Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
15 ธันวาคม 2551
 
All Blogs
 
นิชิขิ-คาบูกิ อินบางกอก

พัชรินทร์ พลายพูลทรัพย์ รายงาน
ภาพส่วนหนึ่งจาก เจแปนฟาวน์เดชั่น กรุงเทพฯ


*โปสเตอร์ ใบปิดหนังหรือแฮนด์บิลของฝรั่ง มีมานานแล้วในญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคเอโดะ

ภาพพิมพ์นิชิขิ หรือ นิชิขิ-เอะ คือภาพพิมพ์ไม้ซึ่งเป็นภาพฉากหรือตัวละครคาบูกิที่ได้รับความนิยมของชาวญี่ปุ่นเมื่อ 400 ปีที่แล้ว หรือในยุคเอโดะ ชื่อเก่าของเมืองหลวงโตเกียวเมื่อปีพ.ศ.2143-2410 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นจุดเริ่มต้นของยุคญี่ปุ่นสมัยใหม่

     ล่าสุด ภาพพิมพ์นิชิขิจำนวน 40 รูป นำมาจัดแสดงที่มิวเซียมสยาม กระทรวงพาณิชย์เดิม ท่าเตียน โดยความร่วมมือของสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.) และเจแปนฟาวน์เดชั่น กรุงเทพฯ จัดแสดงตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงหกโมงเย็นไปจนถึงวันที่ 20 ธ.ค.นี้นับเป็นภาพศิลปะโบราณที่แม้แต่ในญี่ปุ่นเองยังหาชมยาก

     ในวันเปิดนิทรรศการ 8 ธ.ค.ที่ผ่านมา ผู้จัดยังจัดสาธิตการแสดงละครคาบูกิ อีกหนึ่งศิลปวัฒนธรรม โบราณคู่กับภาพพิมพ์นิชิขิของชาวอาทิตย์อุทัย

จากความงามของภาพพิมพ์ในกรอบเฟรมแบบ 2 มิติ ที่ห้องพิพิธเพลิน 1 แปรเปลี่ยนมาเป็นภาพที่เคลื่อนไหวงดงามราวภาพวาด ที่มาพร้อมความงดงามอลังการของเครื่องแต่งกาย เสียงขับร้องและเสียงเพลงโบราณในห้องเบิกโรง

คาบูกิ มาจากคำสามคำ คือ "คะ" "บุ" และ "กิ" ซึ่งมีความหมายว่า "เพลง" "การร่ายรำ" และ "ความเจนจัดในการแสดง"

บนเวทีละครคาบูกิ ศิลปะสามอย่างดังกล่าวจะอยู่ร่วมกันเสมอจนยากจะแยกสิ่งใดออกจากกัน

     นิชิขิ-เอะ คือภาพพิมพ์ไม้หลากสีแบบญี่ปุ่นที่ได้รับการพัฒนาขึ้นในช่วงค.ศ. 1760 จนมีความสมบูรณ์และเป็นที่นิยมแพร่หลายในสมัยของนายช่างนามว่า "ซูซูกิ ฮารุโนบุ" นับเป็นภาพพิมพ์สีรุ่นแรกๆ ของโลก

เทคนิคการทำภาพพิมพ์ของญี่ปุ่น เริ่มจากภาพพิมพ์ "อูคิโย-เอะ" ซึ่งใช้แม่พิมพ์อันเดียว และสีดำสีเดียว ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าภาพพิมพ์สีนิชิขิประมาณร้อยปี

ภาพพิมพ์นิชิขิ จะเริ่มด้วยการแกะแม่พิมพ์ต้น แบบสำหรับสีแต่ละสีก่อน จากนั้นจึงใช้วิธีการพิมพ์แบบพร้อมสีที่ต้องการจนจบกระบวนการ

     นิทรรศการที่นำมาจัดแสดงในครั้งนี้มุ่งเน้นให้เห็นภาพพิมพ์ที่เรียกกันว่า "ยาคุชะ" ซึ่งเป็นที่นิยมกันมาก ภาษาอังกฤษใช้คำว่า "actor prints" ซึ่งเป็นภาพตัวเอกหรือภาพคู่ในละครคาบูกิ ขณะที่ภาพฉากต่างๆ ในละครคาบูกิ และส่วนประกอบของละครที่มีความเชื่อมโยงกันก็นำมาจัดแสดงไว้ใกล้กับภาพตัวเอกของเรื่อง


*ด้วยเพราะคาบูกิเป็นมหรสพซึ่งเป็นที่ชื่นชอบในหมู่สามัญชน ตัวละครเอกมีชื่อเสียงมาก ขณะที่ราคาภาพก็ไม่แพงนัก ชาวเอโดะจึงเสาะหาภาพพระเอกคาบูกิ หรือ "ยะคะชะ" ที่ตนเองชื่นชอบมาไว้ในครอบครอง

ภาพบางครั้งไม่ได้ทำขึ้นเพื่อขายเป็นที่ระลึกจากเมืองใหญ่อย่างเอโดะเท่านั้น แต่ยังมีการนำภาพดังกล่าวไปติดเป็นภาพโฆษณาตามโรงละครคาบูกิด้วย

     ถ้าเปรียบกับเมืองไทยหรือเมืองฝรั่งเมื่อราว 30-40 ปีก่อน ภาพนิชิขิก็คงเหมือนกับภาพ สมบัติ เมทะนี อรัญญา นามวงศ์ สรพงศ์ ชาตรี จารุณี สุขสวัสดิ์ เจมส์ ดีน นาตาลี วู้ด มาริลีน มอนโร หรือเอลวิส เพรสลีย์ ที่สาวๆ ในยุคนั้นตัดเก็บมาจากนิตยสารบันเทิง หรือ "ใบปิด" หน้าโรง ที่กลายเป็น "ของเก่าเก็บ" ของนักสะสม ก่อนพัฒนามาเป็นแฮนด์บิล แมกเนส จนมาถึงยุคการเสิร์ชหรือโหลดภาพจากเน็ตในปัจจุบัน

ภาพนิชิขิจึงถือว่ามีบทบาทยิ่งในสมัยนั้น และยังช่วยสะท้อนวิถีชีวิตของคนในเมืองใหญ่ อดีตของโตเกียว นักแสดงผู้ได้รับความนิยมจะส่งผลให้ภาพพิมพ์ของตนเองได้รับความนิยมมากไปด้วย จนกลายเป็นของหายาก

     เสน่ห์วัฒนธรรมในซีกโลกตะวันออก ส่วนหนึ่งสะท้อนผ่านการแสดงอันมีเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นโขนไทย งิ้วหรืออุปรากรจีน คาบูกิของญี่ปุ่นก็เช่นกัน ล้วนเป็นศิลปะที่หยั่งรากวัฒนธรรมล้ำลึกซึ่งหาดูได้น้อยมากในซีกโลกตะวันตก

หญิงชื่อ "โอคุนิ" จากศาลเจ้าอิซึโมะ นักแสดงผู้เลื่องชื่อจากเกียวโต ได้รับการกล่าวขานในประวัติศาสตร์ว่าเป็นต้นกำเนิดของละครคาบูกิ เธอรวบรวมศิลปะการแสดงซึ่งเป็นที่นิยมตั้งแต่สมัยกลางเป็นต้นมาเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบอย่างมากของผู้คนในสมัยที่ประเทศญี่ปุ่นเริ่มมีสันติภาพ เป็นการแสดงที่คล้ายการ "รีวิว" เพราะมีการร่ายรำเป็นส่วนใหญ่

     ในสมัยเดียวกัน ในราชสำนักมีการแสดงที่เรียกว่า "กะงักขุ" ขณะที่ในแวดวงนักรบมีละคร "โนห์" คาบุกิจึงเกิดขึ้นในฐานะศิลปะการแสดงของสามัญชน สะท้อนภาพชีวิตจิตใจของชาวบ้านธรรมดาๆ ในยุคที่ญี่ปุ่นปกครองด้วยเจ้าขุนมูลนาย

ในปีค.ศ.1629 รัฐบาลห้ามสตรีแสดงเพราะมีการแสดงที่ส่อไปในทางยั่วยวนทางเพศ ละครคาบูกิจึงต้องใช้นักแสดงชายเท่านั้น นักแสดงชายที่รับบทผู้หญิงในละครคาบูกิเรียกว่า "อนนะงาตะ" อย่างไรก็ตามการร่ายรำในละครคาบูกิยังคงใช้นักแสดงผู้หญิงได้


*ก่อนหกโมงเย็นเล็กน้อย ผู้ชมหลากวัยทั้งชาวไทย ญี่ปุ่น และฝรั่ง ทยอยมาถึงตึกเก่าสวยงามของมิวเซียมสยาม

     หลังพิธีเปิดต่างทยอยเข้าชมภาพพิมพ์ในนิทรรศ การ ตัวละครในภาพวาดมีทั้งความสวยงามและดูน่ากลัว ล้วนเป็นศิลปะภาพวาดเสมือนจริงที่ทุกคนสนใจเวียนชมคนละหลายรอบ ก่อนไปรวมตัวกันที่ห้องเบิกโรงเพื่อชมภาพจริงเสมือนวาด

กลางห้องมืด ชุดกิโมโนสีแดงสะดุดตาตั้งตระหง่านอยู่กลางเวทีเมื่อต้องไฟ รวมถึงวิกทรงผมสาวญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 17-18 ที่นำเส้นผมจริงมาใส่ลงในโครงโลหะทีละเส้น

เสียงกรับดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มการแสดง ตัวละครโดย บันโดะ โคโตจิ ออกมาร่ายรำในระบำซัมบาโซ คนที่ยังไม่เคยดูละครคาบูกิ แถมยังนั่งอยู่หน้าม่านทางออกของตัวละครถึงกับผงะ ด้วยหน้าตาตัวละครที่ดูขึงขัง บวกกับเสียงดนตรีและท่าเต้นในจังหวะดุดัน

ระบำซัมบาโซ เป็นศิลปะการร่ายรำคาบูกิผสมกับศิลปะการแสดงดั้งเดิมของคนพื้นเมืองก่อนเกิดละครคาบูกิและละครโนห์ แม้การร่ายรำจะดูขึงขัง แต่แท้จริงแล้วคือการอวยพรให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ เกิดความสงบสุข ในช่วงท้ายผู้แสดงยังสะบัดกริ่งดังกรุ๊งกริ๊งมายังผู้ชมคล้ายพระพรมน้ำมนต์ซึ่งสื่อความหมายถึงการให้พรเช่นเดียวกัน

จากนั้น โยชิกิ ทาคาฮาชิ เจ้าหน้าที่จากศูนย์วัฒนธรรมแห่งชาติญี่ปุ่น ในชุดกิโมโนสีหวาน ออกมาเล่าขานความเป็นมาของภาพพิมพ์นิชิขิและละครคาบูกิ เธอเล่าว่าในประเทศญี่ปุ่นมีโรงละครแห่งชาติถึง 5 แห่งทั่วประเทศที่จัดแสดงคาบูกิ โนห์ และกะงักขุ นอกจากจะช่วยสืบสานวัฒนธรรมญี่ปุ่นแล้ว ยังต้องการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมญี่ปุ่นสู่คนรุ่นหลังด้วย รูปภาพในภาพพิมพ์นิชิขิช่วยบ่งบอกให้รู้ว่าคาบูกิในยุคก่อนมีฉาก เรื่องราว และนักแสดงแต่งตัวอย่างไร

คาบูกิจึงเปรียบเสมือนภาพพิมพ์ที่เคลื่อนไหวได้

     การแต่งหน้าถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของตัวละครคาบูกิ ลวดลายที่วาดลงบนหน้าสื่อเอกลักษณ์ของตัวละครแต่ละบทบาท

ในการสาธิตการแต่งตัวเจ้าหญิง สาวน้อยหน้าตาเกลี้ยงเกลาเริ่มพอกคอและหน้าด้วย "สี" ขาว รองพื้น ก่อนเขียนคิ้วทาปาก โดยมีลีลาแต่งแต้มมัดใจชายอยู่ตรงที่หัวคิ้วสีดำ แต่หางคิ้วและหางตาจะต้องตวัดด้วยสีแดงเพื่อให้ดู "เซ็กซี่" ตามคำบอกเล่าของผู้บรรยายหนุ่มชาวญี่ปุ่น

     การแต้มหรือทาสีแดงบนใบหน้ายังเป็นสีที่ปกป้องภูตผีปีศาจร้ายไม่ให้วิญญาณร้ายเข้าร่าง และทาริมฝีปากแดงจัด โดยวาดเรียวปากให้เล็กกว่าปากจริงเพื่อเน้นริมฝีปากให้ดูนูนเด่นขึ้นมา

ผู้บรรยายวัยหนุ่มยังบอกด้วยว่า "สาวงามของชาวญี่ปุ่นจะต้องมีตาตี่ชั้นเดียว และช่องว่างระหว่างตาและคิ้วต้องกว้าง"

ถึงช่วงสวมชุดเจ้าหญิง ต้องใช้ผู้ช่วยถึง 2 คน ในการสวมชุดกิโมโนเต็มยศหลายชั้นทีเดียว

     ก่อนจะถึงการแสดงละครคาบูกิ ผู้บรรยายหญิงและชาย หนุ่มสาวแดนปลาดิบออกมาสอนการรำของชาวญี่ปุ่น พร้อมการันตีว่าท่ารำของญี่ปุ่นที่เป็นการใช้มือใช้ได้กับทุกบทเพลง และทุกท่าล้วนสื่อความหมายของตัวละครในคาบูกิ โดยชวนผู้ชมชาวไทยร่วมรำตามไปด้วย

     ไม่ว่าจะเป็นท่าชี้นิ้ว ท่าบังแดด สื่อถึงการมองไปไกลๆ ท่าทัดหู-ยินดีปรีดา ท่าเสียบมือ-ยินดีต่อเนื่อง ท่ากลองยาวสะพายบ่า-ดีใจ ท่านิ้วชี้สองนิ้ว-สามีภรรยา หรือท่าตบเข่าหรือหน้าขาพร้อมกัน ที่สื่อว่าที่พูดมาทั้งหมดไม่เป็นจริง หรือชวนทำนั่นนี่กันเถอะ

คงคล้ายกับท่าโขนของไทยที่มีทั้งท่าโมโห โศกเศร้า หัวเราะดีใจ หรือยิ้มเขินเอียงอาย

หนุ่มสาวปลาดิบเปิดฉากร่ายรำในบทเพลงจังหวะสบายๆ ของญี่ปุ่น ก่อนพิสูจน์สิ่งที่พูดไปด้วยการชวนคนไทยรำญี่ปุ่นในท่าเดิมด้วยบทเพลงไทยจังหวะสนุกๆ "สุขกันเถอะเรา"

ปรากฏว่าลงตัวเป๊ะ ไม่เชื่อ-ก็ต้องเชื่อ!!

     ช่วงท้ายคือไฮไลต์ การแสดงละครคาบูกิชุด "โยชิโนะ ยามะ" หรือภูเขาโยชินะ บอกเล่าเรื่องราวของเจ้าหญิงที่พ่อแม่กลับมาเกิดเป็นกลองของเจ้าหญิงเอง

ด้วยเพราะเป็นการสาธิต การเกริ่นเรื่องราวเพียงคร่าวๆ เพียงพอสำหรับผู้ชมที่มุ่งชมไปที่ลีลาการร่ายรำและท่าทาง แม้การขับร้องคลอเพื่อบรรยายเนื้อเรื่องจะเป็นภาษาญี่ปุ่นก็ตาม

     บางช่วงตัวละครหนึ่งจะหยุดนิ่งไม่ไหวติง ปล่อยให้ตัวละครอีกตัวร่ายรำสื่อความหมาย เพิ่มความโดดเด่นบนเวที นอกจากเสียงขับร้องแล้ว การกระทืบเท้าเป็นจังหวะการแสดง ตึง-ตึง ยังเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่เพิ่มเสน่ห์ให้คาบูกิ

ท่าร่ายรำที่ผู้บรรยายสาธิตก่อนหน้านี้มีอิทธิพลมากต่อการเคลื่อนไหวสื่อเรื่องราวไปพร้อมกับความงดงามอลังการ

ภาพนิชิขิรูปที่ 41 ซึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้ากลางเวที

กำลังมีชีวิต!!



สุวิมล เชื้อชาญวงศ์: รายงาน

ขอขอบคุณ
ที่มา :
ข่าวสดออนไลน์ 15 ธันวาคม 2551 หน้า 21

H O M E




Create Date : 15 ธันวาคม 2551
Last Update : 15 ธันวาคม 2551 13:01:28 น. 2 comments
Counter : 1237 Pageviews.

 
ได้เห็นโบว์ชัวร์แล้วล่ะ น่าสนใจนะ


โดย: ตาพรานบุญ วันที่: 15 ธันวาคม 2551 เวลา:22:51:42 น.  

 
น่าชม.....ขอบคุณครับ


โดย: ค่ำคืนหน้าหนาว วันที่: 16 ธันวาคม 2551 เวลา:9:03:15 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jenifaae
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Editor
บทความ ความคิดเห็นที่นำลง"สนามหลวงแก็งค์" ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เพียงเราเห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในทางข้อมูล ข่าวสาร
หากท่านมีข้อคิดเห็นประการใด โปรดแจ้งให้เราทราบ จักขอบคุณยิ่ง
"สนามหลวงแก็งค์"
kunkorn : Facebook



"Sanamluang's Gang"
"สนามหลวงแก๊งค์"

kunkorn : Facebook

     เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้เกิดการศึกษา การเรียนรู้ เผยแพร่ ส่งเสริม สนับสนุน รวบรวมข้อมูล ข่าวสาร อนุรักษ์ รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย วิถีชีวิต และปรัชญา คุณค่าจิตวิญญาณที่งดงาม สืบสานต่อยอดกันมานานนับพันๆปี และกำลังถูกทำลายด้วยอิทธิพลจากแนวคิดเชิงวัตถุนิยมแบบตะวันตก

● เพื่อการศึกษาหาความรู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาเผยแพร่แก่มวลมนุษยชาติ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง มิใช่เพียงวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุเพียงอย่างเดียว เพราะถือว่าพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งสิ้น ที่มนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ ยังเป็นเพียงผู้รู้ แค่หางอึ่งที่ยังอยู่ในกะลาครอบ แต่บังอาจด่วนสรุป ขัดแย้งกับ สิ่งที่องค์ศาสดาทรงค้นพบมากว่าสองพันปี จนทำให้บังเกิดความสับสน ลดความน่าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

● สนามหลวงแก๊งค์ ต้องขออนุญาตและขอขอบคุณท่านเจ้าของข่าวสาร ข้อมูล ที่เราได้นำลงในสนามหลวงแก๊งค์ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยจิตคารวะ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เพื่อให้สนามหลวงแก๊งค์ เป็นแหล่งในการเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์และเพื่อเป็นวิทยาทานแก่สาธารณชน แต่หากท่านเจ้าของข้อมูล ข่าวสารที่ สนามหลวงแก๊งค์ นำลงไม่มีความประสงค์ให้นำลง ขอได้โปรดแจ้งความประสงค์ เรายินดีที่จะถอดออกต่อไป

ด้วยจิตคารวะ
www.sanamluang.bloggang.com
kunkorn : Facebook


ดาวหาง
     เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในห้วงมหาจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ลี้ลับไร้ขอบเขต ทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ มันจะส่งสัญญาณแห่งความพินาศ มหันตภัย ธรรมชาติ ความตาย ความเจ็บป่วย สงคราม ความขัดแย้ง การกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ การคดโกง การเบียดเบียนของมนุษย์บนพื้นพิภพใบนี้

     มันคือสัญญาณเตือนภัยที่มนุษย์ไม่อาจจะควบคุมได้ ทั้งภัยทางธรรมชาติและภัยที่เกิดขึ้นจากมนุษย์สร้างกันขึ้นมาเองในทุกรอบพันปี

     ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถ ฉลาดสักเพียงไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นมหันตภัยเหล่านี้ไปได้
     ดังนั้น จงเชื่อและปฎิบัติตามอย่างไม่ลังเลต่อคำสอนของศาสดาของเราอย่างจริงจังเถิด

     แม้จอมจักรพรรดิ จอมราชันย์ หรือจอมทรราชที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ก็ต้องตายร่างกายเน่าเปื่อยเป็นผุยผง และในที่สุดวิญญาณของเขาก็ต้องชดใช้กรรม ด้วยการถูกไฟนรกเผาผลาญโดยไม่มีข้อยกเว้นทั้งทั้งสิ้น

     จงอย่าอหังการ์ว่าตัวเองเก่ง ฉลาด และยิ่งใหญ่กว่าคำสอนของพระศาสดา ไม่มีมนุษย์ตนใดที่จะพ้นจากกฎแห่งธรรมชาติได้ มนุษย์ที่เก่งกว่าเรา เขาได้ตายร่างกายทับถมปฐพีแห่งนี้นับไม่ถ้วนแล้ว


     ● ขออนุญาตนำภาพวาด "วีระชนบนพานรัฐธรรมนูญ" ของ คุณสถาพร ไชยเศรษฐ ศิลปินอิสระ อดีตแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ซึ่งวาดเนื่องในโอกาส 2 ปี 14 ตุลา มาเป็นส่วนหนึ่งของหัว "สนามหลวงบล็อก"                


บริการดูดวง



"สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" มีความภาคภูมิใจในความสำเร็จตามอุดมการณ์ของเรา ที่ได้ตั้งเอาไว้ว่า "เราจะใช้วิชาความรู้ในด้านการพยากรณ์เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับการให้การปรึกษาของผู้คนที่กำลังประสบปัญหา ความเดือดเนื้อร้อนใจ หรือการเผชิญกับปัญหานั้นๆได้อย่างไรดี

มนุษย์เกิดแต่กรรม มนุษย์มีกรรมเป็นเหตุ เมื่อเราประสบเคราะห์กรรม ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเราทราบเสียก่อน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าการไม่ทราบ อย่างน้อยก็ทำให้เราระมัดระวังตัว อย่างน้อยก็ทำให้เราหลีกเลี่ยงเพื่อทำให้เราเผชิญกับกรรมน้อยลงไป อย่างน้อยก้ทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีที่มา มันมีที่ไปของมัน

มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์วัตถุจิตนิยม มักโจมตีอยู่เสมอว่า การดูดวง เป็นเรื่องของความงมงาย หมอดูคู่กับหมอเดา หมายถึงว่า เขาไม่เชื่อในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์เพราะคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเดียรัจฉานวิชาบ้าง เป็นการคาดเดาเอาเองบ้าง คิดว่ามันเป็นวิชาที่ใช้สถิติสุ่มเอาบ้าง ไม่เชื่อว่าวิชาโหราศาสตร์จะสามารถไขปริศนาแห่งรหัสลับของดวงดาว จักรวาล และธรรมชาติรอบตัว

แสดงว่าเขาลืมไปว่า อัลเบิร์ต ไอสไตน์ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกรอบตัวเรา ตั้งแต่เล็กเท่าอะตอม (จุลจักรวาล)จนถึงมหาจักรวาล ล้วนมีความผูกพัน ล้วนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแยกกันไม่ออก เพียงแต่ว่า กับอะไร เมื่อไร อย่างไร เท่านั้น

กรรมเป็นผลจากการกระทำของเราในอดีตชาติ จะดีหรือจะร้ายก็เพราะเราทำ เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับผลแห่งการกระทำเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โหรฯเป็นเพียงผู้แปลรหัสของดวงดาวและธรรมชาติรอบตัว เพื่อเผยแผนที่ชีวิตของเรา และสามารถมองเห็นช่องทางที่จะเลี่ยงหลบสิ่งเลวร้าย ให้ลดน้อยถอยลงหรือพบพานแต่สิ่งที่ดีดี

การสะเดาะเคราะห์ หรือพิธีการตัดกรรมที่กำลังกล่าวขานถึงก็คือการขออโหสิกรรม ลดการอาฆาตจองเวรกับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังจ้องจองเวรด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ถูกเรากระทำในอดีตชาติ ไม่ใช่เป็นการตัดทอนผลกรรมที่เราทำให้หมดไปหรือให้ลดลง เพราะกรรมที่เรากระทำไม่สามารถตัดทอนลงไปได้



สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์พยากรณ์เที่ยงตรง แม่นยำเชื่อถือได้ วิเคราะห์พยากรณ์อย่างเป็นระบบ ไม่เลื่อนลอย ยึดมั่นในอุดมการณ์ของครูที่ท่านได้กำชับให้นำเอาวิชาการพยากรณ์มาช่วยเหลือแนะนำ บรรเทาทุกข์ของผู้คนมากกว่าการพยากรณ์เพื่อการค้า

ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าประเทศใด? ชาติใด ภาษาใด? สมัยไหน? ชนชั้นวรรณะใด? ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว นักธุรกิจ นักการค้า แม่บ้าน นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ หรือไม่เว้นแต่นายพล นายพัน รัฐมนตรี หรือระดับผู้นำประเทศ ล้วนแต่เคยดูดวงด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า เราจะเชื่ออย่างงมงายหรือจะเชื่อโดยใช้เหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยนำเอาคำพยากรณ์มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต หรือทำธุรกิจ การค้า หรือเพื่อการทำสงครามฯ

"สนามหลวงแก็งค์" ไม่สนับสนุนให้เชื่อเรื่อง "ดวง" อย่างงมงาย แต่เราสนับสนุนให้ใช้คำ "พยากรณ์"อย่างมีวิจารณญาณประกอบการตัดสินใจอย่างมีสติ ใช้ "ปัญญา"อย่างมี "เหตุผล"

หลังจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องมีการเข้าจองคิวดูดวงเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทยในประเทศที่เข้ามาใช้บริการจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"เท่านั้น

แต่ยังมีคนไทยที่อยู่หลายประเทศทั่วโลกเข้ามาดูดวง ตรวจสอบชื่อ นามสกุลมากมาย ทั้งนี้คงเป็นเพราะผู้ที่เข้ามา"ดูดวง" กับ "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับความพอใจในคำพยากรณ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ แนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมตามหลักโหราศาสตร์ จึงได้มีการบอกเล่า แนะนำชักชวนกันปากต่อปากเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้ มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมwww.sanamluang.bloggang.com มีจำนวนถึง 118 ประเทศ โดยเข้ามาเปิดดูหน้า "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"คิดเป็นร้อยละ 80 ของ pageviews ต่างๆใน www.sanamluang.bloggang.comจัดทำบล็อกครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2550 มีผู้เข้าชมจำนวนทั้งสิ้น 579,020 ครั้ง จากจำนวน 262,960 visitors (ข้อมูล ณ เวลา 12.00 น.ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2553)

ส่วนใหญ่ลูกค้าที่โทรเข้ามาเกือบ 98% เมื่อโทรฯ เข้ามาดูดวงแล้ว จะสามารถนัดวัน เวลาดูดวงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อาจจะมีอยู่บ้างเพียงไม่กี่รายที่โทรฯเข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อาจจะเนื่องมาจากไม่คุ้นเคยการทำธุรกิจแบบออนไลน์ โดยมีการโอนเงินก่อน ไม่ไว้ใจ หรือไม่กล้า ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ประมาณ 2%

สำหรับที่เมลฯมาถามและเงียบไป ไม่สามารถทราบจำนวนได้ อาจเนื่องจากเป็นรายที่โทรเข้ามานัดอีกทางหนึ่งก็เป็นได้

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์ ยังมีอาจารย์ผู้สอนวิชาโหราศาสตร์ ผ่านประสบการณ์ในการดูดวงหลายปีคิดเป็นจำนวนหลายพันดวง

แน่นอน แม่นยำกระชับ ชัดเจน หากไม่ทราบเวลาตกฟากท่านก็ยังสามารถดูได้ รายที่กำลังประสบเคราะห์หามยามร้าย ท่านก็จะช่วยแนะนำและแก้ไขเรื่องเลวร้ายให้กลายเป็นดีด้วยศาสตร์แห่งความลี้ลับของโหราศาสตร์ โดยไม่ต้องเสียเงินสะเดาะเคราะห์ สามารถดูได้ถึงขนาดปัญหาเรื่องคู่ครอง เรื่องเคราะห์ เรื่องหน้าที่การงาน โดยใช้ "วิชาโหราศาสตร์ดวงไทย"อันเป็นสุดยอดของวิชาโหราศาตร์โบราณของไทย

นอกจากนั้น เรายังมี ซินแส ที่เชี่ยวชาญเรื่องการดูฮวงจุ้ย ทำเลปลูกบ้าน อาคารสำนักงาน ดูฤกษ์ยาม แต่งงาน คลอดบุตร ขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการต่างๆโดยใช้วิชาโหราศาสตร์จีนโบราณผสานตำราดวงไทย ซึ่งซินแสท่านมีประสบการณ์การดูดวงมาไม่น้อยกว่า 45 ปี ผ่านการดูให้กับนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย และนักธุรกิจชั้นนำจากฮ่องกงหลายราย

ติดต่อ 081-4834367 หรือ workingmailhome@hotmail.com
--------------------------------------------
● ปรึกษาปัญหากฏหมาย
ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์
--------------------------------------------
● ปัญหาติดต่อราชการ
บริการปรีกษาเรื่อง ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมต่างๆ และการติดต่อราชการต่างๆ ของสำนักงานเขต
--------------------------------------------
● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล,

● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work
--------------------------------------------
สำนักพิมพ์ดาวหาง
www.sanamluang.bloggang.com




รับวาดรูปเหมือน และสอนวาดรูป
โดยอาจารย์ ผู้ชำนาญ

ราคาย่อมเยา

















หลังเกิดเหตการณ์ 14 ตุลา 2516 นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ต่างหลั่งไหลดั่งสายน้ำ ล้นขอบ ออกจากเมือง เข้าสู่ ชนบท เหตุเกิดเมื่อ กลางปี พ.ศ.2516 จนถึง พ.ศ.2519 นักศึกษากลุ่มหนึ่ง ได้ พบกันโดยบังเอิญ และ ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับชาวบ้าน ณ หมู่บ้าน แม่ตะมาน ตำบลกื๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ ชื่อโครงการว่า "โครงการหมู่บ้านสหกรณ์แม่ตะมาน"
เชิญ พบ และติดตาม กับเรื่องราว และบทสรุป อันควรเป็นจุดเริ่มต้น ต่อไปใน

     เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย ที่ถูกหว่านทั่วท้องทุ่งแห่งประชาไทย มาบัดเดี๋ยวนี้ เมื่อต้องฝน ต้องลม แห่งกาลเวลาพัดผ่าน จาก 2516 , 2519 2535,จน 2540 ถึง 2550บางเมล็ดพันธุ์ก็ยังขาวพิสุทธิ์สดใส บ้างเมล็ดพันธุ์เปลี่ยนสี บ้างก็ดอกสีเหลือง บ้างก็ดอกสีแดง บ้างก็ดอกสีม่วงก้มี สีเขียว สีน้ำเงิน หรือบ้างก็อาจเฉาโรยรา หรือบ้าง ผสมผสานกลายพันธุ์ ก็มีไม่น้อย
มาบัดเดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่ จิต วิญญาณ แห่ง 14 ตุลา เดิมเสียแล้ว ไม่ใช่พันธุ์เดียวกัน อย่าได้ เอ่ยอ้างเลย ว่า วิญญาณ 14 ตุลา ยังคง...มันประชาธิปไตย ที่ไม่ บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนอย่างเดิมเสียแล้ว.....
..แต่มันเป็น.ประชาธิปไตย...เพื่อใคร..??


“ทุกวันนี้ เราจะรับรู้ ได้เห็น ได้ยินแต่เรื่องเลวร้าย ในสังคม
เราจึงขอบันทึกสิ่งที่ดีๆ ต่างๆ เหล่านี้ ด้วยจิตคารวะ และขอเป็นกำลังใจให้เกิดสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ต่อไป”>>>



อ่านงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์หลากหลายประเทศทั่วโลก ที่นี่ >>>





*จำนวนผู้ชมทั้งสิ้น* สถาปนาบล็อค 21 ก.ค.2550
Friends' blogs
[Add jenifaae's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.