sansook
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]




คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
โค้ดนี้เป็นภาพพื้นหลังนำไปวางที่ช่อง Script Area ค่ะ https://youtu.be/K2vg5yDgVX4
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2552
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
10 สิงหาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add sansook's blog to your web]
Links
 

 
ตอนที่ 3 ปะทะคารม





ภรัณยา นำถาดกลับไปวางไว้ที่โต๊ะแล้วค่อยๆโผล่หน้าออกมาจากประตู หญิงสาวหันไปยิ้มหวานหยดย้อยให้กับผู้เป็นยายที่กำลังเดินขึ้นบันไดมา “วันนี้แกไม่ไปไหนเหรอ?” ยายทิพย์ถามขึ้นเมื่อเดินมานั่งลงบนเก้าอี้หวายตัวเก่าที่วางอยู่ข้างบันใด

“ไม่ไปหรอกจ๊ะ” ภรัณยามองดูสภาพอารมณ์ของผู้เป็นยายพอเห็นว่าปลอดภัยเธอจึงค่อยๆเดินออกไปที่ระเบียง แล้วหันไปหยิบกระบอกฉีดน้ำขึ้นมาฉีดละอองน้ำไปที่ต้นกล้วยไม้

“ฝนมันจะตกจนหลังคาทะลุก็วันนี้ที่หลานสาวของฉันมันอยู่ติดบ้าน” ยายทิพย์หัวเราะเสียงร่าเริงจนคนฟังอมยิ้มบางๆตามเสียงหัวเราะของยาย
“ยายไม่ชอบเหรอที่หนูอยู่บ้านน่ะ”

“ถ้าแกอยู่อย่างสงบๆฉันก็ชอบอยู่หรอก” ยายทิพย์รีบดักทางไว้ก่อน

“รันวันนี้ไม่มีงานเหรอลูก” ปราณีถามดังมาจากในบ้าน

“เปล่าจ๊ะแม่รันเบื่อๆเลยอยากหยุดอยู่บ้านซักวัน” ภรัณยาหันไปบอก

“ถ้าไม่ไปไหนวันนี้ไปโรงเรียนกับแม่หน่อยสิ วันนี้แม่จะให้พวกเด็กๆวาดรูปที่กำแพงโรงเรียน ไปช่วยสอนวิธีผสมสีให้กับเด็กนักเรียนของแม่หน่อยสิ” ปราณีเดินถือกระเป๋าออกมาแล้วหันไปชวน

“ได้สิแม่แต่ขอไปสายๆก็แล้วกัน แล้วแม่จะออกไปไหนเหรอ?”

“จะไปโรงเรียนน่ะสิถามได้ รันว่างช่วงไหนก็ไปนะลูกแม่ไปล่ะ”

“มันยังเช้าอยู่เลย แม่จะรีบไปทำไมบ้านเรากับโรงเรียนก็อยู่ห่างไปไม่ถึงห้าร้อยเมตรด้วยซ้ำ โรงเรียนเขามีภารโรงเป็นคนเปิดประตูแม่ ไม่ต้องไปแย่งอาชีพลุงทดแกหรอกเดี๋ยวแกตกงานขึ้นมาบาปกรรมนะแม่”

“วันนี้ที่โรงเรียนมีงานรันก็อย่าลืมแวะไปที่โรงเรียนล่ะ แม่ฉันไปก่อนนะ” ปราณีบอกยิ้มๆแล้วจึงเดินลงจากบ้านไป

“วันนี้แม่เอามอไซด์ไปนะรันจะเอาจักรยานไว้ใช้” ภรัณยาบอกในขณะที่มือยังคงฉีดน้ำในกระบอกลงไปบนต้นกล้วยไม้

“รันไม่เอามอมอเตอร์ไซด์ไว้ล่ะลูกมันสะดวกกว่าจักรยานเป็นไหนๆ” ปราณีบอก

“ไม่เอาหรอกรันรำคาญเสียงมัน ปั่นจักรยานดีกว่าได้ออกกำลังกายแถมยังช่วยลดโลกร้อนอีกต่างหาก” ภรัณยาบอกยิ้มๆ

“เออเจ้านิลูกแกนี่มันผ่าเหล่าผ่ากอซะฉันเริ่มจะคิดแล้วนะว่าแกไปเก็บมันมาจากป่าไหนอะไรก็ลดโลกร้อน ดูรอบบ้านสิจะเป็นป่าดงดิบอยู่แล้ว” ยายทิพย์พูดพลางโบ้ยปากชี้ไปยังต้นไม้ที่อยู่รอบๆบ้าน

“โธ่ยายเขารณรงค์กันปาวๆว่าให้ช่วยกันปลูกต้นไม้ลดโลกร้อน เวลาดูทีวียายก็หยุดดูโฆษณาที่เขาพูดเกี่ยวกับการรักษ์โลกซะบ้างสิ ไม่ใช่มัวแต่กดช่องนั้นช่องนี้ดูแต่ละครน้ำเน่า ที่รันปลูกนี่ก็เพราะช่วยโลกนะเนี่ย”

“ไอ้ปลูกลดโลกร้อนแกก็ปลูกได้แต่ปลูกให้มันพอดีๆหน่อยได้ไหมฮึไอ้รัน แกดูสิต้นอะไรต่อมิอะไรของแกมันจะแทรกเข้ามาในบ้านอยู่แล้ว แหมมีที่เท่าแมวดิ้นตายปลุกต้นไม้ยังกับสวนสาธารณะ” ยายทิพย์ชี้ไม้ชี้มือไปยังต้นนั้นทีต้นนี้ทีอย่างมีอารมณ์

“ฮ่าๆยายก็พูดไปไอ้ที่รันปลูกๆน่ะมีแต่ไม้ผลกินได้ทั้งนั้น ใครกันนะที่ชอบเอาผลไม้ของรันไปเที่ยวแจกเพื่อนบ้านจนเขารักไปทั้งซอย ถึงที่เราจะไม่เยอะแต่มันก็ยังมีที่ดินพอที่จะปลูกผักทำสวนอยู่อย่างพอเพียงแหละยาย สมัยนี้พืชผักที่เรากินมันก็มีแต่สารพิษเราปลูกกินเองทั้งประหยัดทั้งปลอดภัย เหลือกินก็แจกเพื่อนบ้านแบ่งปันกันไป ได้ทั้งบุญได้ทั้งมิตรภาพ” ภรัณยาให้เหตุผล

“เถียงกันจังยายหลานคู่นี้ อยู่กันสองคนก็อย่าวางมวยกันล่ะแม่ฉันไปก่อนนะ” ปราณีส่ายหัวไปมาแล้วเดินจูงมอเตอร์ไซด์ออกไป

“แม่ๆรับเจ้าปืนมันไปด้วยนะ วันนี้ไม่ต้องให้มันปั่นจักรยานไปหรอก เดี๋ยวรันตะโกรบอกมันให้” ภรัณยาตะโกนบอกแม่แล้วชะโงกหน้าไปยังบ้านข้างๆ “ปืน ปืน ไอ้ปืน” ยายทิพย์ยกมือขึ้นปิดหูทั้งสองข้างเมื่อเสียงหวานหยดย้อยของหลานสาวตัวดีกำลังดังโหวกเหวกจนลั่นซอย

“พี่รันมีอะไร” ปืนเด็กชายวัยเก้าขวบวิ่งหน้าตื่นออกมาที่ระเบียง

“เอ็งกินข้าวเสร็จยัง” ภรัณยาถาม

“เสร็จแล้วพี่รันมีอะไร?”

“วันนี้ไปโรงเรียนกับป้านินะไม่ต้องเอาจักรยานไปหรอก”

“ครับพี่เดี๋ยวปืนไปบอกแม่ก่อน” ปืนพยักหน้ารับรู้แล้ววิ่งผลุบเข้าไปในบ้าน

“เฮ้อ! นิเอ๊ยแกเอาลูกแกไปประกาศหาคู่ซะไป ฉันชักจะทนเสียงโหวกเหวกมันไม่ไหวแล้วล่ะ ใครจะเอามันไปก็เอาไปเถอะบอกตรงๆได้ยินเสียงมันแล้วหัวใจแม่จะวายวันละสามเวลา” ยายทิพย์ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวายแล้วบ่นเดินหายเข้าไปในบ้าน

“ทำเป็นบ่นนะยาย เวลารันไม่อยู่ใครกันนะที่ชอบมานั่งแอบร้องไห้แล้วบ่นว่าคิดถึง” ภรัณยาหัวเราะเสียงระรื่นเมื่อเห็นยายหันมายกมะเหงกให้หนึ่งโป๊กแล้วสะบัดก้นเดินเข้าห้องไป

***********************

เกือบสิบโมงเช้ามีรถยนต์คันหนึ่งขับมาหยุดนิ่งอยู่หน้าบ้าน พอได้ยินเสียงรถภรัณยาจึงเดินออกมาดู หญิงสาวยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นว่าคนที่กำลังเดินลงมาจากรถเป็นใคร

“สวัสดีค่ะพี่ดิสขึ้นมาบนบ้านก่อนสิ” หญิงสาวชวนแล้วเดินมายืนรอรับที่บันได

“รันจะไปไหนเหรอ?” ดิสรณ์ถามขึ้นเมื่อเห็นที่ไหล่ของหญิงสาวมีกระเป๋าผ้าใบใหญ่คล้องอยู่

“รันจะไปสอนเด็กๆวาดรูปที่โรงเรียนค่ะ พี่ดิสจะไปไหนเหรอคะ”

“พี่ตั้งใจมาหารันนั่นแหละ ป้านิอยู่โรงเรียนใช่ไหม?”

“ค่ะพี่ดิสมีอะไรกับแม่เหรอคะ”

“พี่อยากจะมาคุยกับท่านเกี่ยวกับเรื่องของเราจ๊ะ” ดิสรณ์ยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อนึกถึงวันที่จะได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับหญิงคนรัก

“อ้าวพ่อดิสไปไงมาไงล่ะลูก” ยายทิพย์เดินยิ้มออกมา

“สวัสดีครับคุณยายผมมาหารันครับ คุณยายสบายดีไหมครับ” ดิสรณ์ยกมือขึ้นไหว้ผู้สูงวัยอย่างนอบน้อม “ผมมีของมาฝากคุณยายด้วยนะครับ” ดิสรณ์เดินเข้าไปหาผู้สูงวัยแล้วยื่นถุงของฝากไปให้ ก่อนจะทรุดลงนั่งที่พื้น

“จะซื้อมาทำไมให้มันเปลืองล่ะพ่อดิส วันหลังไม่ต้องซื้อมานะลูกแล้วกินอะไรมาหรือยัง รันไปหาน้ำหาท่ามาให้พี่เขาสิ” ยายทิพย์ทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ไม้แล้วหันไปบอกชายหนุ่มน้ำเสียงเกรงใจ

“ของเล็กน้อยเองครับ” ดิสรณ์บอกยิ้มๆ

“แล้วจะพาไอ้รันมันไหนล่ะ” ยายทิพย์วางถุงของฝากไว้ที่โต๊ะเล็กๆที่อยู่ข้างเก้าอี้แล้วหันไปถาม

“ก็ว่าจะชวนน้องรันไปหาชื้อของแล้วดูหนังซักรอบน่ะครับ แต่ท่าทางผมจะมาช้าไปเพราะน้องรันต้องไปสอนเด็กที่โรงเรียน ไหนๆผมก็มาแล้ววันนี้ถ้าน้องรันไม่ว่างผมชวนคุณยายไปเที่ยวดีกว่าจะได้ไม่เสียเที่ยว อนุญาตไหมรัน” ดิสรณ์หันไปถามภรัณยาที่เดินถือแก้วน้ำมาแล้วยื่นให้

“ถามยายดูสิว่าจะมาชิงรักหักสวาทกับรันหรือเปล่า” ภรัณยาโบ้ยปากไปหายายแล้วทรุดนั่งลงข้างๆคนรัก

“พ่อดิสถ้าจะมาขอไอ้รันนะยายจะแถมบ้านหลังนี้ให้เลยเอ๊า เอาไปแล้วเอาไปเลยนะลูกยายไม่รับคืนเผลอๆยายยกมันให้ฟรีๆแบบไม่ต้องเสียตังค์ซักบาทถ้าสงสารยายก็รีบๆมาขอมันไปหน่อยเถอะ” ยายทิพย์พูดสีหน้าจริงจังจนได้ค้อนจากหลานสาวอันเบ่อเร่อ

“วันนี้ผมตั้งใจมาคุยกับคุณยายแล้วก็ป้านิเรื่องนี้แหละครับ เอาไว้ตอนเย็นถ้าป้านิกลับมาผมค่อยมาคุยอีกทีดีกว่าครับ”

“จริงเหรอลูกโอย...ยายท่าจะนอนตายตาหลับแล้วล่ะ” ยายทิพย์ถามด้วยน้ำเสียงร่าเริง

“จริงสิครับตอนนี้ผมซื้อที่แล้วก็ปลูกเรือนหอรอน้องรันแล้วล่ะครับ แต่งงานแล้วผมคงพายายป้านิแล้วก็รันย้ายไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่กันหมด” ดิสรณ์บอกไปยิ้มไป

“ยายไม่ไปหรอกพ่อดิส ยายอยู่บ้านนี้จนชินแล้วยายคงไม่ไปไหนหรอก พาแต่ไอ้ลิงทโมนนี่ไปเถอะยายจะได้อยู่อย่างสงบตามประสาคนแก่ซะที”

“ไม่ได้หรอกครับถ้าไปก็ต้องไปกันหมดนี่แหละ ใช่ไหมรัน” ดิสรณ์หันไปขอความคิดเห็นจากแฟนสาว

“ถูกต้อง ใครจะปล่อยให้ยายอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้คนเดียวล่ะ สมัยนี้ขโมยก็เยอะโจรก็มากขืนปล่อยสาวโสดไว้ตามลำพังโจรได้ขึ้นบ้านวันละสามเวลาแน่ๆ ทนๆอยู่กับรันไปเถอะยายดีกว่าได้เพื่อนเป็นโจรตั้งเยอะ”

“พี่ดิสมีอะไรอีกหรือเปล่าล่ะ ถ้าไม่มีรันจะได้ไปโรงเรียน” ภรัณยาหันไปถาม

“รันไปเถอะเดี๋ยวพี่อยู่คุยกับคุณยายท่านอีกซักแปบ ตอนเย็นค่อยเจอกันก็ได้ แล้วรันจะไปยังไงให้พี่ไปส่งไหม?”

“เอาจักรยานไปค่ะพี่ดิสอยู่คุยเป็นเพื่อนยายเถอะ โรงเรียนอยู่แค่นี้เอง” ภรัณยาลุกขึ้นหยิบกระเป๋าขึ้นบาดบ่าแล้ววิ่งลงจากบ้าน

“พ่อดิสคิดผิดคิดใหม่ได้นะลูก ยายบอกคำเดียวว่าเอาไปแล้วห้ามคืน” ยายทิพย์มองตามร่างเพรียวบางของหลานสาวแล้ววกกลับมาชี้ทางสว่างให้กับว่าที่หลานเขย

“รับรองว่าไม่คืนครับคุณยาย”

“ขอให้จริงเถอะพ่อยายกลัวว่าเอาไปไม่ถึงวันจะรีบแจ้นเอามันกลับมาคืนน่ะสิ ไอ้รันมันกระโดกกระเดกกิริยาท่าทางก็แทบไม่มีความเป็นกุลสตรีการแต่งตัวยิ่งแล้วใหญ่ยายเห็นแล้วขัดใจจริงๆ ตั้งแต่เล็กจนโตยายเห็นมันใส่แต่กระโปรงนักเรียนมันเป็นเสียแบบนี้จะเชิดหน้าชูตาพ่อดิสได้ยังไง” ยายทิพย์บอกอย่างกังวล

“ผมไม่ได้ถือสาหรอกครับคุณยาย ผมอยู่กับรันด้วยความเข้าใจ สังคมภายนอกมันก็แค่หน้ากากผมไม่แคร์หรอกครับ อีกอย่างรันเขาเป็นศิลปินความคิดและการดำเนินชีวิตของเขามันจะต้องอยู่กับความเป็นอิสระ ผมเข้าใจดีครับ ปล่อยให้เธอใช้ชิวิตที่เธอต้องการและมีความสุขผมก็สุขใจแล้วล่ะครับ” ดิสรณ์พูดไปตามความรู้สึก

“ไม่เสียแรงนะที่มันชอบทำบุญในที่สุดผลบุญก็ส่งผลให้มันได้เจอสิ่งที่ดีๆ และคนดีๆอย่างพ่อดิส ยายดีใจจริงๆนะพ่อดิสที่ไอ้รันมันมีคนรักแบบพ่อดิส ยังไงยายก็ขอฝากไอ้หลานที่ไม่ได้เรื่องของยายไว้กับพ่อดิสด้วยก็แล้วกัน” ยายทิพย์ยิ้มปลื้มอกปลื้มใจให้กับความคิดของหลานเขยในอนาคต

“ผมสัญญาครับยายว่าผมจะดูแลรันอย่างดี และผมก็จะดูแลคนที่รันรักให้ดีที่สุดด้วยครับ ถ้าวันไหนผมกับรันแต่งงานกันคุณยายก็ต้องไปอยู่กับผมนะครับผมจะได้ดูแลยายด้วย” ดิสรณ์ขอร้องเสียงอ้อนจนได้ใจคนแก่ไปอีกโข
ยายทิพย์นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับคำพูดของว่าที่หลานเขย หญิงชราพยักหน้าน้อยๆเมื่อเห็นคนที่พอจะฝากผีฝากไข้ในยามยาก ดิสรณ์เป็นผู้ชายคนเดียวที่ภรัณยาพาเข้าบ้าน และตลอดสี่ปีมานี้ชายหนุ่มก็ยังคงรักษาขอบเขตของการคบหาให้อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่อยู่เสมอ ถึงแม้ว่าทางบ้านจะไม่เคยรับรู้ถึงพื้นฐานทางครอบครัวของชายหนุ่มมากนัก แต่เท่าที่เห็นดิสรณ์ก็ไม่ใช่คนที่ไม่น่าไว้วางใจแต่อย่างใด

**************************

จิราภาสาวน้อยวัยยี่สิบต้นๆ นั่งอยู่บนรถเข็นแล้วจ้องไปที่ภาพเขียนตรงหน้า ใบหน้าสวยหวานดูเบิกบานไม่น้อยเมื่อเห็นภาพทุ่งข้าวบาร์เล่ย์สีทองสดใสถูกวาดลงไปบนผืนผ้าโชว์หราอยู่ในกรอบไม้สวยหรู ความงามของท้องทุ่งสีทองไม่ได้โดนใจอะไรเธอมากมาย แต่ภาพของใครคนหนึ่งที่กำลังยืนทอดมองไปยังท้องทุ่งในภาพนั่นต่างหากที่ตรึงใจเธอให้โหยหาและปรารถนาอยากจะเป็นเจ้าของ ความเหงาของเงาใครคนหนึ่งที่อยู่ในภาพช่างเหมือนเธอ เหมือนจนเธอเข้าใจความรู้สึกของคนที่กำลังยืนเศร้าอยู่ในทุ่งกว้าง “พี่ภูจิ๊บ อยากได้ภาพนี้ค่ะ” หญิงสาวหันไปบอกพี่ชายแล้วชี้มือบอก

ภูนเรศเดินมายืนซ้อนหลังของน้องสาวแล้วจ้องไปที่ภาพเขียนสีน้ำมันตรงหน้า ใบหน้าคมสันหรี่มองไล่ไปตามเฉดสีแล้วยืนนิ่งชั่วครู่ “ราคามันแพงไปหรือเปล่าจิ๊บ ทุ่งข้าวบาร์เล่ย์เราก็มีเป็นพันๆไร่ของจริงทั้งนั้นจิ๊บจะเอาของปลอมไปดูทำไม” ภูนเรศเหลือบไปดูราคาแล้วทำท่าจะปฏิเสธ

“จิ๊บชอบนี่คะแค่หมื่นห้าเอง พี่ภูก็รู้ว่าจิ๊บชอบภาพวาด จิ๊บฝันที่จะเป็นจิตรกรถ้า....” หญิงสาวก้มหน้าลงมองขาตัวเองแล้วทำท่าจะปล่อยโฮออกมา

“อย่าร้องนะคนดีพี่สัญญาว่าจะทำทุกอย่างให้จิ๊บกลับมาเดินได้อีกครั้ง” ภูนเรศทรุดลงนั่งข้างๆรถเข็นแล้วยกมือขึ้นลูบเรือนผมของน้องสาวอย่างรักใคร่

“พี่ภูจิ๊บอยากกลับบ้านที่เชียงรายแล้ว จิ๊บไม่อยากอยู่กรุงเทพฯ เรากลับบ้านกันเถอะนะคะ” จิราภาหันไปบอกพี่ชายต่างมารดาแล้วเขย่าแขนขอร้อง

“รอให้พี่จัดการเรื่องงานที่บริษัทเสร็จก่อนได้ไหม ตอนนี้ทุกอย่างกำลังแย่แต่ถ้าจิ๊บอยากกลับจริงๆพี่จะให้หิรัญพาไปส่ง”

“จิ๊บกลับไปกับป้าโฉมก็ได้ค่ะพี่ภูให้พี่หิรัญอยู่ช่วยงานเถอะ อีกอย่างพี่สาลี่กับพี่นกยูงก็อยู่ด้วยคงไม่เป็นไรหรอก พี่ภูซื้อภาพนี้ให้จิ๊บได้ไหมคะจิ๊บอยากได้ค่ะ” จิราภาเขย่าแขนพี่ชายไปมา

“พี่ว่ามันแพงไปภาพอะไรก็ไม่รู้ไม่เห็นมันจะสวยตรงไหนเลย” คนที่ไม่รู้จักความงามของภาพศิลปะพูดน้ำเสียงห้วนจนคนที่สายตาเข้าถึงความงามของภาพอดเคืองไม่ได้

“พี่ภูก็ลองใช้ใจของพี่จ้องภาพนี้ดูใหม่สิคะ แล้วบอกจิ๊บมาว่าพี่รู้สึกยังไง” จิราภาหันไปมองหน้าพี่ชายแล้วพยักพเยิดให้กลับไปดูภาพอีกครั้ง

“จะใช้กี่ใจดูมันก็เป็นแค่ภาพสีน้ำมันนั่นแหละ จิ๊บลองยื่นหน้าไปดูใกล้ๆสิการลงสีทั้งหยาบทั้งมั่วดูยังไงสุนทรีก็ไม่บังเกิด ตั้งราคาก็แพงหูฉีกขนาดนั้นสงสัยกะจะฟันไม่เลี้ยงน่ะสิ”

“พี่ภูถ้าไม่เข้าใจก็อย่ามาทำลายความงามของภาพด้วยความไม่รู้เลยค่ะ ถ้าพี่ลำบากใจที่จะซื้อก็หักเงินค่าขนมเดือนนี้ของจิ๊บเอาก็แล้วกันจิ๊บจะเอาภาพนี้แหละ” จิราภายังยืนกรานจะเอาให้ได้

“เรานี่ทำไมถึงดื้อแบบนี้นะ เอาล่ะถ้าอยากได้เดี๋ยวพี่ซื้อให้ก็ได้แต่ภาพเกรดนี้จะมาตีราคาสูงลิบลิ่วขนาดนี้พี่ก็ไม่โอเคเท่าไหร่ เดี๋ยวพี่ลองไปถามเจ้าของห้องภาพดูก็แล้วกันว่าจะลดให้ได้อีกหรือเปล่า ภาพกระจอกๆแบบนี้ราคาห้าพันพี่ว่ามันก็น่าจะเพียงพอแล้ว พูดจบชายหนุ่มก็ผละออกไป
ไม่นานชายหนุ่มก็เดินกลับมาที่ภาพพร้อมๆกับชายกลางคนหน้าตาใจดี “ขอโทษนะครับพอดีน้องสาวของผมชอบภาพนี้แต่ผมมองว่าราคาที่ตั้งไว้มันสูงไปนิด ทางร้านพอที่จะลดราคาลงให้อีกซักหน่อยได้ไหมครับ”

“ต้องขอประทานโทษนะครับพอดีภาพนี้เป็นของเพื่อนลูกชายผมฝากขายไว้ ทางร้านคงลดราคาโดยพละการไม่ได้” ชายเจ้าของร้านบอกน้ำเสียงขอลุแก่โทษ

“ผมถามจริงๆเถอะคนที่เขียนภาพนี้เป็นคนมีชื่อเสียงหรือเปล่าดูจากราคาผมว่ามันตั้งไว้เกินจริงไปหน่อยนะครับ” ภูนเรศหันไปมองภาพเขียนแล้วครุ่นคิด

“ชื่อเสียงของเธอก็ถือว่าได้รับการยอมรับจากกลุ่มนักเล่นภาพในขณะนี้ ภาพที่เธอเขียนส่วนใหญ่จะขายได้ในราคาที่ค่อนข้างแพงแต่ก็สมกับคุณภาพของผลงานที่ออกมา อย่างภาพนี้ถือว่าถูกมากเลยนะครับสำหรับฝีมือระดับเธอ”

“เป็นผู้หญิงเหรอ?” ภูนเรศถามขึ้นเบาๆ

พอรู้ว่าจิตกรที่วาดเป็นผู้หญิง จิราภาที่อยากได้เป็นทุนอยู่แล้วก็ถึงกับอยากได้เพิ่มขึ้นไปอีก “ไม่ต้องต่อหรอกค่ะพี่ภูเท่าไหร่จิ๊บก็จะซื้อ”

“ภาพก็งั้นๆ จะอยากได้ทำไมนักหนา คนวาดเป็นผู้หญิงงานออกมาไม่ดียังกล้าจะตั้งราคาซะสูงลิบลิ่ว แบบนี้เอาเปรียบคนซื้อไปหรือเปล่า” ภูนเรศที่มีอคติกับผู้หญิงเริ่มกดขี่และต่อต้าน

“ถ้าคุณไม่พอใจคุณก็ไม่ต้องซื้อ งานของฉันไม่ได้มีไว้เพื่อยัดเยียดให้ใคร” ภรัณยาเอ่ยขึ้นมาในที่สุด ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดทำลายคุณค่าของภาพที่เธอวาดไปมากกว่านี้

“อ้าวหนูรันมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” ชายกลางคนหันไปทางต้นเสียงแล้วยิ้มทักทาย

“สวัสดีค่ะคุณอารันมาได้ซักพักแล้วล่ะค่ะ นานพอที่จะได้ยินคำสรรเสริญจากใครบางคน” หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้พ่อของเพื่อนแล้วปรายตาไปมองผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ตรงหน้าด้วยแววตาที่แสดงความไม่พอใจสุดๆ

“ทำไมติสแตกเหรอพวกศิลปินก็แบบนี้แหละยอมรับคำตำหนิจากคนอื่นไม่ได้” ภูนเรศจ้องไปที่รูปร่างเพรียวระหงของหญิงสาวตรงหน้าแล้วประเมินอีกฝ่ายด้วยสายตา ถึงจะรู้สึกตะลึงเล็กน้อยที่เห็นใบหน้าของเจ้าของงานเขียนสวยหวานจนหยุดความขุ่นเคืองใจ ภูนเรศปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าผู้หญิงเบื้องหน้านั้นงดงามดังภาพเขียนความสวยหวานที่ฉายออกมาสามารถตรึงใจคนที่พบเห็นได้ง่ายๆ ผิวพรรณก็ดูเรียบเนียนจนผุดผ่อง สายตามคมไล่ไปตามเรือนร่างบอบบางตรงหน้าแล้วเหยียดริมฝีปากนิดๆเมื่อเห็นชุดที่หญิงสาวสวมใส่เป็นเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนสีซีดตัวเก่าๆที่ดูยังไงก็ขัดหูขัดตากับบุคลิกของเธอ ดวงตาสีดำที่ทอดมองถึงจะมีแววไม่พอใจแต่ในดวงตาคู่นั้นกลับทอประกายความงดงามจนน่าหลงใหล

ภรัณยาเริ่มร้อนๆหนาวๆเมื่อเห็นสายตาปรามาสของอีกฝ่ายชัดเจนจนไม่ต้องเดาให้ยุ่งยาก ผู้ชายอะไรหน้าตาก็ดีท่าทางก็ดูดีมีฐานะทำไมถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้องประเมินซะโจ่งแจ้ง ภรัณยาก็จ้องหน้ากลับไม่ยอมถอย บรรยากาศที่ว่าอึมครึมยิ่งมืดครึ้มเมื่อทั้งสองฝ่ายไม่มีใครยอมลงให้ใคร

“สวัสดีค่ะคุณเป็นคนเขียนภาพนี้เหรอคะ” จิราภาที่เห็นว่าสถานการณ์เริ่มย่ำแย่เอ่ยออกมาเบาๆเพื่อช่วยผ่อนคลายความหมางใจของคนทั้งคู่

“ค่ะ” ภรัณยาหันไปตอบน้ำเสียงราบเรียบเหมือนไม่ได้ใส่ใจกับคำถามนัก

“ไปกลับไม่ต้องซื้อมันหรอกภาพห่วยๆแบบนี้” ภูนเรศที่รู้สึกขัดเคืองกับท่าทางถือดีของหญิงสาวตรงหน้าพูดขึ้นมาชัดๆจนไปจุดประกายความเดือดของอีกคน

“คนที่จิตใจดำมืดจนมองหาความงามของงานศิลปะไม่เจอแบบคุณชาตินี้จะเห็นความงามของอะไรได้อีก ฉันไม่ได้กราบอ้อนวอนให้คุณซื้องานชิ้นนี้ของฉัน ถึงมันจะห่วยในสายตาคุณฉันก็ไม่เดือดร้อนหรอกค่ะ เพราะฉันเข้าใจดีว่าในโลกใบนี้มันมีคนตั้งหลายประเภท และฉันก็ไม่ใส่ใจเลยซักนิดกับคนประเภทคุณ” ภรัณยาปรายตาเหยียดหยามอีกฝ่ายแล้วเชิดหน้านิดๆ
พอได้ยินอีกฝ่ายตอกกลับได้เจ็บจิ๊ด ภูนเรศก็ถึงกับโกรธจนหูดับ “คนประเภทผมมันเป็นแบบไหนพูดมาให้ดีๆนะ”

“ยังจะต้องให้บอกประเภทอีกเหรอคะ ฉันไม่แปลกใจเลยจริงๆที่คุณจะไม่มีสุนทรียภาพทางงานศิลปะแบบนี้ เพราะคนประเภทคุณคงจะดักดานอยู่แต่กับตัวเองจนไม่รู้จักมองความงดงามของอะไร คนแบบคุณมันก็เหมือนคนที่ตายไปแล้วเป็นประเภทพวกซอมบี้ พวกปีศาจ พวกที่หัวใจและความรู้สึกตายด้านจนไม่อาจมองเห็นสิ่งใดนอกจากความต้องการของตัวเอง”

“ถ้าคุณไม่ใช่ผู้หญิงผมสาบานว่าวันนี้คนอย่างคุณคงไม่ได้มายืนด่าผมปาวๆแบบนี้หรอก” ภูรเรศยืนตัวสั่นจนแทบกระโจนเข้าซัดอีกฝ่าย

“คุณอยากจะทำอะไรก็ทำสิ ฉันไม่เน้นหรอกนะว่าใครมันจะเป็นเพศไหน ถ้าคุณคิดว่าคุณมีมือเท้าอยู่คนเดียวก็ลองสอยฉันมาซักหมัดสิ มันก็จะได้รู้กันไปว่าฉันไม่มีมือมีเท้าที่จะปกป้องตัวเอง” ภรัณยาเชิดหน้าท้าทายจนอีกฝ่ายแทบอยู่ไม่สุข





Create Date : 10 สิงหาคม 2552
Last Update : 10 สิงหาคม 2552 9:51:40 น. 2 comments
Counter : 515 Pageviews.

 
ชอบบุคลิกของนางเอกค่ะ ห้าวๆดี


โดย: karaked IP: 68.105.5.210 วันที่: 13 สิงหาคม 2552 เวลา:23:10:50 น.  

 
ฮ่าๆๆๆๆเริ่มสนุกแล้ว กิ้วๆๆขอบคุณมากเลยน่ะค่ะ


โดย: ปาน IP: 77.187.182.248 วันที่: 1 มกราคม 2555 เวลา:3:27:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.