<<
มีนาคม 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
11 มีนาคม 2555
 
 
ครบรอบ1ปีเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิที่ญี่ปุ่น เรื่องราวที่เราจะไม่มีวันลืม

เนื่องในโอกาสครบรอบ1ปี อยากมาเล่าเรื่องราวให้ฟัง ประสบการณ์ชีวิต อยากแชร์อะไรหลายๆอย่างที่เราได้จากเหตุการณ์ครั้งนั้น

ต้องขอบอกไว้ก่อนว่าเราไม่ได้เจอแบบ Hardcore วิ่งหนีตายอะไรอย่างนั้นนะ

11 มีนาคม 2554

เวลาประมาณตอนนี้ นาฬิกาเพิ่งข้ามแดนขึ้นเช้าวันใหม่ ถ้าจำไม่ผิดคงจะเที่ยงคืนกว่าๆ เรานอนไม่หลับ

บอกตามตรงว่ารู้สึกกังวลมากอย่างไม่ทราบสาเหตุ รู้สึกไม่อยากไปเที่ยวแล้ว

ช่วงเวลานั้นเป็นตอนปิดเทอม ซึ่งเรากับเพื่อนๆ รวมทั้งหมด11คน ตัดสินใจที่จะไปเที่ยวbackpackที่ญี่ปุ่น

ทั้ง11คน ไม่มีใครพูดภาษาญี่ปุ่นได้ แต่มีเพื่อนคนนึงที่พี่ชายของเค้าไปเรียนที่ญี่ปุ่น ก็เลยมีบ้านอยู่

โปรแกรมของเราคร่าวๆคือ ลงที่สนามบินนาริตะ โตเกียว เที่ยว3-4วัน แล้วก็ไปเที่ยวโอซาก้า ค้าง2คืน แล้วกลับมาโตเกียว

ตอนแรกอยากไปมากนะ แต่คืนก่อนเดินทาง เกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ กังวลใจมาก

ส่วนตัวไม่เคยไปbackpackกับเพื่อน แต่ก็เคยไปตปทโดยไม่มีผู้ปกครองบ้าง

เลยเข้าใจว่า ความรู้สึกที่ไม่อยากไปนั้น คือเพราะไม่เคยไปbackpack ปลอบใจตัวเองว่า เพื่อนเยอะแยะ กลัวอะไร

เรารีบข่มตานอน เพราะเครื่องบินออกตี5กว่า ต้องถึงสนามบินตี3 นอนตุนเท่าที่ได้ก่อน เดี๋ยวเที่ยวไม่สนุก


ได้นอนกันคนละไม่กี่ชั่วโมง เพราะแต่ละคนก็ตื่นเต้น จัดกระเป๋าบ้างอะไรบ้าง

ประมาณตี3 ทั้ง11คนก็มาเจอกันที่สนามบินสุวรรณภูมิโดยพร้อมเพรียง

หลังจากร่ำลาผู้ปกครอง เข้าตม. ขึ้นเครื่อง ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

สายการบินที่นั่งไปคือสายการบิน low cost ซึ่งราคาค่อนข้างประหยัด เป็นตั๋วไป-กลับ

แต่ที่นั่งก็แคบตามไปด้วย สรุปว่า นอนไม่หลับค่ะ อึดอัดมาก

ลงเครื่องบินเวลาประมาณบ่ายโมงกว่าๆ (เวลาญี่ปุ่น) เราก็ไปเรื่อยๆลั่ลล้าตามโปรแกรม

พวกเราไปซื้อตั๋วรถไฟ ซึ่งจะนั่งเข้าไปในตัวเมืองโตเกียว ซึ่งเป็นบ้านพักของพี่ชายเพื่อน

ซึ่งบ้านพี่ชายเพื่อนเนี่ย ก็สไตล์ญี่ปุ่น แคบๆ มีห้องน้ำเดียว

เพื่อนเลยบอกไว้ว่าให้เตรียมถุงนอนไป เพราะว่าเครื่องนอนไม่พอ (ยังกับรู้ล่วงหน้าแหนะ เป็นเรื่องที่โชคดีมาก)

พอซื้อตั๋วรถไฟเสร็จ เพื่อนก็นึกถึงบัตร JR Pass ใครเคยไปญี่ปุ่นอาจจะพอรู้จักบ้าง

JR Pass เป็นตั๋วรถไฟแบบนับเป็นวัน ซึ่งพวกเราจ่ายตังค์กันตั้งแต่ที่ไทย

ที่สนามบินนาริตะ ก็มีสำนักงานของเค้า ก็เลยไปจัดการเรื่องรับบัตร JR Pass ก่อน

ซึ่งก็ต้องกรอกเอกสาร นู้น นั่น นี่ เสียเวลาไปพอสมควร ซึ่งพวกเราก็ไม่ได้อะไร เนื่องจากเย็นวันนั้นไม่มีโปรแกรมอะไรมาก


เมื่อจัดการพวกตั๋วอะไรเสร็จเรียบร้อย เวลาตอนนั้นก็ประมาณบ่าย2กว่าๆ พวกเราก็เลยลากกระเป๋าเดินทางใบโต ลงบันไดเลื่อน

ไปชานชาลารถไฟใต้ดิน ซึ่งพวกเราจะต้องนั่งรถไฟใต้ดินไปบ้านพี่ชายเพื่อนกัน รถไฟของชานชาลาตรงข้ามกำลังเทียบพอดี

ระหว่างที่กำลังอยู่บนบันไดเลื่อน ก็เริ่มรู้สึกถึงความสั่น และสั่นขึ้นเรื่อยๆเมื่อใกล้ถึงชานชาลา

คือตอนนั้นอย่างแรกที่คิดในใจนะ "ทำไมรถไฟญี่ปุ่นมันแรงจัง เทียบชานชาลาทีสั่นถึงบันไดเลื่อนเลย" = =

แล้วก็เห็นคนที่ยืนรอที่ชานชาลา จู่ๆก็หันหลังแล้ววิ่ง (ซึ่งบังเอิญมาก เป็นเพื่อนม.ปลายเราเอง)

แต่จังหวะนั้น ยังไม่รู้ค่ะ ยังคิดในใจว่า "สงสัยมันมาชานชาลาผิดฝั่ง" (มันยังไม่รู้!!)

แล้วแรงสั่นที่ตอนแรกไม่แรกนัก มันก็แรงขึ้นเรื่อยๆ คือไม่น่าเรียกแผ่นดินไหวเลยอะ เรียกว่าแผ่นดินเขย่าดีกว่า

กว่าจะรู้ตัวว่าแผ่นดินไหวของจริง ก็ตอนที่เพื่อนม.ปลายเรากลุ่มนั้นแหละ ตะโกนเป็นภาษาไทยว่า "แผ่นดินไหว"

ซึ่ง ณ จุดๆนั้น สั่นแรงมาก แล้วก็ไฟดับ (แต่ไฟสำรองเค้าเยอะอยู่ ไม่มืดเท่าไหร่)

ด้วยความที่ตกใจ คือหันหลังกลับ แล้ววิ่งเลย มันมีทั้งบันไดธรรมดา และก็บันไดเลื่อน

ตอนนั้นบันไดเลื่อนยังไม่ดับ รู้อะไรมะ เราเลือกวิ่งไปที่บันไดเลื่อน

คือรู้สึกโง่มาก แต่ตอนนั้นคิดไม่ทันจริงๆ คิดแค่ว่า กระเป๋าหนัก หิ้วขึ้นบันไดไม่ไหวแน่ๆ

เราก็อารมณ์ห่วงของอะ ตอนนั้นไม่ได้มีความคิดจะทิ้งกระเป๋าเลยนะ เพื่อนบางคนเราทิ้งแล้ววิ่งปรูดไปถึงข้างบนแล้ว

แต่เราค้างอยู่ที่บันไดเลื่อน คือไปไม่ถึงครึ่งไฟมันก็ดับ หยุดเลื่อน

แล้วอย่างที่รู้ๆกัน ขั้นบันไดเลื่อนโคดใหญ่เลย แบบยกกระเป๋าไม่ขึ้น

เคยเรียนมา เวลาตกใจยกตุ่มได้ ไม่เห็นจะยกขึ้นเลย ค้างอยู่กลางบันไดเลื่อนนั้นแหละ

โชคดีที่เพดานไม่ถล่มลงมา ไม่งั้นเป็นซากไปแล้ว

คือตะโกนเรียกเพื่อนที่ขึ้นไปถึงแล้วให้ลงมาช่วยนะ แต่มันวุ่นวาย เพื่อนไม่ได้ยิน เราก็ไม่ได้ยินคนอื่นเหมือนกัน


อีกสักพัก (ซึ่งไม่รู้ว่ามันสั่นนานแค่ไหน) พื้นมันก็เริ่มสงบลง

คือยังรู้สึกไหวๆอยู่นิดๆ วิงเวียน แต่ไม่รู้ว่า เพราะแบบมึนที่มันเขย่ามะกี้ หรือว่าเพราะมันยังไหวอยู่จริงๆ

พอขึ้นมาถึงระดับพื้นดิน เจ้าหน้าที่แถวนั้นก็พูดภาษาญี่ปุ่น แล้วก็โบกไม้โบกมือ เี่ราก็งงอะดิ พูดอะไร ฟังไม่ออก

กลุ่มเราไม่มีใครรู้ภาษาญี่ปุ่นสักคน ต้องวิ่งเข้าไปถามเค้าว่าเค้าพูดว่าอะไร ช่วยบอกเป็นภาษาอังกฤษหน่อย

โชคดีที่เจ้าหน้าที่ในสนามบินค่อนข้างพูดภาษาอังกฤษได้ เค้าเลยบอกว่า พื้นที่ตรงนี้อันตราย ให้ออกไปข้างนอก

เราเลยไปตามทางที่เค้าโบกมือ จนออกไปนอกอาคาร เป็นบริเวณลานจอดรถ

ตอนนั้นก็ยืนอยู่ใกล้ๆตึกอยู่ เพราะเอาจริงๆ ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าควรทำยังไง

มองไปที่เสาไฟฟ้า โอ้โห โยกอย่างแรง ทั้งที่ตอนนั้นไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่ายังไหวอยู่

แล้วก็มี Aftershock ตามมาเรื่อยๆ รู้สึกสั่นไม่แรงเท่าครั้งแรกนะ (อาจจะเป็นเพราะครั้งแรกเราอยู่ใต้ดินด้วย)

แต่ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนแบบ รถโยกๆๆๆ เดินก็มึนๆ หน้าต่างกระจกนี่น่ากลัวมาก สั่นจนเราคิดว่ามันจะหลุดออกมาแล้ว

หลังจากแผ่นดินไหวครั้งนี้หยุด เจ้าหน้าที่ก็โบกมือพร้อมส่งภาษาที่เราฟังไม่รุ้เรื่องอีกแล้ว

เราก็ยืนงงๆกัน แล้วก็เหมือนเดิม วิ่งไปถามเค้าว่าพูดว่าไร เค้าก็บอกว่า เป็นแผนอพยพ ให้่ไปตรงลานจอดรถที่เลยไปอีกหน่อยนึง เพื่อความปลอดภัย แบบกลางๆลานเลยอะ

เราก็ยืนอยู่บนลานนั้นสักพัก เริ่มเมื่อย ลมแรงด้วย ก็เลยนั่งกัน แต่คือยังเฮฮานะ เพราะไม่รู้สถานการณ์ข้างนอก

มีผวาทุกทีที่รุ้สึกว่าพื้นสั่น เพราะแบบนั่งจะรู้สึกมากกว่าอะ บางทีก็หลอนไปเองด้วยซ้ำ ลองลงไปนอนทดสอบเลยว่าไหวจริงหรือคิดไปเอง ไม่ก็ดูปฏิกิริยาคนอื่นๆ ว่าเค้ารู้สึกไหม

ทุกครั้งที่สั่นก็จะแบบ ลุกพรึ่บทั้งลานอะ หลังๆเริ่มบ่อยเข้า สั่นนิดๆก็ไม่ค่อยมีคนลุกละ เริ่มจะชิน

นั่งอยู่ตรงนั้นสักพักก็เริ่มหิวน้ำ เราก็แยกออกมาซื้อน้ำ ที่ตู้กดหน้าสนามบิน ก็มีคนต่อแถวอยู่4-5คน

แต่ร้านที่อยู่ข้างๆที่มีขนมขายสิ แถวยาวเชียว ส่วนมากจะเป็นคนญี่ปุ่นที่ซื้อของกินเตรียม แต่ต่อแถวเป็นระเบียบนะ

เอาจริงๆ ตอนนั้นยังคิดว่าเค้าตรวจเช็คหน่อยก็คงจะนั่งรถไฟออกไปได้แล้ว แผ่นดินไหวญี่ปุ่นเกิดออกบ่อย แต่มันกลับไม่ใช่อย่างนั้น


ระหว่างที่เราและเพื่อนๆเริ่มเตร็ดเตร่หาของกินกัน มื้อเที่ยงไม่ได้ทาน เพราะลงเครื่องช่วงเที่ยงพอดี ตอนนั้น3-4โมงละ ท้องเริ่มร้อง

เพื่อนเราคนนึงก็ไปเจอคนไทย ซึ่งเป็นไกด์ทัวร์ พี่เค้าก็บอกว่า ให้พวกเราไปรวมกลุ่มกับพี่เค้า มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน

เรากับเพื่อนๆเลยลากกระเป๋าเดินไปรวม คือบอกตามตรงว่าตอนนั้นรู้สึกอุ่นใจขึ้นเยอะ เพราะแบบเจอคนไทยอะ

ความรู้สึกเหมือนได้เจอญาติผู้ใหญ่เลย พี่กลุ่มๆนั้น ก็รู้สึกจะมาจากบริษัท Suzuki นะค่ะ (เห็นเสื้อแจ๊คเก็ต)

ซึ่งพี่เค้าเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นได้6วันแล้ว วันนั้นเป็นวันกลับ ส่วนเรากับเพื่อนๆคือเพิ่งไปถึง

พี่ๆเค้าก็แบ่งน้ำ แบ่งขนมให้ คงจะสงสารปนสมเพช ไอ้เด็กพวกนี้อยู่บ้านดีๆไม่ชอบ อยากหาประสบการณ์backpack ภาษาก็ไม่ได้สักคน ฮ่าๆๆๆ

พวกเราก็นะ แรกๆเกรงใจ เกรงใจมาก แต่เริ่มทัดทานความหิวไม่ไหว ร้านขนมแถวนั้นก็ขายกันหมดเกลี้ยง ไม่มีอะไรให้กินแล้ว

ก็เลยได้กินขนมของพี่ๆเค้า แก้หิว แก้เบื่อไปพลางๆ

ฟ้าก็มืดลงเรื่อยๆ เหมือนฝนจะตกเลย อากาศก็เริ่มเย็น เริ่มหนาวแล้ว ลมแรงมาก

พวกเราก็ค่อยๆขยับเข้าไปใกล้ตัวอาคารสนามบินเรื่อยๆ ตอนนั้นไม่ค่อยมี Aftershock แล้ว


สักพักใหญ่ๆ 4โมงกว่าๆ สนามบินเปิดให้คนเข้าไป เราก็เข้าไปนั่ง แถวๆทางลงรถไฟ ไม่ใช่ว่าจะรีบขึ้นอะไรนะ แต่ที่มันว่าง

นั่งไปสักพักใหญ่ๆ แล้วก็เกิดอยากเข้าห้องน้ำ ก็เดินไปหา เจอแถวเป็น2รอบวนทบอะ = = คือมันยาวมาก

แต่ก็ยอมต่อคิว ระหว่างที่ต่ออยู่ก็เจอเพื่อนม.ปลาย(คนที่มันวิ่งหนีตายขึ้นไปก่อนตั้งแต่แรกนู้น)เลยเรียก แล้วก็คุยกันเล็กน้อย

หลังเข้าห้องน้ำเสร็จ ก็เลยก็เลยรวมกลุ่มกันอีก เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้ ปักหลักกันเป็นชุมชนย่อมๆ

หลังจากนั้นสักพัก เห็นเจ้าหน้าที่มายืนอยู่แถวๆทางลงรถไฟ เราเลยกลัวเค้าจะเปิดทางแล้วคนจะเหยียบ

เลยย้ายที่ไปอีกเล็กน้อย เป็นตำแหน่งตรงกับประตูทางเข้า-ออกพอดีเลย ค่อนข้างเย็นมากนะ ประตูเปิดทีนี่สะท้านเลย

พวกเราเลยเอากระเป๋าเดินทางมาล้อมเป็นกำแพงฝั่งที่ใกล้ประตู สักพักก็เริ่มหิว เลยจัดการจกมาม่าแห้งกัน (พกจากไทยไป)

คือหิวมากกกกกกกกกกกก ล้อมวงกันแบบไม่สนอะไรทั้งนั้น แล้วก็มีคนมาถ่ายวีดีโอพวกเราค่ะ คนๆนั้นก็คือ น้าเน็ก นั่นเอง

ทางสนามบินก็มีแจกน้ำ เราก็รีบวิ่งไปเอา เป็นอย่างนึงที่จะทำให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้

และเท่าที่ดู น้ำดื่มของเค้ามีพอสำหรับทุกคนในสนามบิน

หลังจากนั้นไม่นานก็แจก Ritz แคร๊กเกอร์ที่กล่องสีแดงๆอะ แจกกันคนละแถว ซึ่งไม่อิ่มเลย แค่คลายหิวได้นิดหน่อย

กลุ่มพี่ๆ Suzuki ก็เป็นกรุ๊ปเดียวที่หาข้าวได้ น่าจะให้ข้างนอกเค้าซื้อเข้ามาให้นะ ไม่ชัวร์เหมือนกันว่าพี่เค้าได้มาจากไหน

เค้าก็แบ่งข้าวมา2กล่อง ให้เราทั้ง11คนแบ่งกันกิน ถึงจะไม่ได้กินจนอิ่ม แต่ก็ไม่หิว ซาบซึ้ง "คนไทยไม่ทิ้งกันจริงๆ"


ตอนนั้นเราก็เริ่มรู้ข่าวภายนอกบ้างแล้วนะ คือเปิดมือถือ ติดต่อผู้ปกครอง ซึ่งกว่าจะโทรติดนี่เล่นเอานิ้วหงิกเลย

เหมือนสัญญาณจะล่ม เรากดแล้วกดอีก กดไปเรื่อยๆๆๆๆ ใช้ความพยายามเข้าสู้

พอได้คุยกับที่บ้านถึงรู้ว่าสถานการณ์ข้างนอกเป็นไง 8.9ริกเตอร์บ้างล่ะ สึนามิบ้างล่ะ เริ่มกลัวแล้วค่ะ จิตตก อยากกลับบ้าน

ที่บ้านครอบครัวเราเป็นห่วงมากกกก เค้าพยายามโทรหาเราตั้งแต่ข่าวออก แต่ติดต่อไม่ได้เลย

ตอนนั้นหลังจากหายหิว เราก็เลยเริ่มออกเดินค่ะ เดินไปทั้งสนามบิน หาว่าเราจะติดต่อใครได้บ้าง จะเปลี่ยนไฟล์ท หรือจะทำอะไรก็ได้

คืออยากได้ข้อมูลว่า ชะตาชีวิตเราจะเป็นยังไงต่อ เครื่องบินจะออกได้เมื่อไหร่ อะไรแบบนี้ แต่ทุกคนก็ตอบเหมือนกันหมดว่า "ยังไม่รู้"

ซึ่งตลอดการวิ่งติดต่อ ถ้าพี่ๆกลุ่ม Suzuki เค้าเห็นเราคุยกับเจ้าหน้าที่อยู่ พี่เค้าจะรีบวิ่งเข้ามาเลย มาช่วยแปล มาช่วยคุย ให้คำแนะนำเยอะแยะ ประทับใจมากก

หลังจากวิ่งไปวิ่งมาทั่วสนามบินอยู่เป็นชั่วโมงๆ ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า โทรส่งข่าวกับที่บ้านเป็นระยะๆ

ทีนี้เริ่มมืด เค้าก็เริ่มมีแจกถุงนอน ซึ่งนี่เป็นความโชคดีของเรามากๆ เพราะแบบต้องไปนอนบ้านพี่ชายเพื่อน ทำให้หลายคนก็มีถุงนอนอยู่แล้ว

บางส่วนที่ไม่มีก็เลยวิ่งไปต่อแถวเอาถุงนอนด้วย แต่ถุงนอนที่แจก ไม่อุ่นเลย แต่ก็ดีกว่านอนบนพื้น ซึ่งเรียกว่าเย็นเลย

อากาศข้างนอกเนี่ย ถึงขั้นหายใจเป็นควันเลย ประมาณ0-4องศา

เราก็เลื่อนจากบริเวณหน้าประตูเข้าไปลึกหน่อย เพราะทนความหนาวไม่ไหว ก็ขยับไปใกล้ๆกับกลุ่มพี่ๆ suzuki

ปูถุงนอนกัน แต่ก็ยังไม่ได้นอน ยังคงติดต่อพ่อแม่กัน เพื่อหาไฟล์ท ปรึกษา ตัดสินใจจะกลับหรือไม่กลับ

ซึ่งก็ครึ่งๆค่ะ กลับ6 ไม่กลับ5


อีกประเด็นนึงที่จะลืมเล่าไม่ได้ คือโทรศัพท์ค่ะ ถือเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นมากกกก

แต่พอใช้เยอะ แบตมันก็ลดเร็วตาม ทำไงละทีนี้ กว่าจะรู้ตัว ปลั๊กไฟข้างเสาก็เต็มหมดแล้ว เค้านอนเฝ้ากันเลย

ก็วิ่งไปห้องน้ำ มีปลั๊กอยู่ ก็เต็มเหมือนกัน เครื่องเป่ามือก็โดนถอดเพื่อชาร์ตมือถือ

แต่ถ้ามีคนจะใช้ เค้าก็เสียบคืนให้ใช้นะ แล้วก็ค่อยชาร์ตต่อ

เมื่อหาที่ชาร์ตไม่ได้ ญี่ปุ่นประเทศที่น่ารักนี้ โถส้วมเค้าก็ต้องใช้ไฟ เย้ๆๆๆๆ

แต่จะไปยืนชาร์ต ก็โดนไล่ออกมา เลยโอน้อยออกกับเพื่อน เข้าไปนั่งในห้องน้ำ ล็อคประตู แล้วก็ชาร์ตค่ะ


ดึกๆคืนนั้นก็ไปเดินเล่นข้างนอก และข้างในสนามบินอีกสักพัก คือเดินจนทั่วให้ง่วง แล้วค่อยนอน

ยอมรับว่าแอบเครียด และแอบจิตตก มีตอนนึงที่นั่งอยู่เฉยๆ แล้วก็คิดเรื่อยเปื่อย

คิดถึงขั้นว่าแบบ ถ้าเราจะไม่ได้กลับไทยแล้ว คิดว่าถ้าตอนนี้เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต

คือคิดแล้วก็แบบ ถ้าจะตายอยากตายที่เมืองไทยค่ะ เดี๋ยวคุยกับผีเจ้าถิ่นญี่ปุ่นไม่รู้เรื่อง แหะๆ

กว่าจะนอนตอนนั้นประมาณตี3 ทั่วทั้งสนามบินค่อนข้างเงียบ หนาว ทุกคนขดตัวอยู่ในถุงนอน

ในคืนนั้นมี Aftershockเรื่อยๆ ทุกๆ1-2ชั่วโมง ทุกครั้งคนก็จะผวาลุกขึ้นมาเตรียมใส่รองเท้าวิ่ง แต่พอไม่มีอะไรก็ล้มตัวนอนต่อ

มีครั้งนึงที่เขย่าค่อนข้างแรง คนเค้าเตรียมวิ่งกันทั้งสนามบินละ เราหลับค่ะ หลับไม่รู้เรื่องเลย

แต่คือแปบนึงก็หยุดสั่น เพื่อนก็เลยไม่ปลุก ตอนเช้าโดนเพื่อนด่า ถ้ามันไหวแรงแกไม่ตายไปแล้วหรอ


ตอนเช้า น้าเพื่อนก็ส่งข้อความมาบอกว่าให้ไปติดต่อการบินไทย ซึ่งให้ชื่อเจ้าหน้าที่มาคนนึง ชื่อคุณ อิชิบาชิ

เราก็ยังหลับไม่รู้เรื่อง จนประมาณเกือบ8โมง เค้าก็เริ่มไล่ที่คนที่นอนอยู่ เพราะเค้าเตรียมจะเปิดทำการ

ก็เลยตื่นมาล้างหน้าแปรงฟัน แล้วก็เดินๆวิ่งๆ ติดต่อคนนู้นคนนี้

เคานเตอร์ของสายการบินที่เราไป ไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่ แต่แปะป้ายว่า จะเปลี่ยนเที่ยวบินให้ติดต่อพรุ่งนี้(วันที่13) เราก็แบบอยากกลับบ้านแล้ว

เลยไปหาการบินไทยเลยค่ะ ตอนแรกคุณอิชิบาชิยังไม่มาค่ะ เราก็เวียนๆวนๆอยู่แถวนั้นแหละ แอบเล็งแอบส่อง

กลุ่มพี่ๆใจดี เค้าก็ไปเช็คอินเตรียมขึ้นเครื่องกันแล้ว พี่ๆเค้าเห็นว่าเรายังต้องอยู่ต่อกัน โดยไม่รู้ว่าจะได้กลับ หรือจะยังไงต่อ

พี่เค้าก็เลยรวมของกินค่ะ เป็นเหมือนของที่เค้าจะซื้อไปฝากที่บ้าน มีทั้งขนม น้ำ ขนมปัง อะไรเยอะแยะเลย เอามาให้เรา2-3ถุง

พร้อมกับอวยพรพวกเรา และก็ร่ำลากันค่ะ


ประมาณ8.30 เราก็เห็นเจ้าหน้าที่เริ่มมากันล่ะ เลยเดินเข้าไปถาม เหลือบไปเห็นป้ายชื่อ เค้าคือคุณอิชิบาชิที่น้าเพื่อนบอกค่ะ

เราก็เลยคุยกับเค้า เค้าบอกว่าการบินไทยมีเที่ยวบินอยู่ ตอน10โมง ราคาตั๋วกลับก็ประมาณ48000เยน ภาษีสนามบินอีกประมาณ4000

ตีเป็นเงินไทยก็เกือบ2หมื่น โฮฮฮฮฮ แพง แต่ยอม เพราะอยากกลับบ้านมาก

พอจัดการโหลดกระเป๋าเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งตอนนี้มีแค่6คนที่จะกลับนะค่ะ

ที่เหลือ5คน เค้าก็ไปหาข้าวกิน พอเราได้ไฟล์ท เราเลยเอาของกิน2-3ถุงที่พี่ๆใจดีแบ่งมาให้ เอาไปให้เพื่อนที่อยู่ต่อค่ะ

ก่อนจะเดินออกมา ก็ขอบคุณและร่ำลาคุณอิชิบาชิ เค้าบอกว่า เราโชคดีมากๆที่เป็นคนไทย เพราะตอนนี้การบินไทยช่วยคนไทยมากๆ เลยหา่ไฟล์ทกลับได้ง่าย

ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะเดินไปเคานเตอร์อื่น แทบจะปิดหมด ถ้าไม่ปิดคนก็รอเยอะแบบไม่มีเครื่องออกวันนั้น ไม่เปิดรอบเพิ่มอะไรอย่างนั้นอะค่ะ


กว่าจะจัดการอะไรเสร็จก็ประมาณ10โมงนิดๆ เครื่องออก 10.45 แต่Gateเปิด10.15 เรามีเวลา่เหลือไม่มาก จึงวิ่งกันเลย กลัวตกเครื่อง

ระหว่างทางไป Gate เจอร้านขายของฝาก แวะกันหยิบพวกขนมอะไรคนละ3-4กล่อง (ยังจะคิดเรื่องของฝาก = =)

แล้วก็ไปที่Gateเลย ขึ้นไปเครื่องโล่งมาก เพราะคนที่จองไฟล์ทนั้นจริงๆ ไม่สามารถเข้ามาสนามบินได้ ข้างนอกรถติดแน่น

พอเครื่องขึ้นเราก็เลยขยับขยาย นอนกันเลยคนละแถว ง่วงมากกกกกกกก

อาหารบนเครื่อง เป็นมื้อแรกที่กินอิ่ม ตั้งแต่เที่ยงของวันที่11 ยังไม่ค่อยจะได้กินอะไรเป็นเรื่องเป็นราว

กินเสร็จก็หลับค่ะ นอนกันคนละแถว หลับสนิททุกคน

จังหวะที่เครื่องลงแตะแผ่นดินไทย เป็นอะไรที่บอกไม่ถูกมาก มันดีใจอะ แบบโล่งงงง ได้กลับบ้านแล้ว

ยิ่งเจอหน้าครอบครัว รู้สึกเลยว่าแบบ เค้าดีใจแค่ไหนที่เรากลับมาอย่างปลอดภัย


ก็อยากจะขอบคุณพี่ๆกลุ่ม Suzukiมาก ที่คอยช่วยเหลือพวกเรา ไม่ว่าจะอาหาร น้ำ ของกิน รวมไปถึงการช่วยแปลภาษา

ตั้งแต่กลับมายังไม่มีโอกาสขอบคุณเป็นทางการเลยสักครั้ง ถ้าใครรู้จักก็ฝากส่งกระทู้นี้เข้าไปให้พี่ๆเค้าได้อ่านด้วยนะค่ะ


สุดท้าย ขอบคุณอะไรก็ตาม ที่ทำให้เราได้กลับมาเมืองไทย ได้รอด ได้เจอความโชคดีหลายๆอย่างในความโชคร้าย และในที่สุด เราก็เดินกลับมาถึงไทยอย่างปลอดภัย


Create Date : 11 มีนาคม 2555
Last Update : 11 มีนาคม 2555 11:13:08 น. 4 comments
Counter : 707 Pageviews.

 
แล้วคนที่เหลือ หละคะ ที่เค้าอยู่เที่ยวต่อ เที่ยวหนุกมั้ย

พอดี สามีพี่ก็ อยู่ที่โตเกียว ช่วงแผ่นดินไหวครั้งใหญ่นั้นเหมือนกัน ขึ้นเครื่องที่นาริตะไม่ได้ ต้องไปขึ้นที่ฮาเนดะ เพราะว่า รถติดมากๆๆๆ แท๊กซี่ ไม่ขยับ ค่าแท๊กซี่แพงมาก โทรไปกี่ครั้ง ก็รถติดอยู่ในแท๊กซี่

นึกถึงวันนั้นของปีที่แล้วแล้ว โอ๊วววว น่ากลัวคะ...
ขอแสดงความเสียใจกับผู้สูญเสีย ชาวญี่ปุ่นด้วยคะ
แล้วก็ ดีใจ กับคนที่รอดชีวิต และเดินทางกลับไทย อย่างปลอดภัย


โดย: NongPenquin วันที่: 12 มีนาคม 2555 เวลา:15:25:01 น.  

 
โชคดีที่ได้กลับไทยโดยปลอดภัยนะคะ คนไทยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน น่ารักมากค่ะ
ราตรีสวัสดิ์ค่า


โดย: หิมะสีนํ้าเงิน วันที่: 14 มีนาคม 2555 เวลา:1:15:31 น.  

 
ร่วมไว้อาลัยด้วยค่ะ
บางอย่างมันก็รุนแรงจนบางทีเราไม่ได้คาดคิดเลยเนอะคะ

อ่า เพลงบ้านนี้เพราะ ชอบๆ

สวัสดีตอนเย็นๆนะคะ


โดย: NWzephyr วันที่: 16 มีนาคม 2555 เวลา:17:46:38 น.  

 


สวัสดีวันอาทิตย์ค่ะ :))
โชคดีกับการสอบนะคะ ฝันดีค่า


โดย: หิมะสีนํ้าเงิน วันที่: 18 มีนาคม 2555 เวลา:16:14:45 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 

*SantaRedHat*
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add *SantaRedHat*'s blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com