[เมื่อภาษาไม่ได้ แต่หัวใจพร้อมเดินทาง] ญี่ปุ่นที่คิดถึงภาค 2
ทริปไปญี่ปุ่นงวดนี้ เน้นการเดินทาง ไม่เน้นกิน
(อยู่คนเดียว เป็นคนไม่ค่อยนิยมกิน เป็นคนนิยมบรรยากาศการกินกับเพื่อนมากกว่า)
ไปญี่ปุ่นงวดนี้ เราจึงนิยมหิ้วเบนโตะ(ข้าวกล่อง) ขึ้นรถไฟ เพื่อกินไปดูวิวไป ญี่ปุ่นเป็นประเทศชาติไม่เดินกิน จะซื้ออะไรกิน ต้องหาที่นั่งกิน หรือยืนกินให้เรียบร้อย ขึ้นรถไฟไป เปิดเบนโตะกิน ไม่มีใครเค้าสนใจหรอก จริงๆ เบนโตะตามสถานีรถไฟ หรือคอมบิ น่ากินออกนะ ทำไมถึงมีแต่คนบอกว่าเสียดายก็ไม่รู้ มาญี่ปุ่นกลับไ่ม่ค่อยยอมกินอาหารตามร้าน ก็ไม่กินอะ รู้สึกอย่างเดียวที่เราตั้งใจในการซื้อกินมากคือชูครีม (ไอติมโคน)
ซื้อมันทุกที่ๆ ไป (แต่มือถือไอติมแล้ว ถือกล้องไม่ได้ เวรกรรม) นอกจากไอติมแล้วไม่ค่อยกินอะไรนะ ---------------------------------- เราขึ้นเครื่องบินแล้วนะ การบินไทยเที่ยวบินที่ TG 672 กรุงเทพฯ ไปโอซาก้า พนักการบินไทยบนเครื่องบินไฟลท์นี้ ไฟลท์นี้เราได้ขึ้นเครื่องโดยเดินไปขึ้นรถบัส ไปจอดข้างเครื่องบินให้เดินขึ้นอีกที ตอนจะขึ้น พี่ที่ดูแลยังน่ารัก ถ่ายรูปให้ด้วย แต่พอขึ้นมาบนเครื่อง 95% เป็นคนญี่ปุ่นกลับบ้าน เดินมาส่งของว่างด้วยวิธีหยิบของในห่อส่งให้ด้วยมือ เป็นพายเผือก แต่แบบใช้อะไรคีบส่งจะดูดีกว่ามั้ย แล้วหน้าตาก็แบบไปนอนเลยไป หงิกขนาดนี้ ตอนแรกนึกว่ามีแค่ตัวเองเป็นคนไทย ปรากฎว่าคนที่นั่งข้างๆ กันเป็นคนไทย แต่เช็คอินแปลกดี ครอบครัวเค้ามากัน 5 คน 4 คนมีแม่ น้องชาย 3 คน นั่งแถวกลางอีกแถวถัดจากเรา ตัวเค้าน่าจะได้นั่งใกล้ๆ ครอบครัว แต่กลายเป็นว่า นั่งแยกกัน (สงสัยแต่ช่างมันเถอะ) ตัวพี่ผู้หญิงเค้านั่งข้างเรา ไปญี่ปุ่นครั้งแรกเหมือนกันทั้งคู่ คุยไปกันไปพักนึง เค้าดับไฟ ได้เวลานอนแล้ว ตื่นเช้ามา น่าจะประมาณ 6 โมงได้ ตื่นเพราะรถเสิร์ฟอาหาร ดังกึง!
พนักงานเดินหน้าเรียบมาแต่เช้า (สงบนิ่ง ไม่บึ้ง แต่ไม่ยิ้ม)
เดินมาถามว่าจะรับอะไร เมนูมีบะหมี่ กับ ออมเล็ต (Noodle & EGG) ให้เลือกสองอย่าง โชคดีที่เลือกออมเล็ต แล้วก็กินกาแฟไป กับ น้ำเปล่า ต่อจากนั้นเมื่อเก็บของไปหมดแล้ว ก็ถือเวลาทำการบ้าน ใบเข้าเมืองนั่นแหละ หน้าตามันเปลี่ยนไปจากหนังสือใครๆ ก็ไปเที่ยวเยอะนะ ฝั่งซ้ายเป็นใบขาออก ฝั่งขวายาวกว่าเป็นใบขาเข้า นั่งกรอกไปก็คิด กรอกผิดจะส่งกลับประเทศไทยเปล่าฟระ
ทำการบ้านเสร็จ ก็ได้ยินเสียงประกาศ จะถึงแล้ว ตอนที่เครื่องลงจอดแค่เห็นวิว จำไ้ด้ว่าใจเต้นตึกตัก พอเครื่องจอดเสร็จ ก็ได้ยินเสียงประกาศขอบคุณที่ใช้บริการภาษาไทย ก่อนจะต่อด้วยภาษาญี่ปุ่น ออกจากเครื่องต้องไปขึ้นกระเช้า เพื่อไปที่สนามบิน ไปถึงตามหนังสือบอกว่า ต้องกรอกใบประวัติสุขภาพ แล้วก็ต้องเก็บนิ้วชี้ไว้สแกนก่อน มือเจ้ากรรมก็เป็นแผล ตอนแรกแผลเล็กเท่าปลายเข็ม ไปๆ มาๆ เนื้อที่แผลเพิ่มขึ้นทีละนิด จนเลือดเริ่มซิบๆ แถมตัวร้อนเนื่องจากแพ้อากาศเย็น จริงๆ ที่สนามบินคันไซเนี่ย เค้าดูสุขภาพคนจากเครื่องตรวจความร้อน จะไม่กรอกใบประวัติสุขภาพก็ได้ (แต่เราก็กรอกไปยื่นส่ง พนักงานก็เก็บไปไม่มอง เพราะอะไรหว่า) ต่อจากนั้นก็เดินไป ตม. ตอนแรกไปต่อแถวพาสปอรต์อินเตอร์นะ แต่ืไปๆ มาๆ เค้าเอาแถวนั้นให้คนญี่ปุ่นไป เพราะคนญี่ปุ่นมาเยอะ แต่คนต่างชาติมีไม่ถึงสิบ เลยต้องเปลี่ยนไปแถวใหม่ ไปถึงพนักงานก็ไม่ถามอะไร เอาใบเข้าเมืองไปดู ให้สแกนนิ้ว แล้วก็ถามว่านี่คือโรงแรมแน่หรอ กรอกไปว่า Raizan Kitaku และที่อยู่ เลยหยิบใบจองโรงแรมในเวปส่งให้ดู เวปที่จองคือ Rakuten เป็นเวปของญี่ปุ่น สรุปว่าผ่าน ประทับตราแล้ว เชิญเข้าประเทศ ญี่ปุ่นจ๋า ป๋วยมาแล้ว ไปถึงไปหยิบกระเป๋าเดินทาง ปรากฏว่าไฟลท์เรากระเป๋า ข้าพเจ้ามาเป็นใบแรก เดินลากกระเป๋าออกไป พนักงานก็ยิ้มขอดูแค่บอร์ดดิ้งพาส จบ ไม่ต้องเปิดกระเป๋า สะดวกทุกอย่างจนออกมานอกเกท เย้ ภารกิจต่อมาก็คือ ไปเอาซิมการ์ด ซื้อบัตรรถไฟ Kansai Thru Pass บัตรใบนี้ สะดวกมากนะคะ มีสองประเภท สามวันกับสองวัน นี่เป็นแบบสองวัน ใช้เดินทางได้ 5 จังหวัด OSAKA NARA KYOTO KOBE WAKAYAMA ขึ้นรถไฟใต้ดิน รถเมล์แทบทุกสายใน 5 จังหวัดนี่ได้ตลอดสองวัน ในเล่มจะมีคูปองให้ด้วย ถ้าไปตามสถานที่ๆ มีคูปองโปรโมชั่น จะมีส่วนลด ไม่ก็ของที่ระลึก (แต่ไม่ได้ใช้) แน่นอนว่าได้ขึ้นรถไฟจากสนามบิน เข้าโอซาก้าได้ด้วย สองวันราคา 3800 เยน สามวัน 5000 เยน แบบ 1 วันรู้สึกจะมี ราคา 2000 เยน ไปซื้อได้ที่ชินโอซาก้า ค่ารถไฟธรรมดา ออกจากสนามบินไปตัวเมืองโอซาก้าก็ 1,280 เยน รถเมล์ รถไฟทั่วๆ ไปก็ตก 100-500 กว่าเยน นั่งรถเมล์เที่ยวเกียวโตรอบเมือง ขึ้นลง 5 วัดก็โคตรคุ้มแล้ว นั่งยาวถึงนาราก็ปาไป เกือบพันเยน จ่าย 3800 สำหรับการเดินทางตลอด 2 วันแรกดูคุ้มขึ้นมั้ย (ขายความคิด) แล้วก็ไปแลก JR PASS (อันนี้พลาด) เลือกวันที่เริ่มผิดไป เสียเงินโดยใช้เหตุเลย (แต่ไม่พูดถึงตอนนี้นะ) และท้ายสุดกับสนามบินคันไซ กรูคนนี้ มาทำอะไรที่ญี่ปุ่นเนี่ย ไปโรงแรมแล้วละ นั่งรถไป ชื่นชมกับญี่ปุ่นไป ขนาดว่าขึ้น Local Train ยังเฉยๆ ตอนนี้เรามาเพื่อเที่ยว ถึง Imaimiya วิธีจำชื่อสถานีนี้ก็ Imai(Tsubasa)+(Nino)miya เป็นคันจิชื่อสองคนนี้ แผนที่จะทำสับสนนิดหนึ่ง เพราะเป็นแผนที่จากสถานี JR ต้องเลี้ยวขวาจะถึงโรงแรม แต่เรามาจากสถานีรถใต้ดิน ต้องเลี้ยวซ้าย งานนี้พี่หยิน (yinchan) ช่วยชีวิตไว้ พี่หยินมีพูดว่า จากของจริงต้องเลี้ยวซ้ายนะ เดินเลี้ยวซ้ายไป มีของล่อกิเลศ หลุยส์วิตตองมือสอง แบกะดิน (เอาอีกละ) เข้าไปเช็คอิน พนักงานเป็นผู้หญิง แนะนำโรงแรมเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น แนะนำอะไรเราก็พยักหน้า (ขอบคุณอาราชิ ที่ทำให้เราชินกับภาษาอังกฤษเวอร์ชั่นแปลกใหม่) จนเข้าห้องได้ อย่างแรกเปิดทีวี เปิดแอร์ แล้วก็นอนแผ่ ก่อนจะหยิบหนังสือนำเที่ยว แผนที่เดินทาง ปากกาดินสอ เปิดดูไปทบทวนสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวแรก (หายากกว่านารา) เปลี่ยนชุดออกจากห้อง เอาละหน้าเดิน สถานีใต้ดินของโรงแรมคือ Dobutsuen-Mae นั่งย้อนไปสถานี Shinsaibashi ออกจากประตู 8 สถานีิชินไซบาชิ แผนที่เค้าว่าเลี้ยวซ้าย เดินไปสองซอย 5 นาทีถึง แต่ขณะนี้ข้าพเจ้าเดินไป 20 นาที ยังหามันไม่เจอ
จนท้ายสุด เอาแผนที่เทียบกับแผนที่จริง มันก็เหมือนกันเป๊ะ ตัดความคิดใหม่ นั่นก็คือ คนไทยเวลาเป็นซอยเล็กๆ น้อยๆ ย่อยๆ จะไม่ใส่ในแผนที่ แต่ คนญี่ปุ่นเนี่ย ซอยเล็กแค่ไหน แผนที่ก็ใส่ เราก็เดินไป ดูทางม้าลายไป ซอยเล็กม้าลายไม่ถึงสิบเมตร เป็น 1 ซอย ม้าลายอีกแล้วนี่คือซอย 2 เลี้ยวเข้าไป เดินไปไม่กี่สิบเมตร เราก็พบแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวแรกในชีวิตการมาญี่ปุ่น หายากไปไหน (บุ๊คไปก็หลง หาเกือบไม่เจอ โอ้ว จอห์นนี่ช็อป สาขาโอซาก้า) มาญี่ปุ่นนี้ เรามาเพื่อดูคอน และปฏิบัติตัวเป็นแฟนจอห์นนี่ ช็อปกว้างมาก คนก็น้อยผิดกับที่ฮารา แถวแทบขี่คอ ไม่กว้าง จะมีเรอะ จะให้พื้นที่ถ่ายรูปได้ขนาดนี้ จบสถานที่ท่องเที่ยวแรก เจอกันเอนทรี่หน้า อันแสนยาวนาน
Free TextEditor
Create Date : 29 มีนาคม 2552 |
|
3 comments |
Last Update : 29 มีนาคม 2552 21:42:03 น. |
Counter : 1058 Pageviews. |
|
|
|
ถ้าไปญี่ปุ่นนะ คราวนี้จะกิน ชอป ให้แหลกเลยยย
แล้วเมื่อไหร่จะได้ไปหล่ะ?