่ปี

หลังจากผ่านไปปีนึงคุณสว่างก็เริ่มหางาน

หาอยู่ 8 เดือนได้งานเป็นพนักงานตรวจสอบสินค้าห้างชื่อดังเงินเดือนไม่ถึงหมื่นบาท ทำงาน 6 วัน หยุด 1 วัน มีโอทีทำงานหนักมากต้องกลับดึกเกือบทุกวัน ซึ่งคุณสว่างรับไม่ได้กับต้องทำงาน 6 วัน และทำจนดึกดื่นและก็ปฏิเสธไป

หลังจากนั้นอีกประมาณ 3 เดือนคุณสว่างเข้าทำงานเป็นตัวแทนขายประกันชีวิตทำได้ 3 เดือนก็ออก เพราะหลังจาก 3เดือนบริษัทจะไม่มีเงินเดือนให้จะต้องหารายได้จากการขายกรมธรรมอย่างเดียว

หลังจากตอนนั้นเป็นเวลาเกือบ 3 ปี คุณสว่างก็ไปสัมภาษณ์งานอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้งานสักที่ และงานที่จะเข้ามาให้สัมภาษณ์ก็ไม่ค่อยเข้ามาทั้งๆที่ลงข้อมูลไว้ในเวปหางานต่างๆไว้หลายแห่งแล้วก็ตาม

พ่อกับแม่เป็นทุกข์เป็นร้อนมากกับลูกชายคนนี้ แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้เพราะพ่อแม่ก็ไม่ได้มีเส้นสายอะไรมากมายพอที่จะหางานให้ลูกได้ และไม่สามารถไปตำหนิติเตือนอะไรมากได้ เพราะในช่วงที่ผ่านมานายสว่างมีอาการเครียดชักกระตุกจนต้องเข้าโรงพยาบาลมาทีแล้ว ความเครียดจากการหางานไม่ได้ทำให้น้ำหนักของคุณสว่างลดลงไปกว่า 10 กิโล

ผมเคยเสนองานรับเลี้ยงคนชราให้คุณสว่างไปทีนึง เงินเดือนประมาณ 15000 บาททำงานทุกวันและต้องไปอยู่ในบ้านของคนชรา หลังจากผมบอกงานไปหนึ่งวัน ผมโทรไปหาคุณสว่างอีกถามหาความคืบหน้า

คุณสว่างบอกว่า “งานนี้มันรับแต่ผู้หญิงไม่ใช่เหรอ”

ผมเลยลองโทรไปถามบริษัทแห่งนั้นพบว่าเค้ารับทั้งผู้ชายและหญิง!!

ผมคิดว่าเค้าคงจะยังคิดว่าไม่ลำบากถึงที่สุดจึงยังคงเลือกงานอยู่ การหางานแบบนี้ไม่แปลกเลยที่หางานมากว่า 3ปีแล้วยังไม่ได้งาน ก็ป็นเพราะตัวเค้าเองเลือกงาน และงานหนักก็ไม่เอา งานเบาก็ไม่สู้ เลือกทำตัวเป็นภาระที่บ้านไปวันๆ

ปีนี้คุณสว่างอายุเกือบจะเลขสี่แล้วแต่คุณสว่างแต่ยังหางานเป็นหลักเป็นแหล่งไม่ได้เลย

ในช่วงที่เรียนอยู่นี้ก็มีเวลาที่จะสามารถหางานพาร์ทไทม์ทำไปก่อนได้แต่คุณสว่างก็อ้างกับที่บ้านอยู่ตลอดว่าไว้เรียนให้จบก่อนแล้วค่อยหางาน

ตั้งแต่ตอนที่เรียนจนถึงอายุเกือบเลขสี่คุณสว่างก็แทบไม่เคยทำงาน ผมเริ่มคิดว่าสาเหตุจริงๆไม่ใช่เรื่องของหางานยากหรอก แต่เป็นเพราะอาจจะเป็นเพราะว่าคุณสว่างไม่ต้องการทำงานมากกว่า และคิดว่าคงจะไม่ต้องการทำอะไรเลยนอกจากเกียจคร้านไปวันๆจนตาย

ผมจึงเข้าใจว่าคนที่มีเป้าหมายในชีวิตต้องการความสำเร็จนั้นมี คนที่มีความพยายามทำงานหนักเพื่อให้รวยก็มี คนที่ยอมตัดทุกอย่างเพื่อทำงานและสร้างฐานะนั้นก็มี และคนที่ต้องการใช้ชีวิตโดยไม่อยากที่จะพยายามทำอะไรกับชีวิตนั้นก็มี

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า หากคุณอยากใช้ชีวิตแบบเกียจคร้าน ไม่ทำอะไรเลยในชีวิตล่ะก็ได้ แต่เวลาและสังคมจะบีบให้คุณใช้ชีวิตได้ยากขึ้นและจะมีความสุขกับชีวิตได้น้อยลง สังคมที่คุณจะอยู่ได้จะแคบ ที่ยืนของคุณจะหายาก เพื่อนที่ยอมรับในตัวคุณจะน้อย และยิ่งหากคุณไม่รวย เงินจะเป็นตัวบังคับให้คุณต้องทำงาน บางครั้งคุณก็จะต้องทำงานที่ไม่สมกับฐานะของคุณ ต้องยอมเสียศักศรีดิ์เพื่อให้ได้เงิน เมื่ออายุยิ่งเยอะเข้าคุณก็ยิ่งมีโอกาสผิดพลาดเพื่อเรียนรู้ได้น้อยลง เพราะการให้อภัยเมื่อคุณทำผิดจากคนรอบข้างจะน้อยลง ไม่มีใครเค้าสนหรอกว่าคุณเพิ่งเริ่มงาน คุณอายุมากขนาดนี้แล้วแต่ยังทำงานได้เท่ากับเด็กจบใหม่แน่นอนว่าต้องถูกกดดันอย่างหนัก เหมือนคุณถูกบังคับให้เล่นเกมในระดับที่ยากแต่ความสามารถของคุณยังอยู่ในระดับผู้เริ่มต้น

ความสามารถที่โตไม่ทันอายุเป็นจะทำให้หางานที่ดีได้ยากและยิ่งสาเหตุที่ทำให้โตมันทันเพราะเกิดจากความเกียจคร้านก็ยิ่งทำให้คนไม่ยอมรับคุณมากขึ้นไปอีก

ชีวิตต่อไปของคุณสว่างจะเป็นยังไงต่อไปผมไม่ทราบ ผมไม่รู้ว่าบั้นปลายชีวิตของคุณสว่างจะมีความสุข หรือเสียใจกับการใข้ชีวิตของตัวเองหรือไม่ แต่ที่ผมทราบก็คือในประเทศไทยนั้นไม่ใช่ว่าจะหางานเลี้ยงชีพได้ยาก งานที่ดีมีอยู่เยอะแยะ โอกาสยังมีอีกมาก หาเค้ายอมลดทิฐิลงยังไงก็ยังพอหางานได้

และผมเชื่อว่าหากมีชีวิตมาแล้วครั้งนึงก็ควรใช้ให้เต็มที่โดยที่ไม่เหลือความรู้สึกเสียใจหรือเสียดายกับชีวิตจะดีกว่า

บทความจาก //www.toytorich.com

www.facebook.com/pages/Sawmoon/465074080170124




Create Date : 22 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2555 22:03:00 น. 8 comments
Counter : 3575 Pageviews.

 
ขอบคุณนะคะที่ทำให้ได้อ่านเรื่องดีๆแบบนี้ ชีวิตจริงมันโหดร้ายTT


โดย: แพรใจ IP: 124.120.234.196 วันที่: 8 ธันวาคม 2555 เวลา:2:58:57 น.  

 
ยินดีครับ ขอบคุณที่อ่านครับ ^^


โดย: sunji149 (sunji149 ) วันที่: 13 ธันวาคม 2555 เวลา:21:46:04 น.  

 
เราไม่ได้เรียนที่อยากจะเรียนตั้งแต่แรก เราอยากเรียนดนตรีไทย ดนตรีสากลก็ไม่ได้เรียน เราเลือกเรียนมหาวิทยาลัยโดยไม่คิดว่าเรียนแล้วจะเอาไปทำอะไร เพราะเราไม่สนใจงานพวกนี้เลย เราสนใจแค่ "ต้องเรียนมหาวิทยาลัย" ให้ได้เท่านั้นเองเพราะมีความคาดหวังของคนอื่นค้ำคออยู่...เราจึงต้องเรียนมหาวิทยาลัย ทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยากเรียนอะไร... พอเรียนจบเราเจอแต่งานที่ไม่ชอบเพราะจบจากสาขาวิชาที่ไม่อยากเรียน ซึ่งบีบคั้นหัวใจเรามาก ตอนนี้ชีวิตเราว่างเปล่ามากเลย เราเพิ่งซึ้งคำว่าเรียนมหาวิทยาลัยคณะที่ไม่ชอบก็ต้องเจองานที่ไม่ชอบคราวนี้เอง ตอนนี้เราอยากกลับไปเรียนดนตรีไทยให้ได้ แต่เราก็ถูกคนรอบข้างด่าว่ามันสายไปแล้วเราไม่มีทางเรียนได้... เราเบื่อชีวิตมากเลย เราไม่มีทางเลือก... ชีวิตคนเราก็แปลก ถ้าเรียนไปแล้วครั้งหนึ่ง ได้ปริญญาตรีแล้ว ปริญญาโทก็ต้องต่อยอดจากปริญญาตรี จะสมัครงานได้ก็ต่อเมื่อตำแหน่งงานตรงกับใบปริญญาตรี ถ้าไม่ตรงกับใบปริญญาตรี เราก็ไม่สามารถทำได้ เรามีข้อจำกัดมากมายเพียงแค่ปริญญาตรีไม่ตรงสาขา...แล้วงานที่สาขาเราสมัครได้เราก็ไม่ชอบ งานที่เราอยากทำสาขาเราก็ทำไม่ได้ซะงั้น... ชีวิตไม่ยุติธรรมเลย ครั้นจะกลับตัวไปเรียนป.ตรีใหม่ก็เสียเวลาอีก 4 ปี ไม่มีใครเขาทำกัน เฮ้อ...เซ็ง ช่างเถอะ... ชีวิตว่างเปล่าจริงหนอ...


โดย: สายลม IP: 223.205.69.238 วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:22:03:23 น.  

 
ถึง คนเขียนบล็อกและคนตอบคอมเม้น
แนะนำให้ปรึกษาปัญหากับจิตแพทย์ดู น่าจะช่วยแก้ปัญหาและระบายแลกเปลี่ยนความคิด ค้นพบทางเลือกของชีวิตที่เหมาะสมต่อไป


โดย: Meen IP: 124.121.13.98 วันที่: 17 เมษายน 2556 เวลา:22:54:47 น.  

 
นี่แหละชีวิต


โดย: 12315456 IP: 61.90.100.106 วันที่: 22 เมษายน 2556 เวลา:15:31:50 น.  

 
ตอนนี้เราเป็นอย่างนี้ อายุ20ปีแต่สมองเท่าเด็กป.2 อยู่เป็นภาระครอบครัว ถ้าครอบครัวไม่มีเราครอบครัวจะเจริญรุ่งเรืองกลายเป็นคนรวยเลยทีเดียว


โดย: s IP: 27.55.11.100 วันที่: 29 มกราคม 2557 เวลา:10:16:56 น.  

 
เรียนจบตอนอายุ33ไม่ใช่ว่าขี้เกียจ แต่เพิ่งจะมีทุนในการศึกษา เมื่อ2-3ปีนี้เอง พอจบก็อยากเปลี่ยนงานที่ใช้วุฒิป.ตรีบ้าง แต่อายุเยอะหาสมัครงานที่อายุเท่านี้ยาก ก็ยังต้องทำงานเดิมต่อไป ที่เดิมก็ไม่ปรับเงินเดือนให้นะ เขาบอกว่ารับคนที่จบเท่านี้ และเงินเดือนจ่ายตามนี้ รู้สึกนอยๆนะ แต่ก็สู้ค่ะ แบบฝืดๆ


โดย: ใบเฟิร์น IP: 49.230.166.16 วันที่: 18 เมษายน 2557 เวลา:23:48:17 น.  

 
เข้ามาตอบช้าแบบสุดๆ ไม่ได้เล่นเลยน่ะครับ

ขอเป็นกำลังใจให้คุณใบเฟิร์นนะครับ ผมเชื่อว่างานดีๆเงินดีๆมีอยู่ครับ พยายามเข้าถึงมันให้ได้ครับ

หลายๆบริษัทโหยหาคนเก่งที่ทำประโยชน์ให้เค้าได้ครับ

ขอเป็นกำลังใจให้อีกหลายๆคนครับ


โดย: sunji149 (sunji149 ) วันที่: 27 ตุลาคม 2557 เวลา:13:20:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.