บทนำ | สถาปนิกเป็นผู้ที่ใช้ทั้งความสามารถเชิงสร้างสรรค์ซึ่งผสานความรู้ความสามารถทางศิลปะและเทคนิคขั้นสูง เข้ากับความสามารถในการบริหารจัดการ เพื่อให้บริการทางด้านงานออกแบบและบริหารโครงการได้ในขณะเดียวกัน ดังนั้น สถาปนิกจึงจำเป็นต้องได้รับค่าบริการในอัตราที่เหมาะสมกับความรู้ความเชี่ยวชาญ และเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆในการดำเนินงานที่มีคุณภาพได้มาตรฐานสากล |
1 หลักการ | ค่าบริการของสถาปนิกหรือสำนักงานสถาปนิกขึ้นอยู่กับองค์ประกอบมากมาย ส่วนสำคัญได้แก่ ความชำนาญ ประสบการณ์ วิธีการ ระบบบริหารงาน ขนาดขององค์กร ตลอดจนทรัพยากรบุคคล ณ สำนักงานนั้น ๆ ฉะนั้นการคิดค่าบริการจะผันแปรตามข้อกำหนดสำคัญดังกล่าว การคิดค่าบริการวิชาชีพทุกประเภท ควรสอดคล้องกับอัตราค่าบริการวิชาชีพขั้นพื้นฐานของสมาคมวิชาชีพที่สภาสถาปนิกรับรอง |
2 ระบบและวิธีการคิดค่าบริการวิชาชีพ | ระบบและวิธีการที่สถาปนิกใช้เป็นมาตรฐานในการคิดค่าบริการวิชาชีพ และเจรจาตกลงกับลูกค้า เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าตอบแทนที่เหมาะสม โดยทั่วไปมี 5 วิธีดังต่อไปนี้ 1. ค่าบริการวิชาชีพในอัตราร้อยละ (Percentage Fees) 2. ค่าบริการวิชาชีพตามเวลา (Time Charge Fees) 3. ค่าบริการวิชาชีพแบบเหมาจ่าย (Lump Sum Fees) 4. ค่าบริการวิชาชีพแบบต้นทุนบวกค่าดำเนินการ (Cost Plus Fees) 5. ค่าบริการวิชาชีพตามปริมาณพื้นที่ (Built Area Fees) |
| 2.1 ค่าบริการวิชาชีพในอัตราร้อยละ (Percentage Fees) วิธีนี้เป็นวิธีทั่วไปที่ใช้ในการคิดค่าบริการขั้นมูลฐาน(Basic Service)สถาปนิกจะคิดค่าบริการ เป็นอัตราร้อยละของมูลค่างานก่อสร้างที่ประมาณการเบื้องต้นไว้ ประโยชน์ของวิธีนี้อยู่ที่ใช้เวลาในการตกลงค่าบริการได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ยังไม่จำเป็นต้องรู้มูลค่าโครงการที่แน่ชัด การปรับค่าบริการวิชาชีพตามมูลค่างานที่แท้จริง จะดำเนินการในภายหลัง เมื่อได้ข้อมูลราคาค่าก่อสร้างที่แน่ชัดและใช้วิธีการปรับเพิ่มลดตามสัดส่วนในอัตราร้อยละที่ได้ตกลงกันไว้ อย่างไรก็ตามควรจะมีการระบุไว้ให้ชัดเจนว่า ในกรณีที่สถาปนิกได้ดำเนินการงานออกแบบจนเสร็จสมบูรณ์ตามขอบเขต ขนาด และรูปแบบที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว หากลูกค้าต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงขอบเขตงาน ขนาด หรือรูปแบบของโครงการใหม่ ลูกค้าจะต้องจ่ายค่าบริการวิชาชีพเพิ่มเติมสำหรับการออกแบบแก้ไขงานที่ได้ดำเนินการไปแล้วนั้นใหม่ ตัวอย่างการคิดค่าบริการวิชาชีพเป็นอัตราร้อยละ สถาปนิกจะคิดค่าบริการวิชาชีพเป็นอัตราร้อยละของค่าก่อสร้างสำหรับงานออกแบบโดยทั่วไป โดยคำนวณจากตารางหมายเลข 1 ประเภทของงาน งานประเภทที่ 1 การออกแบบตกแต่งภายใน การออกแบบผลิตภัณฑ์สถาปัตยกรรมและครุภัณฑ์ งานประเภทที่ 2 พิพิธภัณฑ์ อนุสาวรีย์ อาคารอนุสรณ์ที่มีแผนแบบวิจิตร อาคารทางศาสนา (วัด โบสถ์ วิหาร) งานประเภทที่ 3 บ้านพักอาศัย อาคารประเภทโรงเรือนสลับซับซ้อนที่มีส่วนใช้สอยของอาคารหลายๆ ประเภท รวมกันตั้งแต่ 3 ประเภทขึ้นไป ทั้งนี้ไม่นับรวมงานประเภทที่ 1 และงานภูมิสถาปัตย์ งานประเภทที่ 4 โรงพยาบาล อาคารห้องปฏิบัติการ รัฐสภา ศาลาท้องถิ่น วิทยาลัย มหาวิทยาลัย หอสมุด โรงแรม โมเต็ล ธนาคาร อาคาร ชุดพักอาศัย โรงภาพยนตร์ สนามกีฬาในร่ม งานประเภทที่ 5 อาคารสำนักงาน อาคารสรรพสินค้า สถานที่กักกัน สถานพักฟื้น หอพัก โรงเรียน อาคาร อุตสาหกรรม สถานบริการรถยนต์ งานประเภทที่ 6 อัฒจันทร์ โรงพัสดุ คลังสินค้า อาคารจอดรถ ห้องแถว ตลาด ตารางหมายเลข 1 อัตราค่าบริการวิชาชีพขั้นพื้นฐาน ประเภทของงาน | ไม่เกิน สิบล้าน | สิบล้าน ถึง 30 ล้าน | 30 ล้าน ถึง 50 ล้าน | 50ล้าน ถึง 100 ล้าน | 100 ล้าน ถึง 200 ล้าน | 200 ล้าน ถึง 500 ล้าน | 500 ล้าน ขึ้นไป | ประเภท 1 | 10.00 | 7.75 | 6.50 | 6.00 | 5.25 | 4.50 | 3.70 | ประเภท 2 | 8.50 | 6.75 | 5.75 | 5.50 | 4.75 | 4.25 | 3.60 | ประเภท 3 | 7.50 | 6.00 | 5.25 | 5.00 | 4.50 | 4.00 | 3.50 | ประเภท 4 | 6.50 | 5.50 | 4.75 | 4.50 | 4.25 | 3.75 | 3.40 | ประเภท 5 | 5.50 | 4.75 | 4.50 | 4.25 | 4.00 | 3.50 | 3.30 | ประเภท 6 | 4.50 | 4.25 | 4.00 | 3.75 | 3.50 | 3.25 | 3.20 | อัตราค่าบริการวิชาชีพขั้นมูลฐาน เป็นหลักการคำนวณหาค่าบริการวิชาชีพตามข้อนี้ให้ถือปฏิบัติดังต่อไปนี้ งานก่อสร้างโดยทั่วไป การคิดค่าบริการวิชาชีพสำหรับงานก่อสร้างโดยทั่วไป ให้คำนวณจากอัตราร้อยละตามระบุ ในตารางหมายเลข 1 อัตราค่าบริการวิชาชีพขั้นมูลฐาน โดยคิดเป็นอัตราก้าวหน้า ตัวอย่างอาคารประเภท 4 ราคาก่อสร้าง 35 ล้านบาท ให้คำนวณหาค่าบริการวิชาชีพดังต่อไปนี้ 10 ล้านบาทแรก อัตราร้อยละ 6.50 เป็นเงิน 650,000 บาท 20 ล้านบาทถัดไป อัตราร้อยละ 5.50 เป็นเงิน 1,100,000 บาท 5 ล้านบาทที่เหลือ อัตราร้อยละ 4.75 เป็นเงิน 237,500 บาท รวมเป็นค่าบริการทั้งสิ้น 1,987,500 บาท งานก่อสร้างต่อเติม การคิดค่าบริการวิชาชีพสำหรับงานก่อสร้างต่อเติม ให้คิดค่าบริการเป็น 1.1 เท่า ของค่าบริการวิชาชีพตามข้อ 3.1.1* งานก่อสร้างต่อเติม หมายถึงการออกแบบงานก่อสร้างต่อเติมอาคารที่มีอยู่แล้ว และการก่อสร้างต่อเติมจำเป็นจะต้องแก้ไขระบบ โครงสร้างของอาคารเดิมบางส่วน และหรือจำเป็นจะต้องแก้ไขประโยชน์ใช้สอยของอาคารเดิมบางส่วน งานก่อสร้างดัดแปลงการคิดค่าบริการวิชาชีพสำหรับงานก่อสร้างดัดแปลงให้คิดค่าบริการเป็น 1.4 เท่าของค่าบริการวิชาชีพ งานก่อสร้างดัดแปลง หมายถึงการดัดแปลงแก้ไขประโยชน์ใช้สอยภายในอาคารที่มีอยู่แล้วจะโดยการแก้ไขเพิ่มเติมระบบโครงสร้างหรือไม่ก็ตาม |
| 2.2 ค่าบริการวิชาชีพตามเวลา (Time Charge Fees) วิธีนี้ใช้ในกรณีที่งานมีขอบเขตของงาน และขอบเขตการให้บริการที่ชัดเจน เช่น งานศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการในหลายรูปแบบ งานวางผัง กรณีนี้สถาปนิกจะต้องวางแผนล่วงหน้าถึงกำหนดเวลาที่จะใช้ในการทำงานตลอดจนจำนวนบุคลากรในระดับต่าง ๆ ที่จะใช้ทำงานในโครงการ การคิดค่าบริการคือ เวลา x ค่าแรง โดยเวลาที่ใช้สามารถคิดได้เป็นต่อเดือน ต่อวัน หรือต่อชั่วโมง ส่วนค่าแรงคือ อัตราค่าใช้จ่ายของบริษัทที่มีต่อบุคลากรในแต่ละระดับการทำงาน อันมาจากเงินเดือนพนักงาน สวัสดิการ เบี้ยเลี้ยง ค่าใช้จ่ายส่วนกลางของบริษัท และค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น เมื่อนำอัตราของบุคลากร x เวลาที่ใช้ ของแต่ละอัตรา มารวมกับค่าใช้จ่ายจริงซึ่งได้แก่ ค่าเดินทาง ค่าพิมพ์แบบ ค่ารูปทัศนียภาพ ฯลฯ (ค่าใช้จ่ายที่เบิกคืนได้) ทั้งหมดนี้รวมกันจะเป็นค่าบริการวิชาชีพตามเวลา |
| 2.3 ค่าบริการวิชาชีพแบบเหมาจ่าย (Lump Sum Fees) วิธีนี้เป็นวิธีการคิดค่าบริการที่สถาปนิกตกลงยินยอม ที่จะให้บริการตามขอบเขตของงานที่กำหนดในจำนวนเงินค่าบริการวิชาชีพที่สมเหตุผลในจำนวนเงินที่ตายตัว การคิดค่าบริการแบบนี้อาจเริ่มต้นคำนวณจากค่าบริการวิชาชีพอัตราร้อยละหรือจากค่าบริการวิชาชีพตามเวลารวมกับค่าใช้จ่ายจริงแล้วพิจารณาปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามแต่สถาปนิกจะตกลงกับผู้ว่าจ้าง ในการคิดค่าบริการแบบนี้ ควรมีข้อตกลงกันไว้ให้ชัดเจนว่า ในกรณีที่มีการแก้ไขขอบเขตของงานการให้บริการ และ/หรือ ราคาประมาณการโครงการเกินกว่าที่กำหนดไว้ จะต้องมีการพิจารณาค่าบริการชดเชยส่วนที่เปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มค่าบริการในส่วนของงบประมาณที่เพิ่มขึ้น |
| 2.4 ค่าบริการวิชาชีพแบบต้นทุนบวกค่าดำเนินการ (Cost Plus Fees) วิธีนี้มักจะใช้กับโครงการออกแบบที่ลูกค้ายังไม่สามารถกำหนดกรอบการลงทุนที่ชัดเจน ซึ่งหมายถึงตำแหน่งที่ตั้งโครงการ ที่อาจมีหลายทางเลือก ขอบเขต และขนาดของโครงการที่ยังไม่แน่ชัด รูปแบบยังมีการปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาตามเงื่อนไขของการศึกษาการลงทุน โดยที่มีความแตกต่างค่อนข้างสูง ทำให้สถาปนิกไม่สามารถกำหนดอัตรากำลังบุคลากร และคาดการณ์แผนระยะเวลาการทำงานเบ็ดเสร็จได้ วิธีการนี้สถาปนิกจะเสนอค่าบริการวิชาชีพโดยการคำนวณต้นทุน (อัตราค่าบริการ x เวลา) บวกกับค่าดำเนินการงานในแต่ละช่วงของการตกลง |
| 2.5 ค่าบริการวิชาชีพตามปริมาณพื้นที่ (Built Area Fees) วิธีนี้ใช้ในงานวางผังบริเวณ หรืองานอาคารที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน โดยใช้คำนวณจากปริมาณพื้นที่ก่อสร้างของโครงการ (หน่วยพื้นที่) คูณอัตราค่าบริการออกแบบของโครงการในแต่ละประเภท (บาท/หน่วยพื้นที่) โดยอัตราดังกล่าวสถาปนิกคิดตามต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการทำงานของแต่ละสำนักงาน |
3 ค่าบริการวิชาชีพในกรณีที่นำไปทำซ้ำ (Duplication Fee) | ในกรณีที่ลูกค้าต้องการนำงานออกแบบนั้นๆ ไปใช้ทำการก่อสร้างซ้ำ สถาปนิกควรจะระบุข้อตกลงเกี่ยวกับมูลค่าการชดเชยในการเสนอค่าบริการวิชาชีพด้วย ตัวอย่างงานก่อสร้างที่ใช้แบบซ้ำกัน งานก่อสร้างที่ใช้แบบซ้ำกันโดยไม่ต้องเขียนแบบใหม่ และทำการก่อสร้างในบริเวณเดียวกัน ให้คิดค่าบริการวิชาชีพดังต่อไปนี้ - หลังที่ 1 คิดค่าบริการ 100 เปอร์เซ็นต์ ของค่าบริการ
- หลังที่ 2 คิดค่าบริการ 50 เปอร์เซ็นต์ ของค่าบริการ
- หลังที่ 3 ถึงหลังที่ 5 คิดค่าบริการหลังละ 25 เปอร์เซ็นต์ ของค่าบริการ
- หลังที่ 6 ถึง หลังที่ 10 คิดค่าบริการหลังละ 20 เปอร์เซ็นต์ ของค่าบริการ
ตั้งแต่หลังที่ 11 ขึ้นไปคิดค่าบริการหลังละ 15 เปอร์เซ็นต์ ของค่าบรอการ |
4 ค่าใช้จ่ายที่ไม่ รวมในค่าออกแบบและสามารถเบิกคืนได้ (Reimbursement) | โดยปกติแล้วสถาปนิกสามารถขอชดเชยค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่นอกเหนือ ไปจากค่าบริการวิชาชีพตามขอบเขตงานและอัตราที่เสนอไปตามปกติ ค่าใช้จ่ายต่างๆที่เบิกคืนได้เหล่านี้ ควรจะระบุให้ชัดเจนประกอบการเสนอค่าบริการต่อผู้ว่าจ้าง อันได้แก่ - ค่าจัดจ้างผู้เชี่ยวชาญพิเศษแขนงต่างๆ
- ค่าจัดทำประมาณราคาค่าก่อสร้าง (Quantity Survey)
- ค่าจัดทำรายงานการสำรวจทางภูมิประเทศและคุณภาพชั้นดิน
- การรังวัดอาคารเดิมสำหรับการอนุรักษ์และการดัดแปลงแก้ไข
- ค่าจัดทำงานเขียนรูปทัศนียภาพและการทำหุ่นจำลองเพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาดหรือเพื่อการประชาสัมพันธ์โครงการ
- ค่าจัดทำการบันทึกข้อมูลในรูปสื่ออิเลคโทรนิก เช่น แผ่นซีดีรอม
- ค่าเดินทาง ค่าที่พักและค่าเบี้ยเลี้ยงในกรณีที่ได้รับมอบหมายให้เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ยังต่างประเทศหรือสถานที่ห่างไกลนอกเขตระยะทางที่กำหนดไว้จากที่ตั้งสำนักงานของสถาปนิก
- ค่าโทรศัพท์ โทรสาร และการจัดส่งเอกสาร พัสดุ ระหว่างจังหวัด หรือระหว่างประเทศ
- ค่าจัดพิมพ์แบบในจำนวนที่นอกเหนือจากที่ระบุไว้
- ค่าธรรมเนียมในการติดต่อประสานงานและยื่นเอกสารขออนุญาตต่อหน่วยงานราชการ
|