สโลแกน แทนใจ ไว้ให้คิด แม้มิ่งมิตร ผู้อยู่ห่าง กลางความฝัน ไม่เห็นหน้า แต่วาจา พาทีนั้น คละเคล้ากัน ปันสุขทุกข์ ทุกวี่วัน
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
25 มีนาคม 2550
 
All Blogs
 

ครั้งหนึ่ง....กับ...นาทีวิกฤต

โดย... สิระสา


เมื่อฉันเรียนจบ และเริ่มทำงาน ในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง ฉันแทบไม่เคยได้พักผ่อนอยู่กับบ้านเลยแม้แต่ครั้งเดียว ฉันมักจะมีโปรแกรมไปท่องเที่ยวตามสถานท่องเที่ยวที่มีชื่อต่าง ๆ เพื่อชมความสวยงามของธรรมชาติ อันมี ภูเขา ต้นไม้ น้ำตก หรือทะเล เป็นต้น แต่เมื่อฉันเริ่มเข้าวัด ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรม การท่องเที่ยวเชิงทัศนาจรของฉันก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง กลายเป็นการไปตามวัดต่าง ๆ เพื่อไหว้พระ ทำบุญ ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า หรือไปรักษาศีลปฏิบัติธรรมบ้างเป็นครั้งคราว โดยมีสหายธรรมรุ่นพี่ท่านหนึ่ง มักเป็นหัวหน้าคณะนำไปเสมอ ๆ

มีการเดินทางอยู่ครั้งหนึ่ง เป็นการเดินทางที่ฉันจดจำได้อย่างแม่นยำ และเป็นเครื่องระลึก เตือนสติ เตือนใจฉันอยู่เสมอ ๆ คือ เมื่อประมาณ 3-4 ปีที่แล้ว สหายธรรมรุ่นพี่ท่านนี้ จัดโปรแกรมไปทอดผ้าป่าเพื่อสร้างสำนักสงฆ์ไว้ให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมที่ จ.หนองคาย ซึ่งจัดเป็นประจำทุกปี โดยมีโปรแกรมพิเศษที่จะพาไปร่วมทอดผ้าป่าช่วยชาติที่วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นประธานในครั้งนั้นด้วย คณะของเราเคยไปใส่บาตรกันที่นั่นหลายครั้งหลายหน แต่ไม่เคยได้พบได้กราบท่านสักครั้งเดียว ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่จะได้กราบองค์ท่าน พวกเราจึงรู้สึกตื่นเต้น และดีใจกันมาก

โปรแกรมออกเดินทางคืนวันศุกร์ เพื่อให้ไปถึงวัดป่าบ้านตาดในตอนเช้าวันงาน ทุกครั้งก่อนออกเดินทาง ธรรมเนียมปฏิบัติที่คณะของฉันมักปฏิบัติเป็นประจำ คือ เมื่อล้อรถเริ่มหมุนออกจากจุดนัดหมาย หัวหน้าคณะของฉันจะนำกล่าวบูชาพระรัตนตรัย สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ 9 จบ ต่อด้วยทำสมาธิภาวนา เป็นเวลาประมาณ 10 นาที จบท้ายด้วยการแผ่เมตตา หลังจากนั้นจะเป็นกิจกรรมต่ออีกเล็กน้อยจนถึงเวลา 22.00 น.โดยประมาณ บนรถจึงปิดไฟเพื่อให้ทุกคนได้พักผ่อน

ตอนนั้นฉันยังไม่ง่วง จึงนั่งภาวนาของฉันต่อจนหลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ดูนาฬิกาเป็นเวลาตี 4 เศษ ๆ อากาศบนรถตอนนั้นหนาวมาก มองไปโดยรอบ ผู้คนส่วนใหญ่ต่างกำลังหลับใหลกันทั้งสิ้น ฉันพยายามข่มตาเพื่อหลับต่อ แต่ตาสว่างซะแล้ว ทำอย่างไรก็ไม่หลับ ฉันจึงยกขาขึ้นมานั่งขัดสมาธิ และกำหนดจิตทำภาวนาด้วยการดูลมหายใจ สลับกับการกำหนดนึก “พุทโธ” อยู่ในใจ ขณะที่จิตกำลังเริ่มจดจ่อ และกำลังจะเข้าสู่ความเป็นสมาธิ

จู่ ๆ รถก็เกิดอาการกระตุกวูบขึ้นมาอย่างกระทันหัน และได้พุ่งเข้าชนอะไรบางอย่าง เสียงดังสนั่นอย่างกับฟ้าผ่าก็ไม่ปาน ฉันซึ่งนั่งอยู่ชั้นบนแถวหน้าสุดด้านซ้ายมือของคนขับ ลืมตาและลุกขี้นนั่งดู รถมีอาการเอียงทางซ้ายที ทางขวาที มองดูแล้วน่าหวาดเสียวเป็นที่สุด คนขับรถพยายามประคองรถอย่างสุดความสามารถ รถจะพุ่งเข้าชนเสาไฟฟ้าข้างทางก็หลายหน ข้าวของที่วางอยู่บนชั้นเหนือศีรษะหล่นโครมครามเสียงดัง สลับกับเสียงร้องวี๊ดว๊ายดังระงมทั้งคันรถ วินาทีนั้นฉันแปลกใจที่ฉันไม่ได้ตื่นตระหนกตกใจ หรือร้องวี๊ดว๊ายอย่างคนอื่น ๆ เลย ฉันนั่งมองดูรถที่กำลังเอียงไป เอียงมา ในใจคิดว่า รถต้องพลิกแน่ ๆ เลย งานนี้ไม่ใครก็ใครคงต้องได้รับบาดเจ็บกันบ้างล่ะ

ขณะนั้นฉันนึกถึงคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ของฉัน ถึงการทำใจในนาทีวิกฤติขึ้นมาได้ ฉันจึงปรับท่านั่งใหม่ หันตะแคงด้านข้าง ชันเข่างอตัวเข้าหากัน ก้มหน้าลง ใช้มือปิดหน้าไว้ในลักษณะของท่าที่พยายามเซฟตัวเองที่สุด ใช้ผ้าห่มคลุมปิดหน้าไว้ ในใจเริ่มภาวนาต่อ “พุทโธ ๆๆๆๆๆๆๆๆ” โดยไม่สนใจสรรพเสียงต่าง ๆ รอบตัว

ชั่ววินาทีนั้น ได้ยินเสียงหัวหน้าคณะของฉันตะโกนก้องขึ้นมาสุดเสียงว่า “ทุกคนไม่ต้องตกใจ พุทโธไว้ พุทโธไว้” แล้วเธอก็ตะโกนนำขึ้นมา

“พุทโธ ๆๆๆๆๆๆ” นาทีนั้นเอง เสียงร้องวี๊ดว๊ายก็หยุดเงียบลงโดยกระทันหัน ทุกคนต่างตะโกนเป็นเสียงเดียวขึ้นมาพร้อม ๆ กันว่า “พุทโธ ๆๆๆๆๆๆๆๆ”

ฉันได้ยินเสียง “พุทโธ ๆๆๆๆๆๆ” ดังอยู่รอบตัว สลับกับเสียง “พุทโธ” ในใจของฉัน ผสานเป็นหนึ่งเดียว ใจฉันเริ่มนิ่งเข้าสู่ความสงบ ตั้งมั่น สรรพเสียงรอบกายเริ่มหายไป ฉันอยู่กับลมหายใจด้วยอาการสงบ นานแค่ไหนฉันไม่รู้ จนกระทั่งรถค่อย ๆ จอดสนิทในลักษณะเอียงตะแคงด้านซ้าย ด้านที่ฉันนั่งอยู่ และฉันก็ได้ยินเสียงหัวหน้าคณะของฉันที่เริ่มมีสติ และตั้งหลักได้แล้ว เธอตะโกนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งว่า “ขอให้ทุกคนนั่งอยู่กับที่ก่อน อย่าเพิ่งขยับ อย่าเพิ่งแย่งกันลงจากรถ เพราะรถอาจพลิกลงไปข้างทางได้” แล้วเธอก็ลงไปดูเหตุการณ์ รถอยู่ในอาการเอียงตะแคงชิดขอบถนน ซึ่งด้านข้างขอบถนนนั้นเป็นร่องน้ำ (แต่ตอนนั้นไม่มีน้ำ) ลึกพอที่รถจะพลิกลงไปได้ เมื่อเห็นว่าดินด้านล่างแน่นแข็งแรงพอ จึงได้ให้คนในคณะทั้งหมดค่อย ๆ ทยอยลงจากรถ และให้ออกห่างจากตัวรถไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย

เหตุการณ์ครั้งนี้ฉันได้ทราบในภายหลังว่า เกิดจากมีรถเก๋งคันหนึ่ง ซึ่งขับมาโดย 2 สามีภรรยา สามีเป็นคนขับ ซึ่งคงจะหลับใน จึงขับรถพุ่งข้ามเกาะกลางถนนจากฝั่งตรงข้าม มาจอดอยู่กลางถนนฝั่งที่รถของฉันกำลังวิ่งมา ฝ่ายหญิงได้รับบาดเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ฝ่ายชายยืนเฝ้ารถอยู่ที่เกาะกลางถนน โดยทางตำรวจ ไม่ได้มีเครื่องหมาย หรือไฟฉุกเฉินใด ๆ แสดงไว้เลย เมื่อรถคันของฉันซึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วสูง ประกอบกับเป็นระยะที่กระชั้นชิดมากถ้าจะหักหลบคงจะไม่ทันคนขับรถทัวร์จึงตัดสินใจพุ่งชนแทน ไม่เช่นนั้น คณะของฉันคงมีผู้ได้รับบาดเจ็บ หรืออาจมีการสูญเสีย เกิดขึ้นอย่างแน่นอน (เจ้าของรถเก๋งคันนั้นเขาได้เห็นเหตุการณ์ขณะที่รถทัวร์ พุ่งเข้าชนรถของเขาเต็มตา)

จากจุดที่รถทัวร์พุ่งชนรถเก๋ง รถทัวร์ได้ดันรถเก๋งซึ่งอัดติดอยู่ด้านหน้ารถทัวร์ไปข้างหน้าเพราะยังไม่สามารถบังคับรถให้หยุดได้ คนขับรถทัวร์พยายามประคับประคองเพื่อจะหยุดรถให้ได้ จึงเป็นเหตุให้เกิดอาการที่รถเอียงไป เอียงมา กว่าที่จะบังคับรถให้จอดสนิทได้นั้น เป็นระยะทางประมาณน่าจะเกือบ 800 เมตรได้ เมื่อฉันลงไปดูสภาพของรถเก๋งคันนั้น ก็พบว่าบริเวณที่นั่งตอนหน้าพังยับจนถึงที่นั่งผู้โดยสารตอนหลัง หากมีผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้านั่งอยู่ล่ะก็ สภาพร่างกายคงไม่เหลือเป็นชิ้นดี ส่วนรถทัวร์บริเวณหน้ารถหม้อน้ำแตก น้ำมันเครื่องรั่ว เสียหายจนไม่สามารถขับได้อีกต่อไป

ฉันซึ่งนั่งอยู่ชั้นบน เห็นแต่อาการของรถที่เอียงไป เอียงมา จะพลิกลงข้างทางอยู่ตลอดเวลา ฉันคิดว่าน่าหวาดเสียวเป็นที่สุดแล้ว แต่พอได้มาคุยกับผู้ที่นั่งอยู่ชั้นล่างของรถ ถึงได้รู้ว่าผู้ที่นั่งอยู่ชั้นล่างยิ่งหวาดเสียวกว่าเสียอีก เพราะพวกเขาเห็นประกายไฟแลบอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากยางล้อของรถเก๋งระเบิดใช้งานไม่ได้ ชิ้นส่วนด้านล่างของรถเก๋งซึ่งถูกรถทัวร์ดันไปตลอดทาง เสียดสีกับพื้นถนน ทำให้เกิดประกายไฟแลบอยู่จนกลัวว่ามันจะระเบิดหรือไม่ ทุกคนต่างอยู่กับการภาวนา สวดมนต์ ไหว้พระ ขอพรต่างๆ นานา (คงมีแต่ฉันคนเดียวที่อยู่กับความสงบเฉพาะตน)

ต้องขอบคุณคนขับรถทัวร์คันนั้นเป็นที่สุด ที่ตัดสินใจได้อย่างถูกต้องในนาทีที่คับขันแบบนั้น ทำให้ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บเลย มีบ้างแค่เพียงเคล็ดขัดยอกเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น

ชีวิตที่ผ่านมา ฉันประสบอุบัติเหตุชนิดเฉียดใกล้ความตายจากการเดินทางถึง 3 ครั้ง เป็นช่วงเวลาแห่งการหลับไหลทุกครั้ง มีเพียงครั้งนี้เท่านั้นที่ฉันมีสติ รู้เห็นเหตุการณ์ตลอดเวลา และที่สำคัญฉันมีคำสอนของครูบาอาจารย์คอยเตือนสติ

ทำให้ฉันเข้าใจถึงคำพร่ำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ของฉัน ที่ท่านมักเน้นสอนเรื่องการทำใจในนาทีวิกฤติอยู่เสมอ ๆ วินาทีแห่งความเป็นความตายนั้น แค่ชั่วพริบตาเดียวจริง ๆ หากใจไม่ตั้งมั่นพอ สติระลึกได้ไม่ทัน คงไม่มีใครที่จะสามารถช่วยเราได้เลย

ฉันจึงได้เห็นถึงความแตกต่างของการเตรียมพร้อม ที่จะต้องเผชิญหน้ากับความตายอย่างมีสติ กับการที่จะต้องเผชิญหน้ากับความตายตามยถากรรม เยี่ยงผู้ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้มาก่อนเลย และที่สำคัญฉันไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่า หากฉันต้องเผชิญหน้ากับความตายในครั้งต่อไป ฉันจะมีความพร้อมเช่นครั้งนี้หรือไม่ ....







 

Create Date : 25 มีนาคม 2550
1 comments
Last Update : 25 มีนาคม 2550 21:04:45 น.
Counter : 918 Pageviews.

 




น่ากลัวจังเลยค่ะ ดีใจด้วยค่ะที่ปลอดภัย

 

โดย: icebridy 25 มีนาคม 2550 21:39:14 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


สาวิกา
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]























Friends' blogs
[Add สาวิกา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.